ความคิดเห็นที่ 1 There are ทูตการศึกษา in many countries for at least 50 years already... what are they talking about? I do not know official position in English. It is called "poo doo lae nug rian Thai" จากคุณ : I - [ 18 ส.ค. 47 16:51:22 A:4.8.141.6 X: TicketID:066895 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จะมีทูตการศึกษาหรือผู้ดูแลนักเีรียนซักกี่คนก็คงไม่พอกับจำนวนนักเรียนหรอก ในเวลาเปิดเรียน และในการดำรงชีวิตของนักเรียน มีนักเรียนแทบไม่กี่คนที่เข้าไปปรึกษากับผู้ดูแลนักเรียนพวกนี้จริงๆ เวลามีปัญหา ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว เรื่องการปรับตัวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมใหม่ หรือเรื่องอื่นๆ ส่วนใหญ่เวลามีปัญหาถ้าไม่แก้ปัญหาเอง ก็ปรึกษาเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็โทรไปปรึกษาทางบ้านทั้งนั้น จะมีซักกี่คนที่ไปปรึกษาคนของราชการ (นอกจากจะมีปัญหาเรื่องทุน หรือเรื่องอื่นๆในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการศึกษาที่ต้องทำตามระเบียบทุน) หรือปรึกษาหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาโดยเฉพาะของโรงเรียนที่อยู่ ชุมชนเล็กๆของคนไทยที่ช่วยเหลือกัน เป็น ideal ที่บางครั้งก็เป็นไปได้ บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับคนในชุมชนนั้นๆเอง คนไทยบางคนก็จริงใจ น่าคบ บางคนก็ไม่ใช่ ในกรณีหลัง การช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดก็จำเป็น เพราะมันไว้ใจใครแทบไม่ได้ อีกอย่าง หลายๆคนที่มาอยู่ต่างประเทศ ก็คาดหวังจะได้รับอิสระมากขึ้นกว่าที่เคยได้ตอนอยู่เมืองไทย จึงไม่ต้องการจะถูกจับตามองและถูกตัดสินจากคนในสังคมคนไทยในต่างประเทศกันเอง และเลือกที่จะอยู่แยกออกไป ไม่มีใครผิดใครถูกหรอก สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ ถ้าคุณมีความปรารถนาดี ก็เผื่อแผ่การช่วยเหลือไปยังผู้ที่ต้องการ แสดงน้ำใจไปก่อน และหวังว่าคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณ จะส่งต่อน้ำใจในลักษณะเดียวกันไปยังคนอื่นด้วย เหมือนกับที่เค้าเคยได้รับ อีกประเด็นที่สำคัญน่าจะเป็นการอบรม และคัดเลือกนักเรียนทุนที่มาอยู่ต่างประเทศ (ทุนส่วนตัวน่าจะปัญหาน้อยกว่า เพราะถ้ากดดันมากก็คงเลือกที่จะกลับบ้านได้ไม่ยาก ถ้าจะเครียดก็คงปัญหาเรื่องเงิน ในคนที่ทุนส่วนตัวไม่มากนัก) ตอนแรกที่เคยถูกสัมภาษณ์ที่ด้านสุขภาพจิตพร้อมกับการตรวจร่างกายทุน ก็ไม่เห็นความจำเป็นเท่าไหร่ พอรู้ข่าวนี้ ก็ถึงได้รู้ว่าจำเป็นมาก ไม่อยากโทษหน่วยงานที่ให้ทุนและส่งนักเรียนมาเรียนฝ่ายเดียว เพราะคิดว่าเกินครึ่งของคนที่มาเรียน ก็ต้องมีปัญหาการปรับตัว มีช่วงที่เครียด และก็แกัไขปัญหาไปได้ในที่สุด แต่ถ้าน้องเค้าตั้งใจฆ่าตัวตายขนาดนี้ ก็คงเป็นปัญหาจิตใจของเค้าเองที่ depressed เกินปกติไป จากคุณ : frappuccino - [ 18 ส.ค. 47 22:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ศธ.เสนอตั้งทูตการศึกษา หวั่นเด็กฆ่าตัวตายเมืองนอก โดย ผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2547 14:59 น.       กระทรวงศึกษาธิการหวั่นเกิดปัญหานักเรียนฆ่าตัวตายซ้ำรอย “ณัฐชนน” เสนอตั้งทูตการศึกษาในทุกประเทศ หวังดูแลเด็กไปเรียนต่อต่างประเทศ เผยปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนในปีแรกทั้งหมด 922 คน ในจำนวนศึกษาต่อต่างประเทศทั้งหมด 740 คน ระบุเนื่องจากเป็นการฆ่าตัวตายจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะรับเงินประกัน “อดิศัย” เตรียมควักกระเป๋าจ่ายเอง             จากกรณีที่ น.ส.ณัฐชนน เมฆี อายุ 18 ปี นักเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จาก.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ซึ่งเดินทางไปศึกษา ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา กระโดดตึกเสียชีวิตนั้น น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า จากการที่ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือกัน พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่สภาพจิตใจของเด็กที่มีความคิดถึงบ้าน ประกอบกับความเครียดในการปรับตัวที่ต้องไปเรียนในต่างแดน แล้วเจอกับปัญหาความไม่คุ้นเคยเรื่องของภาษา             ทั้งนี้ ระบบการคัดเลือกเด็กที่ไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น ปกติเด็กที่เข้ารับทุนจะมีความมุ่งมั่น ต้องการที่จะไปเรียนเองไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด ซึ่งก่อนที่จะไปศึกษาต่อนั้นก็มีการเข้าค่ายเตรียมความพร้อมก่อนแล้ว             อย่างไรก็ตามในระหว่างที่มีการเข้าค่ายนั้น ก็ได้สอบถามความต้องการของเด็ก และหากเด็กต้องการเปลี่ยนใจเรียนสาขาวิชาหรือประเทศก็สามารถเปลี่ยนได้ โดยไม่ตัดทุน ขณะเดียวกันกรณีที่เด็กได้เดินทางไปศึกษาแล้วรู้สึกว่าเรียนไม่ไหวเราก็ให้โอกาสเด็กได้เปลี่ยนสาขาหรือกลับมาเรียนในประเทศไทยได้ แต่การเปลี่ยนไปเรียนประเทศอื่นแทนคงไม่เหมาะสม เพราะถ้าเหตุผลว่าคิดถึงบ้านก็ควรกลับมาที่ประเทศไทย             เลขานุการ รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุนในปีแรกทั้งหมด 922 คน ซึ่งในจำนวนนี้เลือกเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศทั้งหมด 740 คน โดยได้เดินทางไปเรียนแล้ว 335 คน และอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อรอการเดินทาง เนื่องจากสถานศึกษาในต่างประเทศยังไม่เปิดภาคเรียน 405 คน ส่วนที่เหลือ 182 คนเลือกที่จะเรียนในประเทศไทย             สำหรับการดูแลนักเรียนไทยในต่างประเทศนั้น ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) โดยปัจจุบันนี้ไม่ได้มี ก.พ.อยู่ในทุกประเทศ ดังนั้นต่อไปคงต้องให้มี ก.พ.อยู่ในทุกประเทศ ซึ่งในส่วนของ ศธ.เองก็ควรที่จะมีเจ้าหน้าที่ทูตการศึกษาไปประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ที่มีนักเรียนไปไทยไปเรียน คอยให้คำปรึกษาทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องปัญหาความเครียดต่างๆ โดยจะเสนอเรื่องนี้ให้ รมว.ศธ.พิจารณาต่อไป             “ปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนที่จะแก้ไขปรับปรุงโครงการให้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ใช่หมายความว่าโครงการไม่ดี แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในจุดใดเราก็ต้องแก้ไขในจุดนั้น ไม่ควรให้ปัญหาเดียวทำให้โครงการดีๆต้องล้มเลิกไป” น.พ.ทศพร กล่าวและว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือครอบครัวของ น.ส.ณัฐชนน ความจริงแล้วเด็กทุกคนที่เดินทางไปเรียนต่างประเทศจะมีเงินประกันชีวิต แต่ในกรณีนี้เนื่องจากนักเรียนฆ่าตัวตาย ประกันภัยจึงไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน และจากการประเมินสภาพครอบครัวของนักเรียนแล้วพบว่า พ่อแม่ของ น.ส.ณัฐชนนมีลูกทั้งหมด 8 คน และแต่ละคนก็ทำงานมีหน้าที่การงานมั่นคงสามารถอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก ดังนั้น รมว.ศธ.จะให้เงินส่วนตัวจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือต่อไป             นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศธ.กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเศร้าใจมาก เพราะเด็กที่เสียชีวิตนั้นเป็นเด็กที่ผลการเรียนดี เรียบร้อย และยังเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมด้วย ซึ่งดูแล้วไม่น่าเกิดปัญหาขึ้น แต่ตนเดาว่าสาเหตุที่ทำให้คิดฆ่าตัวตายนั้นอาจจะเป็นเรื่องของการปรับตัวมากกว่า ส่งผลให้สภาพจิตใจไม่ปกติเกิดความขัดแย้งในตัวเอง อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นต่อไปอนาคตในการคัดเลือกเด็กและการเตรียมความพร้อมของเด็กที่จะไปศึกษาต่อนั้นคงต้องมีการสัมภาษณ์ความพร้อมอย่างพิเศษมากกว่านี้ ซึ่งเราคงต้องระมัดระวังมากขึ้น ส่วนที่ในทุกประเทศที่เด็กไปเรียนนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ก.พ.ประจำอยู่นั้น ในเรื่องนี้คงต้องมีการหารือกัน เพื่อทำให้เด็กมีที่ปรึกษาและไม่เกิดความรู้สึกว้าเหว่ สำหรับเด็กที่ไปศึกษาต่ออยู่แล้วนั้น ทาง ศธ.เองก็ต้องมีการเฝ้าระวังติดตามดูแลเด็กทุกคน หากใครมีปัญหาอย่างไร จะได้เข้าไปช่วยแก้ไขได้ สำหรับการจัดโครงการในปีต่อไปนั้นก็จะดูแลให้เข้มงวดขึ้น       แต่คงจะไม่หยุดดำเนินโครงการต่อ             ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเด็กที่ต้องการเปลี่ยนใจกลับมาเรียนในไทยจะมีปัญหาเรื่องการเรียนต่อหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้หลายมหาวิทยาลัยได้เปิดเรียนไปแล้ว นายอดิศัย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ตนจะช่วยดูแลให้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าเด็กคงจะไม่คิดกลับมาเรียนในไทยอีก ปล.ผมก็ไม่แน่ใจว่า คำว่า"ทูตการศึกษา" กับ ผู้ดูแลนักเรียน ไทย จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ความเห็นเบื้องต้น ก็เพียงแค่รู้สึกว่า บางครั้งมันไม่จำเป็นก็ ได้  เพราะผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า ข้าราชการจริงๆ แล้วเป็นที่ พึ่งได้จริงหรือ ในโลกยุคการติดต่อเชื่อมโยงกันทางอินเตอร์เนตนี้ บางครั้ง หากข้าราชการที่มีต้องการช่วยเหลือนักศึกษาจริง  ก็น่าจะ มีวิธีการอื่นๆ ผมคงไม่เข้าไปพูดในเรื่องรูปธรรม แต่คิดว่า ในปัจจุบัน เรา ยังใช้ประโยชน์จากข้าราชการไม่คุ้มค่ามากนัก ดังนั้นแทนที่จะเพิ่มข้าราชการ แต่น่าจะ ปรับปรุงข้าราชการ ที่มีอยู่ให้ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 47 06:52:47 จากคุณ : ยาโมเมะ - [ 19 ส.ค. 47 06:29:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าการให้ทุนการศึกษาแก่เด็กเป็นเรื่องที่ดี แต่รัฐบาลควรมีมาตราการที่ดีกว่านี้ ก่อนอื่นควรดูความสามารถในการใช้ภาษาของเด็กก่อนว่าอยู่ในขั้นดีพอที่จะไปศึกษาในประเทศนั้นๆได้หรือไม่ หากส่งไปแล้วเรียนไม่รู้เรื่องเด็กจะเกิดความกดดันมาก ต่อให้มีทูตการศึกษาสักสิบคนก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ขอให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องชมภู่เป็นบทเรียนกับรัฐบาล เพื่อจะได้เอาไปแก้ใข อย่าให้เกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ขึ้นอีก ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องชมภู่ด้วยความจริงใจ จากคุณ : CC (Calif) - [ 19 ส.ค. 47 08:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นักเรียนทั่วๆ ไปคงไม่ค่อยกล้านำเรื่องส่วนตัวไปปรึกษาทูตการศึกษาหรือผู้ดูแลนักเรียนไทยหรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าน่าจะใช้ระบบรุ่นพี่ดูแลรุ่นน้องมากกว่า คืออาจจะมอบหมายให้รุ่นพี่คนไทยที่เรียนอยู่แล้ว มาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้น้องที่มาอยู่ใหม่ เหมือนธรรมศาสตร์ที่เมืองไทยจะมี "พี่เทค" คือรุ่นพี่คนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ take care ดูแลเราในช่วงเทอมแรกโดยเฉพาะ น่าจะพอเป็นที่ปรึกษา แนะแนวทางให้เด็กๆ ที่มาอยู่ใหม่ได้บ้าง ถ้ารุ่นพี่ไม่ทำตัวยุ่งจนเกินไป ไหนๆ ได้ทุนรัฐบาลไทยมา นอกจากจะเรียนเพื่อตัวเองแล้ว รับหน้าที่ดูแลน้องไปอีกหน่อย น่าจะพอทำได้ จากคุณ : Mrs Leo (Mrs Leo) - [ 19 ส.ค. 47 10:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 8 วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2547 ปีที่ 14 ฉบับที่ 5012 เสนอตั้งทูตศึกษาคุมนร.ทุน โดดตึกในเยอรมนี กำชับก.พ.สำรวจภาวะความเครียดน.ร.ทุน ใครเรียนไม่ไหวให้กลับมาเรียนที่เมืองไทยได้ ยอมรับส่งเด็กเร็วไปหน่อย "อดิศัย" ยันวิธีการส่งเด็กถูกต้องแล้ว แต่ติดปัญหาที่ตัวเด็กเองสภาพจิตไม่ปกติ "หมอทศพร" เสนอศธ.ตั้งทูตการศึกษาประจำตปท.คอยดูแลน.ร.ไทย "เลขาฯ ก.พ." โต้สภาพจิตเด็กไม่พร้อมไปเรียนต่อ เพราะก่อนเดินทางได้ตรวจสุขภาพกาย-ใจแล้ว ถ้าเด็กไม่พร้อมจะไม่ส่งไปเรียน เตรียมรับกระดูกกลับเมืองไทย พ่อแม่เตรียมทำบุญครบ 7 วัน ายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องน่าเศร้า และตนได้รายงานไปยังครม.แล้วว่าเป็นเด็กที่เรียนเก่ง ได้เกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.80 และชอบทำกิจกรรม สาเหตุที่เกิดขึ้นเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากปัญหาการปรับตัว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกคนโดยเฉพาะเวลาเด็กต้องจากบ้านไปต่างพื้นที่ ดังนั้น ทางศธ.จึงจะต้องพิถีพิถันให้มากขึ้นในการคัดเลือกตัวเด็ก ต้องมีการสัมภาษณ์เด็กถึงความพร้อมก่อนจะส่งตัวไป "วิธีในการส่งเด็กไปเรียนต่อนั้น ทำถูกวิธีแล้ว คือไปอยู่กับครอบครัวในประเทศนั้นๆ และไปเป็นกลุ่ม เป็นคณะใหญ่ ไม่ใช่ส่งไปคนเดียว เหตุการณ์ในลักษณะนี้จึงไม่น่าที่จะเกิดขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงคิดว่าเป็นปัญหาที่พิเศษ ตัวเด็กคงมีสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยปกติ มีความขัดแย้งกันในตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ทางสถานทูต สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) และศธ. ต้องปรึกษากัน หาวิธีไม่ให้เด็กที่ได้ทุนทั้งหมดเกิดความว้าเหว่ และต้องเป็นที่ปรึกษาให้เด็กเวลาที่มีปัญหา ต้องคอยถามความเป็นอยู่ของเด็กตลอด" รมว.ศึกษาธิการ กล่าว นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า เป็นเหตุสุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้นได้ 1 ในล้าน เพราะเด็กอาจมาจากพื้นฐานครอบครัวในระดับล่าง จึงไม่ชินกับการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ซึ่งตนก็เคยเสนอแล้วว่า เกณฑ์รายได้ครอบครัวควรกำหนดไว้ที่ 300,000 บาทต่อครอบครัว เพื่อให้ได้นักเรียนจากครอบครัวชนชั้นกลาง ซึ่งคิดว่าน่าจะปรับตัวได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าโครงการนี้ต้องการเปิดโอกาสให้กับครอบครัวคนจนในชนบทที่ห่างไกลให้มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ และในอนาคตอาจต้องมีการเตรียมพร้อมในการเข้าค่ายพักแรมในโรงเรียนก่อนเพื่อเป็นการเตรียมตัว พร้อมทั้งจะต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลและมีการประเมินผลอย่างใกล้ชิดว่าเด็กพร้อมที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งครั้งนี้ยอมรับว่ามีเวลาในการเตรียมการน้อยมาก เพราะทุกอย่างต้องเสร็จและให้เด็กสามารถเดินทางไปศึกษาต่อได้ภายใน 6 เดือน "ครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก และคงจะเป็นอุทาหรณ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะต้องเข้าไปดูแลเอาใจใส่นักเรียนให้มากขึ้น จากเดิมที่เจ้าหน้าที่ ก.พ.เข้าไปตรวจเยี่ยมทุก 2 วัน อาจต้องเปลี่ยนเป็นเข้าไปตรวจเยี่ยมทุกวันแทน" นางพรนิภา กล่าว น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ เลขานุการรมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จะเสนอกระทรวงศึกษาธิการให้ตั้งทูตการศึกษาไปประจำยังประเทศต่างๆ เหมือนทูตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ ประจำที่ต่างประเทศ เพื่อให้ทูตการศึกษาดูแลนักเรียนไทยที่เดินทางไปศึกษายังประเทศต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันไม่มีเจ้าหน้าที่ไปประจำต่างประเทศเลย ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ดูแลแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก.พ.มีไม่ครบทุกประเทศ อย่างเช่นเยอรมนีที่น.ส.ณัฐชนน พร้อมนักเรียนไทยรวม 84 คน เดินทางไปศึกษาต่อนั้น ต้องดึงเจ้าหน้าที่ก.พ.จากอังกฤษเข้ามาช่วยดูแล เพราะที่เยอรมันไม่มีเจ้าหน้าที่ ก.พ.ประจำอยู่เลย การขาดคนดูแลนักเรียนเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาได้ น.พ.ทศพร กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีนักเรียนที่ได้ทุนอีก 405 คน ยังไม่ได้เดินทางไปศึกษาต่อ จากนักเรียนทั้งหมดที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ 740 คน ดังนั้น จะให้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเรียกเด็กกลุ่มนี้มาอบรมเตรียมความพร้อมอีกรอบ หลังจากที่ก่อนหน้าที่เคยมีการจัดเข้าค่ายปฐมนิเทศรวมไปโดยใช้เวลา 1 สัปดาห์ การเตรียมความพร้อมครั้งนี้เน้นให้เด็กเข้าใจ และพร้อมที่จะแก้ปัญหาในการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ และเน้นย้ำกับเด็กเข้าใจว่าถ้าอยู่ต่างประเทศแล้วไม่มีความสุขหรือคิดว่าตนเรียนไม่ไหว เด็กสามารถที่จะขอกลับมาเรียนต่อในประเทศไทยได้ ส่วนเด็กที่เดินทางไปแล้ว 335 คนจะพูดคุยกับทาง ก.พ.และสถานทูตให้ช่วยเข้าไปดูแล โดยเฉพาะก.พ.ตนจะขอให้จัดเจ้าหน้าที่ไปประจำอยู่ทุกประเทศ เพราะถึงจะไม่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายเกิดขึ้นอีก แต่ว่าการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเด็กจะทำให้เด็กที่เรียนในต่างประเทศมีความสุขมากยิ่งขึ้นส่งผลดีต่อการเรียนของเด็กด้วย "กรณี น.ส.ณัฐชนน จะเป็นบทเรียนในการปรับปรุงแก้ไขโครงการนี้ให้ดียิ่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วการเตรียมการทุกอย่างก็มีความรอบคอบพอสมควร มีการนำเด็กมาเข้าค่ายปฐมนิเทศ ตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจของเด็กก่อนไปศึกษาต่อ แต่ปัญหาที่หลงหูหลงตาก็ยังเกิดขึ้นได้ กรณีนี้เป็นปัญหาเรื่องความเครียดในการปรับตัวและเกิดความคิดถึงบ้าน" เลขาฯ รมว.ศึกษาธิการ กล่าว น.พ.ทศพร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ศธ.กำลังประสานงานกับเจ้าหน้าที่ทางประเทศเยอรมนี เพื่อติดต่อรับศพของ น.ส.ณัฐชนนหลังจากชันสูตรเรียบร้อยแล้ว โดยจะฌาปนกิจศพที่วัดไทยในเยอรมนีแล้วจะนำเถ้ากระดูกกลับมามอบให้ครอบครัวของน.ส.ณัฐชนนต่อไป ซึ่งนายอดิศัยได้มอบเงินส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเด็กจำนวนหนึ่งแล้ว - ข่าวสด หน้า 1 จากคุณ : ยาโมเมะ - [ 19 ส.ค. 47 10:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยกับความเห็นที่ 3 อยากบอกว่า เด็กที่ได้ 3.5 จากโรงเรียนต่างจังหวัดบางแห่งและบางคนแค่เอ็นยังไม่ติดเลย แล้วจะส่งไปเรียนเมืองนอกได้ยังไง จากคุณ : มาตรฐานมันไม่เท่ากัน - [ 19 ส.ค. 47 11:16:57 A:161.200.19.50 X: TicketID:068880 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เผอิญผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัด ผมก็เชื่อเหมือนกันนะว่ามาตราฐานของ โรงเรียนในต่างจังหวัด อาจจะเทียบในกรุงเทพไม่ได้ อย่างไรก็ตามผมก็สนับสนุนว่า การให้ทุน บางครั้ง ก็จำเป็นต้องพิจารณาในเงื่อนไขหลายๆ อย่าง จะใช้ผลสอบอย่างเดียวเหมือนกันทั้งประเทศ คนที่ จะชนะ ก็น่าจะเป็นเด็กในกรุงเทพ หรือ เด็กในเมือง ใหญ่ๆ เพราะที่นั่นมีระบบกวดวิชา มีครูที่ดี มีอะไรอีก หลายๆ อย่างที่ต่างกันออกไป การกระจายการสอบออกไป เป็นระบบโควต้า จึงเป็น สิ่งที่ผมค่อนข้างสนับสนุน เพราะผมรู้สึกว่า อย่างน้อย มันให้"ความเป็นธรรม" ดี และอย่างน้อย ก็กระจายโอกาส ให้ คนธรรมดา ได้มี โอกาสไปศึกษาเมืองนอก บ้าง อย่างน้อย ก็จะได้เรียน รู้ และบางครั้งชาวบ้านธรรมดาที่ไปเรียนเมืองนอก อาจจะ ได้แอบเห็น "ชีวิตนักเรียนนอก" ซึ่งได้รับการสรรเสริญ ในเมืองไทย ว่า เป็นอย่างไร ปัญหาเรื่องน้องที่เสียชีวิต คงไม่สามารถ ด่วนสรุปได้ว่า "คนจน ไม่เหมาะสมกับการเรียนต่างประเทศ เพราะปรับ ตัวไม่ได้ " จากคุณ : ยาโมเมะ - [ 19 ส.ค. 47 11:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นายแพทย์ทศพร เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จะเสนอกระทรวงศึกษาธิการให้ตั้งทูตการศึกษาไปประจำประเทศต่างๆ .......อยากรู้จริงๆว่า นายแพทย์ทศพรฯไม่รู้จริงๆ หรือว่ารู้แล้วแต่แกล้งไม่รู้ว่า การดูแลจัดการศึกษานักเรียนทุนในต่างประเทศเป็นงานของสำนักงาน ก.พ. และส่งข้าราชการไปประจำที่ต่างประเทศทำหน้าที่ดูแลนักเรียน ถ้าตั้งทูตการศึกษาจากกระทรวงศึกษาฯไป จะไม่ทำงานซ้ำซ้อนกับผู้ดูแลนักเรียนฯหรืออย่างไร ได้อ่านจาก นสพ อีกเหมือนกันว่า นายสีมา เสมานันท์ เลขาธิการ ก.พ. บอกการดูแลนักเรียนทุนในเยอรมัน ได้ว่าจ้างบริษัทของนางระรินทิพย์ อิมบุช เป็นผู้ดูแลนักเรียนทุน เลขาธิการ ก.พ. เคยไปดูบริษัทของนางระรินทิพย์ฯด้วยตาตนเองบ้างหรือเปล่าว่า บริษัทนี้มีพนักงานทำงานกี่คน หรือว่าชื่อบริษัทแต่มีเจ้าของบริษัททำงานคนเดียว วิ่งดูแลนักเรียนทุนจำนวนร้อยที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศคนเดียว และกรณีที่นักเรียนโดดตึกฆ่าตัวตาย ถือว่าเป็นความบกพร่องของบริษัทเอาใจใส่ดูแลนักเรียนไม่ดีพอ สำนักงาน ก.พ. คิดจะเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ จากคุณ : บอนเนอร์ - [ 19 ส.ค. 47 14:25:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับความเห็นที่ 3 เหมือนกัน กำไรที่ได้จากการขายหวยของรัฐบาลมีเยอะแยะแทนที่จะเอาไปปฏิรูปการศึกษาพื้นฐานให้ดีก่อน โรงเรียนหลังเขาเยอะแยะไม่มีครูไปสอน ไม่มีที่จะเรียนไม่มีห้องสมุด แต่มันจะเห็นผลระยะยาวไม่เป็นรูปธรรมแบบนักเรียนทุน 1 อำเภอ กลัวเอาผลงานไปหาเสียงไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับนโยบาย 30 บาทเลย ทูตการศึกษาจะตั้งสักกี่คน ข้าราชการไทยก้อยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี จากคุณ : Aomozart - [ 19 ส.ค. 47 14:45:43 A:203.121.153.85 X: TicketID:070416 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ให้มีทูต 500 คนเลยนะครับ ในเยอรมัน แต่ถ้าผมอยากโดดตึก ช่วยผมได้ป่าวครับ จากคุณ : hilfe - [ 19 ส.ค. 47 17:31:53 A:130.75.209.6 X: TicketID:036623 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ทุกๆอย่าง โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าพวกที่มีศักดิ์เป็น"ทูต" นั้น ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆ จะเข้าถึงกันได้แค่ไหนกันเชียว เคยไปศึกษาอยู่ต่างประเทศเหมือนกัน แล้วก็มีปัญหากับระบบการศึกษาของฝรั่งที่มันเอารัดเอาเปรียบ เอาแต่ได้ เห็นแก่เงิน แล้วเราก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เสียเงินเสียรู้ไปก็เยอะ แต่ก็ต้องทนเรียนไป ด้วยหลักสูตรที่ห่วยแตก ทั้งที่เป็นสถาบันของรัฐ เพื่อนก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี หากว่ามีชุมชนคนไทยที่พอช่วยเหลือกันได้ก็น่าจะดี ความคิดเจ้าของกระทู้นั้นดีค่ะ ถ้าจะตั้งชุมชนคนไทยในต่างประเทศ แต่จะให้ดีกว่านั้นต้องมีการประชาสัมพันธ์ด้วย ด้วยวิธีการใดๆก็ได้ที่จะให้คนไปอยู่ใหม่ ได้รู้ว่าถ้ามีปัญหาเขาจะไปพึ่งพิงใคร อย่าท้อเลยค่ะ จากคุณ : นาโน - [ 19 ส.ค. 47 17:46:09 A:203.155.9.133 X: TicketID:067481 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คคห. 1 อธิบายไว้ถูกต้องแล้วครับ เรามีผู้ดูแลนักเรียนไทยหรืออัครราชทูตฝ่ายการศึกษาอยู่แล้ว ประเทศที่ผมมาเรียนอยู่ ผู้ดูแลนักเรียนไทยไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง เด็กนักเรียนไทยค่อนข้างเข้าถึงได้ง่าย หากว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็แจ้งได้เสมอ แต่แน่นอนว่าเรื่องใหญ่บางอย่างย่อมต้องทำตามขั้นตอน เพราะต้องรออนุมัติจากกพ.ที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ในกรณีน้องผู้หญิงคนนี้ที่เสียชีวิตไป ผมเข้าใจว่าทางกพ.ก็ดำเนินการเพื่อให้เดินทางกลับมาบ้านแล้ว แต่น้องตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองเสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะทางกพ.มีนโยบายให้เด็กนักเรียนกลับมาพักผ่อนฟื้นฟูจิตใจอยู่แล้ว เมื่อสบายใจมีกำลังใจดี ค่อยกลับไปเรียนต่อได้ ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เป็นเด็กมัธยม หรือไม่ได้เรียนภาษาเยอรมันมาก่อน แต่น่าจะเป็นความเข้มแข็งทางจิตใจของบุคคลแต่ละคนมากกว่า ว่าอดทนต่อความเครียดและความกดดันได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนหน้านี้ก็มีนักเรียนทุนจากไทยไปเรียนต่อที่เยอรมันมากมาย ทุกคนย่อมพบปัญหาการปรับตัวและการเรียนภาษาทั้งนั้น แต่ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้ว หากตั้งสติให้ดีๆ อุปสรรคทุกอย่างก็ย่อมผ่านพ้นไปได้ เท่าที่ติดตามจากหนังสือพิมพ์ น้องผู้หญิงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ภาคภูมิใจของทุกคนมาตลอด อาจจะรับไม่ได้กับการที่ต้องเริ่มต้นใหม่หมด และกลัวว่าจะล้มเหลวจนทำให้ทุกคนผิดหวัง จึงได้คิดสั้นเช่นนั้น ตามหลักแล้ว นักเรียนทุนที่จิตใจมั่นคง ไม่ควรท้อถอยง่ายๆ ควรจะศรัทธาในโอกาสและทรัพยากรที่ทางรัฐบาลให้มา เพราะใช่ว่าทุกคนจะมายืนตรงที่คุณยืนอยู่ได้ เด็กนักเรียนทุนอายุน้อยๆกว่านี้ เช่น จบมัธยมสามแล้วไปเรียนต่อเลยก็เคยมีปรากฎมาก่อน และส่วนมากก็สำเร็จกลับมาได้จากประเทศที่ใช้ภาษาที่สามยากๆ เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ในความคิดเห็นของผม ผมไม่คัดค้านหากผู้ดูแลนักเรียนไทยจะขยายเครือข่ายดูแลเด็กให้ทั่วถึงขึ้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นความผิดหรือความไม่ใส่ใจของผู้ดูแลนักเรียนเช่นกันครับ จากคุณ : ตะกั่ว - [ 19 ส.ค. 47 18:33:04 A:212.219.59.200 X: TicketID:046222 ]

ความคิดเห็นที่ 16 http://www.gats.rwth-aachen.de/webboard/view.php?1432 http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=tsvd&topic=2138 http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=tsvd&topic=2141 จากคุณ : Canossa - [ 19 ส.ค. 47 19:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพียงแค่คุณปรับตัวเองให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมนั้นได้ ก้อจะไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น จากคุณ : iambeauty - [ 19 ส.ค. 47 20:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ที่มีอยู่แล้วก็ไม่เห็นได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย หน้ายังไม่เคยเห็น มีเรื่องให้ดำเนินการอะไรก็ใช้ทางจดหมายกับอีเมลล์ จะเข้าพบเพื่อปรึกษาอะไร ท่านก็ไม่ว่างซะที แล้วยังงี้นักเรียนที่ไหนเขาจะอยากเข้าไปหา ซ้ำร้ายบางทีก็อยู่ไกลจะเดินทางทีก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาอีก เจ้าหน้าที่ก็เป็นแบบระบบราชการเมืองไทยน่ะ มาอยู่เมืองนอกแล้วก็ยังไม่ทิ้งนิสัยข้าราชการไทยเลย ไปประชุมกันทีก็ไม่เห็นจะคุยเรื่องไร มีแต่ยกยอนายก รัฐบาลดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แล้วก็คุยเรื่องที่มันไกลตัวกันจนทำอะไรไม่ได้ สรุปว่ามีแต่นามธรรม แล้วก็จบกันไป ต้องทบทวนมาตรการนี้กันอย่างเร่งด่วนเพราะ ทุนที่ให้นักเรียนที่ไม่ได้ผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษมามาก แล้วมาอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังฤกษอีก มันก็ต้องยิ่งเครียด แล้วเด็ก วุฒิภาวะก็ยังน้อยอยู่ ความคาดหวังก็สูง เราเองขนาดแก่แล้ว มีครอบครัว มีหน้าที่การงานมั่นคงแล้ว ยังเครียดเลย นับประสาอะไรกับเด็ก ไม่ต้องเร่งทำอะไรจนเกินไปก็ได้บางครั้ง ช้าแต่ชัวร์ (Slow but sure) เคยได้ยินไหมคะ จากคุณ : นักเรียนนอกเหมือนกัน (GMT) - [ 19 ส.ค. 47 20:12:48 ]

ความคิดเห็นที่ 19 การคัดนักเรียนทุนไม่ควรคัดแต่สติปัญญา . . แต่ . . คัดสภาพจิตใจด้วย . เก่งอย่างเดียวแต่จิตใจอ่อนแอ... ก็ยากที่จะดำรงค์ชีพในต่างแดนที่แสนจะโหดร้ายได้ จากคุณ : ชาติ 4300 - [ 20 ส.ค. 47 10:24:00 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 15 ค่ะ ผู้ดูแลนักเรียนกพ. ที่เยอรมัน ที่ดิฉันได้รู้จักนั้น ท่านได้ให้ความช่วยเหลือดูแลนักเรียนเป็นอย่างดี พร้อมเป็นที่ปรึกษาที่นักเรียนทุนรัฐบาลโดยไม่ได้เย่อหยิ่งแต่ประการใด เมื่อไม่มีสำนักงานผู้ดูแลนักเรียน ณ สหพันธ์ฯ แล้ว ดิฉันในฐานะนักเรียนคนหนึ่ง ก็ยังคงได้รับการช่วยเหลือ และได้รับคำปรึกษาต่าง ๆ จากตัวแทนผู้ดูแลนักเรียนไทยที่ได้รับมอบหมายมา เมื่อประสบปัญหา ก็ได้รับความช่วยเหลือมาตลอด ในส่วนของน้องที่เสียชีวิต ดิฉันไม่สามารถวิจารณ์อะไรได้ เนื่องเพราะไม่ใช่ผู้ประสบเหตุการณ์นั้นเอง คงได้แต่คาดเดา ขอเป็นหนึ่งเสียงที่มาบอกว่า ตัวแทนผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมันที่ดิฉันได้รู้จักนั้น ท่านได้ช่วยเหลือนักเรียนอย่างดิฉัน ให้ผ่านปัญหาอุปสรรค และบรรเทาความกังวล ตลอดจนเมื่อยามที่เจ็บป่วยก็ได้ให้ความสนใจดูแลอย่างเต็มที่ จนครอบครัวดิฉันที่เมืองไทยคลายกังวลไปมาก เพราะการได้รับการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาจากตัวแทนผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมันผู้นี้ เป็นหนึ่งปัจจัยให้ดิฉันหายป่วยและสามารถกลับมาเรียนต่อจนใกล้จะสำเร็จแล้วในวันนี้ได้อีก จากคุณ : -A-thai_student@bonn - [ 21 ส.ค. 47 02:37:11 A:62.134.108.56 X: TicketID:038845 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านเจอในเวปของสมาคมนักศึกษาไทยฯ www.thai-students.de เห็นว่า น้องชมพู่ ได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแล้ว พี่ ๆ และผู้ดูแลนักศึกษาเขาก็ทำงานกันอย่างดีทุกคน แต่ประเทศเยอรมัน ไม่ใช่เป็นสวรรค์สำหรับนักศึกษาไทยสักเท่าไหร่เลย ไม่ง่ายอย่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น ใครที่เรียนจบเยอรมันได้ เรียกว่า ผ่านความอดทนอย่างสูงมาแล้วทั้งนั้น เรียกว่า ต้องขยันเป็นสามเท่าของเด็กเยอรมันเลยทีเดียว เพราะต้องใช้ดิกชันนารีสามเล่ม คือ ไทย-อังกฤษ-เยอรมัน ควบคู่กันไป ตอนอยู่เมืองไทย คิดแต่ว่า ทำอย่างไรจะได้เกรดเอ อยู่เยอรมันต้องยืมคำของเด็กมาใช้ว่า สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นของธรรมดา สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่เด็กไทยจะไปเยอรมันคือ ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง คนเยอรมัน (ส่วนใหญ่) เป็นอะไรที่สุดโต่งจริง ๆ (ดิฉันสมรสกับชาวเยอรมัน และกำลังศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเทคโนฯ FH ในขณะนี้) มีเรื่องตลกแบบไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยากเล่าให้ฟังแก้เครียด ดิฉันแก่แล้ว อายุเลขสี่มาหลายปีแล้ว จดเลคเชอร์ไม่ทัน ขอเด็กลอก เธอบอกหน้าตาเฉยว่า "ของส่วนตัวย่ะ" ดิฉันรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็นึกขำว่า เออหนอ..ที่เราเคยมองคนลาวหรือพม่าอย่างไรเวลาเขาเข้ามาทำงานในบ้านเรา ชาวเยอรมันเขาก็มองเราอย่างนั้นหละ ยังดีที่สามีช่วยเหลือให้กำลังใจตลอด จึงสามารถสอบผ่านบ้างตกบ้าง สอบตกก็สอบใหม่จนผ่าน กินน้ำตามาหลายถัง มาจนเกือบจะสำเร็จแล้วหละค่ะ ส่วนสาวที่ไม่ยอมให้ลอก ปรากฏว่า เธอสอบตกค่ะ ยายแก่คนนี้ด้วยความพยายามจึงสอบผ่านฉลุย ดิฉันเองนักเรียนบ้านนอก จบปริญญาตรีเมืองไทยจาก วค.ภูเก็ตการจัดการ (กศ.บป.) ไม่ได้ผ่านมัธยมหก ไม่ผ่านมหาลัยดังๆ ที่กรุงเทพฯ แต่อย่างไรด้วยซ้ำ แก่ก็แก่ แต่ก็พยายามจนสอบได้ไม่แพ้เด็กเยอรมัน (ซึ่งส่วนมากขี้เกียจแถมหยิ่งยะโส) เป็นคนภูธรด้วย และขอยืนยันกับนักศึกษาไทยที่อยากไปเยอรมันทุกคนว่า " เราทำได้ " ถ้ามีความอดทนและพยายาม ดูป้าแก่ ๆ คนนี้เป็นตัวอย่าง สู้ สู้ สู้ ค่ะ หากมีปัญหา ก็ให้พยายามคุยกับรุ่นพี่ ซึ่งก่อนจะไปเยอรมัน ก็มีการปฐมนิเทศก์กันแล้วพอสมควรว่าจะคุยกับใครได้ที่ไหนอย่างไร ต้องพยายามปรับตัวในช่วงแรกให้ได้ เราอย่ามัวโทษใครอยู่เลย เรามาช่วยกันว่า ทำอย่างไรปัญหาจึงจะไม่เกิดอีกต่อไป เยอรมันเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสูง เรามาเอาความรู้กันเถอะ ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงเหมือนประเทศอื่น ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคนอย่ายอมแพ้ค่ะ ขอให้ท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง โปรดแนะนำเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างและการปรับตัวให้กับนักศึกษาไทยทุกคนด้วยก่อนที่จะส่งไปเรียน เรื่องภาษานั้น ไม่ยากเกินความพยายามค่ะ และคนที่อยากจะไปเรียนที่เยอรมัน ก็ต้องทำใจไว้ล่วงหน้า อดทนกับความลำบากในเบื้องต้น จะสบายในบั้นปลาย เรื่องภาษาเยอรมันนั้น แม้แต่คนเยอรมันเอง ยังสอบไวยากรณ์ตกเลย นับประสาอะไรกับกระเหรี่ยงอย่างเรา เราต้องหัดแพ้ให้เป็น เพื่อจะชนะในวันข้างหน้าไงคะ จากคุณ : mickymouse - [ 21 ส.ค. 47 04:48:12 A:213.7.81.6 X: TicketID:070888 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เท่าที่อ่าน คคห ต่าง ๆ ดู เห็นว่าผู้ดูแลนักเรียนหรือที่เลขาธิการ ก.พ. บอกว่าให้บริษัทเอกชนดูแลนักเรียนทุนในเยอรมัน นี่เก่ง มีความสามารถสูง คนเดียวดูแลนักเรียนทุนเกือบร้อยคนได้โดยไม่บกพร่อง จากคุณ : บอนเนอร์ - [ 21 ส.ค. 47 05:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 23 I like this phase : เราต้องหัดแพ้ให้เป็น เพื่อจะชนะในวันข้างหน้า :) จากคุณ : pook.. (i-tim) - [ 22 ส.ค. 47 03:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 24 I think foreign students abroad have to adapt themselves to the new environment which is very different from the home country. I've been studying in Germany for 4 years already. Sometimes I do enjoy my life here more than in Thailand, because I have more freedom to do things that I wouldn't do in Thailand and no one cares. German language is hard to learn, but adapting oneself to the local people and to the culture here is much more difficult. However, if one can adapts him/herself to live in the new environment, one will be happy. I've also met some nice German students who even let me borrow their lecture and helped me to write the reports in German. I think 'ผู้ดูแลนักเรียน' can't solve all problems for the students. The government should be more careful to select the students to study abroad. จากคุณ : Sonnenschein - [ 22 ส.ค. 47 19:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 โดยส่วนตัวเห็นว่าการมาเรียนต่างประเทศ ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม หากมัวมาพึ่งเจ้าหน้าที่กพ.อย่างเดียว และดูแลตัวเองไม่ได้ คิดว่าน่าจะเรียนในประเทศดีกว่า ผมเองก็เรียนที่ประเทศเยอรมนีเหมือนกัน ไม่มีใครคอยช่วยคุณได้ตลอดเวลา และฝรั่งแถวนี้ก็คิดแค่เพียงว่า ปัญหาของเธอ..ไม่ใช่ปัญหาของฉัน (พร้อมกับยักไหล่) ดังนั้นการโทษเจ้าหน้าที่ ของรัฐว่าดูแลไม่ทั่วถึง ผมว่าเป็นเรื่องที่ตลกที่สุด อย่าลืมว่านร.ทุนมีเป็นร้อย ดูแลให้คำปรึกษายังไงก็ไม่ทั่วแน่นอน (ต่อให้ยกกพ.ที่กรุงเทพฯมาประจำที่นี่หมดก็เถอะ) แต่กรณีน้องชมพู่นั้น เธอยังเด็ก และอาจจะยังไม่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนกระทันหันไม่ได้ แต่อยากฝากน้องๆที่นี่ไว้ว่า ให้อดทนเข้มแข็งเข้าไว้ ต่อไปออกไปทำงาน จะหนักกว่านี้ร้อยเท่า นี่เพียงแค่ด่านหนึ่งที่ทดสอบเราเท่านั้น จากคุณ : หนุ่มเฮสเซ่น (Hessenboy) - [ 23 ส.ค. 47 04:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อันนี้เล่าสู่กันฟังนะคะ เมื่อกี้เพิ่งโทรไปก.พ.มา ถามเรื่องขอต่อระยะเวลาทุน เค้าก็บอกว่า "ก็ print แบบฟอร์มในเวบแล้วส่งมาสิคะ" เราก็บอกหาไม่เจออ่ะค่ะ เจอแต่ของเยอรมัน ความจริงเราดูไม่ดีเองแหล่ะ เค้าก็บอกว่า "มีสิ ดูดีๆ ก่อนสิ" โปรดจินตนาการเสียงดังๆ ดุๆ ตาม ... อยากเน้นคำว่าดู ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพจัง ฟังแล้วใจมันหวิวเลยอ่ะ -_-" เรานั่งอยู่หน้าคอมฯ อยู่แล้วเลยหาอีกทีแล้วก็หาเจอ เลยบอกเค้าไป "อ้อ เจอแล้วค่ะพี่ ขอโทษนะคะ" เค้าก็บอกว่า "ก็ทำตามนั้นแหล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ" โอ้ยย กลัวแทบแย่ พี่ดุจางเลยอ่ะค่ะ ขอโทษนะคะพี่ขา หนูผิดเองค่า ฮือๆๆๆ เห็นด้วยกะข้างบนค่ะ ว่าเราเราเองต้องเข็มแข็ง อดทน อยู่ได้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องการเพิ่มเจ้าหน้าที่นั้น แค่เพิ่มอย่างเดียวไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหานะคะ ต้องเพิ่มความใจดีเข้าไปด้วยค่ะ เพราะถ้าพี่พูดด้วยความใจดี น้ำเสียงมันมาตามโทรศัพท์ มันจาทำให้พวกหนูๆ ชื่นใจขึ้นเป็นกองเลยค่ะ จากคุณ : Th@nY@ - [ 23 ส.ค. 47 22:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จากข่าวนักเรียนทุนจากเมืองไทยฆ่าตัวตายในเยอรมัน ผมอยากทราบว่าเคยมีกรณีอย่างนี้กับคนไทยคนอื่น ๆ หรือไม่ เพราะข้อมูลเท่าที่ทราบมา ปัญหาการฆ่าตัวตายในมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ นี่มีอยู่สม่ำเสมอ และเป็นปัญหาที่จะต้องระมัดระวังกันอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ หลายแห่ง ประสบปัญหานักเรียนฆ่าตัวตายหรือเป็นโรคที่เกิดจากความเครียด เป็น issue ใหญ่ ว่ากันว่ายิ่งโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทางวิชาการมากเท่าไร ปัญหาการฆ่าตัวตายก็มีมากเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างไร ถ้าเคยได้อ่านหนังสือชีวิตที่เลือกได้ ของ อ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ก็มีตอนหนึ่งที่เพื่อนสนิทของท่านที่เก่งมาก ๆ ระดับอัจฉริยะ จะเข้าอ๊อกฟอร์ดหรือเรียนอยู่อ๊อกฟอร์ดก็จำไม่ได้ล่ะ ก็ได้ทำการฆ่าตัวตายเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นที่เก่งขนาด อ.ชัยอนันต์ยกย่อง และมีวุฒิภาวะสูงมาก ๆ ดังนั้นสรุปไม่ได้ว่าคนที่เรียนเก่ง สมองดี ๆ จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่ประสบปัญหาในทางการเรียน ผมคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่เราจะต้องป้องกันโดยการทดสอบทางจิตวิทยา ฯ ให้ดี เพราะการมาเรียนต่างประเทศต้องเจอความกดดันมาก ถ้าหากมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงพอ ก็อาจจะระเบิดได้ ส่วนเรื่องทุนการศึกษาของทักษิณ 1 ตำบล 1 ทุน นั้น ผมมองว่าเป็นเรื่องของการให้โอกาสแก่คนที่ด้อยโอกาสกว่า เพราะว่าหากปล่อยให้แข่งขันกับคนในระบบ คนกลุ่มเหล่านี้ก็อาจจะมีโอกาสน้อยมากในการได้รับทุนมาเรียนต่างประเทศ แต่ก็นั่นแหละ การเพิ่ม equality ทางการศึกษา มีการวิจัยมานานแล้วว่าทำให้ efficiency มันเสียไป ก็ต้องเลือกเอา ผมคิดว่าเราเลือกทาง efficiency มากกว่ามานานแล้ว คราวนี้จะลองแนวทางใหม่ดูบ้างก็ต้องลองดูกัน ว่าผลสุดท้ายจะได้ผลสมความปรารถนามากกว่าหรือเปล่า อย่างไร จากคุณ : โก๋แก่ - [ 24 ส.ค. 47 09:42:06 A:68.21.174.85 X: TicketID:066281 ]

ความคิดเห็นที่ 29 พอดีวันนี้ได้รับ link นี้มาค่ะ จดหมายเปิดผนึก จากสมาคมนักเรียนไทยฯ ในเยอรมนี http://www.bangkokbiznews.com/2004/08/24/comment/index.php?news=column_14350404.html จากคุณ : Tai-Sarunya - [ 24 ส.ค. 47 19:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Please share your opinions at TSVD's webboard http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=tsvd&topic=2160 จากคุณ : C.A. (C.A.) - [ 25 ส.ค. 47 00:14:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่ต้องระดับฑูตการศึกษาหรอกครับ เอาแค่ผู้ประสานงาน หรือจะพ่วงนักจิตวิทยาเข้าไปด้วยก็พอ คอยเป็นธุระให้เด็ก ให้กำลังใจเด็ก จัดการปัญหาต่างๆที่มันเหลือกำลังของเด็ก จากคุณ : ช่างไฟ - [ 28 ส.ค. 47 14:16:11 ]