ความคิดเห็นที่ 1 T-T แล้วขอถามต่อด้วยได้มั้ย ทำยังไงถึงจะสลัดตัวขี้เกียจออกแล้วเริ่มทำ disser จริงๆจังๆสักที เข้าใจว่า be original โดยการอ่านงานที่เกี่ยวข้องมากๆ แล้วนำมา analyse โดยความคิดของเราเอง ซึ่งตั้งอยู่บนทฤษฎีที่เราเอามาประยุกต์ใช้ เช่นนั้นหรือเปล่าคะ จากคุณ : roman candle - [ 15 ก.ค. 47 02:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 originality comes from your OWN NEW ideas that have contributions to knowledge and/or practice the ideas are presented in the form of research questions/hypotheses supported by relevant literatures the hypotheses are tested and validated by your designed research using appropriate methodology ps #2 khun roman candle is correct - you also need to identify the literature GAP http://www.cryer.freeserve.co.uk/book-originality.htm#originality "if we know what it was we were doing, it would not be called research, would it?" - albert einstein แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 47 03:14:24 จากคุณ : all the best (prince h@mlet) - [ 15 ก.ค. 47 03:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆคำว่า Originality นี่ถูกพูดถึงกันมากเลยในแวดวงวิชาการ การทำรีเสิร์ช ดิสเซอร์ฯ ทีสิส แล้วแต่ว่าจะเรียกว่าอะไร พูดอย่างง่ายๆก็คือมีความใหม่ หรือพูดแบบสุดขั้วก็คือ ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เป็นของใหม่ แต่ Originality ก็ไม่ใช่องค์ประกอบเดียวของดิสเซอร์ฯ หรือทีสิส ที่ดี Originality นี่ควรจะอยู่คู่กับ Significance การที่คุณเดินไปที่ไหนในโลกสักแห่งที่ไม่มีคนเคยไป แล้วหยิบก้อนหินมาก้อนหนึ่งกลับมา แล้วบอกว่า นี่ไง Originality เพราะไม่เคยมีใครไปมาก่อน ผมเคยไปแล้ว ผมมี Originality แค่นี้คิดว่าไม่น่าเพียงพอ คุณยังต้องตอบคำถามให้ได้ว่า แล้วความสำคัญ (Significance) ของมันอยู่ตรงไหน มันคุ้มค่าไหมที่เราลงทุนไปหามา มันตอบอะไรเราได้ มันทำให้ความรู้ในสาขาที่คุณเรียนอยู่พัฒนาไปอย่างไร คำถามแบบนี้สำคัญกว่า การเรียกหา Originality เสียด้วยซ้ำ กลับมาที่คำว่า Originality ในความเห็นผม ผมว่ามันคือความใหม่ แต่ไม่ใช่ “ใหม่ทางกายภาพ” แต่เป็น “ใหม่ทางความคิด” ยิ่งหากคุณเรียนด้าน soft sciences เช่น รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือ บริหารธุรกิจ ด้วยแล้วล่ะก็ ความใหม่ทางความคิด น่าจะสำคัญกว่า ใหม่ทางกายภาพ คุณอาจจะทำวิจัยในหัวข้อที่ซ้ำหรือใกล้เคียงกับคนอื่น แต่มองในคนละมุม และชี้ให้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น มองในมุมที่คนอื่นไม่ได้มอง หรือมองข้าม สร้าง “ตรรก” เพื่อสนับสนุนความคิดคุณ เพื่อโน้มน้าว (Convince) ให้คนอื่นเชื่อในความคิดของคุณ แสดงความคิดอย่างเป็นรูปธรรม และมันเป็นประโยชน์ต่อองค์ความรู้โดยรวมในสาขานั้นๆ นี่ผมคิดว่าก็คือ Originality แถมยังมี Significance อีกต่างหาก ในทางตรงข้าม หากทำวิจัยในหัวข้อใหม่สุดโลก ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลย อันนี้มี Originality แน่ๆ แต่คำถามต่อมาคือ แล้วมันสำคัญอย่างไร ซึ่งหากตอบไม่ได้ มันก็อาจจะเป็นคำตอบ หรือ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้สิ่งนั้นยังคงความเป็น Originality ไว้ได้ เพราะมันไม่สำคัญพอที่จะมีใครทำ ถามว่า Originality มาจากไหน มาจากสมองของเราเองครับ เราต้องใส่ความคิดของเราเข้าไป เราใส่ความคิดของเรามากไปเท่าไหร่ ดีกรีของ Originality ก็จะมากขึ้นเท่านั้น มีคนเคยบอกว่า อ่านหน้งสือ ได้ความรู้ที่มีคนคิดไว้เมื่อ สิบ ยี่สิบ ห้าสิบ หรือร้อยปีที่แล้ว อ่านวารสารทางวิชาการ (Journal) ได้ความรู้ที่มีคนคิดไว้เมื่อ สองปี สามปี ห้าปี ที่แล้ว อ่านวิทยานิพนธ์ (Dissertation, Thesis) ใหม่ๆ ได้ความรู้ที่มีคนคิดไว้เมื่อ ปี หรือสองปีที่แล้ว เขียนมาตั้งนาน วกกลับมาที่เดิม ฉะนั้นความใหม่ หรือ Originality มันไม่ได้เกิดจากการอ่านงานคนอื่นแน่นอน แต่เกิดจากการที่คุณคิดและสร้างขึ้นมากกว่า อย่างที่ คคห ข้างบนได้บอกไว้แล้ว จากคุณ : นายบุญมาก - [ 15 ก.ค. 47 11:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 4 agree with #3 khun นายบุญมาก in the context of scholarly research ... significance = contribution to knowledge and/or practice จากคุณ : more confused? (prince h@mlet) - [ 15 ก.ค. 47 12:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อย่าคิดมาก dissertation ปริญญาโท ก็จะยังไม่โหดมาก Originality เป็นเรื่องเถียงกันไม่จบหรอก... ลองไปเปิดตัวอย่าง dissertation เก่าๆ ดูอีกที จะได้เห็นแนวทางมากขึ้น จากคุณ : Apollon - [ 16 ก.ค. 47 21:16:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 น้องมังกร ตั้งกระทู้ทีไรมี T_T ทุกทีเลย โถ..... จากคุณ : Pl@too - [ 17 ก.ค. 47 04:23:43 ]