CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    สัจธรรมกับการตำข้าวคั่ว

    วันนี้ตอนป้ากลับจากการเก็บข้อมูลที่โรงเรียนสอนภาษาไทยที่ Blackburn ตามคำแนะนำของคุณยุ่งเหยิง (ขอบคุณมากนะคะ) เหนื่อยมากๆ เพราะเมื่อเช้าตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งมานั่งพิมพ์แบบสอบถาม (ไม่ได้เป็นคนชอบกินแกงร้อนนะจ้ะ แต่เพิ่งเกิดไอเดียว่าควรจะถามคำถามแบบไหนถึงจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยก็เมื่อตอนเช้านี้เอง) แล้วเมื่อกลางวันนี้แดดแรงมากๆ พอกลับมาถึงบ้านรู้สึกปวดหัวรู้สึกจะเป็นไข้ก็เลยรีบกินยาแล้วก็แอบงีบจนถึงเวลาประมาณหกโมงเย็น ตอนที่ตื่นขึ้นมาแรกๆรู้สึกงงๆคิดอะไรไม่ออกรู้แต่ว่าต้องกินข้าวเย็นก็เลยเดินเข้าไปในครัวมองดูรอบๆตัวรู้สึกสับสนมากไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีเพราะมีวัตถุดิบในการทำอาหารหลายอย่างที่กำลังจะหมดอายุ (คือตอนไปตลาดปีศาจอาหารมันเข้าสิง เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด คิดรายการอาหารพร้อมทั้งจินตนาการตอนนั่งกินได้เป็นฉากๆ)  สุดท้ายก็มาลงเอยที่สุกี้เพราะหนึ่งผักกาศขาวเริ่มมีช่อใหม่งอกออกมาจากแกนกลาง ส่วนเซี่ยงจี้ก็ซื้อมาตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว แล้วก็มีแววจะถึงแก่กรรมไปก่อนเพื่อน  วันนี้ป้าตัดสินใจกินสุกี้สไตล์ MK ฟังดูดีมีชาติตระกูลแต่จริงๆเป็นการนั่งมันที่ในครัวนั่นแหละ (เปิดเตาต้มน้ำซุปค้างไว้แล้วค่อยๆลวกเซี้ยงจี้ที่ละนิด แล้วค่อยทยอยตักมานั่งกินกับน้ำจิ้มเรื่อยๆ)  เพราะกะว่าจะจะนั่งตำข้าวคั่วไปด้วยเนื่องจากว่าพรุ่งนี้จะมีชายหนุ่มมาบ้าน ป้าเลยกะว่าจะทำลาบหมูให้เค้ากิน ส่วนเค้าตั้งใจจะมากิน “ลาบป้า” มากกว่าลาบหมูหรือเปล่านั้น เราจะไม่นำมาถกกันในที่นี้  

    มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเขม่นนิดๆว่า “เค้าส่งให้มาเรียนหนังสือปริญญาเอก ดันจะมาสนใจทำเอกด้านการทำกับข้าวซะนี่” อยากจะบอกเพื่อนๆว่าเรามั่นใจว่าไอ้การทำกับข้าวนี้แหละที่จะทำให้เรามีโอกาสได้ดอกเตอร์ในเวลาที่กำหนดไว้ หรือไม่ก็ใกล้เคียง   มันจะเป็นไปได้ยังไงลองมาฟังดูค่ะ

    การตำข้าวคั่วทำได้ไม่ยาก ก็แค่ตั้งกระทะให้ร้อนใส่ข้าวสารลงไปคั่วอยู่ในกระทะคอยดูไม่ให้ข้าวไหม้ รอจนข้าวเริ่มเป็นสีเป็นสีเหลืองทองออกน้ำตาลนิดๆค่อยเอาลงเพราะข้าวคั่วที่ได้จะหอมมากกว่าข้าวที่คั่วไม่ได้ที่  หลังจากนั้นสำหรับคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากเอาข้าวคั่วที่ได้ใส่ลงไปในเครื่องบดก็เป็นอันเรียบร้อย แต่อย่างที่รู้กันความจนทำให้คนแตกต่าง ป้าไม่มีเครื่องบดมีแต่ครกหินคู่ใจ (อ่านประวัติครกได้จากกระทู้ก่อนหน้า “เรื่องเหม็นๆของคนมีกะตัง”) การใช้ครกหินตำข้าวคั่วไม่ใช้เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยความอดทนสูงในการที่จะโขลกเมล็ดข้าวทีให้ละเอียด ละหยิบมือ แทนที่จะโขลกเมล็ดข้าวทั้งหมดพร้อมๆกันเพราะผลงานที่ได้จะมีความละเอียดมากกว่า   อันนี้จำมาจากการดู อิคคิวซังสมัยเรียนประถม (ที่เค้าว่า คนแก่มักจำเรื่องในอดีตได้ดี สงสัยจะจริงแฮะ) แต่อย่างที่เค้าบอก “เกิดเป็นคนจนก็ต้องทนกันไป”  ดังนั้นเรื่องแค่นี้เราไม่ยันอยู่แล้ว แต่ในขณะที่กำลังมองเมล็ดข้าวเม็ดแล้วเม็ดเล่าโดนกะเทาะอยู่นั้นอยู่อยู่ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!!!!!!

    จู่ๆไอเดียที่เกิดจากการไปสัมภาษณ์คนที่โรงเรียนสอนภาษาก็แว่บเข้ามาให้สมองอย่างต่อเนื่อง  สมองที่ตื้อๆหลังจากตื่นนอนกลับรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก คิดได้เป็นฉากๆว่าไอ้สิ่งที่เค้าตอบมานั้นจะสามารถนำไปจับเข้ากับทฤษฎีไหนได้บ้าง หรือควรจะไปค้นคว้าเพิ่มเติมในแนวทางไหน อะไรทำนองเนี้ยะ  สรุปว่า 30 นาทีแรกของการตำข้าวคั่วช่วยให้ป้าจัดเรียงข้อมูลดิบในสมองให้กลายมาเป็นข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ในงานวิจัยได้ ส่วน30 นาทีหลังทำให้ป้าคิดทฤษฏีจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 30 นาทีแรกเพื่อจะนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง ในวันนี้.........

    เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นผลเนื่องมาจากการ “หยุด…..คิด” ไม่ใช่การหยุดคิด แต่เป็นการหยุดเพื่อที่จะคิด   หลายครั้งที่เราพบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำมากกว่าคิด ดังนั้นการกระทำส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของ Action = Reaction ซึ่งไม่ได้มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากนักส่วนใหญ่ “ทำแล้วก็แล้วไป” เหมือนเรื่องของการเรียนในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อาจารย์สอนในห้องหรือในเรื่องของการถามตอบ สิ่งที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นและจบลงในห้องเรียน นั่นคือพอหมดชั่วโมงเราก็จะพบว่าตัวเองโยนทุกอย่างคืนไว้ในห้องเพราะมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องทำ  สมัยยังสาวป้าเคยเรียนวิชาจิตวิทยา เค้าบอกว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่เรารับเข้ามาในระหว่างวันส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลดิบที่ต่อมาจะถูกกระบวนการทางสมองทำหน้าที่แยกแยะและจัดเก็บให้เป็นระเบียบ เหมือนกับการจัดเอกสารเข้าตู้  ซึ่งเป็นน่าจะเป็นคำอธิบายว่าทำไมคนบางคนรวมทั้งเราเอง   มักจะกิดไอเดียในการแก้ปัญหาต่างๆในฝัน (อันนี้ขออนุญาตไม่นับรวมกับเรื่องฝันถึงเลขท้ายสามตัวนะคะ เพราะคิดไม่ออกจริงจริงว่ามาได้ไง) อย่างที่บอกเราเองก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่มักจะเกิดไอเดียเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในช่วงที่ฝันหรือตอนกำลังงัวเงียใกล้จะตื่นนอน ดังนั้นวิธีการเรียนของเราคือ ก่อนนอนเราจะอ่านหนังสือหรือข้อมูลดิบอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เตรียมกระดาษปากกาไว้ข้างหมอน รอให้สมองทำหน้าที่ของมันในความฝันแล้วตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมจดผลลัพธ์ที่ได้ ขอบอกว่าสำหรับเราแล้ววิธีนี้ได้ผลมาก บางทีอาจจะพูดได้ว่าวิธีนี้ทำให้งานเดินมากกว่าตอนเรานั่งคิดจนหัวแทบจะระเบิดในช่วงกลางวันเสียอีก  

    การตำข้าวคั่วในวันนี้ทำให้เราค้นพบว่าไอเดียใหม่ๆสามารถเกิดขึ้นได้ในอีกหลายขณะโดยเฉพาะในช่วงที่เราปล่อยให้จิตว่าง  ส่วนใหญ่คนจะใช้วิธีการนั่งสมาธิเพื่อทำให้จิตว่าง  แต่สำหรับเราการนั่งสมาธิเป็นเรื่องยากมาเพราะไม่สามารถหยุดคิดได้ ที่รู้เพราะไม่สามารถนับ พุทธ โท หรือ แม้กระทั่งนับเลข ได้ตลอดรอดฝั่ง ในขณะที่พยายามทำสมาธิ  ซึ่งเราเพิ่งค้นพบวันนี้ว่าการทำจิตให้ว่างไม่จำเป็นต้องเกิดจากการนั่งสมาธิเท่านั้น การตำข้าวคั่ว หรือแม้กระทั่งการนั่งซักกางเกงในสามารถก่อให้เกิดสมาธิได้เช่นเดียวกัน  อยากให้เพื่อนๆลองอ่านเรื่องของป้าวันนี้แล้วลองกลับไปนอนฝันดู ไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะเกิดนิมิตอะไรในตอนเช้าบ้างก็ได้ค่ะ

    สุดท้ายจริงๆ อยากบอกว่าประสบการณ์ของเราสอนให้เรารู้ว่า
    เมื่อไหร่ที่เราทำ สมองเราจะหยุดคิด
    เมื่อไหร่ที่หยุดทำ หรือ slow down a bit
    ความคิดดีดีก็จะบังเกิด  ป้าเชื่ออย่างนั้นค่ะ

    รักทุกคนมากมายเหมือนเดิม

    ป้า Food

    จากคุณ : FoodMonster - [ 10 ต.ค. 47 18:48:25 ]