ความคิดเห็นที่ 6
เรียนต่อปริญญาเอกที่เยอรมันต้องดำเนินการอย่างไร
สิ่งแรกที่จะต้องทำก่อนที่จะเดินทางมาเยอรมันเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาเอกก็คือหามหาวิทยาลัยที่จะเรียน และหา โปรเฟสเซอร์ที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหรือ Doktorvater (ด๊อกทัวร์ฟาเธอร์) ให้ได้ก่อนค่ะ การเรียนระดับปริญญาเอก ของเยอรมันโดยทั่วไปไม่มีการเข้าเรียนแต่จะเป็นการวิจัยและเขียนวิทยานิพนธ์ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ดูแล ถ้าเราจบปริญญาโทมาจากเมืองไทยแล้วต้องการมาเรียนต่อปริญญาเอกที่เยอรมัน มหาวิทยาลัยที่เยอรมันส่วนมากมัก จะไม่ให้เราเป็นนักศึกษาปริญญาเอกทันที แต่จะให้เรียนและสอบบางวิชาก่อน เพื่อให้เรามีความรู้ของเยอรมันใน สาขาวิชาที่เราจะทำปริญญาเอกก่อน บางสาขาวิชา เช่น กฎหมาย ในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องทำปริญญาโทกันใหม่เลย ซึ่งเรื่องนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละสาขาวิชา และแต่ละมหาวิทยาลัย และก็ขึ้นอยู่กับโปรเฟสเซอร์ด้วย สำหรับด้านภาษา ถึงแม้ว่าการสอบ DSH จะเป็นเงื่อนไขสำคัญของนักศึกษาต่างชาติในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต ่สำหรับระดับปริญญาเอกแล้วมีข้อยกเว้นได้ คือ ถ้าเราเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ โปรเฟสเซอร์ก็จะขอให้เรา ไม่ต้องสอบ DSH หรือที่เรียกว่าขอ Befreiung (เบ-ไฟร-อุ้ง) ให้เรา หรือถึงแม้เราจะเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาเยอรมัน แต่ถ้าโปรเฟสเซอร์เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องสอบ DSH จะไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โปรเฟสเซอร์ก็สามารถขอ Befreiung ให้เราได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วโปรเฟสเซอร์มักจะให้เราเรียนภาษาเยอรมันและลองสอบ DSH ดูก่อน เพื่อให้เรามีพื้นภาษาเยอรมันตามสมควรค่ะ
การสอบภาษา หรือ DSH คืออะไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร
การสอบภาษาเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างประเทศ หรือการสอบ DSH (เด เอส ฮา) เป็นปราการ ด่านแรกที่นักเรียนต่างชาติทุกคนต้องผ่านจึงจะสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ (ยกเว้นมาเรียนโปรแกรม นานาชาติ หรือเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่โปรเฟสเซอร์อนุญาตให้ไม่ต้องเรียนภาษา) DSH เป็นด่านที่โหดหินที่สุด ในการเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องบินกลับบ้านเพราะไม่ผ่านด่านนี้
การสอบ DSH มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้จัดสอบ ๒ ครั้งต่อปี คือเดือนมีนาคม ก่อนเปิดเทอมฤดูร้อน และเดือนกันยายน ก่อนเปิดเทอมฤดูหนาว บางแห่งก็อาจจะมีการจัดสอบถี่กว่านั้น มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะออกข้อสอบและจัดการสอบเอง ข้อสอบจึงเป็นคนละชุด ไม่เหมือนกัน แต่รูปแบบและวิธีการจะคล้ายคลึงกัน โดยแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
(๑) สอบข้อเขียน (Schriftlich ชฺริฟลิค) ๖๐๐ คะแนน (๒) สอบสัมภาษณ์ (Muendlich มุนทฺลิค) ๓๐๐ คะแนน
ผู้สอบจะต้องสอบข้อเขียนได้คะแนนอย่างน้อยสองในสามหรือ ๔๐๐ คะแนนขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน และจึงจะมี สิทธิสอบสัมภาษณ์ได้ ซึ่งโดยทั่วไปมหาวิทยาลัยจะเปิดโอกาสให้สอบได้อย่างมาก ๓ ครั้งเท่านั้น นอกจากการจัดสอบ โดยมหาวิทยาลัยแล้ว สถาบันเกอเต้หลายแห่งก็จัดสอบ DSH ด้วย โดยจัดร่วมกับมหาวิทยาลัย ซึ่งโอกาสผ่านก็สูงกว่า การไปสอบกับมหาวิทยาลัย แต่ประเด็นสำคัญคือมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่รับผลสอบ DSH จากเกอเต้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะสอบกับสถาบันเกอเต้ เราจะต้องสอบถามมหาวิทยาลัยที่เราสมัครด้วยว่ารับผลการสอบจากเกอเต้หรือไม่ค่ะ
ขอย้ำว่า DSH ไม่ง่ายจริงๆ ต้องอุตสาหะมากๆ ถึงจะสอบได้ แต่ก็ขอให้กำลังใจว่า เท่าที่ผ่านมานักเรียนไทยส่วนใหญ่ สามารถผ่านการสอบได้ ตัดสินใจดูนะคะ ถ้าจะเลือกมาเรียนเยอรมันต้องเจอด่านนี้ แต่ถ้าขยันและเอาจริง ก็น่าจะ สอบได้ สู้ สู้ ค่ะ
ตัวอย่างข้อสอบ DSH (เว็บไซท์จัดทำโดยนักศึกษามหาวิทยาลัย Clausthal ค่ะ) [http://home.tu-clausthal.de/student/gruppen/thai/dsh/dsh.html] Reference: http://www.thai-students.de/education/faq/faq7.html
การทำปริญญาเอก (โดย พี่อ๊อด)
การทำปริญญาเอกที่เยอรมัน ไม่ถือว่าเป็นการเรียน ไม่มีคอร์สที่ต้องลงเรียน เป็นการทำวิจัยล้วนๆ ฉะนั้นจะสมัครลงทะเบียนเป็นนักศึกษาหรือไม่ก็ได้ ไม่มีใครบังคับ เมื่อมองให้ดี การทำเอกก็เป็น เหมือนการทำงานดีๆนี่เอง(อย่างต่ำวันละ 8 ชม.) จะจบได้ก็ต่อเมื่อเขียนวิทยานิพนธ์ส่ง และหลังจากนั้น ต้องสอบปากเปล่ากับ Prof.อีกสามคน คนแรกคือ Prof.ที่เราทำงานในภาค เรียกว่า Doktorfather, อีกสองคนเป็น Co-Referenz ในที่นี้ Prof.ของเราจะแนะนำว่าให้ใครเป็นดี ส่วนใหญ่ก็จะเป็น Prof.ของภาคใกล้เคียง การสอบก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชม.โดยแบ่งเป็น
1. แสดงผลงาน (Present) = 20 นาที (งานที่ทำมา 3 ปีต้องสรุปให้คนเข้าใจภายใน 20 นาที!!!) 2. ตอบคำถามในเรื่องของงานที่แสดงไป = 20 นาที 3. ตอบคำถามเรื่องทั่วๆไป = 20 นาที
(อนึ่ง การสอบนั้นต่างกันไปตามแต่ละ institute บาง institute อาจให้สรุปผลงานภายในเวลาเพียงแค่ 8 นาที และมี Prof. 4 คน เป็นต้น)
ภาษาที่ใช้ในการสอบนั้นจะต่างกันไป อันนี้ต้องคุยกับProf. ให้ดีๆ มีบางภาคที่ยอมให้สอบเป็น ภาษาอังกฤษได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้ภาษาเยอรมันเท่านั้น
ในเรื่องขั้นตอนการเตรียมตัวสอบนั้น ส่วนรายละเอียดให้ดูใน Promotionsordnungของแต่ละภาค ในที่นี้ขอยกตัวอย่างระยะเวลาคร่าวๆ คือ หลังจากเขียนงานเสร็จแล้ว ต้องส่งให้Prof.อ่านเพื่อแก้ไข+แนะนำ Prof.แต่ละภาคก็ใช้เวลาช้าเร็วไม่เท่ากันในการอ่านและแก้งาน ถ้า Prof.เราพอใจ เขาก็จะยื่นเรื่องว่าเรา ขอสอบจบเข้าในคณะกรรมการ Fachbereichsitzung หรือFakultaetsitzungของภาคที่เราเรียนอยู่ (เป็นการประชุมของProf. ในภาคนั้นๆทั้งหมด การประชุมนี้อาจมีแค่ 3-4 ครั้งต่อปีเท่านั้น) หลังจากนั้นถึงจะมี กำหนดการว่าจะให้เราสอบได้ในวันใด (เพราะบางภาคมีข้อกำหนดต่างๆกัน เช่น ภาคไฟฟ้า จะไม่สามารถสอบดร. ในช่วงปิดเทอมได้เป็นต้น) การพิมพ์วิทยานิพนธ์นั้น จะส่งในโรงพิมพ์หลังทำการสอบแล้ว เมื่อเราส่งเอกสารเราให้โรงพิมพ์แล้ว จะต้องเอาใบรับรองการพิมพ์ จากโรงพิมพ์ยยื่นให้ภาคด้วย (จำนวนการพิมพ์อยู่ที่ประมาณ100-150เล่ม)
สำหรับผู้คนที่สนใจทำเอก ก็ให้ไปดูในเว็บไซท์ของภาคต่างๆว่าเขาทำอะไร เรื่องที่เขาทำนั้น ตรงกับเรื่องที่เราเคยทำหรือไม่ หรือเรามีความสนใจ+ประสบการณ์ตรงตามเนื้อหาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ให้เขียนจม.สมัครกับ Prof. ได้โดยตรง
ข้อเตือน: ก่อนอื่นขออธิบายคร่าวๆก่อนว่า การทำปริญญาเอกเกือบทั้งหมดเป็นการทำวิจัย เพราะฉะนั้น ค่าใช้จ่ายหลักๆก็มีค่าบุคคลากร(คนทำ) และค่าทำการวิจัย (ค่าสร้าง-ซื้อเครื่องมือทดลอง, ค่าสารเคมี ฯลฯ) ถ้าเราไปดูตามเว็บไซท์แล้วเขามีประกาศรับสมัครคนทำปริญญาเอก ก็แสดงว่าทาง Prof. เขาหาทุนมาได้ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายข้างต้นไว้แล้ว ฉะนั้นจึงประกาศแค่หาคนมาทำ แต่สำหรับคนที่ใช้ทุนตัวเองหรือได้ทุนกพ. มาจากเมืองไทย แล้วสมัครมาทำเอกเพราะเรามีความสนใจ หรือสิ่งที่เราทำมาจากเมืองไทยอาจจะเข้ากับภาค เหล่านั้นได้ โดยที่ทางภาคเขาไม่ได้ มีการประกาศหัวข้อเรื่องไว้เหมือนในกรณีแรก อันนี้ขอให้ระวังให้ดี เพราะทุนที่เรามีนั้นเป็นค่าใช้จ่ายแค่ ครึ่งหนึ่งขอการทำวิจัยเท่านั้น(ค่าบุคคลากรซึ่งคือเราเอง) อีกครึ่งที่เป็นส่วนของ "ค่าทำวิจัย" ยังไม่มี ถ้าเราสมัครมาแล้ว Prof. เขารับ แสดงว่าในทางปฏิบัติ เมื่อเรามาอยู่เยอรมัน เราต้องเป็นคนติดต่อ หาทุนมาทำวิจัยเอง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่รู้ภาษาเยอรมันอย่างดีนั้น ทำได้ยากมากๆ จึงขอเตือนว่าต้องคิดให้ดีๆ เพราะถ้าในที่สุดแล้วเราหาเงินตัวนี้ไม่ได้อาจจะต้องกลับบ้านโดยไม่จบก็ได้
สำหรับคนที่จบโทมาจากเมืองไทย เวลามาทำป.เอกนั้น บัตรนิสิตจะขึ้นคำว่า (Bef. O. Absc. = Ohne Abschluss = ปราศจากหลักฐานการจบการศึกษา) ถึงแม้นตอนสมัครเราจะยื่นหลักฐานปริญญาโทแล้วก็ตาม (เหตุผลเป็นเรื่องการเมืองภายในมหาลัย) ทีนี้ที่เราจะต้องรู้ก็คือว่า เมื่อเรามาถึงแล้ว ให้ไปทำเรื่อง เปลี่ยนสถานะ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแล้ว ในบัตรนิสิตจะขึ้นคำว่า Promotion แทน ถ้าไม่ทำเรื่องและคำว่า Bef. O. Absc. ยังคงอยู่นั้น จะไม่สามารถทำการสอบเพื่อจบเอกได้ การเปลี่ยนสถานะให้ทำที่ AAA โดยต้องใช้หลักฐานดังนี้
1. Transcript ของป.ตรีและโทที่เป็นภาษาอังกฤษ (ตัวจริงและสำเนา) 2. หัวข้อเรื่องThesis โดยอันนี้เราต้องไปคุยกับ Prof. เพื่อให้ได้มา
ในกรณีที่เรามาทุนตัวเองหรือกพ.โดยทางภาคเขาไม่มีหัวข้อรอไว้ให้นั้น หัวข้อThesisก็จะยังไม่มี บางทีเราอาจต้องรอเป็นเวลานานกว่าจะหาหัวข้อได้แล้วถึงเปลี่ยนสถานะได้ ในระหว่างนี้ก็ยังต้องใช้สถานะ Bef. O. Absc. ไปก่อนซึ่ง สถานะการเป็นนิสิตประเภทนี้ มีอายุแค่หนึ่งปี และต้องไปต่อทุกๆปี การต่อก็ทำได้โดยการไปขอ Betreuungszusage จาก AAA แล้วเอาไปให้ Prof.เซ็นท์แล้วไปยื่นคืน (ดูรายละเอียดได้จากเว็บไซท์ของ AAA)
รูปแบบเงินที่ได้จากการทำปริญญาเอก
1. ได้ทุกจากแหล่งอื่นภายนอก (เช่น DAAD หรือ ของรัฐบาล) 2. HiWi ได้20 ชม.ต่ออาทิตย์, ~12 Euroต่อชม. ภาษีที่หักน้อยมาก (ไม่เกิน15%) 3. BAT 2a (Halbstelle) ประมาณ 1500 Euro ก่อนหักภาษี ได้จริงประมาณ 1000 Euro 4. BAT 2a (Vollstelle) ประมาณ 3000 Euro ก่อนหักภาษี ได้จริงแค่ประมาณ 1500 Euro
หลักฐาน: ในการสมัครโดยทั่วๆไปก็เหมือนการสมัคร Hiwi แต่สำหรับ BAT 2a นั้น ต้องใช้เพิ่ม คือ สำเนาใบแจ้งเกิด (ภาษาไทย) และ ใบแปลเป็นภาษาอังกฤษ หรือเยอรมัน ในกรณีของข้อ3 และ 4 นั้น ถ้าเราได้รับเงินเดือนแบบ BAT 2a นั้น คือเราเป็นลูกจ้างของมหาลัย เงินเดือนที่ได้มาถูกหักเยอะแยะมาก เพราะเราต้องจ่ายภาษีและประกัน เหมือนคนเยอรมันทุกอย่าง (ภาษีรายได้-Lohnsteuer, ประกันสุขภาพ-Krankenver, ประกันดูแลรักษา ยามเจ็บป่วย-Pflegever., ประกันตกงาน-Arbeitslosver., ประกันบำนาญ-Rentenver., ภาษีรวมประเทศ(ออก+ตก)-Solidaritaetszuschlag) หลังจากสิ้นปี ก็จะสามารถไปทำเรื่อง เรียกคืนเงินภาษี (Lohnsteuer) บางส่วนได้(อยู่ในหน่วย 3-6 ร้อยยูโร) ที่เป็นเช่นนี้เพราะได้ยินมาว่า เวลาเขาหักภาษี เขาจะหักเกินไว้ก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ไปทำเรื่องขอคืน รัฐก็สบายแฮ การทำก็ไปเอาแบบฟอร์มได้ที่ Finanzamt ในการกรอกเพราะเป็นภาษากฎหมายอ่านเข้าใจยากมาก ก็ให้ไปปรึกษา Steuerberatung เขาจะกรอกเรื่องทั้งหมดให้เรา ค่าใช้จ่ายก็ร้อยกว่ายูโร (แต่ก็คุ้มอยู่ดี)
ในเรื่องของการทำงาน ถ้าได้เงินประเภท 3 หรือ 4 ก็ต้องทำทุกอย่างที่ Prof.ให้ทำตั้งแต่ช่วยสอน, จัดสัมมนาภายในหรือภายนอก, จัดทัศนศึกษาของภาค, หรือรับงานเป็นโปรเจคย่อยๆเพื่อหาเงินเข้าภาค ฯลฯ เรียกว่างานวิจัยในส่วนของป.เอกอาจจะเป็นแค่ 30ของเวลาทำงานเอง เพราะฉะนั้น คนประเภทนี้ จะทำเอกเฉลี่ย 4-5 ปีเป็นเรื่องปรกติ แต่ก็จะเห็นว่าภาษาเยอรมันต้องดีมาก ทั้งพูดและเขียนเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นคนที่มาเรียนMaster-ภาษาอังกฤษเมื่อจบแล้วอยากทำเอกโดยได้เงินเดือนจากมหาลัย ก็ต้อง เอาจริงกับภาษาเยอรมันด้วย มิฉะนั้น ความด้อยด้านภาษาจะเป็นอุปสรรคสำคัญ
ข้อดีของการเป็นลูกจ้างมหาลัยคือ สามารถเอาใบสัญญาการจ้างงานนี้ ไปทำVisaแบบที่สูงขึ้นได้ ที่เขาเรียกว่า Aufenthaltserlaubnis (ในกรณีนักเรียน ได้แค่ Aufenthaltsbewilligung) อันนี้แนะนำสำหรับคนที่อยากหาประสบการณ์ทำงานต่อในเยอรมนีหลังจบเอก เพราะถ้าได้ Visa นี้ต่อกัน5ปี จะสามารถขอ แบบไม่หมดอายุได้ คือไม่ต้องไปต่อเรื่อยๆ-แต่ไม่ใช่ Visaตลอดชีพ เพราะถ้าเมื่อใดที่เราอยู่ในเยอรมันต่ำกว่า 6 เดือนในหนึ่งปี ก็จะถือว่า Visaนี้ขาดอายุเช่นกัน (รายละเอียดเพิ่มเติมไปหาอ่านได้ที่ http://www.im.nrw.de/aus/4.htm ) ส่วนเรื่องที่ผู้เขียนเองยังไม่เคลียร์คือเรื่องเงินบำนาญ ได้ยินว่าเมื่อกลับเมืองไทยแบบถาวร สามารถไปขอเงินที่เราจ่าย Rentenver. คืนได้จากสถานฑูตเยอรมันในไทย ซึ่งจะได้คืนแค่บางส่วน (อาจแค่ 20%ของที่จ่ายไป) แต่ว่าจะทำอย่างไรนั้น อันนี้ก็ต้องไปค้นกันอีกทีต่อไป Reference: http://www.gats.rwth-aachen.de/faq/study-in-germany.html#phd
จากคุณ :
Waffleice
- [
6 ต.ค. 47 15:52:11
]
|
|
|