ความคิดเห็นที่ 1 ต่อด้วยนี่เลยค่ะ กุ้งผัดน้ำพริกเผา กุ้งแม่น้ำ 6 ตัว น้ำพริกเผา 4-5 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวตามชอบ น้ำปลานิดหน่อย พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบและใบโหระพา (ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ) วิธีทำ มาเริ่มที่การปอกกุ้งก่อนนะคะ เอากรรไกรตัดก้ามกุ้งและขากุ้งออกให้หมด ใช้กรรไกรตัดเปลือกกุ้งตลอดหลัง และใช้มีดกรีดตื้นๆ เอาเส้นขี้กุ้งออกให้หมด แต่อย่าปอกเปลือกกุ้งนะคะ ให้คงไว้อย่างนั้น คราวนี้ก็หันมาจัดการกับหัวกุ้ง เอากรรไกรตัดหนวดตัดกรีออกให้หายรุงรัง ดึงฟันกุ้งออกทั้งสองข้าง และใช้เล็บจิกดึงถุงขี้กุ้งออก ระวังอย่าให้ถุงแตกขี้กุ้งจะได้ไม่เลอะเทอะ การปอกกุ้งวิธีนี้จะทำให้กินง่าย และรักษามันกุ้งไว้ได้ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการทอดกุ้งให้เนื้อคงสภาพสดเด้งดึ๋งน่ากิน เอาน้ำมันใส่กระทะให้ท่วมกุ้ง รอจนน้ำมันร้อนจัด ใส่กุ้งลงทอดทีละตัว ทอดจนกุ้งเป็นสีชมพูและเริ่มงอตัวก็เอาขึ้น เอาตัวใหม่ใส่ตามลงไป เรื่อยๆ ระหว่างที่ทอดน้ำมันจะกระเด็นมาก ให้เอาฝาหม้อใหญ่ๆ คอยบังไว้ เมื่อทอดกุ้งเสร็จ ตักน้ำมันที่ทอดกุ้งมาจำนวนหนึ่งใส่กระทะ เอากุ้งที่ทอดไว้เกือบสุกใส่กระทะ ตามด้วยน้ำพริกเผาทั้งหมด ผัดให้เร็วๆ เติมน้ำปลาเล็กน้อย ถ้าชอบพริกชี้ฟ้าและใบโหระพาก็ใส่ลงไปได้เลย ผัดไปมาพอให้พริกสุก ปิดไฟ และใส่น้ำมะนาว ชิมรสอีกครั้งให้เค็ม เปรี้ยว และหวาน กินกับข้าวร้อนๆ แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว การคงเปลือกกุ้งไว้ ทำให้เนื้อกุ้งเหนียวแต่นุ่ม และการผ่าเปลือกกุ้งตามแนวหลังกุ้ง ทำให้เครื่องปรุงซึมเข้าไปในตัวกุ้ง กินอร่อย แถมปอกเปลือกง่ายด้วย ถ้าใครชอบมันกุ้งก็แกะส่วนหัวเอาทั้งเนื้อทั้งมันคลุกข้าว แถมด้วยพริกเผาบีบมะนาวรสแปลก อร่อยอย่างแตกต่าง จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 14:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งอบวุ้นเส้นเป็นเมนูที่คนส่วนใหญ่ชอบกิน แต่เป็นรายการที่ต้องการปัจจัยพอสมควร เพราะกุ้งที่จะเอามาอบวุ้นเส้นควรจะตัวเขื่องสักหน่อย จะเอากุ้งฝอยมาอบก็จะเสียสถาบันซะเปล่าๆ เครื่องปรุง กุ้งชีแฮ้หรือกุลาขนาดใหญ่ 6-10 ตัว (แล้วแต่ขนาด) วุ้นเส้นอย่างดีเลิศ 1 ถุงเล็ก ซีอิ๊วดำอย่างดี และซีอิ๊วหวาน น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชีทุบๆ 5-6 ราก พริกไทย กระเทียม และรากผักชีตำละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ เบคอน 6 แผ่น น้ำซุปจืดๆ 1 หม้อเล็ก เห็ดหอมแช่น้ำหั่นเป็นชิ้นบางๆ 1/3 ถ้วย ซีอิ๊วขาว เกลือ น้ำตาล เหล้าจีน เครื่องเทศ เช่น ผงสำหรับตุ๋นเป็นซองๆ อุปกรณ์เสริม หม้อดิน วิธีทำ ล้างกุ้งใช้กรรไกรตัดหนวดตัดกรีและขาออกให้หมด และตัดเปลือกกุ้งตามแนวสันหลัง เสร็จแล้วใช้มีดกรีดตื้นๆ ตามแนวหลังกุ้ง ดึงเอาเส้นขี้กุ้งออก กุ้งจะยังคงมีเปลือกอยู่นะคะ ตั้งน้ำมันค่อนข้างมาก เอากุ้งลงทอดพอสุกและตักขึ้นพักไว้ ตักน้ำมันออกไปจนเกือบหมด ใส่เห็ดหอมผัดจนมีกลิ่นหอม และใส่เบคอนลงไปทอดจนเริ่มเหลือง จึงใส่รากผักชี กระเทียม และพริกไทยที่ตำไว้ลงผัดจนเริ่มเหลือง เทเหล้าจีนลงไปสัก 1 ฝา ใส่วุ้นเส้นที่แช่น้ำไว้จนเส้นนิ่มแล้วลงไป ใส่รากผักชีที่ทุบไว้ เติมน้ำซุปให้ท่วมวุ้นเส้น ใส่ห่อผงสำหรับตุ๋น (ทำจากจังหวัดนครสวรรค์) ใส่น้ำมันหอย เติมซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วหวาน ซีอิ๊วขาว ปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ และ น้ำตาล ตอนนี้เอากุ้งที่ทอดไว้ใส่ลงไปได้แล้ว พอน้ำเริ่มงวดให้เติมน้ำซุปลงไปอีกครั้ง ชิมรสโดยชิมที่ตัววุ้นเส้น ถ้ายังไม่อร่อยก็เติมเครื่องปรุงที่เรารู้สึกว่าขาดไปให้ได้รสที่ชอบ ถ้าวุ้นเส้นยังกระด้างให้เติมน้ำซุปได้อีกจนแฉะๆ วุ้นเส้นจะดูดน้ำซุปเข้าไปเรื่อยๆ จนนุ่มได้ที่ ระหว่างนี้ให้เอาหม้อดินตั้งไฟอ่อนๆ ถ้าได้หม้อดินคุณภาพดีๆ จะทำง่ายมากค่ะ แต่ถ้าเป็นหม้อดินทั่วๆ ไปจะมีปัญหาหม้อแตกได้ ให้ระวังอย่าเปิดไฟแรงนะคะ พอหม้อดินร้อนใช้คีมคีบเบคอนวางก้นหม้อ เทกุ้งและวุ้นเส้นตามลงไป ถ้าใส่ถุงเครื่องเทศสำหรับตุ๋นก็ให้คีบทิ้งตอนนี้ ปิดฝาหม้อดินอบต่ออีกครู่ให้ความร้อนอวลไปทั้งหม้อ โรยผักชีและยกเสริฟทั้งร้อนๆ วิธีนี้ทำให้การอบวุ้นเส้นเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากชิมรสไปได้เรื่อยๆ และไม่ต้องเครียดเรื่องวุ้นเส้นติดก้นหม้อ หรือไม่ต้องกะเกณฑ์ว่าจะใส่น้ำแค่ไหนวุ้นเส้นถึงจะนุ่มพอดี ทำไปปรุงไปจนถูกใจ น่าจะได้อาหารหม้ออร่อย 1 หม้อนะคะ แต่ถ้าใครไม่มีหม้อดินก็ตักใส่จานแล้วโซ้ยได้เลย กินกับน้ำจิ้ม พริกขี้หนูสวนตำกับกระเทียม รากผักชีเล็กน้อย เติมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ และน้ำมะนาวทำเป็นน้ำจิ้มรสแซบใช้จิ้มกุ้งอบอร่อยมากค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้มแซบเป็นอาหารอีสานที่นิยมกันโดยทั่วไปในภาคกลางเพราะรสแซบสมชื่อ เราจะใช้เนื้อวัว ไก่ ปลา หมูก็ได้ทั้งนั้น วันนี้เราจะต้มด้วยซี่โครงหมูอ่อน ส่วนประกอบเลยนะคะ ต้มแซบซี่โครงหมูอ่อน เครื่องปรุง ซี่โครงหมูอ่อน (สับเล็กๆ ประมาณ 1 ซ.ม.) 1 ก.ก., ตะไคร้ 2-3 ต้น, ข่า 5-6 แว่น, มะนาว น้ำปลา เกลือ และน้ำตาลกรวดเล็กน้อย, น้ำมะขามเปียก, ต้นหอม-ผักชีฝรั่ง-ผักชีจีน-พริกป่น ลงมือเลยนะคะ หลังจากสับซี่โครงเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ว ทุบตะไคร้หั่นยาวๆ ใส่ไป 2-3 ต้น ใส่ข่าหั่นเป็นแว่นๆ เติมน้ำประมาณ 3 เท่าของปริมาณหมูในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ อ้อ ! ถ้าใครชอบกลิ่นหอมแดงก็ทุบๆ ลงไปสัก 4 หัว ถ้าไม่ชอบหรือไม่มีก็ไม่ต้องใส่ ตั้งไฟพอน้ำเดือดเติมเกลือลงไป ชิมดูให้เค็มปะแล่มๆ อย่าให้เค็มจัดนะคะ เพราะเราจะใส่น้ำปลาทีหลัง ใส่น้ำตาลกรวดนิดหน่อยเพื่อให้กลมกล่อม ช้อนฟองออกให้หมดและหรี่ไฟเคี่ยวไฟอ่อนๆ จะปิดฝาหม้อหรือเปิดฝาก็ได้ไม่ผิดกติกา ระหว่างที่เคี่ยวหมูก็เตรียมหั่นผักอันได้แก่ ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ผักชีจีน หั่นสั้นๆ รวมกันไว้ในถ้วย คั่วพริกแห้งและตำป็นพริกป่น ต้องใช้พริกคั่วเองจึงจะหอม คั้นน้ำมะขามเปียกไว้ 1 ถ้วยเล็กๆ บีบมะนาวไว้อีก พอกระดูกหมูเปื่อยได้ที่ คือเปื่อยพอที่เราจะเคี้ยวกระดูกกินได้ ก็จัดการเอาชามขนาดกลางๆ ใส่ผัก 3 อย่างที่หั่นไว้ ใส่พริกพอควร ใส่ผงชูรสพอติดปลายช้อนอย่าประเคนลงไปแบบร้านขายอาหาร ... คราวนี้ถึงตอนสำคัญคือการกะรสเปรี้ยวกับเค็ม ถ้าใช้ชามกลางๆ ให้ใส่น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ เสร็จแล้วตักต้มกระดูกหมูร้อนจัดๆ เทลงในชาม คนสักสองสามทีพอเครื่องเข้ากันดี ชิมดูสักนิด ถ้าอ่อนรสไหนก็ปรุงแต่งให้ถูกใจ สัดส่วนที่ให้ไว้จะได้รสกลางๆ ค่อนข้างจัด ถ้าใครชอบพริกขี้หนูสด ควรเลือกพริกสีแดงเท่านั้น เพราะอาหารชามนี้จะมีผักสีเขียวลอยฟ่อง ถ้ามีพริกสีแดงๆ แซมก็จะดูสวยขึ้น และช่วยลดการตักผิดตักถูก ถ้าเผลอเคี้ยวพริกขี้หนูเข้าไป พวกลิ้นบางๆ อย่างเราอาจจะถึงกับอร่อยจนน้ำตาเล็ดได้ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:09:36 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เต้าหู้ผัดพริกกับเห็ด อาหารเมนูนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบกินเต้าหู้กับเห็ดเป็นพิเศษ เพราะจะได้รสแท้ๆ ของอาหารทั้งสองอย่างนี้ เต้าหู้ผัดพริกกับเห็ด เครื่องปรุงประกอบด้วย เต้าหู้อ่อน 3 ก้อน เห็ดหูหนูสด 1 ถุง (ประมาณ 2-3 ขีด) เห็ดหอมสด 1 แพ็ก (ประมาณ 2 ขีด) (อาจจะใส่เห็ดอื่นๆ อีกได้ตามที่ชอบ) พริกขี้หนูเม็ดใหญ่สีเขียวและแดง 5-6 เม็ด ตำหยาบๆ เครื่องปรุง เช่น ซีอิ้ว เกลือ ผงชูรสเจ เริ่มทำเลยนะคะ หั่นเต้าหู้ออกเป็นเต๋าใหญ่ ซึ่งจะหั่นได้ 9 ชิ้นต่อ 1 ก้อน เอาเกลือโรยลงไปตามชอบ (อาจจะรอไว้โรยก่อนทอดได้ค่ะ) หั่นเห็ดหูหนูเป็นชิ้นใหญ่ๆ และหั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นบางๆ ถ้าใส่เห็ดอื่นๆ เช่น เห็ดเข็มทองก็ไม่ต้องหั่น แต่ถ้าใส่เห็ดโคนญี่ปุ่นด้วยให้หั่นเป็นแผ่นค่อนข้างหนา เอาน้ำมันใส่กระทะ กะพอให้ท่วมเต้าหู้ รอจนน้ำมันร้อนค่อยใส่เต้าหู้ลงไปทอด การใส่เกลือจะทำให้เต้าหู้โดยไม่ติดกระทะ การทอดต้องทอดอย่างเบามือ เอาตะหลิวผลักเต้าหู้ไปมาพอให้ไม่ติดและไม่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอเต้าหู้สุกเหลืองทุกด้านก็ตักขึ้นใส่ตะแกรง เลือกเต้าหู้อ่อนเพราะชอบกินเป็นส่วนตัว ถ้าใช้เต้าหู้ยิ่งแข็งมากก็จะยิ่งฟูมากเวลาทอด แต่ถ้าชอบก็ใช้ได้ค่ะ ทอดง่ายกว่าด้วย ตักน้ำมันออกจากกระทะ ใช้น้ำมันใหม่ใส่ลงไปเล็กน้อย เอาพริกที่ตำไว้ลงผัดพอสุก ใส่เห็ดลงผัด และใส่เต้าหู้ลงไปผัดด้วยกัน เติมน้ำพอท่วมของในกระทะ พอน้ำเดือดชิมรสดู จะเค็มปะแล่มๆ เพราะเกลือที่ติดกับเต้าหู้ เติมผงชูรสเจเล็กน้อย ถ้าต้องการกินอาหารที่รสเป็นธรรมชาติ ให้เติมเกลืออีกนิดหน่อยจะได้รสของเห็ดกับเต้าหู้และพริกจริงๆ แต่ถ้าต้องการปรุงรสให้เติมซีอิ้วลงไปตามชอบก็จะอร่อยไปอีกแบบ และถ้าชอบแบบน้ำข้นให้เติมแป้งโดยผสมแป้งมันกับแป้งท้าวยายม่อมครึ่งต่อครึ่ง เติมลงไปเล็กน้อยก็พอนะคะ ข้นมากเกินไปจะไม่อร่อย อาหารรายการนี้น่าจะทำไว้มากๆ และเก็บไว้ในตู้เย็น เอาออกมาแบ่งกินเป็นถ้วยๆ ก็กินเพลินดี กินเป็นกับข้าวหรือเอาไปผสมกับบะหมี่สำเร็จรูปก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ชอบรสเผ็ดก็อย่าใส่พริกนะคะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:24:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขาหมูต้มโคล้ง ต้มโคล้งเป็นอาหารรสดีและมีกลิ่นหอม แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าต้มยำ อาจจะเป็นเพราะวิธีทำยุ่งยากกว่าเล็กน้อย ต้องเผาพริกเผาหอม และต้องหาผักหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมาเติมให้ได้ความเปรี้ยวที่ละมุนละไม แต่ก็อร่อยคุ้มนะคะลองทำดู เริ่มจากซื้อขาหมูเผาแล้วจากตลาดมา 1 ขา ให้คนขายสับเป็นชิ้นพอดีที่จะต้ม ถ้าได้ชิ้นใหญ่ไปก็หั่นเองให้พอดีคำ ถ้าชอบเนื้อแดงก็ให้ใช้ขาหน้านะคะ เอาขาหมูใส่หม้อ ต้มน้ำให้เดือดและช้อนฟองออกให้หมด ทุบตะไคร้ใส่ลงไป 2-3 ต้น เกลือ 2 หยิบมือและน้ำตาลกรวดเล็กน้อย เคี่ยวไฟอ่อนๆ จนกว่าขาหมูจะเปื่อยกำลังดี ระหว่างที่เคี่ยวขาหมูก็เตรียมเครื่องอื่นๆ อันได้แก่ พริกขี้หนูแห้งประมาณ 1/4 ขีด คั่วจนพองกรอบ หักเป็นชิ้นเล็กๆ พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด เผาหรือคั่วจนสุกเปลือกไหม้ ลอกเปลือกออก ฉีกหยาบๆ หอมเผาหรือคั่ว 10 หัว ปอกเปลือกที่ไหม้ๆ ออก เอาเครื่องเผาทั้งหมดนี้ใส่ลงในหม้อขาหมูที่เปื่อยดีแล้ว เติมน้ำปลาและของที่จะให้รสเปรี้ยว เช่น มะดันซอย, ตะลิงปลิงสับเป็นเส้นๆ, มะม่วงดิบ, มะปรางดิบ, ใบมะขามอ่อน หรือผลไม้อื่นๆ ที่จะทำให้ต้มโคล้งเปรี้ยว วันที่ทำเพื่อจะเขียนสูตรนี้ได้ใส่ตะลิงปลิงซึ่งทำให้เนื้อต้มโคล้งเปรี้ยวอร่อยมาก แต่อีกหม้อหนึ่งที่ใส่ส้มแขกมีรสเปรี้ยวโดดๆ เกินไป แต่ของอย่างนี้ลางเนื้อชอบลางยา ทางใครทางมัน บางคนอาจจะชอบก็ได้ ต้มต่อไปอีกสักครู่พอให้ของเปรี้ยวออกรส เติมน้ำตาลปีบ หรือน้ำตาลทรายแดงก็ได้ ชิมรสดูให้เปรี้ยว เค็ม เผ็ด มีรสหวานพอให้กลมกล่อม เมื่อจะรับประทานให้เติมพริกขี้หนูสดทุบใส่ลงไปเพื่อให้เผ็ดหอม ปรุงรสให้จัดทั้งเปรี้ยวและเค็ม ถ้าชอบรสเปรี้ยวของมะนาวก็ให้เติมตอนนี้ ต้มโคล้งมีรสจัดก็จริงแต่ไม่โลดเท่าต้มยำ รสจะกลมกล่อมกว่าต้มยำ ก่อนเสิร์ฟโรยผักชีซะหน่อย ไม่ให้เสียชื่อว่าเป็นคนไทย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขนมหัวผักกาดทอด ค่ะ ขนมหัวผักกาดทอดที่ขายกันทั่วไปมีแต่แป้งเป็นหลัก กินแล้วไม่ได้รสชาติอะไร ลองทำสูตรนี้ดูนะคะ ได้ผ่านการรับรองคุณภาพจากสำนัก CRQA (Chai Rajwat Quality Assurance) เครื่องปรุงมีดังนี้ หัวผักกาด 1 ก.ก. ขูดเป็นเส้นเล็กๆ, แป้งข้าวเจ้า 1 1/2 ขีด, แป้งมัน 3 ช้อนโต๊ะ, หมูสับ 1 1/2 ขีด, หมูสามชั้น 1 เส้น หั่นเป็นชิ้นบางๆ เล็กๆ, ถั่วลิสงต้มเปื่อย 1/2 ถ้วย, ต้นขึ้นฉ่ายหั่นสั้นๆ 1/2 ถ้วย, กุ้งแห้งแช่น้ำและเห็ดหอดแช่น้ำจนนิ่ม หั่นเป็นแผ่นบางๆ, เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลน้อยกว่าเกลือ, พริกไทยเท่ากับน้ำตาล วิธีทำ เอาหัวผักกาดขูดแล้วมาผสมกับส่วนผสมทั้งหมด โดยไม่ต้องคั้นเอาน้ำออกก่อน ที่สำคัญคือต้องเลือกหัวผักกาดใหม่สด จึงจะทำแล้วอร่อย บรรจุส่วนผสมลงในถาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9" ถ้าไม่มีใช้ถาดอะไรก็ได้ หรือจะใส่เป็นถ้วยๆ ก็ได้เช่นกัน นึ่งส่วนผสมด้วยไฟแรง ถ้าไม่บรรจุจนแผ่นหนาเกินไป นึ่งประมาณ 1/2 ชั่วโมงก็จะสุก ถ้าชอบกินแบบนึ่งก็โรยกระเทียมเจียวและจิ้มน้ำจิ้มกินได้เลย ถ้าชอบกินแบบทอด ต้องรอให้เย็น ตักออกจากถาด หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม นำไปทอดให้เหลืองส่งกลิ่นหอม ตอนนี้ก็รับประทานได้แล้ว จิ้มน้ำจิ้มถ้วยเดิม คนที่ชอบกินหัวผักกาดผัด ให้เอา Version ที่ทอดไว้ไปผัดต่อโดยเอากระทะเหล็กตั้งไฟ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่กระเทียมสับลงไปเจียวพอเหลือง ใส่หัวผักกาดที่ทอดแล้วลงผัดพอร้อน ใส่ไข่เป็ด 1-2 ฟอง แล้วแต่ปริมาณของหัวผักกาด ใส่ถั่วงอกและใบกุยช่ายหั่นเป็นท่อนๆ ตอนนี้ต้องรีบๆ ใส่ซีอิ๊วหวาน น้ำปลา และน้ำตาลทราย พอให้รสกลมกล่อม โรยพริกไทยแยะๆ ตักใส่จานกินร้อนๆ ปรุงรสด้วยเครื่องพวง (น้ำส้ม น้ำปลา พริกป่น น้ำตาล) จนจี๊ดจ๊าดอย่างที่ชอบ มีวิธีทอดอีกแบบหนึ่งคือ ตัดขนมขนาด 2" x 2" ทอดไฟกลางๆ ใช้ตะหลิวกดจนแบนลงไปครึ่งหนึ่ง ต่อยไข่ลงไปบนแผ่นขนม กลับข้างหนึ่งครั้ง เขี่ยขนมไปข้างๆ กระทะใส่ถั่วงอกและกุยช่ายลงผัดไฟร้อนๆ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วหวาน น้ำปลา น้ำตาล ตักใส่จานรับประทานร้อนๆ น้ำจิ้มทำง่ายๆ โดยใช้ซีอิ๊วหวาน ซีอิ๊วเค็มผสมกับน้ำส้มพริกตำและน้ำตาล อย่าให้รสเค็มจัดจนเกินไปจะไม่อร่อย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 7 น้ำยาป่า ส่วนผสมมีดังนี้ ปลาดุกย่างตัวเล็กๆ (ตัวละ 10 บาท) 5 ตัว, กระชาย 12 ราก, พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด, พริกขี้หนูสด 15 เม็ด, กระเทียมกลีบใหญ่ 6 กลีบ, หัวหอมแดง (ขนาดเล็ก) 6 หัว, ผักชีลาว 1 ต้น,ใบมะกรูด 5 ใบ วิธีทำ ตวงน้ำ 11 ถ้วย ต้มกับพริก กระเทียม หอมแดง กระชาย และหัวปลาดุก ต้มน้ำให้เดือดพล่านจึงใส่น้ำปลาร้า 1/2 ถ้วยตวง จะใช้น้ำบูดูของทางใต้แทนก็ได้ ต้มไปเรื่อยๆ จนผักเปื่อย ตักผักทั้งหมดขึ้นมาพักไว้ให้หายร้อน ระหว่างนั้น แกะปลาดุกเอาก้างและหนังทิ้ง เอาเครื่องที่ต้มไว้ตำให้ละเอียด ใส่เนื้อปลาดุกย่างลงไป ตำจนเข้ากันดี ใส่ส่วนผสมลงในหม้อน้ำที่ต้มไว้ ละลายให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟจนเดือด เติมน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ผงชูรส 1 ช้อนชา ชิมดูอร่อยแล้วจึงโรยหน้าด้วยต้นหอมหั่นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ใบผักชีลาวเด็ดยาวๆ และใบมะกรูด พอผักสลดก็ปิดไฟได้ ข้อควรระวังของการกินขนมจีนสมัยนี้คือ เส้นขนมจีนใส่สารกันบูดขนาดที่ซื้อมาตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะ 3 วันก็ยังไม่บูด ถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้กับขนมจีน ควรจะมีเจ้าประจำที่เราแน่ใจว่าไม่ใส่สาร จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แกงเขียวหวานไก่ (อย่างง่าย) แกงเขียวหวานเป็นอาหารคู่บ้านคู่เมือง กินกันอยู่ทุกครัวเรือน อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง วันนี้ลองทำแกงอย่างง่ายๆ และรสชาติก็ไม่เป็นรองใคร ลงมือเลยนะคะ น้ำพริกแกงเขียวหวาน 2 ขีด, กะทิ 3 กล่อง+น้ำเปล่า หรือน้ำซุป 3 ถ้วย, ไก่ 1 ก.ก.หั่นชิ้นพอคำ, เลือดไก่ 1-2 ก้อน หั่นชิ้นสี่เหลี่ยม, พริกชี้ฟ้า 7-10 เม็ด หั่นแฉลบ, มะเขือพวง 1 ถ้วย เด็ดเป็นลูกๆ, ใบโหระพา 1 กำ เด็ดเป็นใบๆ, น้ำปลา น้ำตาลปีบ ซุปไก่คนอร์ และเหล้าจีน ก่อนลงมือทำขอสาธยายรายละเอียดปลีกย่อยหน่อยนะคะ น้ำพริกแกงเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้แกงอร่อย ถ้าจะทำแกงอย่างง่ายๆ ต้องซื้อน้ำพริกสำเร็จรูป วิธีทดสอบว่าน้ำพริกรสดี หรือว่าปร่ากันแน่ ให้ลองผัดกับน้ำมันหรือกะทิก็ได้ พอน้ำพริกสุกก็ชิมดู ถ้าอร่อยก็เริ่มขบวนการได้ แต่ถ้าปร่าอย่าใช้เด็ดขาด แกงจะเสียไปทั้งหม้อ ยิ่งมือใหม่อย่างเราแก้รสปร่าไม่ไหวหรอกค่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกมือโปร (แทรเตอร์) เขาเถอะ คราวนี้ทำจริงๆ ซะที เอาหม้อกลางๆ ขึ้นตั้งบนเตา เขย่ากล่องกะทิ 2 กล่อง แต่เทลงไปแค่กล่องครึ่ง ใส่น้ำพริกตามลงไปทั้ง 2 ขีด (แอบบอกไว้ตรงนี้ได้ไหมนะว่าน้ำพริกชื่อดังแถวบางลำพูก็ใช้ได้แต่เค็ม คอยระวังเวลาเติมน้ำปลา และเจ้ากลางตลาด อ.ต.ก. ก็ใช้ได้) ใช้ไฟกลางผัดไปผัดมาจนกะทิเริ่มแตกมัน ใส่ไก่ทั้งหมดลงผัด เติมน้ำตาลปีบเล็กน้อย น้ำปลา คนอร์ 1 ก้อน เหล้าจีน 2 ฝา ถ้ามีบรั่นดี X.O. ใส่ลงไปด้วยก็ได้ แพงดี ผัดไปผัดมาจนไก่สุกเข้าน้ำเข้าเนื้อ เติมน้ำ 3 ถ้วย หรือจะใช้น้ำล้างกล่องนมเติมลงไป โดยตวงให้ได้ 2 กล่อง กล่องละ 250 ม.ล. ก็จะได้ปริมาณน้ำใกล้เคียงกับ 3 ถ้วย คนให้เข้ากัน พอน้ำเดือดชิมรสอีกครั้ง เติมน้ำปลาปรุงรสให้จัดไว้หน่อย พอแกงเดือดพล่านใส่เลือดต้มจนสุก ใส่พริกชี้ฟ้าและมะเขือพวง รอจนแกงเดือดอีกครั้งจึงใส่ใบโหระพา และใส่กะทิอีก 1 1/2 กล่องที่เหลือ...แอ่น...แอน...แอ๊น...Here is the moment of truth. เมื่อเทกะทิลงไปในน้ำแกงที่กำลังเดือดจัด แกงจะสลดลง รอจนแกงเริ่มเดือดปุดแรกให้ปิดไฟทันที กะทิเป็นของที่ยิ่งต้มนานยิ่งไม่อร่อย ต้องรักษาสภาพกะทิที่เราใส่ครั้งสุดท้ายให้ดีอย่าให้แตกมัน โรงงานทำกะทิกล่องเค้ามีวิธีฆ่าเชื้อโดยไม่แตกมัน เวลานำมากะทิจึงยังมีรสชาติดีอยู่ กรุณาอย่าทำให้เสียของ เมื่อปิดไฟเสร็จสรรพอาจจะชิมรสดูเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้รสกลมกล่อมกำลังดี ถ้ายังไม่แน่ใจก็คดข้าวใส่ถ้วยเอาแกงราดลองชิมดูเลย อย่าเผลอเติมแล้วเติมอีกก็แล้วกัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สูตรทั้งหมดนี่คัดลอกมาจากมติชนค่ะ ไม่ได้คิดเองนะคะ อย่าเข้าใจ kaewwann ผิดนะคะ ลอกเขามาบอกอีกทีน่ะค่ะ หุ หุ ทำทานกันให้อร่อยนะคะ ขอจบรายการอาหารเท่านี้ก่อนนะคะ ไว้จะนำเมนูใหม่ๆ มานำเสนออีกค่ะ ขอบคุณค่ะ ที่ติดตามอ่านสูตรอาหาร(ที่ลอกเค้ามา)อีกทีค่ะ อิ อิ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 15:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แวะมาดูจ้า kaewwann   นี่มีอะไรดีๆมาฝากกันเสมอเลยนะ   ถึงจะลอกสูตรเค้ามาแต่็ก้ต้องมานั่งพิมพ์ตั้งย๊าว....ยาว มีน้ำใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่(เขียนยังงี้เปล่าจ๊ะ) มากเลย  เดี๋ยวพี่จะกลับขึ้นไปอ่านดูว่ามีสูตรไหนง่ายๆสำหรับพี่มั่ง แต่ท่าจะยากหมดทุกข้อเลย ฮี่ๆๆๆ ปล. วันนี้พี่กินตำถั่วไข่ต้มยางมะตูมหล่ะ สนมั๊ย ตำเองด้วยน๊า  กินกับข้าวสวยร้อนๆ ทั้งเผ็ดทั้งแซบ ก็ข้าวมันร้อนแล้วเจอเผ็ดๆอีก ฟู่ๆ แซบออกปาก ออกตู๊ดดด เลยจ้า อิอิ ไปละ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 18:23:50 จากคุณ : บัวชมพู๊ชมพู - [ 29 เม.ย. 47 18:21:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พี่บัว kaewwann ไม่ได้พิมพ์เองหรอกค่ะ Copy แล้วเอามาวางทั้งดุ้นเลยน่ะค่ะพี่บัว เอาแบบง่ายๆเหรอพี่บัว ด๊ายยยยย....จัดให้อะ  นี่ค่ะ ง่ายพอมั้ยคะพี่บัว ฮี่ๆ เมนูต่อไปแต่นแตนแต๊นนนนน+++ ไข่เจียวไช้โป๊ว ไช้โป๊วผัดไข่เป็นอาหารสามัญประจำทุกบ้านกันอยู่แล้ว แต่วันนี้เราจะลองพลิกแพลงทำเป็นไข่เจียวดูบ้าง ซึ่งสูตรไข่เจียวนี้เป็นเทคนิคเฉพาะตัวของอี๊หนับแม่ครัวเอกแห่งร้านข้าวแกงซอยต้นสน ซึ่งอนุญาตให้ลอกเลียนแบบได้ เครื่องปรุงน้อยอย่างไม่รุงรังดังนี้ ไข่เป็ด 2 ฟอง ไช้โป๊วหวาน สับเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 3/4 ถ้วย พริกชี้ฟ้าสีอะไรก็ได้ หั่นแฉลบๆ 3-4 เม็ด ใบโหระพาเล็กน้อย วิธีทำ ใช้กระทะทอดไข่ใบเก่งตั้งเตา ใส่น้ำมันแต่น้อย พอน้ำมันร้อนเอาหัวไช้โป๊วใส่ลงไปคั่วพอสุก ตอกไข่ใส่ชาม ตีพอไข่แดงและไข่ขาวผสมกันไม่ต้องให้ฟูนะคะ ตักไช้โป๊วใส่ชามไข่ ทิ้งน้ำมันที่เหลือไว้ในกระทะ เปิดไฟทิ้งไว้ด้วยนะคะ น้ำมันจะได้ร้อนจัด ใส่พริกและใบโหระพาคนให้เข้ากัน เทกลับลงในกระทะ เกลี่ยไช้โป๊วให้ทั่วแผ่นไข่ รอจนไข่สุกด้านหนึ่งจึงกลับด้าน ทอดให้ไข่สุกทั้งสองด้านจึงตักใส่จาน ไข่เจียวที่ทอดวันนี้จะไม่ฟู และใส่น้ำมันน้อยมาก ไม่มีการเติมเกลือเติมน้ำปลา เราอาศัยรสเค็มและหวานของไช้โป๊ว ดังนั้น จึงควรเลือกไช้โป๊วรสดีถูกปากตั้งแต่ต้น อาหารรายการนี้กินแนมกับแกงส้มหรือแกงอื่นๆ ที่มีรสออกเปรี้ยวได้ดีมาก แต่เราชอบกินแบบโปะลงบนข้าวร้อนๆ โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูดองน้ำส้มรสเปรี้ยวออกเผ็ดนิดๆ เข้ากันยังกะปี่กับขลุ่ย 55555 หวังว่าคงง่ายถูกใจพี่บัวนะคะ เดี๋ยวแถมเมนูต่อไปให้อีกนะคะ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 21:12:37 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตะโก้ลำไย สูตรที่ให้ไว้นี้แป้งจะไม่แข็งมาก เป็นตะโก้ลักษณะติดจะโบราณนะคะ ส่วนผสมตัวตะโก้ ลำไย (แกะเปลือกและผ่าครึ่งเอาเม็ดออก) 1 ก.ก. แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย แป้งซ่าหริ่ม 3/4 ถ้วย แป้งมัน 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย น้ำใบเตย 1 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ถ้วย ส่วนผสมหน้าตะโก้ แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วย แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ+1 ช้อนชา กะทิข้นปานกลาง 2 1/2 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา วิธีทำ วันสุกดิบก่อนทำขนมหนึ่งวันให้อบแป้งโดยตวงแป้งตัวขนมใส่รวมกันในภาชนะหนึ่ง และตวงแป้งหน้าขนมใส่อีกภาชนะหนึ่ง และเอาภาชนะที่ใส่แป้งทั้ง 2 ส่วนใส่ในหม้อ จุดเทียนอบ เป่าเทียนและรีบวางลงในหม้อเดียวกันและปิดฝาหม้ออย่างรวดเร็วก่อนที่ควันหอมจะจางไปหมด ถ้าใครอ่านแล้วไม่เข้าใจหรือไม่มีเทียนอบดีๆ ก็ข้ามตรงนี้ไปเลย ไม่ต้องอบต้องอับกันแล้ว ในวันจริงให้ทำน้ำเตยหอมก่อน ตัดเตยมาสัก 15 ใบ ล้างให้สะอาด หั่นฝอยๆ เอาใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำลงไปประมาณ 1 1/2 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด เสร็จแล้วกรองเอาแต่น้ำเขียวๆ ตวงน้ำเตยหอม 1 ถ้วยตวง นำน้ำเตยหอมมาค่อยๆ ผสมกับแป้งสำหรับทำตัวขนมทั้ง 3 ชนิด เติมน้ำเปล่าอีก 3 ถ้วย (ถ้าชอบกลิ่นมะลิให้อบด้วยดอกมะลิล่วงหน้า 1 คืน อย่าใส่กลิ่นมะลิสังเคราะห์ ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่เหมือนจริง ต้องคนที่ทำจมูกเทียมถึงจะดมแล้วว่าหอม) และน้ำตาล 1 1/2 ถ้วย ยกภาชนะขึ้นตั้งไฟกลาง กวนเกือบจะตลอดเวลา เมื่อแป้งจับตัวให้ลดไฟลง กวนตลอดเวลา พอแป้งเริ่มสุก ให้ใส่ลำไยทั้งหมดลงไปกวนสักครู่ เราไม่ต้องรอให้ลำไยสุกก็ตักใส่ถ้วยขนาดพอรับประทาน 1 คน จนหมดตัวขนม เราต้องรีบทำหน้าขนมทันที โดยรวมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ยกขึ้นตั้งไฟค่อนข้างอ่อน คนเสมอๆ จนแป้งสุก ห้ามตั้งไฟนานเกินไปอย่างเด็ดขาด เพราะกะทิจะแตกมันต้องเททิ้งสถานเดียว ถ้าเป็นมือใหม่ให้เตรียมเครื่องไว้ 2 ชุดเลยเผื่อหน้าเสีย (ทั้งหน้าขนมและหน้าคนทำ) จะได้มีสำรอง พอกวนสุกต้องรีบตักราดบนตัวตะโก้ ราดบางๆ พอให้คลุมตัวตะโก้มิด สัดส่วนที่ให้ไว้นี้รสจะกลมกล่อมพอดี ถ้าใครไม่เคยทำเลยให้ทำเป็นถาดสัก 2 ถาด จะได้ทำง่ายไม่เครียดเวลาหยดหน้าตะโก้ และบ้านใครมีกุหลาบมอญสีชมพูที่ไม่เคยฉีดยาฆ่าแมลง ให้เด็ดกลีบกุหลาบวางไปบนถ้วย ถ้วยละกลีบ ขนมจะสวยและหอมน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:40:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บลูเบอรี่ ชีส พาย ขนมรายการนี้จะเสนอวิธีทำที่ง่ายจริงๆ และ foolproof นะคะ มือใหม่ขนาดไหนก็ไม่น่าจะพลาด รสชาติก็รับรองว่าเสนอได้ข้ามสามจังหวัดไม่อายใคร ส่วนผสม บลูเบอรี่ 1 กระป๋อง, ขนมปังแคร็กเกอร์ ฮับเส็ง 42 แผ่น, เนยเค็ม 1 ก้อน + 1 ช้อนโต๊ะ, ครีมชีส ฟิลาเดลเฟีย 1 ก้อน, มะนาว 2 - 3 ลูก, นมข้น 1/3 กระป๋อง, น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ ถาดกลมขนาด 8" 2 ถาด วิธีทำ ตําขนมปังด้วยครกดินสะอาดๆ (อย่าให้มีกลิ่น รสของอาหารอื่นๆ ติดอยู่) ตำให้ละเอียดพอสมควร วิธีตำคือค่อยๆ ตำครั้งละ 2 - 3 แผ่น และตักออกพักไว้ในชาม เมื่อตำขนมปังเสร็จ ใส่เนย 1 ก้อน (ควรจะปล่อยให้นุ่มด้วยอุณหภูมิห้องหรือใส่ไมโครเวฟแค่พอให้นุ่ม) คลุกขนมปังป่นกับเนยให้เข้ากัน เอาใส่ชามแก้ว และอบในเตาไมโครเวฟประมาณ 2 - 3 นาที เอาออกมาคนให้ทั่วอบต่ออีก 2-3 นาที จนส่วนผสมมีกลิ่นหอมและเป็นสีน้ำตาลทอง เตรียมถาดขนาด 8 นิ้ว 2 ถาด แบ่งส่วนผสมซึ่งยังร้อนจัดเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน เกลี่ยให้ทั่วทั้ง 2 ถาด และให้เลยขึ้นมาที่ขอบด้วย ใช้ทัพพีอัดส่วนขนมให้แน่นปาดให้บางเสมอกัน ทิ้งให้เย็นและใส่ตู้เย็นพักไว้ แกะกล่องครีมชีส ใช้มีดตัดเป็นก้อนเล็กๆ ใส่เนย 1 ช้อนโต๊ะ หรือถ้าชอบเนย จะเติมเป็น 2 ช้อนโต๊ะก็ได้ ตีให้ส่วนผสมขึ้นด้วยเครื่องตีไข่ ถ้าไม่มีใช้ขดลวดที่เรียกว่า whisk ตี หรือถ้าไม่มีอะไรสักอย่างก็ใช้ส้อมตีได้ เติมนมข้น น้ำตาล และน้ำมะนาว ถ้ามะนาวลูกใหญ่น้ำแยะก็ใส่ 2 ลูก ถ้าน้ำน้อยก็ 3 ลูก ชิมรสให้หวานเปรี้ยวถูกใจ คนจนเข้ากันเป็นครีมสีขาว เทส่วนผสมนี้ลงในถาดทั้งสองจะได้ปริมาณที่พอดี คราวนี้เปิดกระป๋องบลูเบอรี่ และแบ่งราดหน้าขนม 2 ถาดเท่าๆ กัน เสร็จแล้วใส่ตู้เย็น รอจนเย็นจับตัวกันดีก็กินได้ ตัดเป็นชิ้นเท่าๆ กันสัก 6 ชิ้น กินเปล่าๆ หรือกินกับไอศกรีมก็อร่อยเริ่ด อย่าเผลอเอาช้อนตักกินจากถาดนะคะ มีคนเคยหักห้ามใจไม่ไหวกินม้วนเดียวหมดถาดมาแล้ว จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หมูเค็ม หมูเค็มที่เราจะทำกันวันนี้เป็นลักษณะของหมูเชียงใหม่ กินกับข้าวเหนียวและน้ำพริกหนุ่ม อร่อยอย่าบอกใคร เครื่องปรุง หมูสามชั้นเลือกที่เนื้อแดงแยะๆ 1 ก.ก., เกลือ 1 1/2+1/2 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ผงชูรส 1 ช้อนชา, พริกไทยตำละเอียด 50 เม็ด, กระเทียมกลีบโตๆ ตำกับพริกไทย 15 กลีบ, แป้งข้าวเจ้าพอสมควร วิธีทำ ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ กะๆ เอาก็ได้ค่ะ และใส่หมู่ลงไปต้มพอสุก ตักขึ้นมาผึ่งให้เย็น ผสมเกลือที่เหลือ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ กับเครื่องอื่นๆ รวมทั้งกระเทียมและพริกไทยคลุกๆ ให้ทั่วชิ้นหมู เอามีดบั้งหนังหมูเป็นตารางสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด โดยบั้งเฉียงๆ ด้านหนึ่งก่อน ทำไปจนทั่วชิ้นหมู พยายามบั้งให้ถี่ๆ นะคะ เช่น ให้ห่างกันประมาณ 1/4 ซ.ม. ไล่ไปเรื่อยๆ และเริ่มบั้งใหม่ให้เฉียงๆ ตัดกับเส้นเดิม การบั้งแบบนี้จะทำให้หนังหมูกรอบเวลาทอด ง่ายกว่าการเอาส้อมจิ้มๆ มากค่ะ พอทำเสร็จให้ผสมเกลือ ถ้าอยากรู้ว่ารสดีชั่วอย่างไร ก็ตัดชิมได้เลยเพราะหมูสุกอยู่แล้ว แล่หมูเป็นแผ่นๆ ประมาณ 1/2 นิ้ว ขยำๆ อีกครั้งเพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนการทอด เอาแป้งข้าวเจ้าโรยไปบนเนื้อหมูและคลุกให้ติดเนื้อหมูบางๆ เสร็จแล้วเอาน้ำมันใส่กระทะแยะๆ รอจนน้ำมันร้อนจัด ใส่หมูลงทอดไฟกลางๆ ค่อนข้างอ่อน ทอดจนสุกเหลือง หมูจะกรอบนอกและนุ่มใน ถ้าจะกินให้อร่อยต้องกินร้อนๆ กับข้าวเหนียว และน้ำพริกหนุ่มหรือน้ำพริกตาแดง แต่ถ้าใครชอบจิ้มน้ำจิ้มอาจจะลองทำน้ำจิ้มง่ายๆ ดังต่อไปนี้ ก็เสริมความอร่อยไปอีกแบบ น้ำจิ้มหมูกรอบ เอาน้ำพริกเผาผสมกับน้ำพริกศรีราชาและน้ำมะนาวสามอย่างนี้ผสมกันในถ้วย ชิมรสดูให้ถูกใจ ถ้าอ่อนเค็ม คุณอาจจะเติมแม็กกี้นิดหน่อย แค่นี้ก็จะได้น้ำจิ้มรสแปลกและทำง่ายๆ จากข้าวของที่มีในบ้านอยู่แล้ว ลองทำดูนะคะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผัดหมี่ซั่ว หมี่ซั่วนิยมผัดไหว้เจ้าและในงานมงคลอื่นๆ โดยห้ามเด็ดหรือตัดเส้น เพราะเส้นยาวๆ หมายถึงอายุยืนยาวหรือความรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน หมี่ซั่วจะอร่อยได้สำคัญที่เส้นก่อนอื่น เส้นต้องนุ่มและเหนียว ที่ตลาดสามย่านหรือแถวเยาวราชมีเส้นชนิดแห้งขายเป็นห่อ ตราสีแดงๆ เป็นรูปนกเกาะกิ่งไม้ เขียนว่า Long Life Noodle เส้นชนิดนี้อร่อยมากค่ะ ลองไปหาซื้อมาทำดู แต่ถ้าไม่มีเอาเส้นหมี่ซั่วอื่นๆ ก็ได้ เครื่องปรุงมีดังนี้นะคะ หมี่ ครึ่งถุง, กะหล่ำปลี 1 หัวขนาดกลาง หั่นเป็นเส้นๆ, ปลาหมึกแห้งอย่างดีครึ่งตัว เอากรรไกรตัดเป็นเส้นๆ แช่น้ำ (คงต้องซื้อทั้งตัวนะคะ ถ้าไปขอซื้อแค่ครึ่งตัวก็คงได้รู้ความหมายของคำว่าปากตลาด), กุ้งแห้ง 1 ขีด แช่น้ำให้นุ่ม, ไก่หั่นเป็นชิ้นผอมๆ 2 ขีด หมักกับซีอิ๊วขาวและน้ำมันหอย, เห็ดหอมอย่างดี 1/2 ขีด แช่น้ำหั่นเป็นเส้นๆ, ซีอิ๊วขาว เกลือ กระเทียม พริกไทย น้ำมันหอย วิธีทำ 1. ต้มเส้นโดยตั้งน้ำให้เดือด เติมน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เส้นลงต้มคอยตรวจสอบดูให้สุกพอดี อย่าให้แฉะ พอเส้นสุกเทใส่กระชอนล้างน้ำเย็นจัดๆ ให้เส้นหยุดการสุก รอจนสะเด็ดน้ำ เอาเกลือใส่มือสัก 1 ช้อนชา ถูมือไปมาให้เกลือจับทั่วๆ และสงหมี่ไปเรื่อยๆ ลองชิมดูให้เส้นหมี่เค็มปะแล่มๆ ถ้ายังจืดไปให้เติมเกลือและทำซ้ำอีกครั้ง 2. วิธีผัดเส้น ตั้งกระทะเหล็ก (ต้องเป็นกระทะที่ดีผัดแล้วเส้นไม่ติด แต่ไม่ใช่เทฟลอน) ใส่น้ำมันน้อยๆ ทาให้ทั่วกระทะรอจนควันขึ้นร้อนจัดจึงใส่เส้นลงไป เส้นจะไหม้ส่งกลิ่นหอมทันที ผัดเส้นกลับไปกลับมาจนหอมทั่วทั้งกระทะ ตักใส่อ่างพักไว้ 3. ด้วยกระทะเดิม ใส่น้ำมันลงไปพอสมควร รอจนน้ำมันร้อนปานกลาง ใส่เห็ดหอมลงผัดจนส่งกลิ่นหอม เติมกระเทียมลงผัดจนเริ่มเหลืองอย่าให้ไหม้ เติมซีอิ๊วขาวลงไปเล็กน้อย ซีอิ๊วจะไหม้ซึ่งจะช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม เติมไก่หมักลงไปผัดจนเกือบสุก เติมกุ้งแห้งและปลาหมึกแห้ง ระยะนี้เร่งไฟให้แรงขึ้น เติมผักลงไปเท่าที่ต้องการ ผัดไฟแรงๆ เติมเกลือ ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทรายสักหยิบมือโรยไปทั่วๆ รสควรจะกลมกล่อมเค็มนำ หวานนิดๆ เติมพริกไทยแยะๆ ตักราดลงบนเส้นหมี่ ถ้าชอบอาหารรสจืดกินแบบนี้ได้เลย ส่วนพวกที่เกสรลิ้นถูกทำลายไปเสียแล้ว ให้เติมพริกป่น น้ำส้ม พริกตำ และอื่นๆ จนรสเดิมวินาศ น่าจะเรียกชื่อใหม่ว่าหมี่ซี้ซั้ว แต่อันที่จริงก็อร่อยไปอีกแบบ ของอย่างนี้ทางใครทางมัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ซาลซ่า Salsa ซาลซ่าเป็นเครื่องเคียงเม็กซิกันที่ฮิตที่สุดก็ว่าได้ มีวิธีทำมากมาย รสชาติก็แตกต่างกันไปในแต่ละสูตร เวลาเอามาทำที่เมืองไทยจะปรุงแต่งรสยากมาก เพราะมะเขือเทศของเราคุณภาพสู้ของเขาไม่ได้ วันนี้จะเสนอสูตรหนึ่งซึ่งปรับแต่งจนรสชาติใช้ได้ เยาวชนช่างติประจำบ้านให้การรับรอง ส่วนผสมมีดังนี้นะคะ เครื่องปรุง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ หอมใหญ่ 1 1/2 ถ้วย พริกหวาน (Bell pepper) หั่นสี่เหลี่ยม 1 ถ้วย พริกขี้หนูแดง 2 เม็ด กระเทียม 4 กลีบ มะเขือเทศปอกเปลือกหั่นสี่เหลี่ยม 7 ถ้วย น้ำส้มบัลซามิก (Balsamic) 2 ช้อนโต๊ะ ผักชีหั่นหยาบๆ 1/4 ถ้วย มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato Paste) 1/2 ถ้วย มะนาว 1-2 ลูก เกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ก่อนอื่นอาจจะต้องแนะนำวิธีปอกมะเขือเทศนะคะ ต้มน้ำในหม้อขนาดพอสมควร ลวกมะเขือเทศในน้ำเดือดจัดๆ สัก 30 วินาที ช้อนขึ้นแช่ในน้ำเย็นจัดเพื่อให้หายร้อน ใช้มีดเจาะแกนและปอกเปลือกมะเขือเทศ เสร็จแล้วผ่าครึ่งเอาเมล็ดออกทิ้ง แต่เก็บเนื้อและน้ำไว้ใช้นะคะ หั่นเนื้อมะเขือเทศเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมตวงให้ได้ 7 ถ้วย พักไว้ก่อน เอาน้ำมันมะกอกใส่หม้อ ใส่กระเทียมตำลงไปผัดกับน้ำมันพอสุก อย่าให้ถึงกับเป็นสีเหลืองนะคะ ผีฝรั่งกลัวกระเทียมเจียวกรอบๆ มากค่ะ เติมหอมใหญ่ลงผัดจนสุกใส เติมพริกหวานหั่นสี่เหลี่ยมลงผัด ใส่พริกขี้หนูแดงตำละเอียดลงผัดด้วย ระหว่างที่ผัดถ้าของในกระทะทำท่าจะไหม้ให้เติมน้ำมะเขือเทศ รวมเนื้อด้วยบ้างก็ได้ลงไปช่วยบรรเทาอาการ พอทุกอย่างสุกดีให้แบ่งของที่ผัดสักครึ่งหนึ่ง หรือ 2/3 ใส่เครื่องปั่น Blender ปั่นหยาบๆ นะคะ เทกลับไปในหม้อใหม่ ใส่มะเขือเทศที่หั่นเตรียมไว้ลงผัดรวมกัน ใส่ Tomato Paste, น้ำส้มบัลซามิก เกลือ และน้ำตาล ชิมรสให้ถูกใจ ถ้ายังไม่เปรี้ยวพอให้เติมมะนาว จะทำให้หอมและรสจัดขึ้น เคี่ยวจนซอสข้นกำลังดีจึงเติมผักชี คนให้ผักชีสุกเป็นอันใช้ได้ สัดส่วนที่ให้ไว้นี้ตักใส่ขวดได้ 3 หรือ 4 ขวด ใส่ตู้เย็นไว้กินนานๆ ถ้าซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชนิดของนอกรสชาติดี ตกขวดละ 197 บาทนะคะ ทำกินเองราคานี้ได้ถึง 5-6 ขวด เยาวชนที่บ้านชอบกินกับแผ่นข้าวโพดทอด (tortilla chips) ยิ่งถ้ามี cheese dip กินด้วยจะยิ่งอ้วนอร่อยไร้เทียมทาน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แพนเค้ก มันฝรั่ง วิธีทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ขอเสนอ Potato Pancake นะคะ อุปกรณ์ประกอบฉากมีดังนี้ มันฝรั่ง 4 หัว (ขนาดกลาง) น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันพืช และเนยเล็กน้อย เนยแข็ง เช่น มอสซาเรลล่า หรือสวิส ขูดละเอียด 1/2 ถ้วย ตับบด 1/2 ถ้วย เกลือป่นและพริกไทยเล็กน้อย จัดฉากเสร็จก็ถึงเวลาแสดง เริ่มต้นจากต้มฝรั่งสุกๆ ดิบๆ (เหมือนคนบางคน) ปอกเปลือกและขูดเป็นเส้นฝอย คลุกกับเกลือและพริกไทย (โรยเกลือนิดเดียวพอเค็มปะแล่มๆ ส่วนพริกไทยใส่ตามชอบ) แบ่งมันฝรั่งเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน คลุก 2 ส่วนกับตับบด อีก 2 ส่วนอย่าไปยุ่งกับมันนะจ๊ะ ตั้งกระทะเทฟลอนเอาอย่างที่สารเคลือบยังติดดีอยู่ ไม่ใช่ประเภทที่ใช้จนถลอกปอกเปิกแล้วก็ยังจะตะบันใช้อยู่อีก ไล้ด้วยน้ำมันเล็กน้อย และเนิยนิดหน่อยเพื่อความหอม พอกระทะอุ่นๆ โรยมันฝรั่งส่วนที่หนึ่ง ซึ่งไม่ได้ผสมตับบด เกลี่ยให้เป็นแผ่นกลม เล็กกว่ากระทะประมาณ 1 ซ.ม. โดยรอบ โรยเนยแข็งบางๆ จนทั่ว โรยมันส่วนที่สองที่ผสมตับบด โรยเนยแข็ง สลับกับมันที่ผสมตับบด ปิดท้ายด้วยมันฝรั่งส่วนที่ไม่ผสมตับบด ปิดฝากระทะให้สนิท ตั้งบนไฟกลางๆ ค่อนข้างอ่อน ส่ายกระทะเบาๆ เป็นครั้งคราว เพื่อกันมันติดกระทะ ระวังอย่าส่ายรุนแรง เดี๋ยวมันจะไม่เป็นแผ่นกลมสวย เมื่อได้กลิ่นหอมระรวย แปลว่ามันสุกด้านหนึ่งแล้ว เทใส่จานใบใหญ่ๆ โดยการคว่ำกระทะ และสไลด์อีกด้านหนึ่งลงในกระทิ ทำซ้ำแบบเดิม จนเป็นสีเหลืองทองกรอบนอกนุ่มในทั้งสองด้าน เทใส่จานรับประทานร้อนๆ เป็นจานหลักหรือเป็นเครื่องเคียงก็ได้ รับประทานกับซอสมะเขือเทศหรือกับแฟนก็ได้ ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว หาให้ได้ก็แล้วกัน (อย่างแรกน่าจะหาง่ายกว่านะคะ) จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:47:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สปาเกตตีปลาสลิดทอด วันนี้ลองทำอาหารง่ายๆ กันดีกว่านะคะ ผัดสปาเกตตีกับปลาสลิดทอด เริ่มต้นด้วยการซื้อเส้นสปาเกตตี 1 ห่อ ต้มเส้นตามเวลาที่บอกไว้ข้างห่อ ต้มแต่พอสุกแบบที่เรียกว่า Al dente อย่าต้มจนแฉะ เส้นสปาเกตตีแฉะๆ นี้รับไม่ลงจริงๆ ถ้าต้องการหยุดการสุกให้ล้างด้วยน้ำเย็นและพักไว้ เครื่องปรุงอื่นๆ ประกอบด้วย 1.ปลาสลิดทอดกรอบสำเร็จรูป 1 กล่อง นำมาบิเป็นชิ้นเล็กๆ 2.พริกขี้หนูแห้งสัก 15 เม็ด และพริกป่นเล็กน้อย 3.กระเทียมกลีบใหญ่ๆ ปอกเปลือกหั่นขวางๆ กลีบ ประมาณ 1 1/2 ขีด 4.เครื่องปรุงรสแอโรมาต 5.พริกไทยอ่อนเด็ดเป็นเม็ดๆ 6.ใบโหระพา 7.พริกไทยดำ 8.น้ำพริกศรีราชา และ/หรือ ทาบาสโก้ เริ่มปรุงเลยนะคะ ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกลงไปพอสมควร เติมเนยลงไปประมาณ 1/4 ก้อน พอเนยละลาย ใส่พริกขี้หนูแห้งลงไปทอด จนพริกพองหอม ตักพริกขึ้นพักไว้ ใส่กระเทียมตามลงไปทันที ผัดพอกระเทียมสุก อย่าให้ถึงกับเหลืองนะจ๊ะ ใส่พริกป่นผัดจนหอม ใส่พริกไทยอ่อนแกะเป็นเม็ดๆ เติมผงแอโรมาต (เป็น Seasoning Salt อย่างหนึ่ง ปรุงรสกับข้าวได้ อร่อยหลายอย่าง) เติมซุปไก่คนอร์สักก้อน ถ้ามีไวน์ขาวใส่ลงไปจะอร่อยขึ้นมาก ถ้าไม่มีใส่เหล้าอะไรก็ได้ บรั่นดี X.O. ก็ไม่รังเกียจ แต่ถ้าเกิดเรื่องบาดหมางในครอบครัวก็อย่ามาโทษกัน ได้เวลาเทเส้นทั้งหมดลงไป ตามด้วยพริกทอดและปลาสลิดทอดกรอบ (ห้ามใส่ปลาก่อนเส้น เพราะปลาจะไปดูดความเค็มในกระทะ) ใส่ปลาสลิดมากน้อยตามชอบนะคะ โปรยด้วยใบโหระพาหั่นละเอียด และพริกไทยดำ (ทั้งสองอย่างนี้อย่าหั่นหรือตำทิ้งไว้นาน เพราะจะคลายกลิ่นหอม) ปรุงรสอีกครั้งด้วยน้ำพริกศรีราชา หรือทาบาสโก้ หรือทั้งสองอย่าง อย่าใส่แยะนะคะ แอบๆ ใส่ให้อร่อยโดยที่คนกินจับไม่ได้ เติมน้ำตาลทรายแดงเพื่อความกลมกล่อม ถ้ามีซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือจีนที่ดีๆ ปรุงรสลงไปด้วยก็ได้ อร่อยดีเหมือนกัน แต่อย่าใส่มากจนเกินเลย อาหารจานนี้ควรจะเค็มด้วยรสเกลือแอโรมาต เป็นเมนูที่น่าทำรับประทานกันนะคะ เพราะเครื่องปรุงเป็นของแห้ง เก็บไว้ในบ้าน พอหิวก็ลุกขึ้นมาทำได้ทันที จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เครื่องแกงเขียวหวาน วันนี้จะเขียนเฉพาะเรื่องการทำเครื่องแกงเขียวหวานโดยละเรื่องวิธีการแกงไว้นะคะ เพราะได้เขียนไว้แล้วในเรื่อง "แกงเขียวหวานอย่างง่าย" สาเหตุที่ลุกขึ้นเขียนเพราะไปอ่านพบส่วนผสมเครื่องแกงนอกแบบที่เคยทำๆ อยู่ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลองทำ และพบว่าใช้ได้ดีทีเดียว ตำรับแรกเป็นของ อาจารย์สุวัฒนา เลียบวัน อาจารย์ให้ส่วนผสมไว้ดังนี้นะคะ พริกขี้หนูสด 50 เม็ด, ตะไคร้ (ซอย) 3 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม (หั่น) 5 ช้อนโต๊ะ, หัวหอม (หั่น) 2 ช้อนชา, ผิวมะกรูด (หั่น) 1 ช้อนชา, รากผักชี (ซอย) 1 ช้อนโต๊ะ, ข่าหั่นบาง 3-4 แว่น, พริกไทย (ตำละเอียด) 1 ช้อนชา, เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ, ลูกผักชีคั่ว (ตำละเอียด) 2 ช้อนชา, ยี่หร่าคั่ว (ตำละเอียด) 1 ช้อนชา, กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ, ใบโหระพาหรือใบพริกหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง เวลาอ่านส่วนผสมของเครื่องแกง ถ้าสูตรใดใส่หอมแดงเท่ากระเทียมจะไม่ทำตามเลย เพราะการใส่หอมแดงมากๆ ทำให้แกงปร่า ผิวมะกรูดก็เช่นกัน ถ้าใส่มากจะปร่าทันที ส่วนยี่หร่าถ้าใส่เกินสมควรจะถึงขั้นกินไม่ได้ ส่วนที่ทำให้สนใจสูตรนี้คือการเติมใบโหระพาเพื่อเพิ่มความเขียว ตามปรกติเราจะตำใบพริกเพื่อเพิ่มสี ไม่เคยตำใบโหระพามาก่อน ที่ลองทำวันนี้ไม่ได้ตำนะคะเสียเวลาเกินไป ใช้วิธีปั่นด้วย Blender จนละเอียดยิบและลองแกงดู เรียบร้อยอร่อยมากค่ะ ส่วนอีกสูตรหนึ่งเป็นสาขาชีวจิต ที่ให้ไว้ในตำราคือ แกงเขียวหวานน้ำเต้าหู้กับปลากราย แต่ที่ได้ลองทำดูเป็นแกงเขียวหวานกะทิกับปลาทูน่าและเห็ดนางรมดอกเล็กๆ โดยใช้สูตรเครื่องแกงที่ให้ไว้ในหนังสือชีวจิตที่ว่า เครื่องแกงประกอบด้วย ตะไคร้หั่น 3 ช้อนโต๊ะ, ข่า 4 แว่น, ผิวมะกรูดหั่น 2 ช้อนชา, พริกชี้ฟ้าเขียว 6 เม็ด, กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ, รากผักชีหั่น 1 ช้อนชา, กระเทียม 7 กลีบ, หัวหอม 4 หัว เวลาทำจริงใส่หอมหัวเล็กๆ และกระเทียมกลีบใหญ่ๆ เพื่อให้ปริมาณกระเทียมมากกว่าหอม ใส่ Blender ปั่นเช่นเคย เป็นเครื่องแกงรสอ่อนๆ ตามกติกาของชาวชีวจิต แต่เนื่องจากเป็นคนไม่ชอบกินน้ำเต้าหู้ก็เลยแหกตำรา ใช้กะทิใสๆ แกงแทน และไหนๆ ก็ผิดกติกาไปซะแล้ว เลยเติมบรั่นดีลงไปอีก อร่อยขึ้นมากเลย ไม่เป็นชีวจิตซะแล้ว คนเรานี่ You are what you eat. จริงจริ๊ง จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไก่ทอดขมิ้น พอมีคำว่าขมิ้นก็คงเดากันได้ว่าเป็นอาหารปักษ์ใต้ เดาไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเราชอบไปเที่ยวกระบี่ที่มีอาหารอร่อยหลายอย่าง และมีอย่างหนึ่งที่เราชอบกันมากคือ ไก่ทอด ที่ขายควบกันกับขนมจีน ไก่ทอดเจ้านี้อร่อยมาก กรอบ และเค็มกำลังดี แต่สูตรไก่ทอดที่กำลังจะเขียนต่อไปนี้ ครูพักลักจำมาจากตลาดที่กระบี่ และมีเพื่อนชาวใต้มาให้ 'เคล็ดลับ' เพิ่มเติม เครื่องปรุงแยกเป็นสองส่วนดังนี้นะคะ ส่วนแรก ปีกไก่ เลือกเฉพาะปีกกลางหรือต้นปีก 1 ก.ก. เกลือ 1 ช้อนชา แม็กกี้ (ฝาแดง) 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ (พร่องๆ) อาโรมาต 1 ช้อนชา (พูนๆ) พริกไทย 40 เม็ด ขมิ้น 1 1/2 ถ้วย รากผักชี 4-5 ราก ตําพริกไทยให้ละเอียด ใส่รากผักชีที่หั่นแล้วลงไปตำ ตำจนละเอียดเช่นกัน ใส่ขมิ้นลงไปตำจนละเอียด ควักขึ้นจากครกใส่ลงไปในอ่างไก่ เริ่มขยำให้เข้ากัน ตำกระเทียมหยาบๆ ใส่ลงไปในอ่างไก่ ใส่เครื่องปรุงที่เหลือทั้งหมด สูตรที่ให้ไว้นี้ค่อนข้างเค็ม ถ้าเป็นคนกินรสอ่อน ให้ลดซีอิ๋วหรือน้ำปลาลงสัก 1 ช้อนโต๊ะ ขยำทุกอย่างให้เข้ากัน ถ้าไม่รังเกียจผงชูรสก็ใส่ลงไปเล็กน้อย เติมน้ำตาลสัก 2 ช้อนชาก็ได้เพื่อความกลมกล่อม หมักทั้งหมดนี้ไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือใส่ตู้เย็นหมักข้ามคืนหรือข้าม 2 คืนก็ได้ค่ะ ส่วนที่ 2 แป้งชุบไก่ทอด มีส่วนผสมดังนี้ แป้งข้าวเจ้าผง 1 1/2 ถ้วย น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ พริกแกงแดง 2 ช้อนชา พริกไทยป่น ผสมแป้งกับทุกอย่างให้เข้ากัน แป้งที่ได้จะค่อนข้างใส ถ้าแป้งข้นมากจะจับไก่หนาเป็นปึกกินไม่ค่อยอร่อย เราจะทำไก่ทอดที่มีแป้งจับบางๆ พอให้กรอบนุ่มในน่ากิน เวลาทอดจะเอาไก่ชุบลงในแป้ง หรือเทแป้งลงในอ่างไก่แต่พอท่วมก็ได้ ทอดในกระทะที่ใส่น้ำมันแยะ ตั้งไว้จนร้อนไก่จะได้ไม่อมน้ำมัน ไก่ทอดที่อร่อยต้องกรอบนอกฉ่ำใน ไก่จานนี้อร่อยรส และมี After taste หอมอวลติดลิ้น ชวนให้กินคำต่อไป จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แฮมเบอร์เกอร์ สโตกานอฟ พวกเราคงจะคุ้นเคยกับบีฟสโตกานอฟ อาหารยุโรปตะวันออกที่แพร่หลายไปทั่วโลก แต่วันนี้เราจะทำแฮมเบอร์เกอร์สโตกานอฟ ซึ่งทั้งรสชาติและหน้าตาแตกต่างกับบีฟสโตกานอฟโดยสิ้นเชิง เป็นเมนูที่เด็กเล็กจนถึงวัยรุ่นชอบมากค่ะ และทำง่ายมากด้วย เครื่องปรุงมีดังนี้นะคะ เนื้อบด 1/2 ก.ก. หอมใหญ่สับๆ ละเอียด 2 ถ้วยตวง ซุปเห็ดแคมเบล 1 กระป๋อง Sour Cream 1 ถ้วย Cheese ขูด 1/2 ถ้วย น้ำ 1/2 ถ้วย เนย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำพริกศรีราชา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ พริกไทย และนมสด ตามชอบ เครื่องปรุงต่อไปนี้ถ้าเติมลงไปจะอร่อยขึ้น แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรนะคะ อย่างแรกคือผงอาโรมาต เป็น Seasoning Salt ที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาก เครื่องเทศเลือกที่ชอบกลิ่น เช่น Parsley หรือ Thyme ซึ่งปัจจุบันนี้มีชนิดสดๆ มาขาย เราเอามาสับละเอียดๆ เริ่มปรุงเลยนะคะ เอาเนื้อบดหมักกับพริกไทยและเกลืออาโรมาต ปล่อยทิ้งไว้ เอาเนย 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันใส่กระทะอย่าให้มากนัก รอจนเนยละลายใส่หอมใหญ่ลงผัดจนสุกใส ถ้าใครชอบกลิ่นกระเทียมอาจจะสับใส่ลงไปก่อนสัก 2-3 กลีบก็ได้ เอาเนื้อใส่ลงไปผัดจนสุกครึ่งทาง ใส่ซุปเห็ดแคมเบลลงไปทั้งกระป๋อง เปิดกระป๋องแล้วเทลงไปเลย ใส่ Sour Cream ลงไปทั้งหมด ถ้าไม่มีใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทนได้ ยีๆ ให้ทั่วทั้งกระทะอย่าให้ซุปเป็นก้อน ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย ถ้ายังข้นไปให้เติมนมสด และเติมน้ำพริกศรีราชา ผัดไปผัดมาพอเนื้อเริ่มสุกก็ชิมรสดู ซุปเห็ดจะเป็นตัวเค็ม และ Sour Cream จะช่วยให้เปรี้ยวถ้ารสยังไม่กลมกล่อมให้เติมมะนาว 1/4 ลูก เติม Cheese ทั้งหมดลงไป ถ้าชอบรสครีมจะเพิ่ม Cheese ก็ได้ Cheese ในที่นี้จะใช้อะไรก็ได้ที่มีอยู่หรือหาซื้อได้ง่ายๆ เน้นที่ราคาปานกลางจนถึงแพง Cheese ราคาถูกยืนยันได้ว่าอร่อยยาก แถมยังไม่สมฐานะ...เอ ฐานะใคร ถึงตรงนี้ให้เติมเครื่องเทศที่เตรียมไว้ ผัดให้สุกหอม ชิมรสครั้งสุดท้าย อาจจะเติมน้ำตาลสักนิด หรือ Maggi สักหน่อย ปรุงรสให้ถูกใจ เสร็จแล้วตักราดบนเส้นสปาเก็ตตี หรือเฟตูชินี กินร้อนๆ ก็จะได้อาหารที่ปรุงง่าย และมีรสชาติที่แตกต่างอีกจานหนึ่ง จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไก่ย่างเนย วันก่อนนั่งดูทีวี มีฝรั่งมาทำไก่อบเนยน่ารับประทาน ลองลุกขึ้นมาทำบ้าง โดยปรับสูตรให้เป็นไทย ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากสมาชิกในบ้านมาก จำต้องเอาสูตรมาเผยแพร่ให้บ้านอื่นทำดูบ้าง เครื่องปรุงมีดังนี้นะคะ น่องไก่ติดสะโพก 6 ชิ้น (ประมาณ 1 1/2 ก.ก.) รากผักชีรากใหญ่ 5 ราก พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผงอาโรมาต 2 ช้อนชา กระเทียม 1/2 ถ้วย เนย 1/3 ก้อน แม็กกี้ฝาแดง 1 ช้อนโต๊ะ ผงชูรสเล็กน้อย และเหล้าจีน 1 ฝา ล้างน่องไก่ให้สะอาด ผึ่งให้หายแฉะ เอานิ้วดุนให้หนังหลุดจากเนื้อ จนเหลือเฉพาะข้อขาเท่านั้น ผสมเครื่อง โดยการตำพริกไทยให้ละเอียด ใส่รากผักชีลงโขลก ใส่กระเทียมลงไปร่วมโขลกให้ละเอียด ผสมกับเครื่องที่เหลือ ยกเว้นเหล้าจีน เอาเครื่องที่ผสมไว้ยัดลงในน่องไก่ให้แผ่ไปทั่วๆ เอาหนังขึ้นมาคลุมไว้ เสร็จแล้วเย็บด้วยเข็มและด้ายเย็บผ้า เย็บห่างๆ พอให้หนังหุ้มเนื้อสนิท ทำอย่างนี้ไปจนครบ 6 น่อง เอาเครื่องที่เหลือเล็กน้อยผสมเหล้าจีนทาไปรอบๆ น่องไก่ หมักทิ้งไว้หลายๆ ชั่วโมง จุดเตาขนมครกใช้ถ่านก้อนเล็กๆ แต่ก่อนวางตะแกรงย่างควรหาอิฐมาเสริมริมเตาสัก 2 ก้อนเพื่อให้ตะแกรงสูงจากถ่านมากๆ ระหว่างที่ย่าง เนยจะหยดลงบนถ่ายทำให้ไฟลุก ต้องคอยตักขี้เถ้ากลบอยู่ตลอดเวลา ย่างไฟอ่อนๆ ไปจนไก่สุกเป็นสีเหลืองทองก็ใช้ได้ แต่ถ้าจะให้ดีย่างไปเรื่อยๆ พอไก่ใกล้สุกให้ย้ายไก่มาอบด้วยฝาอบเทอร์โบ ฝาอบชนิดนี้จะเป่าลมร้อนใส่ไก่จนหนังกรอบอร่อยกว่าไก่ที่ย่างอย่างเดียว ไก่ย่างเนย หรือไก่อบเนยนี้รับประทานกับสลัดอร่อยมากค่ะ แต่ที่บ้านชอบรับประทานกับมันฝรั่งทอดทั้งเปลือกจนกรอบและโรยเกลือเค็มปะแล่มๆ ซึ่งคงต้องหาโอกาสเขียนถึงสักครั้งเพื่อให้อาหารมื้อนี้สมบูรณ์ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มันฝรั่งทอดทั้งเปลือก มันฝรั่งทอดตำรับนี้เป็นอาหารยอดนิยมของบ้านเรา อร่อยและทำง่ายไม่ยุ่งยาก กินเล่นหรือเป็นเครื่องเคียงก็ได้ เครื่องปรุงประกอบด้วย มันฝรั่งหัวกลางๆ 4 หัว เกลือป่น ใบ Parsley หั่นฝอย (ไม่ใส่ก็ได้) 1 ช้อนโต๊ะ ผง Paprika (ถ้าชอบ) เนย 1/3 ก้อน น้ำมันสำหรับทอด เริ่มต้นก็ล้างมันฝรั่งให้สะอาดไม่ต้องปอกเปลือก ต้มมันฝรั่งทั้งเปลือกจนสุก รอให้มันฝรั่งอุ่นหรือเย็น หยิบขึ้นมานวดทั้งเปลือก นวดไปเรื่อยๆ พอให้มันยุบตัวแต่ไม่แตกจากกัน ใช้มือบิมันฝรั่งทั้งเปลือกให้เป็นชิ้นๆ ลูกละประมาณ 6 ชิ้น กะขนาดให้ไล่เลี่ยกัน ตั้งกระทะใส่น้ำมันแยะๆ พอให้ทอดแบบ Deep-fry ได้ รอจนน้ำมันร้อน ใส่เนยลงไปผสม รอจนเนยละลาย ใส่มันฝรั่งลงทอด เวลาทอดต้องให้น้ำมันร้อนแต่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ตักใส่ตะแกรงรอให้สะเด็ดน้ำมัน พอทอดเสร็จครบหมด ให้โรยเกลือ กะให้เค็มปะแล่มๆ โรยใบ Parsley เพื่อให้สีสวยและหอม โรยผง Paprika ผัดให้เข้ากันทุกอย่าง เทใส่ชามโคมหรือจานเปลใบใหญ่ กินร้อนๆ เป็นของกินเล่น หรือจะใช้เป็นเครื่องเคียงกับอาหารอื่นก็อร่อยไปหมด เทคนิคสำคัญของอาหารจานนี้คือ ต้องนวดมันให้พอดีอย่าให้มากไปหรือน้อยไป นวดเนิบๆ พอให้น่วม การนวดช่วยให้มันไม่จับตัวแน่น ทำให้ทอดแล้วกรอบนอกนุ่มใน สำหรับคนที่อ่านถึงตรงนี้แล้วคิดว่ากินแค่นี้ยังอ้วนไม่พอ อาจจะทำให้ทรงเครื่องขึ้นได้ โดยการโรย Cheese เช่น Monterey Jack หรือ Cheddar ขูดละเอียด นำเข้าเตาอบ อบจน Cheese ละลายเป็นอันใช้ได้ ถ้าอยากจะได้เครื่องจิ้มด้วยลองทำ Sour Cream Dip ดูนะคะ ใช้ Sour Cream 1 ถ้วย Cheddar cheese ขูดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ พริกป่น ตามชอบ ผสมทั้งสามอย่างนี้เข้าด้วยกัน พริกป่นจะช่วยแก้เลี่ยนได้อย่างดี ถ้าเห็นว่าในมันฝรั่งอบ Cheese แล้ว จะละไว้ไม่ใส่ใน Dip ก็ได้ หรือจะทอดมันฝรั่งคลุกเกลือโดยไม่ต้องอบ Cheese แล้ว มาเสริมไขมันกันที่เครื่องจิ้มก็อ้วนได้สมใจนึก จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:54:33 ]

ความคิดเห็นที่ 24 กุ้ง หอย ปู และข้าวโพด ชาวเดอร์ ชาวเดอร์ (Chowder) เป็นซุปข้นชนิดหนึ่ง แคลมชาวเดอร์ หรือซุปหอยลาย เป็นซุปที่แพร่หลาย นิยมรับประทานกันทั่วไป แต่ที่จะทำกันวันนี้เป็นชาวเดอร์ทะเล โดยมีข้าวโพดเป็น base ที่สำคัญ เครื่องปรุงมีดังนี้ค่ะ หอยลาย หรือหอยกระปุก หรือหอยตลับ 1 1/2 ก.ก. กุ้งนางประมาณ 4 ขีด เนื้อปูแกะ 2 ขีด ข้าวโพดดิบ 6 ฝัก ประมาณ 7 ถ้วย เบคอน (หั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ) 8 แผ่น หัวหอมใหญ่สับละเอียด 2 ถ้วย แคร์รอตหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 3/4 ถ้วย เซเลอรี่หั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 2/3 ถ้วย Whipping Cream 1 1/2 ถ้วย ครีมเปรี้ยว (Sour Cream) 1 กระป๋อง (ประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ) เนย 2 ช้อนโต๊ะ นมสด ประมาณ 2 ถ้วย เกลือ และพริกไทย ตามชอบ น้ำซุปหอย (ได้จากการต้มหอย) เริ่มต้นเลยนะคะ เอาข้าวโพดครึ่งหนึ่ง (3 1/2 ถ้วย) ใส่ Blender ตามด้วยนม 1 ถ้วย ปั่นจนเป็นครีม พักไว้ก่อน ตั้งน้ำประมาณ 6-7 ถ้วย รอจนเดือดพล่าน ใส่หอยลงต้ม ตอนนี้ต้องระวังอย่าใส่หอยที่มีโคลนลงไปนะคะ พอหอยอ้าปากก็ช้อนขึ้นใส่ภาชนะไว้ และใส่กุ้งลงไปต้มทั้งเปลือก (อย่าลืมดึงเส้นกลางตัวออกก่อน) ต้มสุกแล้วก็จัดการแกะเอาแต่เนื้อหอย ส่วนกุ้งก็ปอกเปลือกและตัดเป็นท่อนสั้นๆ พักไว้ น้ำที่ได้คือน้ำซุปหอยค่ะ เอาเนยใส่กระทะ เอาเบคอนลงทอดจนเหลืองกรอบ ตักเบคอนขึ้นพักไว้ ส่วนน้ำมันที่เหลือในกระทะอาจจะตักออกบ้างถ้ามีมากเกินไปเพื่อกันเลี่ยน เติมเนย 2 ช้อนโต๊ะ รอจนเนยละลาย ใส่หอมใหญ่ลงผัดจนสุก เติมข้าวโพดที่เหลือ (3 1/2 ถ้วย) ผักจนข้าวโพดสุก เติมแคร์รอตและเซเลอรี่ที่หั่นเตรียมไว้ ถ้าชอบซุปไก่คนอร์ให้เติมลงไป 1 ก้อน และถ้ามีผง Hon Dashi ของญี่ปุ่นก็ใส่ลงไปประมาณ 2 ช้อนชา ระหว่างที่ผัด ถ้ากระทะแห้งไปให้ตักน้ำซุปหอยเติมลงไปครั้งละทัพพี ผัดไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างสุก เติมน้ำซุปที่ต้มหอยไว้ลงไป 5 หรือ 6 ถ้วย ต้มไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที เติมข้าวโพดปั่นทั้งหมดลงไป เติมเนื้อหอย กุ้ง และปู ต้มต่ออีกประมาณ 5 นาที ใส่ครีมเปรี้ยว เติมเกลือและพริกไทย ชิมรสให้ถูกใจ เติมวิปปิ้งครีม 1 1/2 ถ้วย whipping ที่เป็นครีมแท้ๆ กล่องหนึ่งจุ 200 มิลลิลิตร ซึ่งจะเท่ากับ 1 1/4 ถ้วย ใส่แค่นี้ก็พอค่ะ แต่ถ้าซื้อตราสมอจะบรรจุมากกว่าในขณะที่ความเป็นครีมน้อยกว่าก็ใส่ลงไปหมดกล่องเช่นกันซึ่งเท่ากับ 250 มิลลิลิตร แต่ถ้ากลัวเลี่ยนเหยาะทาบาสโก้ลงไปนิดหน่อยจะช่วยได้มาก ถ้าซุปข้นไปให้เติมนมที่เหลือจนได้ซุปข้นเท่าที่ชอบ เคล็ดลับของซุปแบบข้นคือเมื่อเติมนมเติมครีมแล้ว อย่าต้มนานจะทำให้ครีมแตกมันไม่อร่อย เวลาจัดใส่ถ้วยให้โรยหน้าด้วยเบคอนกรอบและผงปาปริก้า กินร้อนๆ กับ Cheese straw อร่อยมากค่ะ Bon appetite ! จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ปลาทอด กับ ดิสซอส เครื่องปรุง - หอมแดงแขก (shallot) 4-5 หัว (สับละเอียด) - ผักชีขาว (dill) 1/4 ถ้วย (หั่นละเอียด-เอาแต่ใบ) - มัสตาร์ด 1-2 ช้อนชา - เนย 3 ช้อนโต๊ะ - วิปครีม 1 กล่อง - ซอสศรีราชา 2 ช้อนชา - มะนาว 1/4 ลูก - เกลือและพริกไทย - ปลากะพง 2 ตัว - แป้งข้าวเจ้า (พอประมาณ) วิธีทำ ปรุงปลาก่อนนะคะ ซื้อปลากะพงตัวละประมาณ 8 ขีด ขอดเกล็ดและแล่เอาแต่เนื้อ ปลา 2 ตัวได้ 4 แผ่น ตัดแบ่งตามขวางอีกครั้งเป็น 8 แผ่น ซับน้ำให้แห้ง โรยเกลือและพริกไทยแต่น้อย พอให้หายคาว วางลงบนจานแป้งข้าวเจ้า ตบๆ ให้ติดแป้งพอทั่ว ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนเนื้อปลากรอบนอกนุ่มใน พักไว้บนตะแกรง ปรุงซอสในกระทะหรือหม้อใบย่อมๆ เอาเนยละลายใส่หอมแดงแขก ผัดจนสุกหอม ใส่ผักชีลาว (อย่าหั่นทิ้งไว้นานจะดำเพราะยาง) ผัดสักครู่ ใส่วิปครีม ตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน คนตลอดเวลาจนครีมข้นเท่าที่ต้องการ ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่เหลือทั้งหมด ถ้าจะให้กลมกล่อมอาจจะเติมน้ำตาลเล็กน้อย จัดปลาใส่จานให้สวยงาม โรยด้วยซอส และแนมด้วยผักอื่นๆ ตามชอบ ถ้ามีซอสเหลือเก็บไว้คลุกกับเส้นสปาเกตตีได้นะคะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ข้าวผัดไข่ห่อ เครื่องปรุง ข้าวสวย 1 ถ้วยตวง ไข่ไก่ตีพอแตก 2 ฟอง กุ้งแชบ๊วยแกะเปลือก 3-4 ตัว อกไก่หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ชิ้นโต๊ะ สับปะรด แคร์รอต มะเขือเทศ และหอมใหญ่หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ ถั่วลันเตา 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา ต้นหอม 2 ต้น ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใช้ไฟอ่อน เทไข่ไก่กลอกให้เป็นแผ่นบางพอสุกค่อยๆ แซะไข่ขึ้นพักไว้ ใส่น้ำมันลงในกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่หอมใหญ่ผัดพอหอม ใส่กุ้ง ไก่ ผัดพอสุก ใส่สับปะรด แคร์รอต มะเขือเทศ ถั่วลันเตา ผัดให้ทั่ว ใส่ข้าวผัดต่อจนสุก และปรุงรสด้วยพริกไทย ซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ ยกลง แผ่แผ่นไข่ออก ตักข้าวผัดใส่ ตลบมาปิดข้าวเป็นรูปครึ่งวงกลม จัดใส่จานรับประทานกับต้นหอม ตกแต่งด้วยผักกาดหอม แคร์รอต จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ฉู่ฉี่กุ้งนาง เครื่องปรุง กุ้งแม่น้ำขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กจนเกินไป 4-5 ตัว น้ำพริกแกง 1/2 ขีด กะทิ 2 1/2 ถ้วย ใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี กระเทียม โขลกรวมกัน 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ล้างกุ้ง ปอกเปลือกให้สะอาด เหลือหัวกุ้งและหางไว้ เฉือนหัวดึงกระเพาะออก ผ่าหลัง แบ่งกะทิผสมกับแป้งข้าวเจ้า ตั้งเตาคนจนข้นไว้สำหรับแต่งหน้า นำกะทิที่เหลือ เคี่ยวให้แตกมัน ใส่พริกแกงลงผัดให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล นำกุ้งลงผัดจนสุก พอให้น้ำขลุกขลิก ตักใส่จาน นำกะทิที่เตรียมไว้ราดหน้า ตามด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย และพริกชี้ฟ้าหั่นฝอย ยกเสิร์ฟร้อนๆ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไข่มังกรทอง์ เครื่องปรุง ไข่นกกระทาต้ม กุ้งกุลาดำหรือกุ้งแชบ๊วย หอมหัวใหญ่ แคร์รอต ข้าวโพดอ่อน มะเขือเทศแกะเมล็ดเอาแต่เนื้อ รากผักชี กระเทียม ซีอิ๊วขาว น้ำตาล เกล็ดขนมปัง ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) วิธีทำ ล้างกุ้งดึงเส้นดำที่หลังออก สับพอหยาบๆ หอมใหญ่ แคร์รอต มะเขือเทศ ข้าวโพด หั่นชิ้นเล็กๆ โขลกรากผักชี กระเทียมให้ละเอียด ตักใส่กุ้งที่สับแล้ว คลุกเคล้าให้เข้าเนื้อ ใส่ผักที่หั่นผสมลงไป เติมแป้งสาลีลงไปนิด เพื่อให้ส่วนผสมทั้งหมดจับตัวกันได้ดี ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว เดาะน้ำตาลหน่อย เมื่อเหนียวพอแล้วนำไปห่อไข่นกกระทาที่ต้มแล้ว ใหญ่ประมาณไข่เป็ด ชุบไข่แดง แล้วคลุกเกล็ดขนมปัง พักไว้ ตั้งน้ำมันพืชให้ร้อน (ปริมาณมากหน่อย) นำไข่ที่ห่อแล้วลงทอด ให้เหลืองทั่วกัน ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ผ่าครึ่ง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วย หรือน้ำจิ้มไก่ก็ได้ รับรองเมนูนี้มัดใจเด็กๆ เป็นแน่ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 18:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ปลากะพงน้ำแดง เครื่องปรุง ปลากะพง เนื้อหมู เห็ดหอมสด ขิง ผักปวยเล้ง หรือคะน้าต้นเล็ก ซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย กระเทียมเจียว น้ำตาล แป้งมัน แป้งสาลี วิธีทำ ลวกผักปวยเล้ง จัดใส่จาน (อยากให้ผักเขียวสวยให้เติมน้ำมันในน้ำเดือด) นำปลากะพง หั่นชิ้นใหญ่เท่าๆ กัน คลุกแป้งสาลี ทอดในน้ำมันร้อน ให้เหลือง ตักขึ้นวางเรียงบนผักลวก น้ำราด เจียวกระเทียมให้หลือง ตักขึ้นพักไว้ เหลือไว้ในกระทะนิดหน่อย ใส่เนื้อหมูหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ยาวๆ ตามด้วยขิงซอย และเห็ดหอมหั่นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำซุป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซอสหอยนางรม น้ำตาลนิด ชิมรสให้ได้ที่ เติมแป้งมันละลายน้ำลงไป เพื่อให้น้ำข้นนิด อย่าถึงกับเหนียวมาก ตักราดบนปลาที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟร้อนๆ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:00:18 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ต้มยำน้ำข้นปลาช่อนทอด เครื่องปรุง ปลาช่อนล้างให้สะอาด เลาะก้างออก หั่นเป็นชิ้นใหญ่ ตะไคร้ ข่า หอมแดง กระเทียมดอง พริกขี้หนู ใบมะกรูด น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก น้ำพริกเผา นมสด น้ำปลาอย่างดี น้ำตาล ใบขึ้นฉ่าย แป้งสาลี วิธี นำปลาที่หั่นแล้ว คลุกกับแป้งสาลี แล้วทอดในน้ำมัน ให้เหลือง ตักขึ้นพักไว้ จากนั้นนำน้ำใส่หม้อประมาณครึ่งหม้อ ตั้งไฟ ทุบตะไคร้ ข่า หัวหอมแดงใส่หม้อ น้ำกระเทียมดอง และใบมะกรูด พอน้ำเดือด เบาไฟปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำพริกเผา น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก เดาะน้ำตาลทรายลงหน่อย ชิมรสได้ที่แล้ว ใส่นมสด และพริกขี้หนูบุบ นำปลาทอดไว้จัดใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำต้มยำให้ท่วม หั่นกระเทียมดองโรยหน้า ตามด้วยใบขึ้นฉ่าย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แกงไก่ใบยี่หร่า จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แกงไก่ใบยี่หร่า เครื่องปรุง เนื้อไก่ 1/2 กิโล ใบยี่หร่าหั่นหยาบประมาณ 4 ถ้วย หัวกะทิ 1 ถ้วย หางกะทิ 2 ถ้วย น้ำปลา น้ำตาล พริกชี้ฟ้าส้ม แดง พริกแกง พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด พริกขี้หนูสด 15 เม็ด พริกไทยสด 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ซอย 2 ต้น ผิวมะกรูด ขมิ้น 1 แง่ง โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด แล้วพักไว้ วิธีทำ หัวกะทิตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวสักพัก ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่เนื้อไก่ลงผัดให้สุก เติมกะทิที่เหลือ รอเดือด ปรุงรสด้วยน้ำปลา เดาะน้ำตาลลงนิด จากนั้นใส่ใบยี่หร่า และพริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ ปิดไฟ เสิร์ฟร้อนๆ เรียกเหงื่อดี จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:02:06 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ลาบปลาตะเพียน ส่วนผสม เนื้อปลาตะเพียนสับละเอียด 1 ถ้วย ซีอิ๊วขาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ หัวหอมหั่นฝอย 1/4 ถ้วย กระเทียมซอย 6 กลีบ ข่าซอยทอด 1 ช้อนโต๊ะ พริกแห้งซอยทอด 2 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ 3 ช้อนโต๊ะ สะระแหน่ 1/4 ถ้วย เกล็ดปลาตะเพียนทอด 1 ช้อนโต๊ะ ผักชีใบยาวซอยเล็กน้อย (ใช้ปลาสำลีแทนได้) เครื่องลาบ นำตะไคร้ทอด กระเทียมทอด พริกทอด ข่าทอด ตำรวมกันให้ละเอียด วิธีทำ นำเนื้อปลาไปคั่วให้สุก ใส่ซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว เครื่องลาบ หอมแดงซอย ผักชีใบยาว คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ แนมด้วยผักสด เช่น แตงกวา มะเขือเทศ และผักกาดขาว เสิร์ฟมากับข้าวสวยร้อนๆ รับรองอร่อยถูกใจ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แหม นะ เราก็นึกว่ามานั่งพิมพ์เอง เห็นบอกไปเอามาจากหนังสือพิมพ์ ที่แท้ไปเอามาจากเวปหนังสือพิมพ์นั่นเอง อิ อิ แถมมีมาเพิ่มอีกหลายสูตรเลย แต่ที่เล็งๆไว้นี่ อยากกินหมูเค็มจ้า จะเหมือนหมูคั่วเค็มที่แม่พี่เคยทำให้กินหรือเปล่าน๊า เดี่ยวต้องขึ้นไปดูสูตรอีกที จากคุณ : บัวชมพู๊ชมพู - [ 29 เม.ย. 47 19:02:58 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หน่อไม้ยัดไส้ทอด เครื่องปรุง หน่อไม้รวก 6 หน่อ หมูทรงเครื่อง (กึ่งสำเร็จรูปตามซูเปอร์) 1 แพ็ก พริกขี้หนูแดง 4-5 เม็ด กระเทียม พริกไทย รากผักชี และน้ำปลาเล็กน้อย แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย วิธีทำ จับส่วนหัวของหน่อไม้ไว้ และใช้ซ่อมขีดหน่อไม้ให้เป็นเส้นๆ แบบที่ทำซุปหน่อไม้ แต่ระวังอย่าให้ขาดกระจุยกระจายนะคะ เอาหน่อไม้ลงต้มให้หายขื่น ใส่น้ำปลาร้าลงไปเล็กน้อยให้ได้รสเค็มปะแล่มๆ และตำกระเทียม พริกไทย และรากผักชีใส่ลงไปให้หน่อไม้หอม ระหว่างที่ต้มหน่อไม้ก็ตำพริกขี้หนูแดงผสมกับกระเทียม พริกไทย และรากผักชีที่เหลืออยู่คลุกกับหมูทรงเครื่องให้ออกเผ็ดเล็กน้อย ถ้าไม่ไว้ใจรสชาติของหมูทรงเครื่องให้ลองต้มชิมสักก้อนเล็กๆ ถ้าเค็มไปให้เลิกซื้อเจ้านี้ ถ้าอ่อนเค็มให้เติมน้ำปลา พอหน่อไม้ได้ที่ให้เอาขึ้นวางบนตะแกรง รอจนสะเด็ดน้ำ เขี่ยหน่อไม้ให้แผ่เป็นแผ่น เอาหมูยัดเข้าไปในเส้นหน่อไม้ เกลี่ยเส้นหน่อไม้และพับปลายให้หุ้มหมูพอมิด เสร็จแล้วมัดเป็นท่อนๆ แบบข้าวต้มมัด จะมัดด้วยตอกหรือเชือกก็ได้ เมื่อจะรับประทานจึงค่อยทอดโดยการคลุกหน่อไม้กับแป้งข้าวเจ้า กลิ้งไปมาพอให้แป้งติดทั่ว ทอดด้วยน้ำมันร้อนแต่ไฟปานกลาง ทอดจนหมูสุกและแป้งกรอบ ช้อนขึ้นวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน หั่นเป็นแว่นใหญ่ๆ รับประทานร้อนๆ จิ้มกับน้ำจิ้มเป็นกับแกล้มหรือกินแนมกับข้าวเหนียวก็ได้ค่ะ น้ำจิ้มทำง่ายๆ นะคะ ใช้น้ำจิ้มไก่ที่ขายอยู่ทั่วไป เติมน้ำส้มสายชูนิดหน่อย ถ้าอ่อนเค็มให้เติมเกลือ และตำถั่วลิสงคั่วใส่ลงไปเล็กน้อย แค่นี้ก็ได้น้ำจิ้มรสเด็ดแล้วค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 36 "แสร้งว่า" หมูป่าผัดเผ็ด ตั้งชื่อไปอย่างนั้นเอง "แสร้งว่า" ในที่นี้ไม่ได้เป็นอาหารประเภทเครื่องจิ้มนะคะ แต่เป็นสำนวนในการทำอาหาร แกล้งว่าสิ่งที่จะทำเป็นหมูป่าผัดเผ็ด ความจริงแล้วเป็นขาหมูบ้านธรรมดา แต่เมื่อเอามาผัดเผ็ดแล้วอร่อยและกินง่ายกว่าหมูป่าเดินสายพานมาก เครื่องปรุงประกอบด้วย ขาหมูหน้าเผาแล้ว 1 ขา แล่ออกมาใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อแดงติดหนัง หั่นเป็นชิ้นบางๆ พอดีคำ น้ำพริกแกงแดงในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเนื้อหมู ผักต่างๆ เช่น พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบๆ พริกไทยอ่อน ใบโหระพา หรือใบยี่หร่า กระชายหั่นเป็นเส้นๆ กะทิ 1 กล่องเล็ก น้ำมัน น้ำปลา น้ำตาลปีบ วิธีปรุง ผัดน้ำพริกแกงกับน้ำมันจนพริกแกงสุก หอมดี ใส่เนื้อหมูลงผัด เติมน้ำปลา และน้ำตาลปีบเล็กน้อย ผัดไปเรื่อยๆ จนเข้าน้ำเข้าเนื้อ ถ้าส่วนผสมที่ผัดเริ่มแห้งเกินไปให้เติมกะทิทีละน้อย ชิมรสให้อร่อยถูกใจ เราอาจจะแต่งรสด้วยเหล้าสัก 1 ฝา และผงชูรสอีกเล็กน้อยก็ได้ค่ะ เติมผักต่างๆ ทั้งพริกไทยอ่อน พริก ใบโหระพา และผักอื่นๆ ก่อนยกลงเติมหัวกะทิ หรือนมระเหยลงไปพอสมควร ผัดพอสุก ยกลงกินกับข้าวร้อนๆ หรือกินแกล้มเหล้าก็ได้ เนื้อหมูเคี้ยวกรุบๆ ไม่เหนียวแบบหมูป่า แต่ก็ไม่ยุ่ยแบบหมูบ้าน อร่อยอย่าบอกใคร จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 น้ำพริกเผา นํ้าพริกเผามีทั้งแบบผัดน้ำมัน และแบบน้ำพริกเผาป่า เคยเขียนถึงน้ำพริกเผาป่าไปแล้ว โดยเขียนแถมไปกับการทำต้มยำ วันนี้จะเขียนถึงการทำน้ำพริกเผาชนิดผัด จะทำไว้ทาขนมปังหรือเอาไว้ทำกับข้าวก็ได้หลายชนิด น้ำพริกเผาชนิดนี้รสชาติหลากหลายที่สุด สูตรที่ให้ไว้นี้จะค่อนข้างเปรี้ยว ถ้าใครชอบหวานต้องปรับสูตรนิดหน่อย มาดูส่วนผสมเลยนะคะ พริกแห้งบางช้างตัดเป็นท่อนสั้นๆ ทอดกรอบ 2 ถ้วย, กุ้งแห้ง 1 ถ้วย (ตวงแล้วนำไปป่น), หอมเจียว 1 ถ้วย, กระเทียมเจียว 1 ถ้วย, น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วย, น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย, น้ำปลาตามชอบ (ประมาณ 1/3 ถ้วย), น้ำมันสำหรับผัดนิดหน่อย วิธีทำ ทอดพริกแห้งให้อ่อนไฟไว้หน่อย เพราะจะต้องเอาไปผัดอีกครั้ง ถ้าทอดแก่ไฟจะขม ควรตัดเป็นท่อนสั้นๆ และเอาเม็ดออกก่อนทอด ซอยหอมให้ละเอียด ทอดกรอบ แต่อย่าให้แก่ไฟเช่นเดียวกับพริกแห้ง ซอยกระเทียมเจียวแบบเดียวกับหอม ผึ่งเครื่องทั้งสามอย่างให้เย็น กรอบ ถ้าจะให้ดีควรจะเกลี่ยบนกระดาษซับน้ำมัน ใช้ครกหินขนาดต้นเถาตำพริกให้ละเอียดก่อนจึงเติมหอมและกระเทียมลงไปตำให้ละเอียด ถ้ามีน้ำมันแฉะออกมาทำให้ตำยากให้เติมกุ้งแห้งป่นลงไปเรื่อยๆ (ควรป่นกุ้งแห้งไว้ล่วงหน้า จะป่นด้วยครกหรือเครื่องป่นก็ตามใจ) เมื่อทุกอย่างละเอียดเข้ากันดีแล้วจึงเติมน้ำตาลและน้ำมะขามเปียก และเติมน้ำปลา ควรจะเติม 1/4 ถ้วยก่อน และค่อยๆ เพิ่มน้ำปลาจนได้รสเค็มเท่าที่ชอบ ถ้าใครชอบกินหวานจะเติมน้ำตาลปีบอีกก็ได้ เมื่อได้น้ำพริกเผา 3 รสกลมกล่อมดีแล้วก็ต้องผัดอีกรอบ เอาน้ำมันที่ทอดหอมและกระเทียมใส่กระทะแต่เพียงเล็กน้อย เอาพริกที่ตำไว้ลงผัดไฟอ่อนๆ จนน้ำมันเป็นสีแดงสวยน่ารับประทานก็ดับไฟเป็นอันเสร็จ เราต้องรอให้น้ำพริกเผาเย็นก่อน ค่อยตักใส่ขวด สูตรที่ให้ไว้นี้ทำได้ขวดใหญ่พอสมควร แต่เป็นของที่ใช้ได้หลายสถาน ทำไว้มากๆ หน่อยก็ดี เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานไม่เหม็นหืน รับรองว่ากลิ่นหอมรสดีกว่าน้ำพริกเผาสำเร็จรูป แต่ขอเตือนว่าตำนานพอสมควรกว่าจะละเอียด และถ้าบ้านใครไม่มีครกหินใบใหญ่ๆ ก็ควรทำแค่ครึ่งสูตรนะคะ จะได้ตำง่ายขึ้น จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:05:59 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไข่เจียวหนวดฟักแม้ว ชื่ออาหารจานนี้อ่านไม่ผิดหรอกนะคะ เอาหนวดฟักแม้วมาทำไข่เจียวจริงๆ เนื่องจากร้านข้าวแกงที่เราไปกินประจำแถวซอยต้นสนทำฟักแม้วผัดบ่อยๆ มีหนวดฟักแม้วที่ตัดทิ้งเป็นจำนวนมาก แม่ครัวเอกของร้านเลยเกิดความคิดที่จะลองเอามาทำกับข้าวกินดู ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก เลยช่วยกรุณาถ่ายทอดมาสู่เราในฐานะคนคุ้นเคย เครื่องปรุงน้อยนิดจริงๆ ไข่เป็ด 2 ฟอง หนวดฟักแม้ว 1 ชามแกง น้ำปลาเล็กน้อย ผงชูรสเล็กน้อย วิธีทำ ต่อยไข่และตีพอเป็นฟอง เอาหนวดฟักแม้วมาหั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ใส่ลงไปผสมกับไข่สัดส่วนใกล้เคียงกับเวลาทำไข่เจียวชะอม และใส่น้ำปลาพอเค็ม รวมทั้งผงชูรสเล็กน้อย เอาน้ำมันใส่กระทะไม่ต้องมาก รอจนน้ำมันร้อนจัด เทไข่ลงเจียวและเกลี่ยฟักแม้วไปทั่วๆ รอจนด้านล่างสุกดีค่อยกลับแผ่นไข่ ทอดไปเรื่อยๆ นะคะ ถ้าฟักแม้วสุก จะสังเกตเห็นได้ง่ายเพราะสีจะเขียวจัดและนุ่ม ไข่เจียวฟักแม้วจะกินกับข้าวก็อร่อยมาก หรือจะกินแนมกับน้ำพริกแทนไข่เจียวชะอมก็ได้เลย ได้ฟีลลิ่งของชะอมแต่รสไม่เหมือนนะคะ และไม่มีกลิ่นรุนแรงด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาสลองทำดูนะคะ เป็นรายการอาหารที่แปลกดี และที่แน่ๆ คืออร่อยด้วยค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:06:54 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ต้มยำท้องปลาทะเล จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ต้มยำท้องปลาทะเล แม่ค้าตลาดสามย่านเกิดไอเดียเสนอสินค้าใหม่ที่ไม่ใช่ OTOP แต่เป็นท้องปลาทะเลตัวใหญ่ๆ เอามาหั่นขาย ทดลองซื้อมาครึ่งกิโล สับเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ กลับบ้านเอาเกลือคลุกๆ ใส่ตะกร้าล้างน้ำพอให้หายคาว - ปลานะจ๊ะ (ถ้ามีน้ำมะพร้าว เช่น น้ำมะพร้าวอ่อนล้างปลาจะหายคาวทันที) เตรียมเครื่องทำพริกเผาป่า ประกอบด้วย พริกแห้งบางช้างเผาหรือคั่ว 7 เม็ด, กระเทียมเผาหรือคั่ว 4 หัว (แกะเป็นกลีบๆ), หอมเผาหรือคั่ว ประมาณเท่ากับกระเทียม, ข่าเผา 1 แว่น ตำเครื่องเผาให้ละเอียด ตำง่ายมากค่ะ เพราะเผาสุกแล้ว ให้ตำพริกก่อนตามด้วยข่าส่วนหอมกับกระเทียมใส่ลงไปพร้อมๆ กัน จะได้น้ำพริกเผาป่าหอมน่ากิน ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ น้ำซุป (โครงไก่หรือกระดูกหมู) 1 หม้อเล็ก, ข่า 3 แว่น, ตะไคร้ทุบและหั่นท่อนยาวๆ 2 ต้น, ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ, มะนาว น้ำส้มมะขาม น้ำปลา พริกขี้หนูสวน ตามชอบ, ต้นหอมหั่นยาว 1 นิ้ว และผักชี วิธีทำ ตั้งน้ำซุปให้เดือด ใส่ข่า ตระไคร้ ต้มสักครู่จึงใส่ใบมะกรูดฉีกลงไป เติมน้ำตาลกรวด รอจนน้ำเดือดพล่านค่อยใส่ปลา อย่าเทพรวดลงไปทั้งหมด ถ้าน้ำไม่ร้อนพอปลาอาจจะเหม็นคาวได้ ปรุงต้มยำ ละลายพริกเผาเท่าที่ชอบ (ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ถ้าชามเล็ก) ทุบพริกขี้หนูเติมลงไป ใส่น้ำมะนาว 1 ส่วน น้ำมะขามเปียก 1 ส่วน น้ำปลา 2 ส่วน ผงชูรสเล็กน้อย ต้นหอม ผักชี ว่าแล้วก็ตักต้มยำราดลงไป ก็จะได้ต้มยำปลาใส่น้ำพริกเผาป่าหอมกรุ่น 1 ชาม ถ้าอยากปรุงรสให้จัดๆ ก็เติมเปรี้ยว เค็ม และเผ็ดให้โลดไปเลย อย่าลืมเติมน้ำตาลไปตัดรสให้กลมกล่อม แต่อย่าให้ออกหวาน ต้มยำหวานๆ กินไม่อร่อย แถมเหม็นคาวปลาอีกต่างหาก รสหวานนี่แหละถ้ามากไปนี่ไม่ดีสักอย่าง ขนมหวานก็แสบคอ กับข้าวหวานก็กินไม่ลง คนหวานก็เอียน สู้คนเค็มๆ อย่างเราไม่ได้ "แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ" จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อ้าว แปะเพลินเลย พี่บัวมาเมื่อไหร่เนี่ย+++  พอดีเมื่อคืนตัวเองก็ก๊อปปี้จากเว็บนี้เหมือนกัน ชอบค่ะ มติชนเค้าบอกสูตรแต่ละอย่างอร่อยๆทั้งนั้นเลยนะคะพี่บัว  ปกติคุณแม่จะทำให้ทานน่ะค่ะ แต่คราวนี้อยากเอามาแปะไว้ที่ห้องแม่บ้านเพราะจะได้เซฟง่ายๆน่ะค่ะ เมื่อคืนตัวเองเซฟก็ต้องมานั่ง Copy ใส่เวิร์ดทีละหน้าๆ เสียเวลาน่ะค่ะ เลยคิดว่าเผื่อจะมีประโยชน์ต่อห้องแม่บ้าน เลยนำมาแปะไว้ให้หมดเลยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาน่ะค่ะ พี่บัว หมูเค็มนี่น่าทานเหมือนกันนะคะ อย่าลืมการบ้าน นะพี่บัวนะ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:13:00 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เกี้ยมไฉ่ต้มเป็ดย่าง เป็ดย่างเป็นอาหารที่กินอร่อยอยู่แล้ว เอาไปทำอะไรก็อร่อยไปหมด วันนี้เอามาต้มเกี้ยมไฉ่ดีกว่านะคะ ส่วนผสม เกี้ยมไฉ่ดองเปรี้ยว 1/2 ก.ก., เกี้ยมไฉ่ดองเค็ม 1/2 ก.ก., โครงเป็ดย่าง 2 โครง, กระดูกหมูต้มซุป 1/2 ก.ก., รากผักชี 5-6 ราก, พริกไทยบุบหยาบๆ 40 เม็ด, น้ำมันหอย เล็กน้อย, น้ำราดเป็ดย่าง เล็กน้อย, ขิง (ทุบพอซ้ำ) 1 แท่ง, เนื้อเป็ดย่างประมาณ 1/4 ตัว วิธีทำ ต้มน้ำซุปก่อนโดยเอาโครงเป็ดและกระดูกหมูใส่น้ำตั้งไฟให้เดือดจัด ช้อนฟองออกให้หมด หั่นเกี้ยมไฉ่ทั้งสองชนิดให้เป็นชิ้นพอคำใส่ลงในหม้อ ทุบรากผักชี พริกไทย และขิงใส่ลงไปต้ม เติมน้ำมันหอยและน้ำราดเป็ดย่างลงไป อย่าใส่แยะนะคะ จะไม่อร่อย ต้มไปสักพักพอให้เกี้ยมไฉ่ออกรสเค็ม เปรี้ยว ชิมดูอีกที คราวนี้ปรุงรสเพิ่ม เช่น อาจจะเติมน้ำของเกี้ยมไฉ่ ถ้าอยากให้หวานจะใส่น้ำดองของกระเทียมดองลงไปนิดหน่อยก็ได้ ตุ๋นไฟอ่อนๆ น้ำใสๆ ไปสักพักค่อยเติมเนื้อเป็ดย่าง เพราะถ้าใส่แต่แรกเป็ดย่างจะเปื่อยเกินไป กินไม่อร่อย เปิดฝาหม้อตุ๋นต่อไปจนเกี้ยมไฉ่นุ่มได้ที่เป็นอันเสร็จ อาหารรายการนี้มีการดัดแปลงได้พอสมควร เช่น คนที่ชอบกินมะระ ก็หามะระจีนดีๆ อย่าให้ขม เพราะถ้าออกขมจัดจะไปข่มรสเกี้ยมไฉ่ ผ่าคว้านเมล็ดหันเป็นชิ้นๆ ใส่ลงไปพร้อมๆ กับเกี้ยมไฉ่ ตามด้วยพริกชี้ฟ้าแห้งสัก 4-5 เม็ด ต้มแล้วจะหอมอร่อยไปอีกแบบ ถ้าใครชอบรสข่า จะใส่ข่าหั่นลงไปสัก 5-6 แว่นก็ได้ แต่ถ้าจะให้หอมอร่อยน่าจะใส่ข่าคั่ว มีขายอยู่ที่เยาวราช ราคาย่อมเยาว์ ซื้อมาสักครึ่งกิโล แบ่งใส่หม้อเกี้ยมไฉ่เล็กน้อยพอให้หอม ที่เหลือเก็บไว้ทำข้าวต้มปลารับรองว่ากินแล้วเหมือนข้าวต้มมืออาชีพ อ้อ ลืมบอกไปหนึ่งอย่าง พอต้มได้ที่แล้วคีบเอาโครงเป็ดและกระดูกหมูออกไปเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเสียนะคะ ทิ้งไว้ในหม้อจะดูไม่น่ากินและเสียราคาเป็ดย่างมากๆ เลย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณมากค่ะ ได้สูตรอาหารกลับไปอีกเยอะเลย จากคุณ : pim(พิม) - [ 29 เม.ย. 47 19:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 44 หอยแครงดองทั้งเปลือก อาหารรายการนี้ทำง่ายมากค่ะ เครื่องเครามีดังนี้ หอยแครงสดล้างสะอาด 1 ก.ก., น้ำปลาอย่างดี 2 ถ้วย, น้ำเปล่า 2 ถ้วย, น้ำตาลปีบ 3/4 ถ้วย น้ำจิ้มประกอบด้วย : พริกขี้หนู กระเทียม รากผักชี น้ำมะขามเปียก มะนาว 3 ลูก ใบโหระพา ใบผักชีฝรั่ง น้ำตาลปีบ น้ำปลา เริ่มบรรเลงกันเลยดีกว่า ต้มส่วนผสมสำหรับดองหอยคือ น้ำปลา น้ำ และน้ำตาลจนเดือดพล่าน เทส่วนผสมลงในอ่างหรือหม้อใส่หอยแครง ส่วนผสมปริมาณขนาดนี้จะท่วมหอยแครงพอดี ดองทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง หรือครึ่งวัน การปรุงน้ำจิ้ม เคี่ยวน้ำมะขามเปียกกับน้ำตาลปีบให้เปรี้ยวนำหวาน ตำรากผักชี พริกขี้หนู และกระเทียมพอละเอียดปรุงรสด้วยน้ำมะขามเคี่ยวกับน้ำตาล น้ำมะนาวอีก 3 ลูก เติมน้ำปลาลงไป ชิมรสให้ถูกปาก โดยให้เปรี้ยวนำ มีรสออกหวานออกเค็ม ระวังอย่าให้เค็มจัด เพราะหอยแครงจะมีรสเค็มปะแล่มๆ อยู่ในตัวมันแล้ว หอยดองวิธีนี้แกะง่าย และไม่เค็มปี๋แบบหอยดองที่เทน้ำปลาเพียวๆ ลงไปในหอยแครงดิบๆ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดแบบหอยแครงลวก ลองทำดูนะคะ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:15:19 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ยำแตง...จากปักกิ่ง ถึงเสฉวน ได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามคณะผู้ประสานงานรับหมีแพนด้ามาเลี้ยงที่สวนสัตว์เชียงใหม่ เลยได้สูตรอาหารทำง่ายกินง่ายมาฝากผู้อ่านหนึ่งอย่างคือแตงกวายำ ที่ต้องจ่าหัวว่าเป็นแตงยำจากปักกิ่งจนถึงเสฉวนเพราะยำแตงที่ปักกิ่งกับยำแตงเสฉวนรสชาติต่างกันพอสมควร ที่ต่างกันชัดๆ คือ ความเผ็ด คุณมนตรี นาวิกผล ท่านผู้อาวุโสของคณะได้เล่าถึงการกินเผ็ดของคนจีน จำแนกตามถิ่นที่อยู่เป็นสำนวนน่าฟังไว้ดังนี้ ไม่กลัวเผ็ด เสฉวน เผ็ดไม่กลัว กุยโจว กลัวไม่เผ็ด หูหนัน อ่านจากสำนวนนี้ก็คงพอทราบแล้วว่ามณฑลไหนของจีนที่กินเผ็ด แต่ยำแตงของเราวันนี้จะเริ่มจากเมืองที่กินอาหารรสจืดๆ กันก่อนคือ ปักกิ่ง คุณลัดดาวัลย์ แสงธรรมชัย นักเรียนเก่าปักกิ่ง สาวและสวยที่มาช่วยกู้หน้าฝ่ายหญิงของกลุ่มเราที่ศิริรวมอายุแล้วกำแพงเมืองจีนเรียกพี่ ได้กรุณาให้สูตรง่ายๆ มาดังนี้ แตงกวาญี่ปุ่น (ควรใช้แตงญี่ปุ่นเพราะรสชาติและความแน่นจะใกล้เคียงแตงจีนซึ่งลูกยาวเกินศอก) 2 ลูก หั่นอย่างไรก็ได้ เช่น หั่นแฉลบไปมา หรือหั่นเป็นเส้นเล็กๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้าไหนสับแบบตำแตงของไทย น้ำยำประกอบด้วย น้ำส้มสายชู เริ่มต้นที่ 1/2 ถ้วยก่อนละกันแล้วเดี๋ยวค่อยๆ เพิ่มอีกตอนชิม จิ๊กโฉ่ประมาณ 2 ช้อนชา น้ำตาลทรายแดง เกลือ ซีอิ้วขาว น้ำมันงาตามชอบ และกระเทียมสับละเอียด ผสมเครื่องทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันชิมรสให้เปรี้ยวนำเค็มและหวานตามปะแล่มๆ การปรุง ไม่มีอะไรมาก เอาน้ำยำเทลงในแตง คลุกๆ พอเข้ากันก็โจ้ได้เลย กินเล่นหรือกินเป็นเครื่องเคียงอร่อยมาก พอเราเดินทางมาถึงเสฉวนยำแตงของเราเข้มข้นขึ้นมาก เริ่มต้นจากการเตรียมแตงแบบเดิม ใครจะทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นโดยการเอาเกลือคลุกกับแตงสักนิด หมักทิ้งไว้สักหน่อย ก่อนล้างเกลือออกและผึ่งให้สะเด็ดน้ำก็ไม่ผิดกติกา เตรียมทำน้ำยำอย่างเดิมแต่ตำพริกเติมลงไป 2 ชนิด คือพริกชี้ฟ้าแดงตามชอบและพริกเสฉวน (ซวงเจีย) ประมาณ 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา ถ้าชอบงาก็คั่วเติมลงไปอีกเล็กน้อย ชิมน้ำยำให้เผ็ดน้อย (ตามมาตรฐานไทย) แต่หอมและฉุนนิดๆ คลุกน้ำยำกับแตง รับรองว่าแซบหลาย ได้ลองทำทั้งสองอย่าง อร่อยกันไปคนละแบบ ของปักกิ่งเป็นแบบกินสบายๆ รสอ่อนๆ แตงเย็นๆ ส่วนของเสฉวนก็รสจัดหน่อยถูกลิ้นคนไทยส่วนใหญ่ การปรุงน้ำยำมีความหลากหลายได้ตามอำเภอใจของผู้ปรุง เช่น อาจจะเติมน้ำมันเม็ดองุ่นเพื่อสุขภาพ ผสมไปกับน้ำมันงาก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้รักษารสชาติและเครื่องปรุงต้นฉบับไว้บ้าง อย่าประเคนลงไปจนกลายเป็นส้มตำแตง ถ้าจะกินอย่างนั้นแนะนำเดินไปซื้อพร้อมข้าวเหนียวไก่ย่างปากซอยก็แล้วกัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 46 โจ๊กเวียดนาม อาหารชามนี้เดินทางอ้อมโลกจากเวียดนามไปอเมริกามาไทย และตลอดการเดินทาง โจ๊กหม้อนี้ไม่ได้ด้อยรสชาติลงไปเลย เครื่องปรุงมีดังนี้นะคะ ข้าวสาร 2 ถ้วย (ใช้เครื่องปั่นแห้งปั่นจนค่อนข้างละเอียด) กระดูกหมูต้มซุป 2 ก.ก. ปลาหมึกแห้ง 1/2 ตัว หมูสับ 1/2 ก.ก. ไข่ไก่สำหรับใส่หมูสับ 2 ฟอง หมูสามชั้น 1 เส้น กระเพาะหมู 1/2 ลูก ตับหมู 1 ชิ้น (ประมาณ 2 ขีด) เลือดหมู 2 ก้อน ไส้ตัน เซ็งจี๊ และเครื่องในหมูอื่นๆ ตามที่ชอบ เครื่องเทศ ได้แก่ รากผักชีแยะๆ พริกไทย กระเทียม ขิงแก่ ต้นหอม ผักชีฝรั่ง หอมแดง วิธีต้มข้าวและน้ำซุป ล้างกระดูกหมูใส่หม้อใบใหญ่ๆ ใส่เกลือ ต้มจนเดือด ช้อนฟองออกให้หมด เติมรากผักชี กระเทียม พริกไทย ปลาหมึกแห้ง น้ำตาลกรวด และซีอิ๊วขาว ต้มต่อ เติมตับทั้งชิ้น และหมูสามชั้นทั้งชิ้น ลงต้มในหม้อกระดูกหมูพอตับกับหมูสามชั้นสุกก็เอาขึ้น ตั้งกระดูกหมูบนไฟอ่อนๆ ต่อไปอีกจนน้ำซุปอร่อยได้ที่ เทข้าวที่ปั่นไว้ลงในหม้อใบกลางๆ ค่อยๆ เติมน้ำซุปลงในหม้อข้าว ใช้ทัพพีกวนตลอดเวลาจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันและไม่เป็นก้อน (ทั้งหมดนี้ทำโดยไม่ตั้งไฟ) เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วจึงเติมน้ำซุปลงไปอีก ถ้าชอบโจ๊กข้นๆ ให้ใช้อัตราส่วน ข้าว 1 ถ้วย ต่อน้ำซุป 12 ถ้วย ถ้าชอบใส่ให้ใช้ 1:14 ยกขึ้นตั้งไฟ คอยคนไว้เรื่อยๆ อย่าให้ข้าวติดก้นหม้อ วิธีทำหมูสับ ตําพริกไทย 50 เม็ดให้ละเอียด หั่นรากผักชี 4-5 ราก ตำรวมกับพริกไทย ใส่กระเทียม ตำรวมกัน ใส่หมูสับ 1/2 ก.ก. และไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาลทรายเล็กน้อย ซีอิ๊วขาวนิดหน่อย ตำหมูสับในครกจนหมูค่อนข้างเหนียว พอโจ๊กสุกเปื่อยดีแล้ว ตักหมูสับเป็นก้อนๆ ใส่หม้อโจ๊ก ต้มต่อจนหมูสุก ถ้าเตรียมต้มหรือลวกเครื่องในไว้ ก็ใส่ตอนนี้ได้เลย และใส่เลือดหมูหั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดย่อมๆ (ควรลวกเลือดหมูให้สุกก่อน) เครื่องในแต่ละอย่างมีวิธีทำสลับซับซ้อน ถ้าเขียนในคอลัมน์นี้จะยาวเกินไป อาจใช้วิธีลัดคือไปซื้อเลือดหมูต้มเจ้าอร่อยๆ และใช้เครื่องของเลือดหมูผสมลงไปในหม้อโจ๊กก็ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน ตักโจ๊กใส่ชามโรยหน้าด้วยหมูสามชั้นหั่นชิ้นบางๆ ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง หอมเจียว กระเทียมเจียว น้ำจิ้ม ตําขิงแง่งใหญ่ๆ ให้ละเอียด ใส่น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายแดง ชิมรสให้เปรี้ยวนำเค็มเล็กน้อย ตามด้วยหวาน ใช้จิ้มเครื่องโจ๊ก เป็นของแปลกสำหรับคอโจ๊กชาวไทย แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:19:10 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แกงคั่วส้มเป็ดย่างกับหน่อไม้ดอง แกงคั่วส้มกินอร่อยตรงที่มีรสเปรี้ยวเสริมเข้ามา ทำให้แกงไม่เลี่ยน ยิ่งเป็นรสที่ได้จากผักดองหรือผลไม้ เช่น หน่อไม้ดอง หรือกระท้อนยิ่งจะหอมอร่อยขึ้นมาก วันนี้เราจะทำแกงคั่วส้มเป็ดย่างกับหน่อไม้ดองนะคะ เครื่องปรุง น้ำพริกแกงแดง 2 ขีด รากผักชีตำละเอียด 2 ช้อนชา พริกไทยป่นละเอียด 1 ช้อนชา เป็ดย่างเอาแต่เนื้อ (หั่นชิ้นพอดีคำ) 1/2 ตัว หน่อไม้ดอง ปริมาณเท่าเป็ดย่าง กะทิกระป๋อง (ใหญ่) 1 กระป๋อง กะทิกล่องเล็ก 1 กล่อง ใบมะกรูด 5 ใบ น้ำปลา น้ำตาลปีบ ตามชอบ วิธีแกงก็เหมือนแกงแดงทั่วไป เปิดกะทิเทหัวกะทิลงหม้อครึ่งกระป๋อง ใส่พริกแกงผสมกับรากผักชีและพริกไทยลงไปผัดกับกะทิ จะเอาสามอย่างนี้ตำให้เข้ากันก่อนหรือจะใส่ลงไปกวนให้เข้ากันในหม้อก็ได้ ผัดไปเรื่อยๆ จนมีกลิ่นหอมไม่ต้องสนใจว่ากะทิจะแตกมันหรือไม่ เราไม่แกงแบบหัวกะทิแตกจนเป็นมันอยู่แล้ว พอเครื่องแกงสุกดี เอาเป็ดลงไปผัดปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปีบ และผงชูรสเล็กน้อย ผัดจนเครื่องแกงเข้าเนื้อเป็ด ถึงตอนนี้เติมหน่อไม้ดองลงไปร่วมผัดกับเป็ด อ้อลืมไป 1 ขั้นตอน ก่อนลงมือแกงควรจะเอาหน่อไม้ดองมาเลือกที่แก่ๆ ทิ้งไปให้หมด อย่าไปเสียดมเสียดาย เราไม่ได้ทำแกงคั่วไม้ไผ่นะคะ ล้างหน่อไม้ดองให้สะอาดเสร็จแล้วคลุกด้วยน้ำตาลปีบ 1 ช้อนพร่องๆ ตั้งพักไว้จนผัดเป็ดได้ที่แล้วจึงใส่หน่อไม้ลงไปโดยไม่ต้องล้างน้ำเอาน้ำตาลออก ผัดไปมาจนเข้าเนื้อ ระหว่างผัดให้เติมกะทิลงไปจนหมดกระป๋อง เมื่อผัดจนได้ที่แล้ว ใช้กระป๋องของกะทิตวงเติมน้ำลงไปอีก 1 กระป๋อง ตั้งไฟให้เดือด ชิมดูให้ได้ 3 รส คือ เค็ม เปรี้ยว และหวานพอกลมกล่อม ถ้าไม่เปรี้ยวพอให้เติมน้ำส้มมะขาม แต่โดยปกติแล้วจะไม่ต้องเติมเพราะหน่อไม้เปรี้ยวดีอยู่แล้ว ใส่ใบมะกรูดฉีกลงไปทั้งหมด เปิดไฟแรงๆ ให้แกงเดือดพล่าน ถึงตอนนี้เอากะทิกล่องเล็ก 1 กล่อง เขย่าให้หัว-หางเข้ากัน เทลงหม้อแกงทั้งกล่อง รอให้เดือดอีกปุดเดียวปิดไฟได้เลย แกงหม้อนี้อร่อยจริงๆ เพราะเนื้อเป็ดย่างก็อร่อยในตัวของมันเองอยู่แล้ว มากินแนมกับหน่อไม้ดองยิ่งอร่อยไปใหญ่ ถ้ามีปลาเค็มเป็นเครื่องเคียง โอย ! อร่อยจนบรรยายไม่ถูก ลองทำกินเองก็แล้วกัน ถ้าไม่อร่อยอย่างที่คุยไว้ก็ให้โทษคนทำ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ปลาต้มเค็ม ปลาต้มเค็มนี้มีหลายวิธีด้วยกัน สุพรรณบ้านเราต้มเค็มปลาทูไม่ใส่มะขามเปียก แต่ถ้าต้มปลาตะเพียนจะใส่มะขามเปียกด้วย แต่ที่บ้านจะใส่มะขามเปียกเสมอเพราะชอบรส เมนูนี้เครื่องปรุงมากพอสมควร เริ่มเลยนะคะ ปลาทูสดหรือปลาตะเพียน 2 กิโล, กระเทียม 1 ขีด, น้ำตาลปีปอย่างดี (โตนดหรือมะพร้าวก็ได้), ซีอิ๊วหวาน,ซีอิ๊วดำ, เหล้าจีน,ขิงแก่, อ้อย, พริกแห้งบางช้าง, มะขามเปียก, พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ, รากผักชี 6-7 ราก, มันหมู 2 ขีด หั่นชิ้นใหญ่ๆ เครื่องปรุงครั้งนี้บอกปริมาณทุกอย่างไม่ได้เพราะตอนทำไม่เคยตวงเลย ใช้กะๆ เอา ลองอ่านขั้นตอนดูแล้วอาจจะเกิด 'idea' ว่าจะใช้อะไรสักเท่าไหร่ เริ่มต้นเลยนะคะ ล้างปลาให้สะอาด ให้คนขายปลาดึงไส้ออกให้เรียบร้อย ถ้าเป็นปลาตะเพียนไม่ต้องขอดเกล็ด เอาหม้อใบใหญ่ออกมา ผ่าอ้อยครึ่งซีกวางเรียงห่างๆ ที่ก้นหม้อ เอาปลาวางเรียงลงไปให้หมด เอากระทะตั้งไฟพอร้อน เอามันหมูลงเจียวจนเป็นสีเหลืองทอง ตักน้ำมันออกเหลือพอผัดเครื่อง (กากหมูไม่ต้องเอาออกนะคะทิ้งไว้ในกระทะ) ตำพริกไทย รากผักชี และกระเทียมให้ละเอียดใส่ลงผัดกับมันหมูและกากหมูจนเป็นสีเหลืองทอง ใส่ซีอิ๊วอะไรก็ได้ลงไปเล็กน้อย ซีอิ๊วไหม้จะหอมมาก ใส่เหล้าจีนลงไปสัก 2 ฝา ใส่น้ำตาลปีป 3-4 ช้อนโต๊ะ ลงไปผัดจนละลายดีแต่อย่าเคี่ยวจนขมนะคะ ใส่ขิงทุบลงไป 1-2 แง่ง พริกชี้ฟ้าแห้ง 7-8 หน่วย มะขามเปียกแกะเม็ดแล้ว 3-4 ฝัก เติมน้ำลงไปผัดพอเดือด เทราดลงบนตัวปลา เติมน้ำเปล่าลงไปจนท่วมปลาที่เตรียมไว้ ยกขึ้นตั้งเตา ถ้าเป็นเตาถ่านก็จะดี ต้มจนน้ำเดือด ชิมรสดู เติมเกลือ น้ำปลา น้ำตาล และซีอิ๊วต่างๆ จนรสจัดมากๆ โดยให้เค็มนำหวาน รสต้องจัดจริงๆ นะคะ ต้มแล้วถึงจะอร่อย ถ้าไม่รังเกียจผงชูรสให้เติมตอนนี้ จะเติบซุปไก่คนอร์ด้วยก็ได้ เพื่อความกลมกล่อม ตั้งเตาถ่านต้มรุมๆ เปิดฝาหม้อทิ้งไว้ เดินผ่านก็หมุนหม้อเสียหน่อยพอให้ปลาไม่ติดก้นหม้อ ถ้าน้ำเกือบแห้งแล้วปลายังไม่แข็งได้ที่ก็ให้เติมน้ำและปรุงรสอีกครั้ง คราวนี้ปรุงให้เค็มหวานกลมกล่อมเท่าที่เราชอบไม่ต้องให้จัดเท่าครั้งแรก ต้มไปเรื่อยๆ จนน้ำงวด เนื้อปลาแข็งได้ที่ ถ้าเป็นปลาตะเพียนก้างเล็กๆ จะหายไปหมด กินสบายๆ ไม่ต้องระวัง เป็นอาหารที่ใช้เวลาทำนานแต่ก็อร่อยคุ้มค่า รับประทานกับพริกขี้หนูซอย หอมแดงซอย บีบมะนาวอีกหน่อย แค่เห็นก็น้ำลายสอแล้ว จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 49 แกงcurryญี่ปุ่น อาหารจานนี้เหมาะกับเยาวชนคนรุ่นใหม่นะคะ เป็นจานที่ถ้าไปซื้อตามร้านญี่ปุ่น ต้องจ่ายถึงเลขสามหลัก ทำเองจะถูกกว่ามากค่ะ สูตรที่ให้ในวันนี้ปรับรสจนถูกปากเยาวชนไทย ลองพิจารณาดูนะคะ เครื่องปรุง เนื้อไก่ หั่นชิ้นเล็กๆ 1 ก.ก. เครื่องแกงcurryญี่ปุ่น 1 กล่องเล็ก เครื่องแกงcurryไทย 2 ช้อนโต๊ะ กะทิ 1 กล่อง (เล็ก) มันฝรั่งหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 หัวใหญ่ แคร์รอตหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 หัวใหญ่ หอมใหญ่หั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ 1 หัวใหญ่ เครื่องปรุงรสอื่นๆ เช่น Hon Dashi เกลืออาโรมาต และเหล้าญี่ปุ่นชื่อมิริน (ทั้ง 3 อย่างนี้ไม่ใช้ก็ได้แต่จะอร่อยผิดกัน) เริ่มต้นแกงเลยนะคะ เอากะทิกล่องเล็กเทลงในหม้อขนาดกลางตั้งไฟพอเดือด ใส่น้ำพริกแกงcurryไทยลงไปผัดจนหอมเติมหอมใหญ่ลงผัดจนสุก ใส่ไก่หั่นชิ้นเล็กๆ คล้ายแกงไก่ไทยลงผัด บิเครื่องแกงญี่ปุ่นใส่ลงผัด 2 ก้อน (1 ห่อมี 6 ก้อน) เติมเกลือ พริกไทย ถ้ามีเหล้ามิริน ผง Hon Dashi และอาโรมาตให้เติมลงไปตอนนี้ ถ้าไม่มีให้เติมซุปไก่ก้อนคนอร์และเหล้าจีนแทน ผัดไปผัดมาจนหอม ระหว่างผัดถ้าเครื่องจะไหม้ให้เติมน้ำเล็กน้อย ใส่มันฝรั่งและหอมใหญ่ผัดพอไก่สุก เติมน้ำให้ท่วมเนื้อ แต่อย่าให้มากเกินไป ใส่เครื่องแกงที่เหลืออีก 4 ก้อนคนจนละลาย ตอนนี้น้ำแกงจะข้นแบบแกงญี่ปุ่น ชิมรสดูอีกครั้ง ถ้าอ่อนเค็มให้เติมน้ำปลาได้ ไม่เสียรสหรอกค่ะ ถ้าอ่อนหวานก็ต้องเติมน้ำตาลแน่อยู่แล้ว เคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 30 นาที ให้แคร์รอตและมันนุ่มเป็นอันว่าใช้ได้ ระหว่างที่เคี่ยวไฟอ่อนๆ ต้องระวังอย่าให้ไหม้ติดก้นหม้อ ต้องใช้ทัพพีไม้คนอยู่เสมอๆ คนเบาๆ อย่าให้เครื่องเละไปหมด ตักราดข้าวญี่ปุ่นกินร้อนๆ เด็กๆ ชอบมากค่ะ ถ้าจะให้ครบเครื่องแกงcurryนี้ต้องรับประทานกับหมูทอดแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ตงคัทชึ ซึ่งจะเขียนถึงในโอกาสต่อไป คงจะเขียนควบไปกับการทำข้าวหน้าหมูที่เรียกว่า คัทซึด้ง ตอนนี้ติดไว้ก่อนก็แล้วกัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แวะมาเซฟค่ะ ถึงจะตัดแปะมาก็ต้องขอขอบคุณในน้ำใจ อยากกินตะโก้ลำไยค่ะแต่ทำไม่เป็น ยิ่งบอกว่าให้เตรียมเครื่องไว้ 2 ชุดสำหรับมือใหม่เผื่อหน้าเสีย กลัวเราจะเสียหน้าไปด้วยสิ จากคุณ : ตรีนุช3903 - [ 29 เม.ย. 47 19:25:27 A:212.11.35.183 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 หนำเลี้ยบนรก รายการอาหารวันนี้ชื่อค่อนข้างรุนแรง เพื่อนๆ ที่เคยรับประทานขอให้เติมสร้อยท้ายชื่อว่า นรก...ป๊อบแป๊บ เพราะจะไม่ลงไปเยี่ยมเลยก็กระไรอยู่ ด้วยแน่ใจว่าคงมีคนรู้จักพอสมควร แต่ถ้าจะให้อยู่นานก็เกรงใจ สูตรเด็ดจานนี้เป็นของผู้อาวุโสที่เป็นคอเหล้าร่วมขวดกับคนที่บ้าน ผู้อ่านคงเดาได้ว่า อาหารจานนี้ ต้องรสจัดแน่ เริ่มเข้าครัวเลยนะคะ เครื่องปรุงประกอบด้วย - หนำเลี้ยบ 1 กระป๋อง ขูดเอาแต่เนื้อ สับหยาบๆ - หมูสับ 3 หรือ 4 ขีด - พริกขี้หนูสวน เท่าที่ชอบ ซอยละเอียด - มะนาว 4-5 ลูก - กระเทียม เท่าที่ชอบ ปอกเปลือก สับละเอียด - ซีอิ๊วดำเล็กน้อย - พวกกระทะ ตะหลิวคงมีกันอยู่แล้วนะคะ วิธีทำ สับกระเทียม เจียวกับน้ำมันพอเหลือง ถ้าชอบกลิ่นพริกแห้งให้เติมพริกป่นลงไปตอนนี้สักเล็กน้อย ใส่หมูสับลงไปผัด ถ้าชอบเค็มจัดให้ใช้หมู 3 ขีด ถ้าไม่ใช่คนกินเค็มให้ใช้หมู 4 ขีด ผัดสักครู่พอให้หมูสุกครึ่งทาง ใส่หนำเลี้ยบทั้งหมด ผัดจนสุกหอม เติมซีอิ๊วดำพอให้สีสวย เราไม่ต้องการรสเค็มจากเครื่องปรุงอื่นเพราะหนำเลี้ยบก็เค็มจัดอยู่แล้ว โรยน้ำตาลทรายแดงหรือขาวก็ได้ เพียงเล็กน้อยพอให้รสกลมกล่อม ใส่พริกขี้หนูซอยลงไปให้เผ็ดสะใจ ผัดอีกสักครู่ คราวนี้ปิดไฟได้ เติมมะนาวลงไป ชิมรสให้เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ซู่ซ่าจนเหงื่อแตก ถ้ายังไม่อร่อยพอ ให้เจียวกากหมูชิ้นเล็กๆ จนกรอบ โปรยและเคล้าให้ทั่ว ตักคลุกข้าวร้อนๆ โอย...อร่อยอย่าบอกใคร ยังค่ะ ยังไม่จบ มีอนุสนธิ ถ้ากินไม่หมด ยังยักย้ายเอาไปทำข้าวผัดหนำเลี้ยบได้อีกด้วย เอาข้าวสวยลงไปผัดกับหนำเลี้ยบนรกของเราจนได้รสกลมกล่อม ตักข้าวผัดใส่ถ้วยคว่ำลงกลางจาน แต่งรอบๆ จานด้วยกุนเชียงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า คั่วจนกรอบนอกนุ่มใน เม็ดมะม่วงหิมพานอีกกองเล็กๆ ไข่ทอดบางๆ หั่นเป็นเส้นเล็กๆ แตงกวาหั่นเป็นแว่นๆ กรอบเย็นน่ารับประทาน เอาผักชีโรยหน้าเสียหน่อย คนเค้าจะได้รู้ว่าอาหารจานนี้ทั้งสวยทั้งอร่อย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:25:55 ]

ความคิดเห็นที่ 52 น้ำมะเฟือง เครื่องปรุง มะเฟือง ซึ่งคงจะกะเป็นลูกยากเพราะใหญ่เล็กไม่เท่ากัน คะเนให้หั่นแล้วเต็ม Blender น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 1 1/2 ถ้วย เกลือ และมะนาว วิธีทำ เคี่ยวน้ำเชื่อม พักไว้ให้เย็น ฝานมะเฟือง เอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กๆ ใส่โถปั่นจนเกือบเต็ม (อย่าให้เต็มนะคะ เดี๋ยวปั่นแล้วจะล้น) เติมน้ำเชื่อมและเกลือประมาณ 2 ช้อนชา ปั่นส่วนผสมทั้งหมดนี้ด้วย Blender จนละเอียด กรองด้วยกระชอนตาถี่ๆ เอาแต่น้ำและเนื้อที่ติดลงไปเล็กน้อย ชิมรสอีกครั้ง ถ้าชอบเปรี้ยวให้เติมมะนาว ถ้าจะให้รสแหลมก็แต่งรสด้วยเกลือ ถ้าหวานเกินไปก็ให้จางรสด้วยน้ำสุกเย็น เทน้ำมะเฟืองลงบนน้ำแข็งบดละเอียด เพื่อให้เย็นเจี๊ยบ แต่งปากแก้วด้วยมะเฟืองฝานเป็นรูปดาว ดูก็สวย กินก็ได้ แค่นี้ก็ชื่นใจรับหน้าร้อน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สาคูแคนตาลูป เครื่องปรุง สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วย น้ำตาล 1 1/2 ถ้วย น้ำ 1 1/2 ถ้วย หัวกะทิ (กระป๋อง) 3/4 ถ้วย แคนตาลูป 1 ลูก นมสด 1/4 ถ้วย วิธีทำ ตั้งหม้อน้ำต้มจนเดือดพล่าน เทสาคูลงต้ม หมั่นคนบ่อยๆ อย่าให้ติดก้นหม้อ ต้มจนสาคูสุก เหลือไตขาวๆ เท่าปลายเข็ม เทใส่กระชอน และแช่ในน้ำเย็น สาคูจะใสทั้งเม็ด หายเป็นไต ล้างน้ำเย็นอีก 2-3 ครั้งจนหมดเมือก ใส่กระชอนพักไว้ ต้มน้ำเชื่อมตามสัดส่วนที่ให้ไว้ พอน้ำตาลละลายพักไว้ให้เย็น เลือกแคนตาลูปที่สุกหวาน ผ่าและใช้ที่ตักผลไม้ตักเป็นลูกกลมๆ จนหมดลูก เศษที่เหลือเอาไปผสมกับน้ำเชื่อมครึ่งส่วน ใส่ Blender ปั่นให้ละเอียด สาคูที่พักไว้ ให้นำมาล้างอีกครั้ง หรือหลายครั้งเพื่อให้หมดเมือก เกรอะให้สะเด็ดน้ำ เทใส่ชามแก้วสวยงามตามด้วยหัวกะทิ แคนตาลูปทั้งลูก และที่ปั่นแล้ว นมสด และน้ำเชื่อมที่เหลือให้ใส่หลังสุด เพราะถ้าไม่ชอบหวานจัด ก็ใส่แต่พอดีเท่าที่ชอบ สาคูสูตรนี้เพิ่มผมไม้อื่นๆ เช่น แตงโมหรือมะพร้าวอ่อนก็เข้ากันได้ดีค่ะ รับประทานเย็นๆ ชื่นใจ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:27:52 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แหนมเนือง ส่วนผสม หมูยอสด 1/2 กิโลกรัม มันหมูแข็งหั่นเป็นชิ้นเล็ก 50 กรัม กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา พริกไทยป่น 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าให้เข้ากัน นวดจนเหนียวเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปั้นเป็นลูกๆ ขนาดเท่ากับลูกชิ้น ใช้ไม้เสียบไม้ละ 4-5 ลูก 2. นำไปย่างไฟจนสุกเหลือง เสร็จแล้วจัดใส่จานพร้อมผักและเครื่องเคียง ประกอบด้วยมะเฟือง แตงกวา กล้วยน้ำว้าดิบ กระเทียม พริกขี้หนู และแผ่นแป้ง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซึ่งมีส่วนผสมดังต่อไปนี้ ส่วนผสมน้ำจิ้ม - มันฝรั่งปอกเปลือกหั่นบาง 1 หัว ข้าวเหนียวดิบ 2 กำมือ เต้าเจี้ยว 5 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำคือ นำส่วนผสมทั้งหมดมารวมกัน ต้มจนเปื่อยแล้วนำลงมาจากเตา พักไว้ให้เย็นแล้วบดให้ละเอียด เวลาเสิร์ฟโรยด้วยถั่วป่น งาคั่ว และพริกบด จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 55 พิซซ่าต้มยำกุ้ง ส่วนผสม แป้งพิซซ่าขนาดกลางอบสุกแล้ว มะเขือเทศบด 50 กรัม มอสซาเรลลาชีส 70 กรัม กุ้งแชบ๊วยขนาดกลาง 6 ตัว เห็ดฟางผ่าซีก 20 กรัม น้ำพริกเผา 2 กรัม ตะไคร้ซอย 10 กรัม ข่าหั่นฝอย 5 กรัม ใบมะกรูดซอย 2 กรัม ผักชีฝรั่งหั่นฝอย 2 กรัม น้ำซุปไก่ 2 ถ้วย วิธีทำ 1. ต้มน้ำซุปไก่ให้เดือด จากนั้นใส่ตะไคร้และเครื่องปรุงทั้งหมดลงไปต้มประมาณ 5 นาที 2. ใส่กุ้ง เห็ดฟาง และน้ำพริกเผาตามลงไปรอให้เดือด แล้วใส่น้ำปลา น้ำมะนาว ยกลงจากเตาพักไว้ 3. เตรียมซอสโดยการผสมมะเขือเทศบดกับน้ำพริกเผา ตะไคร้ซอย แล้วราดลงบนแป้งพิซซ่าที่เตรียมไว้ 4. จากนั้นใส่กุ้งที่ปรุงแล้ว โรยมอสซาเรลลาชีสด้านบน แล้วอบไฟประมาณ 200 องศาเซลเซียส 3-4 นาที จากนั้นโรยหน้าด้วยใบผักชีฝรั่งหั่นฝอย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แซลมอนสลัด ส่วนผสม ผักกาดแก้ว 200 กรัม ซีซาร์เดรสซิ่ง 100 กรัม เบคอนทอดกรอบ 50 กรัม ขนมปังกรอบทาเนย 30 กรัม พาเมซานชีส 40 กรัม ต้นหอมซอยฝอย 10 กรัม ไข่ขาวขูดต้มฝอย 5 กรัม ไข่แดงขูดฝอย 5 กรัม มะเขือเทศหั่นชิ้นเล็ก 5 ชิ้น ผักน้ำ 5 ต้น ปลาแซลมอนจับเป็นดอกกุหลาบ 3 ชิ้น วิธีทำ 1. ผักกาดแก้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำมาคลุกรวมกับน้ำสลัดซีซาร์ให้เข้ากัน ตักใส่จานที่รองด้วยผักน้ำ 2. ต่อจากนั้นนำพาเมซานชีส ต้นหอมซอย ไข่ขาวต้ม ไข่แดงต้ม มะเขือเทศ โรยลงบนผักกาดแก้ว 3. นำปลาแซลมอนแล่เป็นชิ้นบางๆ จับเป็นรูปดอกกุหลาบวางบนผัก แล้วเติมน้ำสลัดลงไปอีก สูตรโดย โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ปลาโซลมารีเนต ส่วนผสม เนื้อปลาโซล หรือเนื้อปลาอื่นๆ ตามชอบ 150 กรัม ผักชีไทยสับ 5 กรัม ใบโหระพาสับ 5 กรัม กระเทียมสับ 5 กรัม ไทม์ 2 กรัม น้ำมันมะกอก 10 กรัม ไวน์ขาว 10 กรัม พริกหวานแดงหั่นเต๋า 10 กรัม เกลือป่น 5 กรัม พริกไทยป่น 5 กรัม เนย 30 กรัม มันอัดแท่งทอด 60 กรัม ผักขม 80 กรัม มะนาวหั่นชิ้นบาง 1 ชิ้น วิธีทำ 1. นำปลาโซลมาหมักด้วยผักชีสับ ใบโหระพาสับ กระเทียมสับ ไทม์ ไวน์ขาว เกลือป่น พริกไทยป่น ย่างให้สุกพอประมาณ แล้วตักใส่จาน 2. ตั้งกระทะให้ร้อน เอาผักขมมาผัดกับเนยและกระเทียมสับเป็นเครื่องเคียง ตกแต่งด้วยมะนาวฝานและพริกแดงหวาน เสิร์ฟพร้อมมันทอด สูตรโดย โรงแรมบางกอกพาเลซ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 58 กระทงทองเจ ส่วนผสมไส้กระทงทอง โปรตีนเกษตร 1/2 ถ้วยตวง แป๊ะก๊วยหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วยตวง แครอตหั่นละเอียด 1/2 ถ้วยตวง ถั่วลันเตา 1/2 ถ้วยตวง เห็ดหอมสด 1/2 ถ้วยตวง เห็ดเข็มทอง 1/2 ถ้วยตวง พริกหวานสีแดง 1/2 ถ้วย ข้าวโพด 1/2 ถ้วยตวง ขึ้นฉ่าย 1/4 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. ใส่น้ำมันงาลงกระทะพอได้กลิ่นหอม 2. ใส่แป๊ะก๊วย แครอต ถั่วลันเตา ข้าวโพด เห็ดหอมสด พริกหวาน ขึ้นฉ่าย เห็ดเข็มทองผัดให้สุก ใส่เกลือป่น น้ำตาล ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น แล้วยกลง 3. ตักใส่กระทง แต่งด้วยใบขึ้นฉ่าย สูตรโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:32:56 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เบอร์เกอร์กุ้งทิพย์ วิธีทำซอสขาว ใส่เนยลงในกระทะ ตั้งไฟพอเนยละลาย ใส่หอมหัวใหญ่ ผัดให้สุกจนใสแล้วใส่แป้งสาลีลงไปผัดให้ทั่ว ตามด้วยพริกไทย เกลือ นมสด คนให้ทั่ว ใส่ใบกระวาน พอเดือดข้นแล้วยกขึ้น วิธีทำ 1. ใส่กุ้งชุบแป้งทอดลงในกระทะซอส ยกตั้งไฟอีกครั้ง พอร้อนทั่ว เติมแครอต ถั่วลันเตาเม็ด 2. ตักกุ้งที่ได้ลงในเบอร์เกอร์ หรือรับประทานกับข้าวสวยก็ได้ สูตรโดย อาหารแช่แข็งตราพีเอฟพี แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:33:52 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:33:31 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ยำปลาเนื้ออ่อนทอดสมุนไพร ส่วนผสมในการทำยำปลาเนื้ออ่อนทอดสมุนไพร ปลาเนื้ออ่อน 1 ตัว มะม่วงหิมพานต์ทอด 20 กรัม หอมแดงเจียวกรอบ 10 กรัม ตะไคร้ทอดกรอบ 10 กรัม กระเทียมทอดกรอบ 10 กรัม พริกแห้งทอดกรอบ 10 กรัม ใบมะกรูดทอดกรอบ 5 ใบ น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1/2 ลิตร ส่วนผสมน้ำจิ้ม พริกขี้หนูสวนหั่น 10 เม็ด กระเทียมสับ 3 กลีบ หอมแดงซอย 1 หัว น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. นำปลาเนื้ออ่อนคลุกเคล้ากับน้ำปลา พริกไทยป่น และน้ำตาลทราย จากนั้นนำไปทอดให้กรอบแล้วใส่จาน 2. โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด หอมแดงทอดกรอบ ตะไคร้ทอดกรอบ พริกแห้งทอดและใบมะกรูดทอด 3. นำส่วนผสมของน้ำจิ้มมาผสมเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วเสิร์ฟพร้อมกับปลาทอด สูตรโดย ห้องโกลด์ทีค โรงแรมเดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:34:53 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ทะเลผัดนมสด ส่วนผสม กุ้งสด 40 กรัม เนื้อปลา 40 กรัม หอยเชลล์ 40 กรัม เนื้อปู 40 กรัม ไข่ขาว 100 กรัม นมสด 100 กรัม แป้งมัน 15 กรัม น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/3 ช้อนชา น้ำมันพืช วิธีทำ 1. นำกุ้งสด เนื้อปลา หอยเชลล์ และเนื้อปู ไปลวกพอสุก ตักขึ้นพัก 2. ผสมไข่ขาวกับนมสดตีให้เข้ากัน จากนั้นเติมแป้งมัน เกลือ และน้ำตาลลงไป คนให้เข้ากัน 3. ใส่เนื้อสัตว์ลงไปในส่วนผสมที่ 2 และคนให้เข้ากัน 4. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน เทส่วนผสมที่ 3 ลงไป ผัดให้สุกจนอาหารแห้งพอประมาณ สูตรโดย โรงแรม เลอรอยัลเมอริเดียน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แซนด์วิชมะเขือเทศกับพาร์ม่าแฮม ส่วนผสม ขนมปังพานีนี่ รสโหระพา 150 กรัม พาร์ม่าแฮม 50 กรัม มะเขือเทศปอกเปลือก 100 กรัม ใบกะเพราสด 5 ใบ เนยแข็งมอสซาเรลล่า 80 กรัม ซอสใบโหระพาที่ได้จากนำโหระพามาบดกับน้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอก วิธีทำ 1. นำขนมปังพานีนี่หรือขนมปังอื่นตามชอบ มาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทาด้านในด้วยซอสใบโหระพาทั้งสองด้าน 2. นำมะเขือเทศ ใบกะเพราวางบนขนมปัง พร้อมหยดน้ำมันมะกอกเล็กน้อย วางพาร์ม่าแฮมและเนยแข็ง แล้วเอาขนมปังประกบเข้าด้วยกัน 3. เอาแซนด์วิชเข้าเครื่องอบจนเนยแข็งละลาย เสิร์ฟพร้อมสลัดหรือมันฝรั่งทอด สูตรโดย โรงแรมแลนด์มาร์ค แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:36:45 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณ คุณพิม กับ คุณตรีนุช3903 นะคะ ที่เข้ามาทักทายและเยี่ยมชมกิจการ เอ๊ย! ผลงานของ kaewwann  นะคะ พอดีว่าเมื่อวานเห็นสูตรอาหารพวกนี้แล้วชอบค่ะ ก็เลยอยากจะนำมาฝากห้องแม่บ้านเผื่อว่านึกเมนูให้คุณหนูๆกับคุณผู้ชายที่บ้านไม่ออกน่ะค่ะ เผื่อกระทู้ของ kaewwann จะเป็นประโยชน์มั่งน่ะค่ะ พอดีว่าว่างๆน่ะค่ะ อยากจะทำตัวให้มีประโยชน์ต่อห้องแม่บ้านหน่อยน่ะค่ะ ขอบคุณทุกคนนะคะที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอให้ทำอาหารให้สนุกนะคะ(อร่อยด้วย)ค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 19:41:14 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เกี๊ยวซีฟู้ดชาเขียว ส่วนผสมไส้ กุ้งสดหั่นเป็นชิ้นเล็ก 200 กรัม หอยเชลล์หั่นเป็นชิ้นเล็ก 200 กรัม เนื้อปู 200 กรัม มันหมูแข็งหั่นเป็นชิ้นเล็ก 200 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา น้ำตาล 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่นเล็กน้อย น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหมูเจียว 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมแป้งห่อ แป้งมันฮ่องกง 400 กรัม แป้งมันตั่งหมิ่น 400 กรัม ชาเขียวพอประมาณ วิธีทำไส้ 1. นำกุ้งสด หอยเชลล์ เนื้อปู มันหมูและน้ำมันงามาคลุกผสมกัน 2. ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยและน้ำตาล ใส่น้ำมันหมูเจียวลงคลุกให้เข้ากันแล้วพักไว้ วิธีทำแป้งห่อ 1. ต้มน้ำใส่ชาเขียวลงไปทิ้งไว้พอหอมและน้ำเป็นสีเขียว พักไว้ให้น้ำลดอุณหภูมิจนเป็นน้ำอุ่น 2. นำแป้งสองชนิดมาผสมให้เข้ากัน ค่อยๆ เทน้ำชาเขียวลงไปในแป้ง นวดแป้งให้นุ่มเข้ากัน 3. นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นตีให้แบนเป็นแผ่นวงกลม 4. ตักส่วนผสมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ วางตรงกลางแป้งห่อ จากนั้นห่อปิด แล้วเอาไปนึ่งในรังถึงขณะน้ำเดือดจัดเป็นเวลา 10 นาที หรือจนแป้งใส สูตรโดย โรงแรมเลอรอยัล เมอริเดียน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขนมเบื้อง์ ์ ์ ส่วนผสมไส้ - หมูสับ 200 กรัม เห็ดหอมสับ 5 ดอก เห็ดหูหนูสับ 5 ดอก ต้นหอมซอย 2 ต้น ถั่วงอกดิบ 2 ช้อนโต๊ะ กุยช่ายตัดเป็นท่อน 2 ต้น กุ้งลวกให้สุกผ่าครึ่ง 2 ตัว วิธีทำ- ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ นำหมูสับผัดลงพอสุกใส่เห็ดหอม เห็ดหูหนูสับ ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลทราย พริกไทย พอสุกใส่ต้นหอมซอยพักไว้ ส่วนผสมแป้ง - แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย แป้งมัน 1/3 ถ้วย ขมิ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ กะทิสด 1/2 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา น้ำเปล่า 3 ถ้วย วิธีทำ - ผสมแป้งในชามให้เข้ากัน เสร็จแล้วตั้งกระทะบนไฟร้อนๆ ทากระทะด้วยน้ำมันพืชบางๆ แล้วราดส่วนผสมของแป้งลงบนกระทะ เอียงกระทะไปรอบๆ ให้แป้งที่ผสมไหลทั่วกระทะ เสร็จแล้วให้ลดไฟลง ตักถั่วงอกวางตรงกลางกระทะ ใส่ไส้ที่ผัดวางบนถั่วงอกแล้วใส่กุยช่าย กุ้งลวก พอแป้งกรอบตักพับครึ่งแผ่นและใส่จานเสิร์ฟ สูตรโดย โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 66 น่องไก่ซาร่า ์ เครื่องปรุง น่องไก่ 2 น่อง ไก่บดประมาณ 50 กรัม กุ้งบด 50 กรัม ปู 50 กรัม เห็ดหอมประมาณ 3 กรัม เห็ดฟาง 50 กรัม วุ้นเส้น 50 กรัม กระเทียม 3 หัว รากผักชี 5 ราก พริกไทย 5 เม็ด เกลือ 1 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืชสำหรับทอด วิธีทำ นำน่องไก่มาล้างแล้วซับน้ำให้แห้ง เลาะกระดูกออกแล้วพักไว้ เอารากผักชี พริกไทย กระเทียมมาตำให้ละเอียด เอามาคลุกกับไก่ กุ้ง ปู ที่บดเอาไว้ ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย เห็ดหอม น้ำมันงา เห็ดฟาง วุ้นเส้น แล้วนำไปยัดไส่น่องไก่ที่เลาะเอากระดูกออก นำไปนึ่งให้สุกแล้วนำมาทอดจนเหลือง รับประทานกับน้ำจิ้มตามชอบ สูตรโดย ห้องอาหารซาร่า โรงแรมนิวเวิลด์ ลอดจ์ ถนนสามเสนซอย 2 โทร. 0-2281-5596 พร้อมมอบส่วนลดทันที 20% เมื่อมาใช้บริการ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:45:24 ]

ความคิดเห็นที่ 67 พิซซ่าทะเล ส่วนประกอบแป้งพิซซ่า ยีสต์แห้ง 7 กรัม น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา น้ำอุ่น 3/4 ถ้วย แป้งขนมปัง 2 1/2 ถ้วย เกลือ 1/2 ช้อนชา ส่วนประกอบหน้าพิซซ่า ซอสมะเขือเทศกระป๋อง 3/4 ถ้วย กุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่หรืออาหารทะเลอื่นๆ ตามชอบลวกให้สุกเล็กน้อย 120 กรัม ใบโหระพาสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ พริกเขียวฝรั่งหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก 20 กรัม พริกแดงฝรั่งหั่นลูกเต๋า 10 กรัม หอมใหญ่หั่นเป็นแว่นบาง 1/2 ลูก มอสซาเรลล่าชีสขูดฝอย 1 ถ้วย พาร์เมซานชีสขูดฝอย 1/4 ถ้วย วิธีทำ 1. ผสมน้ำตาลทราย ยีสต์และน้ำในภาชนะให้ละลายเข้ากัน ระวังอย่าให้น้ำร้อนเกินไปเพราะจะทำให้ยีสต์ตาย 2. ผสมแป้งและเกลือให้เข้ากันแล้วใส่ส่วนผสมข้อ 1 ลงไป นวดให้กลมกลืนโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที แล้วรีดแผ่นแป้งให้หนาพอประมาณ ตัดเป็นแผ่นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซ.ม. 3. ทาหน้าแป้งพิซซ่าด้วยซอสมะเขือเทศให้ทั่วแผ่น จัดเรียงอาหารทะเล โรยหน้าด้วยใบโหระพา พริก หอมใหญ่ ตามด้วยชีส อบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20-25 นาที สูตรโดยโรงแรมเรดิสัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:46:45 ]

ความคิดเห็นที่ 68 กุ้งทอดผัดซอสแซมบ้า ส่วนผสม กุ้งกุลาดำ 10 ตัว ผักบุ้ง 2 ขีด พริกชี้ฟ้าแดง 10 กรัม พริกหยวกฝรั่ง 10 กรัม พริกแห้งเม็ดใหญ่ 1/2 ขีด หอมหัวใหญ่ 1/2 ขีด มะขามเปียก 1 ขีด กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา ซุปก้อน 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 3 ช้อนชา กุ้งแห้ง 1/2 ขีด วิธีทำ 1. นำกุ้งมาทอดให้สุกพอดี หั่นพริกหยวกฝรั่ง พริกชี้ฟ้า นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปทอดในน้ำมันพอร้อน รีบตั้งขึ้นพัก 2. นำผักบุ้งลวกให้สุกตักขึ้นวางบนจานที่จะเสิร์ฟ 3. ทำซอสแซมบ้าโดยนำพริกแห้งเม็ดใหญ่ หัวหอมใหญ่ หอมแดง มะขามเปียก กะปิ น้ำปลา น้ำตาลทราย ซุปก้อน น้ำมันพืชและกุ้งแห้งมาผสมให้เข้ากัน ชิมให้มีรสชาติเปรี้ยวเค็มพอดีและให้มีรสหวานนิดหน่อย 4. นำซอสแซมบ้าที่ปรุงแล้วใส่กระทะตั้งไฟ นำกุ้ง พริกหยวก พริกชี้ฟ้าแดง ใส่ตามลงไปผัดให้เข้ากันดี แล้วตักขึ้นใส่จานที่มีผักบุ้งรองไว้แล้ว สูตรโดย โรงแรมเอเชีย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ปลาหิมะนึ่งหนำเลี้ยบ ส่วนผสม ปลาหิมะ 1 ตัว กระเทียมแกะเปลือก 8 กลีบ หนำเลี้ยบ 6 เม็ด พริกชี้ฟ้าแดงหั่น 3 เม็ด ต้นหอมซอยเป็นเส้น 150 กรัม น้ำมันพืช เครื่องปรุง น้ำซุป 1 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนชา วิธีทำ 1. นำกระเทียม หนำเลี้ยบ พริกแดงคั่วกับน้ำมันจนหอม แล้วนำมาราดบนเนื้อปลาหิมะ 2. นำปลาไปนึ่งประมาณ 6 นาที แล้วโรยด้วยต้นหอมเส้น 3. นำเครื่องปรุงที่เตรียมไว้มาราดบนปลาหิมะ สูตรโดย โรงแรมแกรนด์ไชน่าปริ๊นเซส จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จ๋วย หว่า ฮม เจียน ไกว ส่วนผสม กล้วยหอมสุก แป้งสาลี 1 ถ้วย ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันสลัด 4 ช้อนโต๊ะ ผงฟู 1 ช้อนชา กลิ่นวานิลา 2 ช้อนชา น้ำเปล่า วิธีทำ ตอกไข่ใส่ชามผสมกับน้ำตาลทราย น้ำมันสลัด ผงฟู วานิลา ตีให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งสาลีผสมกับน้ำพอประมาณ อย่าให้น้ำเยอะเกินไปเพราะจะทำให้แป้งไม่จับกล้วย เสร็จแล้วเอากล้วยหอมผ่าครึ่ง ชุบแป้งทอดจนเหลือง ใส่จานและโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่ง สูตรโดย โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ปลานิลทอดผัดป่า "ปลานิลทอดผัดป่า" สูตรนี้อรพิมทดลองปรุงด้วยตนเองอีกครั้งเนื่องจากเบื่อกับรสชาติจำเจที่ซื้อปลานิลมาทีไรเป็นต้องทอดกระเทียมพริกไทย หรือทอดให้เหลืองกรอบแล้วจิ้มน้ำจิ้มรสแซบ ไม่อย่างนั้นก็ราดพริกเป็นอย่างนี้ทุกที หันมาเปลี่ยนการปรุงดูบ้าง คุณแม่บ้านลองทำไปพร้อมๆ กันนะคะ รับรองว่าเป็นเมนูรวดเร็ว อร่อยด้วย เริ่มจากซื้อปลานิล หรือจะเปลี่ยนเป็นปลาทับทิมก็ได้ค่ะ 1 ตัว แต่อรพิมไม่ชอบเท่าไรนัก สำคัญต้องสดค่ะ โดยดูสีของเหงือกต้องแดงสด นัยน์ตาใส เกล็ดใสสมบูรณ์ไม่ถลอกปอกเปิก จากนั้นบอกผู้ขายให้ทำปลาสำหรับนำไปทอด เพียงเท่านี้เขาก็จะจัดการให้เราได้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหาซื้อมะเขือเปราะ 3 - 4 ลูก มะเขือพวงด้วยก็ได้ถ้าชอบ กระชายหั่นฝอย พริกไทยอ่อน ใบมะกรูด กะเพรา พริกเหลือง พริกขี้หนูสด พริกขี้หนูแห้ง กระเทียม เริ่มจากโขลกเครื่องปรุงก่อน นำพริกแห้ง พริกขี้หนูสด (แล้วแต่ชอบเผ็ดมากน้อย) กระเทียม พริกไทยเม็ด (แบบแห้ง) ใส่ครกโขลกให้ละเอียด ใส่น้ำมันมากๆ ลงในกระทะ นำปลาลงทอดให้เหลืองทั้งสองด้าน หรือจะใส่เกลือเล็กน้อยลงไปในกระทะด้วยก็ได้เพื่อไม่ให้ปลาติดกระทะเวลาทอด สุกแล้วตักปลาใส่จาน จากนั้นหั่นมะเขือเปราะ เด็ดกะเพรา หั่นพริกเหลืองตามยาว แล้วหั่นพริกไทยอ่อนเป็นท่อนๆ เตรียมไว้ ใส่น้ำมันลงในกระทะเล็กน้อย นำพริกแกงที่โขลกไว้เรียบร้อยลงผัดให้หอม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 - 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดที่เตรียมไว้โดยใส่มะเขือเปราะประมาณ 3 - 4 ลูก (หั่นเรียบร้อยแล้ว) มะเขือพวง ตามด้วยกระชาย พริกไทยอ่อน พริกเหลือง กะเพรา โดยกะเกณฑ์พอประมาณ ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย นำไปราดบนตัวปลาหรือจะนำปลาลงคลุกในเครื่องปรุงแบบเร็วๆ แล้วตักขึ้นก็ได้ เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะกับเมนูอร่อยแบบเผ็ดร้อน หวังว่าคุณแม่บ้านพ่อบ้านที่สนใจเข้าครัวคงทำได้ไม่ยากนัก เรื่องของรสชาติสามารถปรุงได้ตามชอบ แต่เน้นให้ออกรสจัดเผ็ด เค็ม หวานจะเข้ากันได้ดีเมื่อรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หวังว่าเมนูนี้คงเป็นอีกหนึ่งรายการอาหารเพิ่มทางเลือกให้กับทุกคนในครอบครัวได้อีกเมนูหนึ่ง ไว้ยามว่างอย่าลืมหยิบจับมาปรุงกันนะคะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เต้าเจี้ยวหลนกุ้งสับ เลือกซื้อเต้าเจี้ยวมาประมาณครึ่งถ้วยตวง ถ้าซื้อในตลาดสดก็ประมาณ 5 บาท เพียงพอแล้วกับสมาชิกในบ้านประมาณ 5-6 คน จากนั้นเลือกซื้อกุ้งแชบ๊วยประมาณ 5-10 ตัว แต่ทั้งนี้อรพิม ไม่ได้กำหนดตายตัวนะคะว่าต้องเป็นกุ้งแชบ๊วย จะเปลี่ยนเป็นกุ้งแม่น้ำ กุลาดำ ก็ได้คะตามสะดวก กะเกณฑ์ปริมาณให้พอควรแล้วกันคะ ไข่ไก่ 1 ฟอง คาดว่าน่าจะมีติดครัวอยู่แล้ว ต้นหอม ผักชี เลือกที่มีรากติดอยู่ด้วย พริกสด หัวหอมแดง และที่ขาดไม่ได้คือ กะทิสด ถ้าได้มะพร้าวที่ขูดเองคั้นเองก็จะยิ่งเพิ่มรสชาติความหวานอร่อยมากขึ้น โดยเน้นใช้หัวกะทิเป็นหลัก ได้เครื่องปรุงเรียบร้อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ผักเคียง ซึ่งมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นใบบัวบก ถั่วพู ขมิ้น แตงกวา มะระขี้นก ถั่วฝักยาว ยอดกระถิน มะเขือต่างๆ ผักกระเฉด หัวปลี กะหล่ำปลี อย่างนี้เป็นต้น แค่เอ่ยถึงเครื่องปรุงและผักเคียงก็รู้แล้วว่าเมนูนี้เหมาะกับสมาชิกทุกคนในบ้านจริงๆ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ไม่ชอบรับประทานผัก เมนูนี้คงพอจะหลอกล่อให้พวกเขาหยิบจับใส่ปากได้บ้างไม่มากก็น้อยคะ มาถึงวิธีทำกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นนำเต้าเจี้ยวไปล้างน้ำทำความสะอาดก่อน โดยล้างหลายๆ ครั้ง เนื่องจากเต้าเจี้ยวมีรสเค็มควรล้างให้ความเค็มลดน้อยลง จากนั้นนำไปตำให้ละเอียดโดยใส่หัวหอมแดงและรากผักชีลงไปด้วย นำกะทิตั้งไฟ รอให้เดือดและแตกมัน จากนั้นใส่เต้าเจี้ยวที่ตำละเอียดแล้วลงไปในหม้อ ใช้ทัพพีคนเพื่อไม่ให้เต้าเจี้ยวจับตัวเป็นก้อน รอให้เดือด ใส่กุ้งสับหยาบๆ ลงไป แล้วจึงใส่น้ำตาลปี๊บ ชิมรสให้ออกหวานนำเค็ม จากนั้นตอกไข่ไก่ใส่ลงไป คนเร็วๆ เพื่อให้ไข่แตกตัวออก โรยหน้าด้วยพริกสด ต้นหอม ผักชี เต้าเจี้ยวที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยจะมีลักษณะข้น เสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียงดังกล่าวมาข้างต้น และข้าวสวยร้อนๆ สักจาน สำหรับเคล็ดลับการปรุงเมนูนี้ให้อร่อยนั้นอยู่ที่ หลังจากตอกไข่ไก่ใส่ลงในหม้อเต้าเจี้ยวควรเร่งไฟให้แรงเพื่อว่าเวลาคนจะได้ไม่มีกลิ่นคาว สำหรับกุ้ง คุณแม่บ้านที่ไม่ต้องการสับก็สามารถใส่ทั้งตัวได้ และจะเพิ่มปริมาณก็ได้ไม่ว่ากัน เพียงแกะเปลือกผ่าหลังดึงเส้นดำออก จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 73 หมูหงส์ บวดข้าวโพด อาหารเด็ด ในงานบุญ ์ "หมูหงส์" เป็นอาหารกินง่าย ทำง่ายอีกเมนูหนึ่ง ที่นิยมทำกินในงานทำบุญเลี้ยงพระต่าง ๆ หมูหงส์ มีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งกับหมูพะโล้ มีสิ่งที่แตกต่างกันไปเพียงวัตถุดิบที่ใส่เสริมเข้าไป ส่วนผสมของหมูหงส์ มีดังนี้ หมูสันใน หรือหมูเนื้อแดง หน่อไม้จีนแห้ง ถั่วลิสง น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา รากผักชี กระเทียม พริกไทย เตรียมวัตถุดิบ ด้วยการนำหน่อไม้จีนไปแช่น้ำ และคั่วถั่วลิสงให้หอม และละเลงเปลือกถั่วออกให้หมด เริ่มต้น หั่นหมูเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกเต๋า พยายามอย่าให้ติดมันขาว ๆ ผึ่งไว้ โขลกพริกไทย กระเทียม และรากผักชีรวมกัน นำไปเจียวในน้ำมันให้หอม ใส่น้ำมันหอย ซีอิ๊วดำ (หวาน) แล้วนำหมูที่หั่นไว้แล้วลงไปผัดให้เข้ากันดี เติมน้ำ ปรุงรส ให้ออกเค็มหวาน โดยใช้น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ แล้วใส่หน่อไม้จีน และถั่วลิสงคั่ว เคี่ยวต่ออีกสักพักให้หมูนุ่มดี ยกลง อรพิม ชอบไปสั่งอาหารตามร้านต่าง ๆ แต่ไม่ค่อยจะได้เห็นเมนูนี้ ใครที่เป็นเจ้าของร้าน มาอ่านเจอเข้า จะลองไปทำกิน แล้วเพิ่ม หมูหงส์ เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดในร้าน อรพิมว่า จะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับร้านอาหารได้อีกมากทีเดียว บวดข้าวโพด อีกเมนูหนึ่ง ที่อรพิมนำมาแนะนำในคราวนี้ เป็นขนมไทย ๆ ที่ทำได้ไม่ยากเลย ในบรรดาอาหารบวด ๆ ที่เห็น และทำกินกันบ่อย ๆ คือ กล้วยบวชชี บวดฟักทอง และอีกหลาย ๆ บวดที่อรพิมยังนึกไม่ออก ทว่า บวดข้าวโพด เป็นอีกบวดหนึ่งที่น่าสนใจ และทำได้อร่อยไม่แพ้กัน วิธีการทำก็ไม่ยาก แค่มีกะทิ น้ำตาลปี๊บ เคี่ยวให้เข้ากันดี หั่นข้าวโพดดิบลงไป จะเป็นข้าวโพดเหลือง ข้าวโพดข้าวเหนียว อะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วเติมเกลือลงไปนิดหน่อย แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 74 แกงคั่วปลาช่อนย่าง อาหารพื้นบ้าน ที่อร่อย มีส่วนประกอบดังนี้ หมูสับ 1/2 ถ้วย มะพร้าวขูด 3 ขีดครึ่ง เต้าเจี้ยว 3 ช้อนโต๊ะ หอมแดง 3 หัว กระเทียม 1 หัว พริกขี้หนูสด 15 เม็ด ตะไคร้ 2 ต้น น้ำตาลปีบ 2 ช้อนชา วิธีทำ - คั้นมะพร้าว ให้ได้กะทิ 1 ถ้วย จากนั้นโขลกเต้าเจี้ยวให้ละเอียด ซอยหอมแดง บุบกระเทียม พริกขี้หนู และตะไคร้ เอากะทิตั้งไฟ ใส่ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม พริกขี้หนู น้ำตาล และเต้าเจี้ยว พอเดือด ใส่หมูสับ แล้วยกลง เสิร์ฟกับแตงกวา และผักสด เต้าเจี้ยวหลน กินกับผักสดหลายชนิดทั้ง แตงกวา มะเขือ มะระขี้นก ผักกาดขาว สายบัว ขมิ้นขาว ฯลฯ เรียกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพก็ยังได้ จะเห็นว่า อาหารพื้นบ้านเหล่านี้ วัตถุดิบก็หาได้ตามพื้นบ้านทั่วไป ซึ่งวัตถุดิบที่ว่า นอกจากมีรสชาติดี ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 75 น้ำพริกตะไคร้ น้ำพริกตะไคร้ มีส่วนผสมที่สำคัญ คือ 1. ตะไคร้ 5 ต้น 2. หอมแดง 5-6 หัว 3. กระเทียม กลีบใหญ่ 4-5 กลีบ 4. ขมิ้น เล็กน้อย 5. พริกไทยสด 1 ช้อนโต๊ะ 6. พริกขี้หนูสด 10-15 เม็ด 7. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ 8. น้ำตาลปีบ ครึ่งช้อนโต๊ะ 9. หมูสับ 2 ขีด 10. มะพร้าวขูด 2 ขีด วิธีทำ 1.โขลกตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้น พริกไทยสด พริกขี้หนู ให้ละเอียด 2. ใส่กะปิ และน้ำตาลปีบ โขลกให้เข้ากัน 3. ใส่มะพร้าวขูด โขลกต่อจนทุกอย่างผสมกันดี 4. นำลงไปผัดในน้ำมันเล็กน้อย แล้วใส่หมูสับ ผัดต่อจนแห้งดี น้ำพริกผัดแคบหมู นี่เป็นอีกเมนูหนึ่ง ที่อรพิมได้มาจากเพื่อนเช่นกัน แต่เป็นคนละคนกับเจ้าของสูตรน้ำพริกตะไคร้ เพื่อนคนนี้เป็นชาวภูเก็ต มีฝีมือทางด้านการทำอาหารอย่างหาตัวจับยาก และก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มักจะทำอาหารมากินเองที่ทำงาน จะว่าไปแล้ว เป็นสิ่งที่ดีมากเลย เพราะอาหารที่ทำเอง สามารถควบคุมในเรื่องความสะอาดได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าเป็นอาหารที่ซื้อกิน จะไปควบคุมแม่ค้าได้อย่างไร แค่เห็นแม่ค้าใช้มือหยิบอาหารให้ ก็แหยงแล้ว แต่พวกแม่ค้าที่ชอบใช้มือหยิบอาหารนี่ก็เหลือเกิน โลกพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ยังใช้มือหยิบอาหาร ถ้าอรพิมเห็นใครใช้มือหยิบ ก็ไม่ซื้อเลย ประท้วง! มาว่ากันต่อเรื่องน้ำพริกดีกว่า จริง ๆ แล้วเพื่อนบอกว่า น้ำพริกที่เขาทำมานั้น ชื่อน้ำพริกผัด เท่านั้น แต่อรพิม เติมคำว่า แคบหมูลงไป เพราะลำพังแค่น้ำพริกผัด อาจจะไม่ชัดเจนเท่าน้ำพริกผัดแคปหมู ก็น้ำพริกชนิดนี้ ใส่แคบหมูด้วยนี่นา ชนิดอื่น เค้าไม่ใส่กัน ส่วนผสมน้ำพริกผัดแคบหมู มีดังนี้ 1. พริกแห้งเม็ดใหญ่ 1 ขีด 2. พริกแห้งเม็ดเล็ก 1 ขีด 3. หัวหอม 5 หัวใหญ่ 4. กระเทียม 5 กลีบใหญ่ 5. กะปิ 0.5 ช้อนโต๊ะ 6. กุ้งแห้ง ไม่ถึงขีด 7. น้ำมะขามเปียก 3 -4 ช้อนโต๊ะ 8. น้ำตาลปีบ 2 -3 ช้อนโต๊ะ 9. แคบหมู 1 ขีด วิธีการทำ 1. แช่พริก ทั้งเม็ดเล็ก เม็ดใหญ่ ในน้ำร้อน อันนี้ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ต้องการให้โขลกง่ายเท่านั้น 2. โขลกพริกไปสักพัก ใส่ หอม กระเทียม แล้วตามด้วยกะปิ กุ้งแห้ง โขลกจนละเอียด 3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย นำส่วนผสมที่โขลกไว้ ลงผัด แล้วเติมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปีบ ชิมรส เปรี้ยว หวาน เผ็ด 4. ใส่แคบหมูที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงผัด ผัดต่อไปจนแห้ง อ้อ! จะใช้แคบหมูที่ติดมันก็ได้ อร่อยดี ใครที่อ่านพบสูตรนี้ จะทำไปกินกลางวันที่ทำงานบ้างก็ได้นะคะ ประหยัดดี จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ห่อหมกปลาช่อนย่าง กับขนมต้มแดง เครื่องปรุงต่าง ๆ มีดังนี้ค่ะ ปลาช่อนนา 1 ตัว ( ขนาด 0.5 - 0.7 ก.ก.) ใบยออ่อนฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ 3-5 ใบ ไข่ไก่ 2 ฟอง กระชายหั่นฝอย พริกเหลืองหรือพริกอ่อนหั่นตามยาว ใบมะกรูดหั่นฝอย โหระพา พริกแกงเผ็ด (ใส่กระชาย) เผ็ดมากเผ็ดน้อยตามชอบ น้ำปลาดี ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ได้เครื่องปรุงแล้วเรามาเริ่มปรุงกันเลยดีกว่า อย่ารอให้เสียเวลา เริ่มต้นกันที่ ขอดเกล็ดปลาควักไส้ออก พุงปลาเป็นสิ่งสำคัญอย่าเผลอทิ้ง (ขั้นตอนนี้ให้แม่ค้าที่ตลาดจัดการให้ก็จะสะดวกดี) ล้างให้สะอาด จากนั้นแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบาง ๆ เลาะก้างทิ้งไป จากนั้นใส่ปลาช่อนที่ทำแล้วลงในชามผสม ใส่พริกแกง คนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย ซอสปรุงรส น้ำปลา และน้ำตาลเพียงเล็กน้อย ตอกไข่ไก่ใส่ลงผสม คลุกเคล้าให้เข้ากันดี โรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ปรุงรสได้ที่ดีแล้ว ก่อไฟให้ถ่านร้อน ตัดยอดใบตองมา 1 ใบ กะขนาดพอห่อได้ นำใบตองไปตากแดดหรืออังไฟให้อ่อนตัวลงเวลาห่อจะได้ไม่แตก จากนั้นหงายใบตองขึ้น นำใบตองมาวางรองอีกชั้น ใบยอวางรองก้น ใส่เนื้อปลาที่ปรุงแล้วลงไป เกลี่ยให้เสมอกัน โรยหน้าด้วยกระชายหั่นฝอย พริกเหลือง โหระพา และใบมะกรูด พับใบตองเข้าหากัน ห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม นำไปใส่ในตะแกรง จากนั้นนำไปย่าง สำคัญอย่าให้ไฟแรงจนเกินไป เวลาย่างให้กลับตะแกรงพลิกไปพลิกมา เพื่อให้เนื้อปลาสุกทั่วถึงกัน สิ่งสำคัญในการย่าง ต้องใจเย็น ย่างไฟอ่อนและไม่มีควัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้มีกลิ่นเหม็นควันไฟ หากต้องการดูว่าเนื้อปลาสุกได้ที่หรือยังนั้น ให้แกะห่อใบตองออก ถ้าเนื้อปลาเป็นสีขาวทั่วถึง แสดงว่าสุกได้ที่แล้ว นำมาแกะใส่จาน เสิร์ฟพร้อมน้ำปลาพริกขี้หนูมะนาวบีบใส่ลงไปนิดหน่อย ได้ข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว หรือคุณพ่อบ้านจะทำเป็นกับแกล้มกินยามเย็นก็ได้รสชาติดีเช่นกัน อ้อ!....อรพิมลืมบอกไปว่า สำหรับบางคนที่ไม่ชอบกินใบยอ จะเปลี่ยนเป็นใบโหระพา ก็ไม่ว่ากันคะ เห็นไหมคะว่า เมนูอาหารคาวประจำเดือนนี้น่าสนใจจริง ๆ และถ้าได้ชิมรับรองว่าติดใจ ต้องกลับมาทำใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน สำหรับเมนูอาหารหวานจะนำเสนอต่อไปนี้ น่าสนใจเช่นกันคะ เมื่อฉบับที่แล้วอรพิมเลือกทำขนมต้มขาว และเพื่อจะให้ครบสูตร ต้องมีขนมต้มแดงด้วย เดือนนี้จึงนำสูตรขนมต้มแดงมาฝากกัน และแน่นอนค่ะเป็นเมนูง่าย ๆ เครื่องปรุงไม่ยุ่งยาก มาเริ่มต้นไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียม มีดังนี้ แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นบาง ๆ 1/2 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย เกลือ น้ำสะอาด และนี่เป็นส่วนผสมในการทำขนมต้มแดง เห็นไหมคะว่าง่ายและไม่ยุ่งยากอย่างที่บอก เมื่อเตรียมส่วนผสมต่าง ๆ พร้อมแล้ว นำแป้งทั้งหมดมาใส่ลงในชามผสม ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ค่อย ๆ นวดให้เข้ากัน เติมน้ำแล้วนวดต่อจนแป้งเป็นก้อนร่อนไม่ติดมือ สามารถปั้นได้ ตั้งน้ำให้เดือด แบ่งแป้ง แล้วปั้นเป็นก้อนกลมขนาดหัวแม่มือแล้วกดตรงกลางเบา ๆ ให้แป้งแผ่ออก ใส่แป้งลงต้ม ทำเช่นนี้จนแป้งหมด สังเกตดูว่าถ้าแป้งสุกลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ให้ตักแป้งใส่ลงในน้ำเย็น แล้วผึ่งในกระชอนให้สะเด็ดน้ำ นำกระทะทองเหลืองตั้งไฟ ใช้ไฟกลาง ใส่น้ำครึ่งถ้วย น้ำตาลปี๊บ และเกลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เคี่ยวให้เดือด ลดไฟลง จากนั้นใส่มะพร้าวขูดขาว เคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเหนียว ใส่แป้งที่สุกแล้วลงไปคนให้เข้ากัน ตั้งไว้ให้เดือด ยกลง จุดสังเกตเวลาสุกได้ที่ แป้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีน้ำขลุกขลิกไม่เหนียวมากนัก เมนูนี้ถ้าจะให้อร่อย ต้องกินคู่กับข้าวเหนียวนึ่งกะทิ (สูตรเฉพาะของอรพิมค่ะ) เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย ทั้งเมนูอาหารคาว หวาน ลองไปทำกินกันดูนะคะ สวัสดีค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 19:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ฉู่ฉี่ปลาทูนึ่ง กับ ขนมต้มขาว เครื่องปรุงประกอบด้วย ปลาทูขนาดกลาง 2 ตัว กะทิสด 2 ถ้วย (ปอกเองคั้นเองจะได้กะทิสด รสชาติดี) พริกแกงเผ็ดครึ่งขีด หรือถ้าต้องการให้ได้ความอร่อยแบบไทยแท้ก็ต้องลงมือตำพริกแกงด้วยตนเองเหมือนอย่างอรพิม โดยนำพริกแห้งประมาณ 20 เม็ด ข่าหั่น 3 แว่น ผิวมะกรูดครึ่งช้อนชา ตะไคร้ซอย 1 ต้น เกลือ ใส่ครกตำให้ละเอียด จากนั้นใส่กระเทียมประมาณ 3 กลีบ หัวหอม 1 หัวเล็ก กะปิครึ่งช้อนชา ตำให้เข้ากันอีกครั้ง เครื่องปรุงรส อย่างน้ำตาล น้ำปลา เตรียมให้พร้อม จะให้หอมต้องใส่ใบมะกรูดอ่อนซอยประมาณ 10 ใบ โหระพาโรยหน้า พร้อมพริกเหลือง วิธีการทำ นำกะทิตั้งไฟให้เดือดและแตกมัน ลดไฟลงรอให้กะทิงวดเหลือประมาณ 1 ถ้วย ยกลงเทใส่ภาชนะอื่นไว้ จากนั้นนำหม้อกะทิใบเดิมตั้งไฟ ช้อนกะทิใส่ทีละน้อยโดยช้อนด้านบนซึ่งเป็นหัวกะทิก่อน นำพริกแกงลงผัดให้หอม ใส่กะทิลงไปอีกทีละน้อยให้ได้ครึ่งถ้วย จากนั้นนำปลาทูนึ่งใส่ลงไป ปิดฝาประมาณ 2 นาที แล้วค่อย ๆ ใส่กะทิที่เหลือให้หมด ปรุงรส โดยใส่น้ำปลา น้ำตาลทราย ตั้งให้เดือด ชิมรสดูให้ออกรสเผ็ด หวานนำเค็ม จากนั้นโรยใบมะกรูด โหระพา และพริกเหลืองซอยลงไป ยกลงแล้วเตรียมข้าวสวยร้อน ๆ น้ำปลาพริกขี้หนูซักถ้วย รับรองว่าอร่อยเด็ด เคล็ดลับมีอยู่ว่า ต้องเคี่ยวกะทิให้ได้ส่วน ใช้ไฟกลาง เมื่อเสร็จแล้ว จะได้น้ำแกงแบบขลุกขลิก รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นโหระพาและใบมะกรูด เห็นไหมคะว่าเมนูนี้รวดเร็ว ไม่ยากเลย แถมสร้างเสน่ห์ปลายจวักให้กับคุณแม่บ้าน รับรองว่าคุณพ่อบ้านเลิกงานต้องถึงบ้าน ไม่แวะที่ไหนเป็นแน่ อรพิมการันตี แต่จะให้ครบสูตรต้องมีของหวานตบท้าย และแน่นอนฉบับนี้อรพิม เลือกขนมไทย ๆ เช่นเคย เป็นขนมที่ทำไม่ยาก รสชาติหวาน มัน อร่อย "ขนมต้มขาว" เมนูหวานจานอร่อย เครื่องปรุงเตรียมง่าย ๆ แป้งข้าวเหนียวอย่างดี 1 ถ้วยตวง แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ มะพร้าวทึนทึกขูด 1/2 ถ้วย ใบเตย 2 ใบ สำหรับส่วนผสมของไส้ มี มะพร้าวทึนทึกขูดหยาบ ๆ 1 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย เกลือ ได้ส่วนผสมแล้ว เรามาเริ่มทำไส้ไปพร้อม ๆ กันดีกว่า นำน้ำใส่ลงในหม้อเพียงเล็กน้อย ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป เกลือเล็กน้อย ตั้งไฟแล้วเคี่ยวให้เป็นยางมะตูม ใส่มะพร้าวทึนทึก ผัดต่อให้เหนียว พอปั้นเป็นก้อนได้ ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น นำแป้งที่เตรียมไว้ใส่ลงในหม้อผสมใส่น้ำทีละน้อย นวดแป้งให้เข้ากัน จนเป็นก้อนพอปั้นได้ไม่ติดมือ นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำประมาณครึ่งหม้อ นำใบเตยหั่นเป็นท่อนหรือพันเป็นก้อนใส่ลงไป จากนั้นต้มให้เดือด แบ่งแป้งออกทีละน้อย ปั้นเป็นก้อนกลมแล้วแผ่ออกเป็นแผ่นบาง แต่ไม่ควรบางจนเกินไปเพราะจะทำให้ห่อไส้ไม่ได้ นำไส้ปั้นเป็นก้อนกลมเล็กแล้ววางลงบนแป้ง ห่อให้มิดในส่วนของไส้ นำไปใส่ในน้ำเดือด เมื่อขนมลอยขึ้นตักใส่ในน้ำเย็น แล้วนำมาคลุกกับมะพร้าวทึนทึก เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย ตรงนี้มีเคล็ดลับมาบอกว่า เวลาต้มอย่าต้มนานเมื่อสุกรีบตักขึ้น และไม่ควรแช่น้ำเย็นนานเกินไปจะทำให้รสชาติเปลี่ยน และถ้าต้องการความหอมยิ่งขึ้นเวลาผสมแป้งให้คั้นน้ำใบเตยใส่ลงนวดกับแป้ง ก็จะได้ความหอมของใบเตย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:00:47 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ต้มยำกะทิปลาหลดย่าง กับหัวปลี ขนมเล็บมือนางใบเตย หอม อร่อย ส่วนประกอบและส่วนผสมอื่น ๆ มีกะทิ 3 ถ้วย (0.5 ก.ก.) ตะไคร้ 2 ต้น (ทุบแล้วหั่นเป็นท่อน ๆ) ข่าแก่ทุบพอแตก 1 ท่อน (เล็ก) รากผักชี 3 ราก ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ พริกขี้หนูทอด 10 เม็ด น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลาดี 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา ผักชีไทย และผักชีฝรั่งสำหรับโรยหน้า ดูจากส่วนผสมแล้วไม่ยาก จริง ๆ แล้ววิธีทำก็ไม่ยากเลย เรามาเริ่มวิธีทำไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า สำหรับปลาหลดให้ฉีกตามยาว กะชิ้นพอประมาณ หัวปลี ลอกเปลือกออกเป็นชั้น ๆ จนถึงส่วนเปลือกสีขาวนวลเป็นอันว่าอ่อนใช้ได้แล้ว ผ่าครึ่งแล้วหั่นเป็นท่อนตามยาวไม่ต้องหนามากนัก นำแช่ในน้ำที่ผสมน้ำส้มสายชูหรือเกลือเล็กน้อย (การแช่ในน้ำส้มสายชู หรือเกลือ จะทำให้หัวปลีมีสีขาว น่ากิน ) นำกะทิใส่ลงในหม้อ พร้อมทั้งตะไคร้ ข่า รากผักชี เกลือ ตั้งไฟให้เดือด (ไม่ต้องคน) ใส่ปลาหลดลงไป พอเดือดดีแล้วจึงใส่หัวปลี ปรุงรสโดยใส่น้ำปลา (บางคนติดผงชูรสจะใส่เพิ่มรสชาติก็ได้ แต่ตามหลักแล้วน้ำกะทิจะมีรสชาติหวานมันอยู่แล้ว อันนี้ก็แล้วแต่ละกัน) ปิดฝาไว้รอเดือดอีกครั้งโรยด้วยผักชี และใบมะกรูด เสร็จสับยกลง สำหรับวิธีเสิร์ฟก็ง่าย ๆ ตัก "ต้มยำกะทิปลาหลดกับหัวปลี" ใส่ชาม บีบน้ำมะนาวลงไปเสริมรสชาติ อันนี้ไม่ว่ากันใครชอบเปรี้ยวมากเปรี้ยวน้อยใส่ได้ตามใจ สำหรับของอรพิม ขอรสจัดหน่อย มันสะใจดี โรยหน้าด้วยผักชี และพริกทอด มีข้าวร้อน ๆ ซักจาน อย่างอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง ขนมเล็บมือนางใบเตย อร่อยกับของคาวไปแล้ว ถ้าจะให้ครบสูตรการกิน ก็ต้องมีขนมหวานต่อท้ายรายการด้วย ไหน ๆ ก็เลือกของคาวแบบลูกทุ่ง ของหวานต้องให้สอดคล้องกัน อรพิมเลือกเมนูง่าย ๆ สไตล์ชาวบ้าน ให้และกัน จะได้ไม่เสียเวลา แต่รับรองว่ารสชาติอร่อยแน่นอน "ขนมเล็บมือนาง ใบเตย" ได้ยินชื่อหลายคนยังอ้าปากค้างอยู่เลย ก็มันไม่คุ้นหู แถมยังไม่เคยกินอีกด้วย ไม่เป็นไรฉบับนี้อรพิมจะแนะนำให้ลองไปทำกินกัน ส่วนประกอบและส่วนผสม มี แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวง แป้งข้าวจ้าว 2 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง น้ำสะอาด เกลือ (ละลายน้ำไว้) และ น้ำใบเตย (วิธีทำน้ำใบเตย ใช้ใบเตยประมาณ 3-5 ใบ หั่นเป็นท่อน แล้วนำไปตำให้ละเอียด หรือ ใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำคั้นแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ชั้น ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำ) ได้ส่วนผสมทุกอย่างแล้วเรามาลงมือทำไปพร้อม ๆ กันเลยและกัน นำส่วนผสมของแป้งคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ใส่น้ำใบเตยโดยค่อย ๆ ใส่ทีละน้อย แล้วนวดแป้งให้เข้ากันดีกับน้ำใบเตย ในขณะทีนวดให้พรมน้ำเกลือลงไปด้วย นวดให้เป็นก้อน เนื้อแป้งจะเป็นสีเขียวอ่อน ลักษณะแป้งที่ใช้ทำขนมได้ ต้องไม่ร่วน หรือเหลวเกินไป จับแล้วไม่ติดมือ เมื่อได้แป้งพักไว้ จากนั้นตั้งน้ำให้เดือด หยิบแป้งทีละน้อยปั้นเป็นท่อนเล็ก (ลักษณะคล้ายนิ้มมือ) ใส่ลงในหม้อน้ำเดือด ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อแป้งลอยขึ้นเหนือน้ำแสดงว่าแป้งสุกได้ที่แล้ว ใช้กระชอนตักขึ้นแล้วใส่ลงในน้ำเย็นทันที แช่ไว้สักพัก ตักขึ้น เวลาเสิร์ฟจัดใส่จาน โรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น และน้ำตาลทราย สำหรับเมนูขนมหวานจานนี้แนะนำให้กินทันทีอย่าปล่อยไว้นาน เพระถ้าน้ำตาลละลายจะไม่อร่อย และนี่คืออีกหนึ่งเมนูที่แนะนำในฉบับนี้ ลองทำกันดู เพราะอรพิม การันตีแล้วว่า อร่อย หอม หวาน และแถมยังทำง่ายอีกด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:01:57 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ไอศกรีมกะทิ วัสดุอุปกรณ์ รถเข็น ถังใส่ไอศกรีม ถังปั่นไอศกรีม ที่ตักไอศกรีม ขวดโหล ไม้พาย ถ้วย ช้อนพลาสติก ขนมปัง ถ้วยโคน นมสด ถั่วลิสงคั่ว ส่วนผสม 1. มะพร้าว 10 กิโลกรัม 2. น้ำตาล 5 กิโลกรัม 3. นมผง 1/2 กิโลกรัม 4. ขนุนและเผือก (หั่นแล้ว) ลอดช่อง อย่างละ 1/2 กิโลกรัม วิธีทำ (ส่วนผสม) ต้มน้ำใส่ใบเตยให้เดือด ตักน้ำเดือด 2 ขัน ผสมกับน้ำธรรมดา 2 ขัน (ขัน ขนาด เบอร์ 20) นำมาคั้นกับมะพร้าว จะได้กะทิ 4 ขัน ตักใส่ภาชนะไว้แล้วคั้นกะทิต่อกับน้ำปริมาณเท่าเดิม (จะได้กะทิอีก 4 ขัน) นำกะทิทั้งหมด 8 ขัน มาผสมกับน้ำตาลและนมผงละลายให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปปั่นในถังปั่นไอศกรีม วิธีปั่น ใช้ถังปั่นไอศกรีมโดยมีน้ำแข็งทุบใส่อยู่รอบ ๆ ถัง โรยเกลือเม็ดลงในน้ำแข็ง และปั่นไอศกรีม ประมาณ 15 นาที เมื่อเริ่มมีการฝืด แสดงว่าไอศกรีมได้แข็งตัวลงแล้ว (ขณะที่ปั่นไอศกรีม ถ้าน้ำแข็งรอบถังละลายต้องเติมและโรยเกลือไปด้วยทุกครั้ง) จากนั้นตักไอศกรีมจากถังปั่นมาใส่ถังไอศกรีม ใส่ขนุน ลอดช่อง เผือก ใช้ไม้พายด้ามยาวคนให้เข้ากันใส่น้ำแข็งและเกลือในถังชั้นนอกรอบถังไอศกรีม นำผ้าคลุมน้ำแข็งให้มิดชิดเพื่อรักษาอุณหภูมิ ข้อแนะนำ 1. เครื่องที่รับประทานกับไอศกรีม ควรมีหลาย ๆ ชนิด เช่น ข้าวเหนียว ลูกชิด มันเชื่อม ถั่วแดง ลูกบัว เป็นต้น 2. ควรใส่เครื่องไอศกรีมในขวดโหลที่ใส สะอาด ชวนให้น่ารับประทาน 3. เมื่อตักไอศกรีมใส่ถ้วย หรือขนมปัง ควรเทนมสดและโรยถั่วลิสงคั่วบนหน้าไอศกรีมด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขนมจีนน้ำชุบยำ และข้าวหนียวเปียกลำไย ข้าวเหนียวเปียกลำไย ที่เคยเห็นขายในตลาด แม่ค้าเค้าใส่ในหม้อดิน สวยเชียว วางขายหลาย ๆ หม้อ คู่กับ ปลากริม ข้าวเหนียวถั่วดำ สาคู เต้าส่วน ฯลฯ แม่ค้าที่ทำขนมหลาย ๆ ชนิดขายในวันเดียวนี่ เก่งนะคะ เพราะแต่ละชนิดใช้เวลาทำไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้น บางคนเก่งจริง ทำหลายอย่าง อร่อยทุกอย่าง ข้าวเหนียวเปียก นอกจากลำไยแล้ว ข้าวเหนียวเปียกมะพร้าวอ่อน ก็อร่อยไม่แพ้กัน ยิ่งถ้าใส่น้ำมะพร้าวอ่อนลงไปด้วยแล้ว ยิ่งอร่อย ส่วนผสมของข้าวเหนียวเปียกลำไย มีดังนี้ ข้าวเหนียว ครึ่งกิโลกรัม น้ำตาล ครึ่งกิโลกรัม กะทิ 2 ถ้วยตวง เกลือเล็กน้อย และลำไย วิธีการทำข้าวเหนียวเปียกลำไย นำข้าวเหนียวแช่น้ำค้างคืนไว้ แล้วนำมาต้ม ต้มเหมือนต้มข้าวทั่วไป หลังจากเม็ดข้าวพองตัวดีแล้ว ใส่กะทิสด และปรุงรสด้วยเกลือ ไม่แนะนำให้ใส่ ลำไย ช่วงที่ข้าวเหนียวยังร้อน ควรแกะลำไยใส่ช่วงที่ข้าวเหนียวเย็นดีแล้วจะดีกว่า หรือจะแกะใส่ก่อนเสิร์ฟ ก็ได้ สำหรับกะทิโรยหน้า เป็นกะทิสด ปรุงรสด้วยเกลือ หรือถ้าจะให้กะทิดูน่ากิน นำไปเคี่ยว โดยตั้งไฟ แล้วผสมกับแป้งมันละลายน้ำ จะได้กะทิข้นขาว น่ากินสมใจ อีกเมนู คือ ขนมจีน น้ำชุบยำ เคยกินแต่ ขนมจีน น้ำยาปลาช่อน น้ำยาป่า น้ำพริก คราวนี้ลองมากินกับน้ำชุบยำ ดูบ้าง น้ำชุบยำ เป็นภาษาที่คนปักษ์ใต้เรียก ถ้าเป็นแบบภาษากลาง ก็คือ น้ำพริก นั่นเอง และเป็นประมาณ น้ำพริกกะปิ น้ำชุบยำ ทำคล้าย ๆ กับน้ำพริกโจร คือส่วนผสมแต่ละอย่าง ไม่นำมาโขลกกัน แต่ใช้วิธีหั่น ๆ ใส่ไปเลย (ที่เรียกน้ำพริกโจร อาจจะเป็นเพราะว่า มีมีดเล่มเดียวก็ทำกินได้ และทำได้สะดวก ไม่ต้องโขลก ต้องเผาหรือต้องผัดอะไร)   แต่ที่ต่างไปจากน้ำพริกโจรคือ ทำแบบใส ๆ ด้วยว่านำมากินกับขนมจีน ส่วนผสมมีดังนี้ กะปิ หอมแดง พริกขี้หนู มะนาว ปลาตัวเล็ก ๆ เท่านี้เอง นำทุกอย่างมาหั่น มาซอย แล้วผสมคลุกเคล้า เข้าด้วยกัน จากนั้นเติมน้ำต้มสุกลงไป จะได้น้ำพริกชุบยำ กินกับขนมจีนแล้ว เข้าใจว่า แทนที่จะใช้ปลาตัวเล็ก ๆ จะใช้ปลาตัวใหญ่ ย่างให้หอม โขลกให้ละเอียด นำมาผสมเข้ากันก็ได้ ถ้าจะให้ดี มีผักเคียงอย่าง สะตอ แตงกวา ถั่วฝักยาว ด้วย จะดีมาก แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 20:09:28 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ยำปลาทูน้ำพริกเผาใส่ใบบัวบก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มต้นที่เครื่องปรุงส่วนผสมกันเลยดีกว่าค่ะ ปลาทูนึ่งสัก 2 ตัว (ขนาดใหญ่หน่อย) หรือถ้าจะซื้อเป็นเข่งก็ได้ค่ะถ้าเข่งละ 20 บาท เข่งเดียวก็น่าจะพอ แต่อรพิม บอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าให้เลือกปลาทูที่ตัวนิ่ม เนื้อแน่น อย่าให้ออกรสเค็มจนเกินไป จากนั้นเลือกซื้อใบบัวบกมาหนึ่งกำ อย่าให้ใบแก่เกินไปนัก หรือถ้าบ้านใครมีปลูกไว้ก็เก็บมาเลยค่ะ จะได้ของที่ดีไม่มีสารพิษตกค้าง หลังจากนั้นนำมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นซอยหยาบ ๆ 1 ถ้วยตวง วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มีอยู่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีเครื่องปรุงที่สำคัญในการเตรียมพร้อมเพื่อทำน้ำพริกเผา อรพิมไม่แนะนำให้ไปซื้อน้ำพริกเผาที่วางขายเป็นขวดหรือตักขายในตลาด เพราะนอกจากจะมันเยิ้มแล้ว ยังให้รสที่หวานไม่เหมาะกับเมนูนี้เลย สำหรับส่วนผสมน้ำพริกเผาก็มีพริกแห้งเด็ดคั่วสัก 10 เม็ด (ถ้าชอบเผ็ดมากใส่พริกขี้หนูแห้งลงไปด้วยก็ได้) บางคนจะผ่าพริกแล้วแคะเม็ดพริกออก แต่สำหรับอรพิมใช้ทั้งเม็ดเลยค่ะ เพราะว่ารสชาติจะเผ็ดแซบดียิ่งขึ้น จากนั้นเตรียมหัวหอมแดงปอกเปลือกหั่นหยาบ 2 หัว กระเทียม 5-7 กลีบ กะปิดี 1 ช้อนชาพูน ๆ เริ่มวิธีทำกันเลยนะคะ ใส่น้ำมันเล็กน้อยลงในกระทะ ตั้งไฟอ่อน ใส่เครื่องปรุงน้ำพริกเผาทอดให้หอมทีละอย่าง (ระวังจะไหม้ เพราะถ้าไหม้รสชาติน้ำพริกเผาจะขม) จากนั้นพักไว้ให้เย็นเพื่อพริกจะได้กรอบเวลาตำจะได้ละเอียดเร็ว ใส่เครื่องปรุงทุกอย่างลงในครกพร้อมใส่เกลือเล็กน้อยตำเครื่องปรุงทุกอย่างให้ละเอียด จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ ชิมรสให้ออกเผ็ด เปรี้ยว หวานตาม ที่สำคัญต้องปรุงให้รสจัดเนื่องจากเวลาใส่เครื่องยำรสจะจืดลงจากเดิม นำปลาทูแกะใส่ชาม ใส่ใบบัวบก และน้ำพริกเผาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสอีกครั้ง ถ้ายังไม่เค็มก็เติมน้ำปลาดีลงไป หรือถ้าอ่อนรสชาติใดก็ปรุงเพิ่มตามใจชอบ เพียงเท่านี้ "ยำปลาทูน้ำพริกเผาใส่ใบบัวบก" อาหารจานยำก็เสร็จเรียบร้อยแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ได้ข้าวสวยร้อน ๆ แหมช่างเหมาะกันเหลือเกิน แต่ระวังนะคะคุณพ่อบ้านจะแอบนำไปเป็นกับแกล้มยามเย็น เดี๋ยวจะหาว่าอรพิมไม่เตือน ก่อนจะจากกันในฉบับนี้ อรพิมมีเคล็ดลับเมนูอาหารจานนี้มาฝาก ก็คือให้นำปลาทูไปย่างไฟให้หนังเริ่มไหม้ส่งกลิ่นหอมก่อนแล้วนำมาแกะเนื้อออก แล้วจึงยำก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบเพราะกลัวเนื้อปลาทูจะแข็งเกินไปก็สามารถทำตามอรพิมได้เลยค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เป็ดย่างผัดแห้ง กับขนมกล้วยย่าง ส่วนผสมหลักก็มีเป็ดย่างแห้ง ๆ (หนังกรอบได้ยิ่งดีค่ะ) 1 จาน พริกไทยอ่อน 4-5 ช่อ พริกเหลือง 7 เม็ด มะเขือพวง 1/4 ถ้วย ใบมะกรูดหั่นฝอย 0.5 ถ้วย กะเพรา 1 ถ้วย น้ำปลาดี ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย น้ำมัน อรพิม ว่าสำหรับพริกแกงควรจะลงมือตำด้วยตนเองจะดีกว่า ด้วยการนำพริกแห้งไปคั่วหรือทอดก่อน จากนั้นนำมาตำกับข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด กะปิ กระเทียม หัวหอม พริกไทย เกลือ โดยตำไม่ต้องให้พริกละเอียดมากนัก เตรียมเครื่องปรุงพร้อมแล้ว ขั้นตอนแรกให้นำกระทะตั้งไฟพอร้อนใส่น้ำมันพืชประมาณ 0.5 ถ้วย เมื่อน้ำมันร้อนปรับไฟให้อ่อนลง จากนั้นนำมะเขือพวง เม็ดพริกไทยอ่อน คั่วให้หอม ตักขึ้นพักไว้ นำใบมะกรูด กะเพรา ลงทอดให้กรอบและหอม จากนั้นพักไว้ให้เย็นเช่นกัน น้ำมันในกระทะเทออกเหลือไว้ไม่มาก นำพริกแกงใส่ลงผัดให้หอม ขั้นตอนนี้อรพิมขอเตือนนะคะว่าให้หาผ้าสะอาดหนึ่งผืนมาปิดจมูกไว้ เพราะรับรองได้ว่าคุณจะต้องจามออกมาอย่างแน่นอน เนื่องจากกลิ่นจะหอมฉุนมาก จากนั้นเติมน้ำปลา น้ำตาล ซอสปรุงรส ผัดต่อ ใส่เป็ดย่างคนให้เข้ากับเครื่องแกง โรยพริกไทยอ่อน มะเขือพวงที่คั่วไว้ พร้อมกับพริกเหลือง คนเร็ว ๆ ให้เข้ากันอีกครั้ง เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย ตักใส่จานโรยหน้าด้วยใบมะกรูดและกะเพราทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ อาหารคาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงคิวอาหารหวานกันบ้างค่ะ เชื่อว่าหลายคนคงเคยทำและเคยกินขนมกล้วย แต่ถ้าพูดถึง "ขนมกล้วยย่าง " เชื่อว่ายังไม่เป็นที่แพร่หลาย ฉบับนี้อรพิมนำมาเสนอให้ลองทำกันดู วิธีทำไม่ยุ่งยากค่ะ เริ่มด้วยนำกล้วยน้ำว้าสุกประมาณ 15 ผล แป้งข้าวเจ้า 0.5 กิโลกรัม แป้งมัน 0.5 ถ้วย มะพร้าวทึนทึกขูดขาว 0.5-1 ถ้วย น้ำตาลทราย เกลือ น้ำเปล่า ใบตองสดก่อนใช้ให้นำไปผึ่งแดดพอนิ่มจะได้ไม่แตกเวลาห่อ ได้เครื่องปรุงเรียบร้อยแล้ว เรามาเริ่มทำไปพร้อม ๆ กัน นำกล้วยน้ำว้าปอกเปลือก ใช้มือบี้กล้วยให้เละ หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วจะใช้เครื่องปั่นก็ได้ แต่จะอร่อยเหมือนรสมือหรือเปล่าอันนี้ต้องลองดู ใส่แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันผสม จากนั้นใส่น้ำเกลือและน้ำคนให้เข้ากันดี แต่อย่าให้เนื้อขนมเหลวจนเกินไป ลองชิมก่อนถ้าความหวานของกล้วยยังไม่เพียงพอให้เติมน้ำตาลลงไปเล็กน้อย ใบตองที่เตรียมไว้ฉีกตามยาว ความกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร นำมาซ้อนทับกัน 2 แผ่น โดยเวลาซ้อนให้สลับข้างกันจะได้เกิดความสมดุลง่ายต่อการห่อ ใช้ทัพพีตักขนมใส่โดยกะให้พอดีเวลาห่อจะได้ง่าย จากนั้นจับชายใบตองทั้งสองข้างตามยาวซ้อนทบกัน พับปลายใบตองทั้งสองด้านให้เรียบร้อยคว่ำลงในลังถึง จากนั้นนำไปนึ่งให้ขนมสุก (ก่อนจะนึ่งขนมให้ตั้งน้ำให้เดือดก่อนแล้วจึงนำลังถึงที่ใส่ขนมกล้วยตั้งไฟ) จากนั้นนำขนมกล้วยที่นึ่งเรียบร้อย (จะพักไว้ให้เย็นก่อนก็ได้) วางบนตะแกรง ย่างด้วยเตาถ่านไฟอ่อนกระทั่งใบตองเริ่มไหม้มีกลิ่นหอมยกลง เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยกับเมนูอาหารหวานประจำฉบับนี้ที่อรพิมนำมาเสนอ เมนูนี้ทำได้สองวิธี วิธีแรก ทำตามอรพิม วิธีที่สอง ให้นำขนมกล้วยที่ผสมแล้วไปย่างไฟ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนึ่ง แต่วิธีนี้ต้องใส่เนื้อขนมให้น้อยเกลี่ยให้บาง แล้วจึงห่อด้วยใบตอง 2-3 ชั้น ย่างไฟอ่อน ๆ พลิกกลับไปมาจนสุก แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 47 20:13:03 จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 83 แกงส้มผักกาดดองใส่กุ้ง คุณแม่บ้านเตรียมตัวหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มทำไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า ขั้นแรกหาซื้อผักกาดดองเค็ม จากนั้นนำมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นพอคำประมาณ 2 ถ้วย หรือถ้าไม่มีก็ให้ใช้ผักกาดดองกระป๋องที่มีขายอยู่ทั่วไป ใช้เฉพาะส่วนของผัก น้ำไม่ใช้นะคะเพราะรสจะหวานมาก กุ้งแชบ๊วย หรือกุ้งก้ามกราม (ตัวไม่ต้องใหญ่นัก) 10 ตัว มาถึงขั้นเตรียมน้ำพริกแกงกันบ้าง ปลาช่อนตัวเล็กต้มแกะเนื้อหรือถ้าไม่มีจะใช้ปลาแดงหรือปลาทูนึ่งก็ได้ กระชายหั่นละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ พริกแห้ง 7 - 9 เม็ด ข่า ผิวมะกรูดหั่นฝอย หัวหอม กระเทียม กะปิ เกลือ นำส่วนผสมใส่ลงตำในครกยกเว้นเนื้อปลา และกระชาย ต่อเมื่อตำส่วนผสมละเอียดแล้วจึงใส่เนื้อปลาและกระชายลงตำให้เข้ากัน นำน้ำพอประมาณใส่ลงในภาชนะต้มให้เดือด จากนั้นใส่น้ำพริกแกงลงไปคนให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อจนกระทั่งเดือด แล้วจึงใส่ผักกาดและกุ้งลงพร้อมกัน แกงส้มผักกาดดองจะแตกต่างจากผักอื่น ๆ ตรงที่ มีรสเปรี้ยวอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใส่น้ำมะขามเปียก หรือมะนาว ยกเว้นแต่ชิมรสแล้วไม่จัดจ้านพอ ก็เติมน้ำมะขามเปียกลงเพิ่มรสชาติได้ เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะกับเมนูง่าย ๆ ในหน้าหนาว ถ้ามีเนื้อเค็มทอด ปลาทูทอด หรือปลาสลิดเค็มทอด วางเคียงคู่ในสำรับด้วยแล้วล่ะก็ เมนูนี้ก็จัดเป็นเมนูอันอบอุ่นอีกเมนูหนึ่งเมื่อทุกคนได้รับประทานร่วมกัน จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 20:13:57 ]

ความคิดเห็นที่ 84 นี่เป็นเว็บห้องสมุดความรู้การเกษตรค่ะ มีความรู้เกี่ยวกับอาหารเยอะแยะเลยค่ะ คุณแม่บ้านลองเข้าไปหาอ่านกันดูนะคะ เผื่อจะถูกใจเมนูไหนบ้างน่ะค่ะ http://www.doae.go.th/library/html/prod_all.html จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 21:14:16 ]

ความคิดเห็นที่ 85 http://www.tipfood.com/index.html จากคุณ : kaewwann - [ 29 เม.ย. 47 22:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ตามมาเก็บสูตรค่ะ (^/\^)ขอบคุณมากๆๆเลยนะคะ จากคุณ : foreverfriends - [ 30 เม.ย. 47 01:42:50 ]

ความคิดเห็นที่ 87 มาอ่านจนตาลาย หลายๆเมนู น่ากินมากเลย ขอบคุณที่เอามาแปะให้อ่านกัน ขอเซฟเลยล่ะกัน จากคุณ : pixp - [ 30 เม.ย. 47 02:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 88 กลับมาเซฟอีกรอบค่ะ เดี๋ยวจะพริ้นท์ออกมากะทำเป็น cook book เลย มีหลายๆเมนูที่ชอบและอยากทำ ขอบคุณ คุณ kaewwann อีกทีนะคะ จากคุณ : บัวชมพู๊ชมพู - [ 30 เม.ย. 47 03:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 89 มีคนมาเยี่ยมชมกิจการของเราด้วย อิ อิ ขอบคุณค่ะทุกคน โหพี่บัว ทำเป็น cook book เลยเหรอคะพี่บัว  วันนี้มีสูตรมาฝากให้เก็บเพิ่มกันอีกค่ะ เป็นเคล็ดลับแม่บ้านนะคะ ตอนตัวเองเซฟ ก็ต้องตามเซฟจากเว็บทีละหน้าจากหลายเว็บเหมือนกันค่ะ ตามมาเลยนะคะ..... ตอนต่อไป เคล็ดลับคุณแม่บ้านฯ ค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 47 07:02:05 จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ต้มยำปลาอย่างไรไม่ให้เหม็นคาว หลายๆ ท่าน คงประสบกับปัญหาเมื่อทำต้มยำปลาแล้วมีกลิ่นคาว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากโดยธรรมชาติในปลาจะมีโปรตีนและไขมันอยู่ ปลาที่มีไขมันมากก็ จะยิ่งมีกลิ่นคาวมาก โปรตีนในปลาจะละลายออกมาเมื่อถูกน้ำอุ่นและทำให้เกิดกลิ่นคาว การป้องกันกลิ่นคาวของปลาให้หมดไป ทำได้โดย ต้องต้มน้ำซุป ห้เดือดพล่านก่อนใส่ปลาลงไป รวมทั้งเมื่อใส่เนื้อปลาลงไปแล้ว ไม่ควรเขี่ยหรือคนเนื้อปลา จนกว่าเนื้อปลาจะสุกเสียก่อน เพียงเท่านี้กลิ่นคาวก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 47 07:32:20 จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เปลือกไข่ช่วยให้ผ้าขาว ์ ผ้าสีขาว เมื่อใช้ไปนานๆ แล้วคุณจะพบว่าผ้าจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน ทำให้ดูเก่า ไม่น่าใส่ วิธีง่ายๆในการซักเพื่อให้ผ้ากลับมามีสีขาวดังเดิม คือ นำเปลือกไข่ป่นลงในอ่างที่เตรียมไว้สำหรับซักผ้า และแช่ผ้าไว้ซักครู่ จากนั้นจึงซักผ้าตามปรกติ ผ้าของคุณก็จะกลับมาขาวสะอาดเหมือนใหม่ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ทำความสะอาดเล็บมือด้วยมะนาว เปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกจนหมดแล้วอย่าทิ้ง เพราะเปลือกมะนาวเหล่านั้นสามารถช่วยทำความสะอาดให้มือของคุณปราศจากคราบยางของผลไม้ที่คุณปอกรับประทานได้ เพียงคุณนำเปลือกมะนาวมาถูบริเวณ ที่มีคราบยางผลไม้ติดอยู่คราบยางเหล่านั้นก็จะหลุดไปโดยง่าย มือของคุณก็จะสะอาดสวยดังเดิม จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 93 อบเนื้ออย่างไรไม่ให้ติดกระทะ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ว่าเนื้ออบรสอร่อยของคุณจะติดกระทะ จนผิวไหม้เกรียมไม่น่ารับประทาน เคล็ดลับง่ายๆคือ ให้ใส่ใบขึ้นฉ่ายไว้ที่ก้นหม้อ หรือก้นกระทะ เพียงแค่2-3 ใบ ก็จะช่วยให้เนื้ออบของคุณไม่ติดกระทะ อีกทั้ง ยังทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากขึ้นด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:33:41 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ข้าวกล้องหุงอย่างไรให้นุ่ม ข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้าวที่ผ่านการกระเทาะเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินยังติดอยู่ ข้าวกล้องนั้นจะมีสีน้ำตาลส่วนความเข้มอ่อน นั้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ข้าว พื้นที่ที่ใช้ในการปลูก และกระบวนการผลิตสาเหตุที่ข้าวกล้องยังได้รับควาามนิยมไม่มากเท่าที่ควรนั้นเนื่องมาจาก เวลาที่ ข้าวกล้องสุกแล้วจะมีความแข็งมากกว่าข้าวขาว เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่มมากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ต้มผักให้สีเขียวสวยด้วยวิธีไหน คนไทยนิยมกินน้ำพริกต่างๆคู่กับผัก และน้ำพริกนี้ถือได้ว่าเป็นสำรับเอกที่ใช้ในการรับแขก ซึ่งหากผักที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกนั้นมีสีสันไม่น่ากิน ก็จะทำให้ เ จ้าบ้านเกิดความอับอายได้ วิธีที่จะทำให้ผักมีสีสวยงาม คือ ใส่เกลือป่นลงในน้ำสำหรับต้มผักสีเขียว และเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากิน ยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีเขียวสวย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ผ่าไข่ต้มอย่างไรให้สวย ไข่ต้มเป็นอาหารจานไข่ที่มีวิธีทำง่ายแสนง่าย แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือการผ่านั้นไข่มักแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด เราก็มีวิธีผ่าให้สวยงามได้โดยใช้เส้นด้ายยาวพอประมาณผูกข้างหนึ่งให้แน่น ใช้มือดึง ด้ายให้ตึงแล้วผ่าลงที่ผิวไข่ หรืออาจผ่าโดยใช้มีดที่จุ่มลงในน้ำร้อนก็ได้ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน คนไทยนิยมกินอาหารทอดอย่างแพร่หลายเนื่องจากรสชาติที่กรอบอร่อยและมีสีสันสวยงาม สิ่งสำคัญในการทอด คือ น้ำมัน นอกจากจะทำให้อาหารสุกแล้วยังเป็นตัวดูดซับวิตามิน A D E K อันจำเป็นต่อร่างกาย แต่ น้ำมันนั้นเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุ และคนอ้วน ดังนั้นการกินอาหารทอดมากๆจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วิธีที่ทำให้อาหารทอดไม่อมน้ำมัน คือใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา ใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้ทอด เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ อาหารที่กรอบอร่อยไม่มันเลี่ยน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ปราบกลิ่นสะตอด้วยมะเขือเปราะ รับประทานสะตอครั้งใด เป็นต้องมีกลิ่นติดปากทุกครั้ง คุณสามารถดับกลิ่นสะตอได้ง่ายๆ ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตบท้าย จะช่วยลดกลิ่นสะตอได้เป็นอย่างดี จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:35:49 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ดับกลิ่นเครื่องใน ์ เวลาปรุงอาหารที่มีเครื่องในเป็นส่วนประกอบ ปัญหาที่พบคือ เครื่องในมักมีกลิ่นสาบ ทำให้ไม่น่ารับประทาน วิธีลดกลิ่นสาบก็คือให้เอาเหล้าขาว(เหล้า 28 ดีกรี) มาคลุกกับเครื่องในทีละน้อย จนหมดกลิ่น เพียงเท่านี้ กลิ่นของเครื่องในจะไม่มารบกวนแล้วค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เรื่องทอด ทอด 2 : ทอดปลาทู การทอดปลาทูนั้นควรใช้ไฟค่อนข้างแรง (แต่ไม่ต้องแรงขนาดผัดผักบุ้งไฟแดงนะคะ) ไม่ควรกลับตัวปลาบ่อยจนเกินไป จะทำให้ผิวปลาถลอกดูไม่สวย ควรรอจนกระทั่งข้างที่ลงทอดก่อนเริ่มเหลือง แล้วค่อยกลับทอดอีกข้างจนเหลืองกรอบ กลับอีกด้านทอดอีกสักครู่ก็ใช้ได้แล้วค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:36:33 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ต้มไข่ ให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง ถ้าอยากจะต้มไข่ให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง ไม่ยากเลยค่ะ เวลาต้มให้หมั่นคน เพื่อให้ไข่แดงมีการกลับตัวอยู่เสมอ พอต้มเสร็จผ่าออกมา ไข่แดงอยู่ตรงกลางแน่นอนค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:36:53 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ลวกเส้นสปาเกตตี้ให้ทานอร่อย การลวกเส้นสปาเกตตี้นี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางครั้งหากลวกไม่พอดี เส้นก็อาจจะเละไป หรือไม่ก็แข็งไป รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี่มองข้ามไม่ได้นะคะ เพราะสปาเกตตี้จะอร่อยหรือไม่อร่อยส่วนนึงก็อยู่ที่เส้น นี่แหละค่ะ จะลวกเส้นสปาเกตตี้ให้อร่อยเริ่มจาก ต้องใส่เกลือเล็กน้อยลงไปในน้ำที่จะใช้ลวก พอน้ำเดือดก็ใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป ต้มจนเส้นอ่อนตัว ลองตักเส้นขึ้นมาชิม สังเกตว่ายังกรุบๆอยู่ตรงกลางเล็กน้อยก็แสดงว่าใช้ได้ ยกหม้อขึ้น ช้อนเส้นขึ้นให้สะเด็ดน้ำ แล้วแช่ลงในน้ำเย็นทันที พอเส้นเย็นแล้วค่อยตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำอีกครั้ง เคล้าด้วยน้ำมันเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ นำไปปรุง จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ยำปลาหมึกให้ กรอบ อร่อย ไม่เหม็นคาว จะยำปลาหมึกให้ กรอบ และไม่เหม็นคาว ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ล้างปลาหมึกค่ะ ต้องล้างหลายๆน้ำให้ปลาหมึกสะอาดหมดเมือกจริงๆ ค่อยนำไปบั้งและหั่นเป็นชิ้นพอคำ เวลาจะลวกก็ให้ใช้น้ำเยอะหน่อย คอยให้น้ำเดือดจัดเห็นเป็นฟองปุดๆ ค่อยใส่ปลาหมึกลงไป ตอนใส่ลงไปครั้งแรกอย่าเพิ่มคนนะคะจะทำให้คาวได้ ลวกเดี๋ยวเดียวก็พอนะคะ ปลาหมึกสุกง่าย แถมถ้าสุกนานเกินไปก็จะเหนียว ทานไม่อร่อยอีกต่างหาก ใช้กระชอนช้อนให้สะเด็ดน้ำ ค่อยนำไปปรุงรสต่อไปค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เคล็ดลับแกงเลียงให้อร่อยได้หลายๆมื้อ แกงเลียงอาหารที่มีรสชาติเฉพาะตัว อร่อยเผ็ดร้อนพริกไทย หอมกลิ่นสมุนไพรจากพืชผักหลากหลายชนิด มีประโยชน์ในการขับพิษไข้เป็นอย่างดีบ่อยครั้งที่ด้วยความอร่อยแม่บ้านจึงอยากทำไว้เยอะๆ เผื่อรับประทานได้ มากกว่า 1 มื้อ แต่ก็เจ้ากรรมพอถึงมื้อที่สอง แกงกลับไม่น่ารับประทานเสียแล้ว เพราะเนื้อผักเละไปหมด แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ เวลาทำน้ำแกงเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งใส่ผัก แบ่งน้ำแกงส่วนที่อยากจะเก็บไว้ออกไปเสียก่อน หรือจะตักแบ่งออกมาเฉพาะส่วนที่จะทานวันนี้ก็ได้ค่ะ ค่อยใส่ผักลงไปเดือดอีกครั้งก่อนตักเสิร์ฟ น้ำแกงส่วนที่จะเก็บให้แช่ไว้ในตู้เย็น เวลาจะรับประทานค่อยนำออกมาอุ่นร้อนและใส่ผักค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:38:29 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เก็บใบแมงลัก ใบโหระพา ไว้ใช้ได้หลายๆวัน ใบผักอย่างใบแมงลักหรือใบโหระพา เป็นผักที่ช้ำและเน่าเสียได้ง่ายถ้าบังเอิญคุณซื้อมามากจนเกินไปแล้วอยากจะเก็บไว้ให้ใช้ได้หลายๆวัน ให้เด็ดใบออกจากก้าน ผึ่งไว้พอแห้ง (ไม่ต้องล้างน้ำนะคะ แต่ก็อย่าเผลอผึ่งไว้ ซะจนแห้งกรอบล่ะ) นำใบที่เด็ดแล้วใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น ให้มีลมอยู่ในถุงบ้าง จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก็จะเก็บไว้ใช้ได้หลายวันค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ต้มไข่ให้ปอกง่ายๆ์ เวลาต้มไข่ หรือทำไข่ต้ม บางครั้งก็ปอกเปลือกไข่ยากเย็นเสียเหลือเกินจะทำให้ปอกเปลือกคล่องๆ ง่ายนิดเดียว ขณะต้มไข่ให้ใส่น้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาวลงไปสัก 1 ช้อนชา ก็จะทำให้ปอกเปลือกไข่ได้ง่ายๆ ค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เคล็ดลับจัดการกับกลิ่นกระเทียมที่เหม็นติดมือ กระเทียม พืชสมุนไพรที่ขึ้นชื่อลือนามเรื่องสรรพคุณทางยา จนฝรั่งมังค่าพากันเอาไปสกัดเป็นผงใส่ลง แคปซูลขายกันไปทั่วโลก แต่คนไทยเราสามารถได้รับคุณประโยชน์จากกระเทียมได้โดยตรงจากการรับประทานอาหารตามมื้อปกติ อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นประกอบอยู่ด้วย แน่ล่ะพ่อครัวแม่ครัวทั้งหลาย(ให้พ่อครัวขึ้นก่อนบ้างเดี๋ยวจะน้อยใจ) ก็ต้องเคยสัมผัสกับกระเทียมด้วยกันทั้งนั้น และถ้าใครเป็นคนจมูกไวสักหน่อยคงรู้สึกได้ถึงความติดแน่นทนนานของเจ้ากลิ่นกระเทียมเวลาอยู่บนมือของคุณๆ แก้ไม่ยากค่ะ ยาสีฟันไงคะ จัดการกับมือและเล็บของคุณด้วยยาสีฟันและแปลงสีฟันเก่าๆ เหมือนกับที่คุณจัดการกับปากและฟันของคุณ เท่านี้กลิ่นกระเทียม ก็จะหายไปทิ้งไว้แต่กลิ่นยาสีฟันล่ะค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:39:36 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ลวกผักให้สีเขียวสดใส จะรับประทานน้ำพริกให้อร่อยก็ต้องมีผักแกล้ม ทั้งผักสดผักต้ม ผักสดล้างให้สะอาดก็น่ารับประทานดีไม่มีปัญหา แต่ผักต้มนี่สิ บางคนต้มแล้วสีคล้ำๆ ไม่เขียวสดน่ารับประทาน เทคนิคง่ายๆ ก็คือ เวลาต้มให้ใส่เกลือลงในน้ำที่จะใช้ ตอนนำผักลงน้ำต้องเดือดจัด สังเกตดูพอผักสุก เขียว ระวังอย่าให้นานเกินไป ให้รีบช้อนผักขึ้นใส่ในน้ำเย็น เพื่อให้ผักคลายความร้อนอย่างรวดเร็ว พอผักเย็นแล้วค่อยนำขึ้นจัดใส่จาน รับรองได้ผักเขียวสวยสดประทับใจคนทานแน่ๆค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:40:01 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ทำยังไง? ให้พริกขี้หนูที่ทุบไว้ไม่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ คาดว่าแม่บ้านหลายๆท่านคงเคยเจอกับปัญหา เวลาทำกับข้าวต้องเตรียมส่วนผสมต่างๆให้ครบก่อนจึงจะเริ่มลงมือปรุง เจ้าพริกขี้หนูเจ้ากรรมทุบหรือหั่นทิ้งไว้ประเดี๋ยวเดียวหันกลับมา ว้า สีดำคล้ำเสียแล้วไม่น่าทานเลย ป้องกันได้ง่ายๆเพียงแค่คุณบีบน้ำมะนาวลงบนพริก ใช้ช้อน คนเล็กน้อยให้พอเนื้อพริกโดนน้ำมะนาวเท่านี้พริกขี้หนูก็จะยังคงสีสดใสน่ารับประทานเวลาคุณนำไปปรุงค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ล้างกระเพาะปลาไม่ให้เหลือกลิ่นน้ำมัน นึกจะทำอาหารเมนูกระเพาะปลาทั้งที ก็กลับมาเจอกับปัญหา กลิ่นคาวน้ำมันของกระเพาะปลาที่ติดแน่นล้างยากล้างเย็นเสียจริงๆการล้างกระเพาะปลาให้หมดกลิ่นน้ำมันมีวิธีการดังนี้ค่ะเริ่มแรกให้แช่ กระเพาะปลาให้นิ่มและล้างน้ำทิ้งสักรอบนึงก่อน บีบกระเพาะปลาให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นต้มน้ำร้อนในหม้อใบใหญ่ ใส่กระเพาะปลาลงในหม้อ ตามด้วยขิงแก่ หั่นเป็นแผ่นๆ ทุบพอแตก ใส่เยอะหน่อยนะคะ ต้มต่อไปอีกสักพัก พอกระเพาะปลาพองตัวใช้ได้ ค่อยยกลงเทใส่ตะกร้าหรือกระชอนเพื่อเป็นการ ถ่ายน้ำร้อนออก แล้วล้างตามด้วยน้ำเย็นอีกสัก 2 ครั้ง บีบกระเพาะปลา ให้สะเด็ดน้ำเพียงเท่านี้ก็จะได้กระเพาะปลาไร้กลิ่นน้ำมันมากวนใจอีก เพราะขิงแก่จะช่วยดับกลิ่นคาวน้ำมันได้ค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:40:52 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ดีดแล้วดม : เคล็ดไม่ลับซื้อสับปะรด ์ ถ้าใครที่นาน ๆ จะซื้อสับปะรดมาปอกรับประทานเองสักที อาจจะมีปัญหาว่าเลือกอย่างไรถึงจะได้สับปะรดเนื้อดี หวานฉ่ำ ดีดแล้วดมสิคะ ดีดถ้าเสียงแปะ ๆ ละก็ใช้ได้ ถ้าเป็นเสียงโป๊ก ๆ ละก็อย่าซื้อมาเชียว ถ้าจะซื้อแล้วปอก รับประทานวันนั้นเลยก็เลือกที่ดมแล้วมีกลิ่นหอมสับปะรดออกมา ถ้าจะเก็บไว้ทานวันหน้า ก็เลือกที่หอมน้อยหน่อย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ต้มข้าวต้มให้หอม..ม..ม..ม ชวนรับประทาน ถ้าอยากให้ข้าวต้มของคุณหอมหวน ชวนรับประทานแล้วล่ะก็ ไม่ยากเลยค่ะ ใส่ใบเตย (อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อน) ลงไปตอนต้มสัก 2-3 ใบ ถ้าหุงหม้อใหญ่ก็ใส่เยอะหน่อย พอข้าวสุกค่อยตักออก แค่นี้ก็จะได้ข้าวต้ม ฮ้อม หอม ไว้รับประทานแล้วละค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 113 Shake Shake Shake ก่อนซื้อมะพร้าวอ่อน หลาย ๆ ครั้งที่ซื้อมะพร้าวอ่อนมาทาน ป้ายก็ติดว่ามะพร้าวอ่อน แต่เอาเข้าจริง ๆ เนื้อมะพร้าวกับไม่อ่อนเหมือนป้าย มีวิธีสังเกตมะพร้าวอ่อนหรือไม่อ่อนง่าย ๆ คือให้ลองเขย่าดู ถ้ารู้สึกว่าเหมือนน้ำจะเต็ม ๆ ลูกอยู่ (ไม่ค่อยมีเสียงน้ำ) แสดงว่าเนื้อมะพร้าวยังอ่อนอยู่ ถ้าได้ยินเสียงน้ำอยู่ข้างในชัด ๆ แสดงว่ามะพร้าวลูกนั้นเนื้อแข็งแล้วค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 114 เคี่ยวน้ำยา ไม่ต้องคอยเฝ้าคน และไม่ไหม้ จะทำน้ำยารับประทานเองสักที ไหนจะต้องเตรียมเครื่องปรุง ไหนจะต้องคอยเฝ้าคน กว่าจะเคี่ยวได้ที่ เสียเวลาเป็นหนักหนา ถ้าไม่คอยเฝ้าคน ก็จะพาลไหม้ติดก้นหม้อไปเสียก่อน เทคนิคง่ายๆ ที่ทำให้ไม่ต้องคอยเฝ้าคนอยู่ตลอดเวลา ก็คือให้ใส่ชามกระเบื้องเคลือบ วางคว่ำลงในหม้อ (อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนนะคะ) รับรองน้ำยาไม่ไหม้ติดก้นหม้อแน่นอน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 115 คราบเลือด รอยเปื้อนหมึกปากกา แก้ปัญหาด้วยมะนาว เป็นที่ทราบกันดีว่า คราบเลือดนั้นซักออกยากหนักหนา ยิ่งเป็นคราบเลือดบนผ้าขาวแล้วละก็ ยิ่งสร้างความปวดหัวกับคุณแม่บ้านเข้าไปใหญ่ แก้ปัญหาได้ด้วยการใช้น้ำมะนาวผสมเกลือ ถูบริเวณที่เปื้อนก่อนนำไปซักออกในน้ำเย็น รอยเปื้อนหมึกปากกาก็คล้ายคลึงกัน เพียงหยดน้ำมะนาวลงไป ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปซักในน้ำผสมโซดาไบคาร์บอเนต รอยเปื้อนก็จะจางหาย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 116 น้ำซุปไก่หวานอร่อย คุณรู้หรือไม่ การที่จะทำแกงจืด หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำให้อร่อย เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่ความหอมหวานของน้ำซุป การต้มน้ำซุปให้มีรสอร่อย ต้องเริ่มที่ความสดของกระดูกซี่โครงไก่ โดยใช้สัดส่วนอยู่ที่ประมาณซี่โครงไก่ 1 กิโลกรัม ต่อน้ำประมาณ 7 - 8 ถ้วยตวง สับซี่โครงเป็นชิ้นใหญ่ๆ ล้างเศษเลือด และสิ่งสกปรกออก ต้มน้ำให้เดือด ใส่ซี่โครงลงไป รอจนน้ำเริ่มเดือดอีกครั้ง ให้หรี่ไฟอ่อนๆ แล้วคอยช้อนฟองออก ถ้าน้ำพร่องให้เติมน้ำลงไปบ้าง เคี่ยวประมาณ 40-50 นาที จะได้น้ำซุปใส หอมหวาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 117 การเก็บเนื้อหมู การเก็บเนื้อหมูไว้ให้ใช้ได้นาน ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง แต่เนื้อหมู แข็งๆ ที่เป็นก้อนๆ นั้นตัดแบ่งได้ยากเหลือเกิน หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องรอกันนานกว่าจะหายแข็ง หรือต้องนำไปแช่น้ำให้หายแข็งเร็วขึ้นสูญเสียคุณค่าทางอาหารไปอีก ดังนั้นเมื่อซื้อเนื้อหมูมาแล้ว ควรล้างให้สะอาด ตัดแบ่งเนื้อ หมูเป็นชิ้นย่อยๆ ไว้ตามประเภทอาหารที่จะปรุง หรือตามปริมาณต่อครั้งที่จะใช้ เช่นแบ่งเป็นชิ้นพอสับทำแกงจืดรับประทาน 1 ครั้ง หรือทำลาบหมูรับประทาน 1 ครั้ง จากนั้นนำใส่ในถุงพลาสติก แยกเป็นชิ้นๆ จึงนำเข้าแช่ในตู้เย็น เวลาจะใช้ก็นำออกมาทิ้งให้หายแข็งตัวเพียงเท่าจำนวน ที่จะใช้ หรือจะแช่น้ำก็แช่ได้ทั้งที่ยังใส่อยู่ในถุงพลาสติก สะดวกง่ายดายจริงๆ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เทคนิคการล้างหอยให้สะอาด หลายๆ คนที่ชอบรับประทานหอย ไม่ว่าจะเป็นหอยลาย หอยแครงหรือหอยแมลงภู่ คงจะเคยเจอกับปัญหาที่ซื้อหอยมาปรุงอาหารแล้วไม่อร่อยทั้งๆที่หอยก็สด ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากโคลนหรือทรายที่ออกมาจากตัวหอยมีวิธีการง่ายๆที่จะให้หอยคายดินหรือทรายที่อยู่ในตัวหอยออกมา ก็คือ ให้นำหอยลงแช่ในน้ำผสมเกลือเล็กน้อย กะให้น้ำพอท่วมตัวหอย ทิ้งไว้นิ่งๆ สักพักหอยก็จะคายสิ่งสกปรกออกมา จากนั้นค่อยล้า และนำไปปรุงอาหารต่อไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ลวกผักให้เขียวสวยน่ารับประทาน ผักลวก รับประทานคู่กับน้ำพริกนานาชนิด อาหารอร่อยคู่สำรับคนไทยอย่างเราๆ แต่หลายๆ ครั้ง เมื่อลวกผักแล้วผักกลับดำคล้ำไม่น่ารับประทานเอาเสียเลย เทคนิกง่ายๆที่ทำให้ลวกผักประเภทผักใบให้เขียวสวยน่ารับประทานก็คือ ขั้นแรก ล้างผักให้สะอาด เลือกเอาส่วนที่เน่าเสียออก แยกผักออกเป็นส่วนก้านและส่วนใบ ขั้นที่สอง ใช้น้ำให้น้อยดูว่าพอดีท่วมผักเมื่อใส่ลงไปในหม้อแล้ว (เพื่อสงวนคุณค่าทางโภชนาการ) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและ น้ำมันอย่างละประมาณ 1 ช้อนชา (เกลือทำให้ผักมีรสชาติ น้ำมันทำให้ผักมีสีเขียว) ขั้นที่สาม เร่งไฟแรง ใส่ผักลงไปต้ม โดยใส่ส่วนก้านก่อน แล้วค่อยตาม ด้วยใบ ถ้าต้องการต้มทั้งต้น ให้จุ่มก้านลงไปก่อนแล้วค่อยๆ วางส่วนใบลงต้มทั้งต้น ขั้นสุดท้าย เมื่อผักสุกใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวสม่ำเสมอ ให้ตักผักขึ้นแช่ในน้ำ เย็นทันที เพื่อให้ผักคายความร้อน ไม่สุกต่อ ซึ่งจะทำให้ผักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือเขียวคล้ำ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถลวกผักให้สุกเขียวน่ารับประทานได้ไม่ยากเลย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ไร้รอยปะชุนด้วยไข่ขาว ผ้าที่มีรอยขาดไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ให้นำผ้าบริเวณที่ขาดเป็นรูวางลงบนพื้นที่มีความเรียบโดยกลับด้านในออกข้างนอก แล้วตอกไข่เอาแต่ไข่ขาวทาให้ทั่วบริเวณ จากนั้นตัดผ้าลินินอย่างดีที่มีสีเดียวกันกับเนื้อผ้าให้มี ขนาดใหญ่กว่ารอยขาดเล็กน้อยคลุมปิด จากนั้นใช้เตารีดร้อนๆรีดกดทับไว้ จนกระทั่งไข่ขาวแข็งตัว เมื่อเสร็จแล้วเราจะได้ผ้าที่แทบจะไม่เห็นรอยเลย ที่สำคัญ คือ ไม่ควรทิ้งรอยขาดไว้นานจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ วิธีนี้เป็นวิธี ที่ใช้ได้ชั่วคราว กรณีที่ต้องการความเร่งด่วน หากต้องการชุนแบบถาวรควรเย็บด้วยด้ายให้เรียบร้อย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ทอดปลาไม่ให้ติดกระทะ ปลาเป็นอาหารที่มีโปรตีนมาก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ เนื่องจากเป็นอาหารที่ย่อยง่าย และไม่มี คลอเรสเตอรอล นอกจากนั้นเนื้อปลายังมีไขมันและแร่ธาตุอื่นๆเช่น แคลเซียม กับฟอสฟอรัส ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ปลาที่มีความสดใหม่นั้นเมื่อทอดหนังปลาจะไม่ติดกระทะ ต่างกับปลาที่ไม่สด แต่แม้ว่าปลาจะไม่สดอย่างไรก็มีวิธีแก้ไข คือ หลังจากขอดเกล็ดปลาเสร็จแล้ว นำไปล้างน้ำให้สะอาด ซับเนื้อปลาให้แห้งดี จึงใช้น้ำมะนาวทาให้ทั่ว คลุกด้วยเกลือป่น จึงนำลงทอดในน้ำมันร้อน รอจนปลาลอยตัวขึ้นมาจึงค่อย พลิกกลับอีกด้านหนึ่ง (น้ำมันที่มีความเหมาะสมในการทอดปลาคือ น้ำมันจากสัตว์ หรือน้ำมันปาล์ม ) จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ต้มไข่ที่ร้าวไม่ให้แตก ์ ไข่เป็นอาหารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เรียกได้ว่ากินไข่ฟองเดียวได้สารอาหารครบ 5 หมู่ ทุกครัวเรือนจึงต้องมีไข่ติดบ้านไว้ ไข่มีวิธีปรุงที่ง่ายแสนง่าย และยังปรุงได้ทั้งอาหารคาว และหวาน ไม่ว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ดหาก ไม่ระมัดระวังในการถือ ไข่อาจจะกระทบกันทำให้เกิดรอยร้าว เมื่อเรานำไปต้มไข่ก็จะทะลักออกตามรอยร้าว ดังนั้นก่อนที่เราจะนำไข่ที่มีรอยร้าวไปต้มให้ใส่่เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำที่จะใช้ต้ม ความเค็มของเกลือจะช่วยปิดรอยร้าว ของไข่ไม่ให้เนื้อไข่ไหลออกมา ในการต้มไข่ หากต้องการให้ไข่แดงเป็นยางมะตูมสวยน่ากินควรใช้เวลาต้มประมาณ 8 นาที จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 123 วิธีการง่ายๆ ของการลอกป้ายติดราคา แก้วใส่จานสวยที่ซื้อมาจะมีป้ายราคาติดอยู่ หากไม่แกะออกจะทำให้รู้สึกว่าสกปรก รกตา และอาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ วิธีแกะป้ายราคาอย่างง่าย คือ ใช้ไดร์เป่าผมเป่าที่ป้ายราคา ความร้อนจะทำให้กาวละลายสามารถแกะป้ายออกมาได้ง่าย จากนั้นเช็ดกาวออกด้วยแอลกอฮอล์ คุณก็จะได้แก้วจานที่สวยใสไม่มีรอยกาวเปื้อนอีกต่อไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ขจัดคราบเปื้อนที่เตาไมโครเวฟ เตาไมโครเวฟนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับอุ่นอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถทำให้อาหารสุกได้อีกด้วย เช่นการทำแกงจืด ไข่ตุ๋น ผัดผัก โดยใช้พลังงานจากคลื่นความถี่คล้ายวิทยุ เมื่อคลื่นความถี่นี้ไปกระทบอาหาร พลังงานนั้นจะเปลี่ยนเป็นความร้อนอาหารจึงสุกได้โดยง่าย หลังจากการปรุงอาหารต่างๆ ภายในเตาไมโครเวฟจะมีรอยคราบอาหารติดอยู่ให้ใช้ผงเบ็กกิ้งโซดาถูออก แล้วเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง ไมโครเวฟของคุณก็จะสะอาดเหมือนใหม่ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ถุงมือพลาสติกใช้อย่างไรไม่รำคาญ น้ำยาล้างจานและน้ำยาล้างห้องน้ำอาจทำให้มือของคุณเกิดอาการแพ้ ซึ่งจะทำให้มือและนิ้วเป็นแผลได้ ซึ่งนอกจากบาดแผลจะทำให้แสบแล้วยังทำให้มือและเล็บไม่สวยงามอีกด้วย แต่การระวังด้วยการใช้ถุงมือพลาสติกนั้นทำให้รู้สึกเหนียวหนืด วิธีแก้คือ ทุกครั้งที่ใช้ทุกมือเสร็จแล้ว ให้ทำความสะอาด จากนั้นนำไปตาก โดยใช้ไม้หนีบส่วนที่เป็นนิ้วไว้กับราว เมื่อถุงมือแห้งให้โรยแป้งฝุ่นในถุง มือก่อนจะเก็บ เมื่อนำมาใช้ในครั้งต่อไปถุงมือก็จะสวมใส่ได้สบาย ไม่เหนียวหนืดสร้างความรำคาญอีก จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 07:48:10 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ขอบคุณนะค่ะ ขอลอกเก็บเฃ็ฟไว้ค่ะ จากคุณ : pim aloha - [ 30 เม.ย. 47 07:59:09 ]

ความคิดเห็นที่ 127 thank you for visiting my menu and my screct cooking tips. At this time I can't type in thai only in english. And next time I will bring you some more tips on cooking. Thank you จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 10:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 128 Khun, Pim Thank you for the lovely flower and it's very beautiful. จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 10:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 129 การทอดเบคอนไม่ให้งอ เบคอนที่เรามักจะเห็นขายอยู่ตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆมีหลายยี่ห้อ ควรเลือกซื้อเฉพาะที่ยังใหม่สดโดยสังเกตเนื้อจะมีสีชมพูอ่อนๆส่วนมันจะมีสีขาว เมื่อนำมาทอดแผ่นเบคอนมักจะบิดงอแลดูไม่สวยงามและทำให้การจัดอาหารในจานทำได้ไม่สวยนัก วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีคือนำเบคอนมาจุ่มด้วยนมสดให้ทั่วทั้งแผ่นก่อนแล้วจึงนำลงทอดในกระทะที่ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเบคอนมีสีเหลืองและกรอบเบคอนก็จะยังไม่บิดงอ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 130 การเช็ดกระจกให้ใส การเช็ดกระจกประตูหรือหน้าต่างเราคงทำกันหลายวิธี บางท่านอาจใช้น้ำยาเช็ดกระจก บางท่านอาจใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบีบให้แห้งเช็ดกระจก วิธีหลังเป็นวิธีที่ประหยัดดีและได้ผลด้วย ก็ขอเพิ่มเติมอีกนิดคือให้ผสมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ใช้ผ้าชุบเล็กน้อย บีบผ้าให้แห้งแล้วค่อยนำไปเช็ดกระจก จากนั้นใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช้แล้วเช็ดกระจกซ้ำอีกที่รับรองว่ากระจกจะใสแจ๋วแวววาวเลยทีเดียว อย่าลืมใช้มือบีบกระดาษหนังสือพิมพ์ให้ยับๆก่อนล่ะ ตัวกระดาษหนังสือพิมพ์จะได้มีมุมคมๆจำนวนมากเสียดสีกับผิวกระจก สิ่งสกปรกต่างๆก็จะติดกับกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 131 การดับกลิ่นในตู้เย็น ตู้เย็นเป็นเครื่องมือจำเป็นประจำบ้านที่แทบทุกครัวเรือนมักจะมีไว้ใช้ เราใช้ตู้เย็นในการเก็บของสดสารพัดทำให้ตู้เย็นมีสารพัดกลิ่น ควรใช้ถ่านที่ใช้สำหรับก่อไฟใส่ถ้วยเล็กๆวางไว้มุมใดมุมหนึ่งในตู้เย็น ถ่านจะช่วยดูดกลิ่นต่างๆไว้ คราวนี้ในตู้เย็นของคุณก็จะไม่มีกลิ่นหรือมีก็จะน้อยลงไปมากแล้วล่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 132 การขจัดตะกอนหินปูนในกาต้มน้ำ ปัญหาที่เราคอยแก้ไขในครัวมักเป็นปัญหาที่สามารถมองเห็นได้ แต่ตะกอนที่เกาะอยู่ตามผนังในกาต้มน้ำมักถูกละเลยทั้งๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดการสิ้นเปลืองแก๊สและเสียเวลามากขึ้นในการต้มน้ำแต่ละครั้ง วิธีง่ายๆในการขจัดหินปูนนี้ออกโดยใช้น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยผสมกับน้ำสะอาด 1/2 ถ้วย ใส่ลงในกาต้มน้ำแล้วต้มจนเดือด ทิ้งไว้ค้างคืนจึงนำมาล้างอีกครั้ง ตะกอนก็จะหลุดออกไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ทอดไข่ดาวให้สวย นำกระทะตั้งไฟปานกลางใส่น้ำมันพืชรอจนน้ำมันร้อนได้ที่ตอกไข่ใส่ถ้วยใส่ลงในกระทะ ตักไข่ขาวขึ้นมาปิดไข่แดง ทอดพอเหลืองก็จะได้ไข่ทอดที่ดูน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:52:49 ]

ความคิดเห็นที่ 134 นึ่งข้าวเหนียวให้สวย ข้าวเหนียวอาหารหลักของชาวอีสานและอาหารโปรดของหลายๆคน(ผมด้วย)รับประทานกับส้มตำ ไก่ย่าง อร่อยอย่าบอกใครเชียว ในการนึ่งข้าวเหนียวให้สวยคือเมื่อนึ่งเสร็จแล้วจะเป็นเงาดูสวยน่ารับประทานมีวิธีง่ายๆโดยการนำข้าวเหนียวไปแช่น้ำแกว่งด้วยสารส้มประมาณ 5 นาที ซาวน้ำออก 2-3 ครั้ง จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจึงนำไปนึ่งในน้ำเดีอด ไฟแรงจนสุก ข้าวเหนียวที่ได้ก็จะเงาดูสวยน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ต้มน้ำซุปให้ใสและอร่อย หลายท่านก็คงจะต้มน้ำซุปเป็นอยู่แล้วเพราะน้ำซุปเป็นพื้นฐานในการประกอบอาหารหลายอย่างที่เรามักต้องทำอยู่บ่อยๆ ในการต้มน้ำซุปควรนำกระดูกมาแช่น้ำสะอาด 10-20 นาที เพื่อให้ความหวานของกระดูกออกมาจากนั้นจึงนำไปต้มน้ำให้เดือด ใส่เลือดหมูหรือไก่ที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ(ถ้าหั่นชิ้นเล็กเกินไปจะเละและตักลำบาก) เมื่อน้ำซุปใสจึงตักเลือดออก จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 136 การต้มผักใบ ให้ตัดผักออกเป็นก้านๆล้างให้สะอาด นำหม้อขึ้นตั้งไฟใช้ไฟแรงใส่น้ำน้อย ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา เวลาต้มให้ใส่ก้านลงก่อนแล้วจึงค่อยๆใสลงไปทั้งต้น เมื่อผักสุกให้นำขึ้นและจุ่มน้ำเย็นทันที ผักจะเขียวเท่าๆกันทั้งต้น จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 137 การต้มข้าวโพดฝักให้อ่อนนุ่ม ให้ใส่นมสดในน้ำที่ต้มครึ่งถ้วย น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ต้มน้ำจนเดือดแล้วจึงใส่ข้าวโพด จะทำให้ข้าวโพดหอม หวานและนุ่มน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 138 การย่างปลาไม่ให้มีควัน การย่างปลาก็คล้ายกับการย่างไก่ สาเหตุที่ทำให้มีควันมากเพราะไขมันที่หยดลงไปในเปลวไฟไหม้และทำให้เกิดควัน ในการย่างปลาให้โรยเกลือลงบนถ่านก่อนที่จะนำปลาขึ้นย่าง ก็จะช่วยให้ไม่มีควัน สบายตาและเบาแรงในการทำความสะอาดครัวด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:58:49 ]

ความคิดเห็นที่ 139 การปอกหอมโดยไม่แสบตา มีวิธีง่ายๆโดยการต้มน้ำให้เดือดแล้วจุ่มหอมลงไป รีบตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นแล้วจึงปอกก็จะปอกได้ง่ายขึ้นและไม่แสบตาด้วย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 140 การล้างคราบผักที่ติดมือ หลังจากการเตรียมอาหารที่จะต้องมีการปอก หั่นฝอยผักต่างๆอาจมีคราบดำๆติดตามซอกนิ้วหรือซอกเล็บล้างออกได้ยาก ให้ใช้น้ำมะเขือเทศดิบหรือน้ำมะนาวล้างออก คราบจะหลุดออกได้และช่วยถนอมมือด้วย จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 11:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ต้มข้าวโพดให้อร่อย ข้าวโพดเป็นพืชที่ สุกง่ายจึงไม่ควรต้มนานเกินไป จะทำให้ข้าวโพดเหี่ยว ให้ต้มน้ำให้เดือดเสียก่อนแล้วจึงนำข้าวโพดลงต้มเพียง 3 นาทีข้าวโพดก็สุกแล้ว จึงเอาข้าวโพดขึ้น แล้วอาจทาด้วยเกลือเล็กน้อย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:00:32 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ขจัดกลิ่นติดกระทะ เมื่อเราใช้กะทะแล้วกลิ่นอาหารเก่ามักจะยังคงติดกะทะ พอเรามาทำอาหารชนิดใหม่ทำให้กลิ่นอาหารเก่ามาปะปนกับอาหารชนิดใหม่ อาหารที่ได้ก็จะมีกลิ่นที่ผิดเพี้ยนไปทำให้เสียความอร่อยไปได้มาก ให้ใช้ใบชาและผงโซดาผสมกับน้ำใส่ลงในกะทะ ตั้งไฟให้เดือดสักครู่ จึงเทน้ำทิ้ง กลิ่นต่างๆก็จะหมดไปจ้า จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 143 การคั่วพริกไม่ให้มีกลิ่นฉุน การนำพริกแห้งมาใช้ทำให้เราได้อาหารที่มีรสและกลิ่นที่ชวนรับประทานมากขึ้น แต่การคั่วพริกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัวที่มีการระบายอากาศไม่ดีพอกลิ่นฉุนที่ออกมาจากกการคั่วทำให้มีอาการแสบตาและมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงพอสมควร วิธีลดกลิ่นฉุนดังกล่าวโดยการใส่เกลือป่นลงไปในกระทะเล็กน้อยเท่านี้กลิ่นฉุนก็จะบรรเทาไปมาก จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 144 การทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน ปกติในการทอดอาหารมักจะอมน้ำมันทำให้เกิดการสิ้นเปลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้งจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การทอดปาท่องโก๋ การทอดโดนัท เป็นต้น หากเราใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยผสมลงในน้ำมันจะช่วยให้ไม่อมน้ำมัน ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นเพราะรับประทานแล้วไม่เลี่ยนและยังทำให้ร่างกายไม่ได้รับไขมันมากเกินไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ทอดไม่ให้น้ำมันกระเด็น หลายท่านคงเคยทำอาหารประเภททอดแล้วน้ำมันกระเด็นโดนผิวหนัง ปวดแสบปวดร้อนพอดู หากใช้แป้งสาลีเล็กน้อยโรยลงบนกระทะจะช่วยให้ลดการกระเด็นของน้ำมันไปได้ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 146 วิธีไล่มด ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งในบ้านก็คือมดตัวเล็กๆที่เราใช้สารพัดวิธีแล้วก็ยังคงมาเดินขบวนให้เห็นอยู่ทุกวี่วัน ให้นำเปลือกไข่มาเผาไฟแล้วไปวางไว้ที่ๆมดเดินผ่าน มดก็จะไม่กล้ามาอีกจ้า จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 147 การกำจัดกลิ่นอับในเครื่องซักผ้า เครื่องซักผ้าเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกช่วยให้เราหายเหนื่อยไปได้มาก เมื่อใช้ไปนานๆมักจะมีกลิ่นอับ เปิดเครื่องล้างน้ำสะอาดแล้วก็ไม่หาย วิธีแก้ไขโดยเติมน้ำส้มสายชูที่เราใช้ทำอาหารลงไป 1 ขวดตั้งความร้อนไว้ที่สูงสุดแล้วเปิดสวิตซ์เครื่องให้ทำงานโดยตั้งโปรแกรมไว้ที่ A ( ไม่ต้องใส่ผงซักฟอก ) ปล่อยให้เครื่องทำงานไปเรื่อยๆจนกระทั้งสิ้นสุดการซัก ถ้ายังคงมีกลิ่นติดค้างอยู่อีกให้ซักโดยไม่ต้องใส่อะไรลงไปอีกครั้ง ( ให้เครื่องซักด้วยน้ำเปล่า ) โดยตั้งที่โปรแกรม A เช่นเดิม ให้เครื่องทำงานจนสิ้นสุดโปรแกรม กลิ่นต่างๆก็จะหายไป นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำอีกเล็กน้อยคือทุกครั้งที่เครื่องซักผ้าทำการซักสิ้นสุดลง เมื่อนำผ้าออกจากเครื่องแล้วควรเปิดฝาเครื่องทิ้งไว้เสมอเพื่อช่วยระบายทั้งกลิ่นและความร้อนที่ตกค้างอยู่ให้ออกไปโดยเร็ว ควรใช้ผ้าสะอาดเช็ดขอบยางให้แห้งทันทีเพื่อป้องกันการเกิดเชื่อราโดยเฉพาะขอบยางด้านล่างสำหรับเครื่องแบบมีฝาเปิดจากด้านหน้า ช่องใส่ผงซักฟอกก็ควรถอดออกทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือไส้กรองสำหรับดักเศษผ้าหรือวัสดุต่างๆ( ส่วนใหญ่อยู่ด้านล่างของเครื่อง )ควรถอดทำความสะอาดบ่อยๆ ขอรับประกันว่าคุณต้องเคยเจอเหรียญอยู่ในตะแกรงนี้เป็นแน่ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:20:12 ]

ความคิดเห็นที่ 148 นึ่งปลาไม่ให้เหม็นคาว วิธีง่ายๆคือทาด้วยน้ำส้มสายชูและเกลืออย่างละหนึ่งช้อนชาให้ทั่วตัวปลาแล้วจึงนำไปนึ่ง ปลาที่นึ่งสุกแล้วจะไม่มีกลิ่นคาวนอกจากนี้ยังช่วยให้เนื้อปลาไม่เละด้วยจ้า จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 149 นึ่งข้าวมันให้สวย ข้าวมันสามารถทำได้ทั้งการหุงและการนึ่ง หากใช้วิธีการนึ่งต้องคนให้กระทิผสมกับข้าวเพื่อไม่ให้กระทิลอยหน้าและไม่แตกมันและคนอีกครั้งเมื่อข้าวใกล้จะสุก ข้าวมันที่ได้จะเป็นเม็ดเงาดูน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:21:09 ]

ความคิดเห็นที่ 150 การต้มผักประเภทหัว ควรต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักที่ล้างสะอาดแล้วลงไปประมาณ 20 นาที เมื่อนำขึ้นก็ให้แช่ในน้ำเย็นทันทีจะทำให้ปอกเปลือกง่าย ควรต้มทั้งเปลือกเพื่อไม่ให้สูญเสียความหวานของผัก จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 151 การต้มมะระไม่ให้ขม ในการต้มมะระไม่ให้ขมคงทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายๆคือให้ต้มมะระในน้ำเดือดโดยใส่เกลือลงไปเล็กน้อยและเทน้ำทิ้งไป 1 ครั้งก่อน จากนั้นนำมะระลงแช่ในน้ำเย็นและใส่ไส้แล้วจึงนำไปต้มจริงอีกครั้ง จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 152 การเผามะเขือให้อร่อย การเผามะเขือต้องใช้ไฟแรงเผาให้ทั่วจนสุกจึงนำไปแช่น้ำเย็น ลอกเปลือกออกมะเขือจะมีสีเขียว นุ่มน่ารับประทาน จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 153 การล้างกระเพาะหมูไม่ให้มีกลิ่น กระเพาะหมูเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของหมูที่มีกลิ่นแรง ต้องล้างน้ำให้สะอาด 2-3 ครั้ง จากนั้นกลับเอาด้านในออกขยำด้วยเกลือให้ทั่วแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้งแล้วลงนาบในกระทะที่ร้อนจนทั่ว จึงจะนำไปต้มโดยใส่พริกไทยไว้ด้านในประมาณ 20 เม็ดผูกปมให้แน่น กระเพาะหมูก็จะอร่อยแบบปราศจากกลิ่น จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 154 การขจัดคราบมันในอ่างล้างจาน หลังการล้างจาน คราบน้ำมันมักติดอยู่บริเวณก้นอ่างและรอบๆอ่าง หากเช็ดหรือล้างธรรมดาจะออกยาก ให้ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในอ่างประมาณ 1/4 ถ้วย เช็ดให้ทั่วบริเวณที่คราบไขมันเกาะแล้วจึง ล้างน้ำให้สะอาด ใช้น้ำยาล้างจานล้างซ้ำอีกครั้ง คราบไขมันจะหมดไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:30:04 ]

ความคิดเห็นที่ 155 การลอกหนังขาวออกจากลิ้นวัว ลิ้นวัวจะมีหนังขาวติดแน่นลอกออกได้ยาก เวลาต้มลิ้นวัวให้เติมน้ำส้มสายชูลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ต้มไปสักครู่ใหญ่ก็นำลิ้นวัวขึ้นมาลอกหนังขาวออก จะลอกออกได้โดยง่าย จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 156 การขจัดน้ำตาเทียนที่หยดลงบนพื้นไม้ ปัญหาที่ดูว่าแก้ไขได้ง่ายแต่ไม่ง่ายเพราะถ้าเราไปขูดน้ำตาเทียนออกจะทำให้พื้นไม้เป็นริ้วรอย วิธีที่ดีกว่าโดยนำกระดาษฟางวางซ้อนๆกันหลายชั้นบนรอยน้ำตาเทียนแล้วใช้เตารีดอุ่นๆวางทับที่รอยน้ำตาเทียน น้ำตาเทียนก็จะละลายและซึมเข้าไปอยู่ในกระดาษฟางแทนจ้า จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 157 การล้างตู้เย็นให้หมดกลิ่นอับ์ ถ้าล้างทำความสะอาดตู้เย็นจนสะอาดแล้วแต่กลิ่นอับยังคงอยู่ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่า 1 ลิตรล้างออกกลิ่นอับก็จะหายไป จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 12:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 158 http://www.thaiparents.com/cook_mn3.html จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 14:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 159 http://geocities.com/cledlub/ เคล็ดลับคู่บ้านค่ะ จากคุณ : kaewwann - [ 30 เม.ย. 47 15:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 160 หลังจากแปะซะเหนื่อย ก็หวังว่าทุกท่านคงสนุกสนานกับการทำอาหารนะคะ แข่งกับคุณโรสน่ะค่ะ คุณโรสบิวตี้ กับคุณ kaewwann ชวนชิม ค่ะ (พูดเล่นนะคะคุณโรส)  แต่ลอกเค้ามาแปะนะคะ หวังว่ากระทู้นี้คงจะมีประโยชน์กับคุณแม่บ้านห้องนี้บ้างนะคะ ยามนึกเมนูอาหารให้คุณพ่อบ้านกะคุณลูกบ้านไม่ออก ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาเยี่ยมชมกิจการ เอ๊ย+++ เมนูอาหารและเคล็ดลับคุณแม่บ้านฯ ในกระทู้นี้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 47 03:03:13 จากคุณ : kaewwann - [ วันแรงงาน 03:00:06 ]

ความคิดเห็นที่ 161 ขยันจังเลยนะคะ อุตส่าห์ทำให้แม่บ้านได้อ่านกัน ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Filipda - [ วันแรงงาน 04:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ว่าจะเข้ามาดูสูตรสะเดา ได้มาอีกร้อยล้านสูตร แถมเคล็ดไม่ลับอีกเยอะแยะ ขอบคุณมากนะคะ สูตรน้ำปลาหวานกะให้มือใหม่ทำเป็นกิโลๆเลยนะคะ อิอิ จากคุณ : ปูขาเก เซมารู - [ วันแรงงาน 10:18:47 ]

ความคิดเห็นที่ 163 กรี๊ดดดดดดด!!!! ได้อ่านที่คุณแม่ปูแซว ต้องรีบขึ้นไปดูสูตรอีกรอบ เป็นกิโลจริงๆด้วยค่ะ เจ้าของสูตรตัวจริงคงกะว่าอร่อยจนไม่พอทานแน่เลยค่ะ ถ้าทำน้อยๆ เลยให้ทำทีนึงเป็นกิโลๆ เลยค่ะเนี่ย ฮิ ฮฺ จากคุณ : kaewwann - [ วันแรงงาน 17:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 164 อ้าว!!! ยังไม่ได้ทักทายคุณ Filipda เลค่ะ อ่านแล้วก็อย่าลืมทำด้วยนะคะ ถ้าอร่อยยังไงก็บอกกันมั่งนะคะ ว่าเมนูไหนอร่อยถูกใจที่สุดน่ะค่ะ (แต่กว่าจะทำหมดร้อยล้านเมนู คงกินเวลาไปหลายปีค่ะ อิ อิ) จากคุณ : kaewwann - [ วันแรงงาน 17:26:17 ]