ความคิดเห็นที่ 20
มาเพิ่มเติมเรื่องเรียนคอร์สภาษาอังกฤษค่ะ เห็นคุณลูกท้อหม่นๆ บอกว่าลาออกมาเรียนภาษาโดยเฉพาะ เราอยากเล่าประสบการณ์ตอนที่ไปเรียนภาษาอังกฤษที่ AUA ให้ฟังสักหน่อยค่ะ
เราไม่ได้สอบวัดระดับเพราะตอนที่ไปสมัครเรียนเค้าเพิ่งสอบกันไป แต่เราใจร้อนอยากรีบเรียนเพราะเป็นช่วงปิดเทอมตอนเรียนปริญญาตรีปี 1 ก็เลยต้องเริ่มเรียนที่ระดับที่ 1 (AUA มีชั้นเรียนทั้งหมด 15 ระดับ) ปรากฏว่าเป็นชั้นเรียนที่เริ่มสอนเรื่อง verb ช่อง 1 เรียนแต่ is, am, are เพื่อนในชั้นเรียนมีประมาณ 15 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กม.ต้น มีเราเป็นเด็กโข่งเรียนมหาลัยอยู่หนึ่งคน แล้วก็มีพี่ๆ อายุประมาณสามสิบกว่าๆ อีกสองสามคนที่ทิ้งภาษาอังกฤษไปนานมากๆ เลยมาเริ่มเรียนใหม่ พี่ผู้หญิงคนที่นั่งข้างเราฟังอาจารย์ไม่ออก เลยสะกิดถามเราตลอดเวลาว่าตะกี้อาจารย์พูดว่าอะไรนะน้อง พออาจารย์ชี้ให้ตอบทีละคน พี่เค้าก็ก้มหน้าไม่กล้าตอบ เพราะกลัวตอบผิด เป็นอย่างนี้ทุกชั่วโมง จนในที่สุดอาจารย์เลยไม่ถามพี่เค้า เวลาถามเรียงตัวก็ข้ามเค้าไปเลย ทำให้พี่คนนี้ไม่มีโอกาสได้พูดในชั้นเรียน แต่เค้าก็ตั้งใจอยากจะเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ เพราะพอหมดคาบเรียน พี่เค้าก็จะมาให้เราอธิบายให้ฟังว่าอาจารย์สอนอะไร เวลามีการบ้าน เค้าก็ทำการบ้านมา แล้วก็เช็คคำตอบกับเรา แต่พออาจารย์ชี้ให้ตอบ ขนาดทำการบ้านมา มีคำตอบอยู่ในมืออยู่แล้ว พี่เค้าก็ยังก้มหน้าไม่กล้าตอบอยู่ดี พี่คนนี้มาเรียนอยู่สักสองอาทิตย์ พอช่วงหลังๆ เค้าไม่ค่อยมีเวลาทำการบ้าน ก็เลยยิ่งตามบทเรียนไม่ทัน แล้วบางอย่างที่เค้าสงสัย เค้าก็ไม่กล้าถามอาจารย์ เพราะกลัวจะคุยภาษาอังกฤษกับอาจารย์ไม่รู้เรื่อง แล้วในที่สุดพี่เค้าก็หายไป ไม่ได้เรียนจนจบคอร์ส เราก็รู้สึกเสียดายแทน แต่ไม่รู้จะติดต่อพี่เค้ายังไง ส่วนเราเองก็อยากเรียนอะไรที่สนุกกว่า is, am, are พอเรียนจบคอร์ส ก็เลยไปสมัครเรียนที่ British Council แทน อย่างที่เล่าให้ฟังในความเห็นข้างบน
ฉะนั้นถ้าไปเรียนภาษาอังกฤษ ก็พยายามอ่านหนังสือไปล่วงหน้า จะได้รู้ว่าวันนี้อาจารย์จะอธิบายเรื่องอะไร และจะได้ตามอาจารย์ทันได้ง่ายขึ้น เวลาอาจารย์ถาม ก็จะได้ตอบได้ถูกต้อง แล้วเราเองก็จะได้รู้สึกมีกำลังใจ มั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเองมากขึ้น กล้าพูดในชั้นเรียนมากขึ้น ถ้าตอบไม่ถูก ก็ไม่ต้องอายนะคะ เราเป็นนักเรียน จะตอบถูกบ้างผิดบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรารู้หมดทุกอย่างก็คงไม่ต้องมาเรียนแล้วเนอะ ถ้ามีการบ้าน ก็ควรจะทำการบ้านให้เสร็จ จะได้รู้ว่าเราเข้าใจบทเรียนได้ถูกต้องหรือยัง พยายามทำให้ตัวเองเข้าใจบทเรียนและตามอาจารย์ให้ทัน เราจะได้รู้สึกมั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเองมากขึ้น แล้วก็จะทำให้เราพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เองค่ะ
เท่าที่เราอ่านประสบการณ์ของเพื่อนๆ หลายๆ คนที่มาตอบกระทู้นี้ เราคิดว่านักเรียนไทยส่วนใหญ่ก็มีความรู้ภาษษาอังกฤษพอสมควร รู้ว่าจะผูกประโยคยังไง ควรจะพูดอะไรในสถานการณ์ไหน เพียงแต่เวลาต้องพูดกับฝรั่งจริงๆ แล้วก็อาจจะกลัวๆ กล้าๆ และอีกอย่างนึง นักเรียนไทยหลายคนก็มีปัญหาเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าต้องทำปาก ทำลิ้นยังไงถึงจะถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ไม่ได้เป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง คนไทยเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ฝึกฝนและเรียนรู้มากนัก แล้วครูที่สอนภาษาอังกฤษในระดับประถมบางคนก็ไม่ได้จบด้านภาษาอังกฤษมาโดยตรง ออกเสียงพยัญชนะบางตัว และคำบางคำยังไม่ถูกต้อง พอนักเรียนก็ไม่มีตัวอย่างที่ถูกต้องให้เลียนแบบ ก็เลยออกเสียงแบบผิดๆ และติดมาจนโต แล้วพอพูดกับฝรั่ง และฝรั่งฟังไม่เข้าใจ ก็เลยทำให้รู้สึกกลัว ไม่มั่นใจที่จะพูดภาษาอังกฤษไปเลย
ป.ล. เรียนภาษาอังกฤษจากสิ่งที่เราชอบ มักจะได้ผลดี เหมือนอย่างที่เพื่อนๆ แนะนำไว้ข้างบนค่ะ ที่เราเองเริ่มจากการอ่าน Nation Junior ตอนอยู่ม.ปลาย ก็เพราะ NJ เป็นนิตยสารสำหรับนักเรียน มีเรื่องที่วัยรุ่นสนใจ เราชอบฟังเพลง แล้ว NJ ก็มีบทสัมภาษณ์นักร้องบ่อยๆ เราเลยรู้สึกสนุกและมีความพยายามที่จะอ่านข่าวอ่านบทความเรื่องนักร้องและเพลงที่เราชอบ
จากคุณ :
Aoyama
- [
25 เม.ย. 47 21:17:11
]
|
|
|