ความคิดเห็นที่ 1 มีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้าของกระทู้ค่ะ เลยเข้ามาดูคำตอบ เวลาเราไปสนามบินดอนเมือง ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องสำเนียงดีมากๆ ใครรู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวว่าเค้าไปฝึกสำเนียงที่ไหน อย่างไร ช่วยบอกด้วยนะคะ จริงอยู่ที่บางคนบอกว่าสำเนียงไม่สำคัญ เพียงแต่พูดให้คล่อง สื่อสารให้เขาเข้าใจก็พอแล้ว แต่เราก็ยังอยากจะพัฒนาภาษาอังกฤษของเราให้ดีที่สุดนะ ทั้งการพูดและทั้งสำเนียง อย่าว่าเราเลยนะที่เรารักดี จากคุณ : Pim - [ 4 พ.ย. 47 13:52:38 A:132.203.11.136 X:132.203.11.136, 202.12.118.36 TicketID:043481 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เท่าที่ทราบและประสบการณ์นะ......ไม่รู้ท่านอื่นเห็นด้วยหรือไม่ ๑. เรื่องการฝึกสำเนียงภาษาอังกฤษ --- จากที่อาจารย์ท่านที่ผมได้มีโอกาสไปร่ำเรียนมานะ (ไม่นานมาก เพียงแค่เทอมเดียว) ท่านเป็น professor ทางด้านภาษาฯ ท่านบอกผม(นักเรียนทั้งหมด)ว่า คนแต่ละประเทศ จะมีปัญหาการออกเสียงแตกต่างกันไป เพราะด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่สำคัญๆ คือเรื่องของสารีระของปากและลิ้น และเรื่องของเสียงภาษาที่ประเทศของเราไม่มีเหมือนภาษาอังกฤษ อย่างเช่นเสียง R, TH, V เป็นต้น เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการออกเสียงให้ได้อย่างคน native speakers ก็ต้องฝึกการออกเสียงด้วยการฝึกวิธีการใช้ส่วนต่างๆ ของปาก ลิ้น และต้องเข้าใจต่อด้วยว่าคำนั้นๆ ออกเสียงสระอย่างไร (ขอเพิ่มเรื่องสระ ว่าจริงๆ ภาษาอังกฤษไม่ได้มีเสียงสระ ๕ เสียง อย่างที่เราเรียนมานะ มีมากกว่านั้นเย๊อะมาก) หลังจากทราบวิธีการวางลิ้น และทำปากแล้ว อาจารย์บอกว่า การออกเสียงก็ให้เปิด dictionary เล่มใดเล่มหนึ่ง เพราะ dictionary แต่ละเล่มจะเขียนการอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน ให้ยึดเล่มใดเล่มหนึ่ง แล้วฝึกออกเสียงตามที่เค้าเขียนไว้...... ๒. เรื่องของความสามารถทางด้านภาษาของแต่ละคน --- ส่วนตัวผมเห็นน้องๆๆ รุ่นใหม่ เก่งภาษาอังกฤษกัน บางคน(ร่วมถึงผม) ไม่มีความสามารถทางด้านนี้ ฝึกอย่างไรก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไร (ในเรื่องของสำเนียง) --- เพราะฉะนั้น พวกที่สอง ก็อย่าคิดมาก ฝึกการสื่อสารอย่างไรให้สนทนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำเนียงก็มีส่วนแต่สือสารอย่างมีประสิทธิภาพสำคัญกว่ามั้ง(หรือเปล่า) ==== สุดท้าย ผมไม่ทราบว่าที่เมืองไทยที่ใหนสอนภาษาแบบที่ผมเคยได้ไปเรียนมา.... แต่ในอเมริกา ตามหมาลัยที่เปิดสอนภาษาอังกฤษโดยตรง น่าจะมีอาจารย์สอนนะ เรียกว่า pronunciation course จากคุณ : Green-Knt. - [ 4 พ.ย. 47 14:41:12 A:69.143.0.185 X: TicketID:036350 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่มเติม... เรื่องการพูดเป็นประโยค อาจารย์จะสอนว่า ต้องแบ่งการพูดอย่างไร หยุดเมื่อใด เน้นตรงใหน .......โอ้ย...อะไรจะมากมายขนาดนั้น.... หาแฟนคน native เลยง่ายดี.....ล้อเล่นนา จากคุณ : Green-Knt. - [ 4 พ.ย. 47 14:47:13 A:69.143.0.185 X: TicketID:036350 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับคุณ Geen-Knt. ค่ะที่บอกว่าควรจะเริ่มจากการศึกษาเรื่องวิธีการออกเสียงอย่างถูกต้องก่อน สรีระของปากและลิ้นของคนแต่ละชาติไม่ต่างกันหรอกค่ะ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือสระและพยัญชนะพื้นฐานของภาษาแต่ละภาษา บางภาษามีสระและพยัญชนะเยอะๆ อย่างเช่นภาษาไทย ทำให้คนไทยหัดออกเสียงภาษาต่างประเทศได้ง่าย ส่วนบางภาษามีสระและพยัญชนะน้อยเช่นภาษาญี่ปุ่น ก็เลยทำให้คนญี่ปุ่นออกเสียงภาษาต่างประเทศได้สำบาก เพราะว่าปกติแล้วเขาเคยออกเสียงอยู่แค่ไม่กี่เสียง พอต้องมาเรียนรู้เสียงใหม่ๆ ก็เลยต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ถ้าอยากเรียนการออกเสียง ที่ AUA มีคอร์สสอนออกเสียงโดยเฉพาะค่ะ โดยให้เริ่มหัดออกเสียงตั้งแต่เสียงสระ เสียงพยัญชนะ การเน้นพยางค์ การทำเสียงสูงต่ำขึ้นลง แล้วก็ให้อัดเทปอ่านภาษาอังกฤษของตัวเองส่งให้อาจารย์คนอเมริกันช่วยแก้ไขให้ด้วย และถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าที่ British Council ก็มีคอร์สแบบนี้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากเรียนด้วยตัวเองก็ทำได้ค่ะ ซื้อหนังสือและเทปมาหัดออกเสียงที่บ้านก็ได้ เพียงแต่ว่าเวลาเรายังพูดไม่ชัด หรือยังพูดไม่ถูกต้องอาจจะไม่มีคนแก้ไข แต่ก็ดีตรงที่จะได้ศึกษาด้วยตัวเอง ตรงไหนไม่เข้าใจก็อ่านนานหน่อย จะฟังซ้ำกี่สิบรอบก็ได้ ส่วนตรงไหนที่รู้แล้วก็จะได้ข้ามไป ที่สำคัญคือให้พยายามดูทีวีหรือฟังภาษาอังกฤษบ่อยๆ ฟังทุกวัน ถ้าได้ดูทีวีจะดีมาก เวลาฟังเสียงจะได้เห็นว่าฝรั่งเขาทำปากยังไง พอฟังบ่อยๆ และหัดออกเสียงไปด้วยแล้ว สำเนียงเราจะค่อยๆ ดีขึ้นเองค่ะ จากคุณ : Aoyama - [ 4 พ.ย. 47 18:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าอยากหัดสำเนียงอเมริกันด้วยตัวเอง ใช้หนังสือเล่มนี้ก็ดีค่ะ เป็นหนังสือที่ใช้ในคอร์สออกเสียงของ AUA Clear Speech: Pronunciation and Listening Comprehension in American English (2nd Edition) ผู้แต่ง Judy B. Gilbert สำนักพิมพ์ Cambridge University อธิบายได้ละเอียดชัดเจน มีรูปประกอบว่าต้องทำปากทำลิ้นยังไงบ้าง มีแบบฝึกหัดให้ฟังและออกเสียงตามเยอะดี มีเทปให้ฟัง ถ้าซื้อมาศึกษาเอง ก็คงจะต้องซื้อ Teacher's Book อีกเล่มเพื่อไว้ดูเฉลย เราเห็นมีขายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ แต่จำราคาไม่ได้แล้วค่ะ จากคุณ : Aoyama - [ 4 พ.ย. 47 18:12:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 และถ้าอยากฝึกสำเนียงอังกฤษ ก็ต้องเล่มนี้ค่ะ เท่าที่ลองพลิกๆ ดูหลายๆ เล่ม เรารู้สึกว่าเล่มนี้เขียนอ่านเข้าใจง่ายกว่าตำราสอนออกเสียงเล่มอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นแนวภาษาศาสตร์และออกจะวิชาการหน่อย English Pronunciation in Use Pack Book and Audio CD ผู้แต่ง Mark Hancock สำนักพิมพ์ Cambridge University เค้าทำบทเรียนได้น่าสนใจ และเป็นขั้นเป็นตอน เหมาะสำหรับการศึกษาด้วยตัวเอง แต่รู้สึกว่าที่เมืองไทยมีขายแต่แบบที่เป็นหนังสือกับเทป ไม่มีแบบ CD นะคะ เสียงในเทปจะช้าๆ ชัดๆ ให้เราออกเสียงตามได้ง่ายๆ เราเคยเห็นเล่มนี้มีขายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ อีกเหมือนกันค่ะ จากคุณ : Aoyama - [ 4 พ.ย. 47 18:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ของแถมสำหรับคนที่อยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษhttp://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3039643/H3039643.html จากคุณ : Aoyama - [ 4 พ.ย. 47 18:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมใช้วิธีธรรมดาๆ คือการหัดอ่านอักษรกำกับเสียงอ่าน หรือที่เรียกกันว่า phonetic ของคำ ซึ่งนอกจากจะบอกว่าออกเสียงอย่างไร ก็ยังบอกเราว่าคำไหนเน้นพยางค์ไหนด้วย บรรดาพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษทั้งหลายก็จะมีอักษรเหล่านี้กำกับไว้ที่คำศัพท์ทุกคำ พจนานุกรมก็มีหลายค่าย อย่าง Oxford, Merriam-Webster, Longman, American Heritage ฯลฯ บางค่ายก็กำกับคำอ่านแบบอังกฤษอย่างเดียว บางค่ายก็แบบอเมริกันอย่างเดียว บางอันก็มีมันทั้งสองแบบ สมัยนี้ยิ่งหัดง่ายเข้าไปใหญ่ มีพจนานุกรมแบบซีดีรอม อ่านออกเสียงให้เราฟังเสร็จสรรพ ซึ่งผมเห็นว่าการออกเสียงให้ถูกต้อง เน้นพยางค์ได้ถูกต้องนั่น มีความสำคัญมากกว่าสำเนียงเสียอีก (สำเนียงนั้นหัดง่ายกว่า) จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 4 พ.ย. 47 18:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกความคิดเห็น เราจะนำคำแนะนำเหล่านี้ไปบอกต่อกับเพื่อน ๆ ขอบคุณอีกครั้ง จากคุณ : kaew - [ 4 พ.ย. 47 18:54:52 A:161.246.59.196 X:161.246.1.35 TicketID:068694 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับคุณ Green-Knt ค่ะ เพราะเราพูดภาษาอังกฤษยังไงก็ติดสำเนียงไทยและก็พูดไม่ชัด เลยไปเรียน pronunciation course ที่คอมมูนิตี้ คอลเลจ เค้าบอกให้เปิดดิกดูการออกเสียง แล้วก็ให้ pronunciation symbols มาให้หัดออกเสียงบ่อย ๆ ส่วนตัวเราคิดว่ามันยากมากเลยล่ะ แต่ลองทำไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ พัฒนานิดหน่อยแล้วล่ะ จากคุณ : yay ! - [ 4 พ.ย. 47 18:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่ คอมมูนิตี้ คอลเลจสอบเป็นอย่างไร คุณ yay! ฃ่วยแนะนำหน่อย จากคุณ : kaew - [ 4 พ.ย. 47 18:59:13 A:161.246.59.196 X:161.246.1.33 TicketID:068694 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ฟังภาษาอังกฤษเยอะๆครับ และควรเป็นทั้งประโยคด้วย ไม่เป็นคำๆไปอย่างเดียว เนื่องจากจะมีการเชื่อมเสียงของสองคำเข้าด้วยกัน linking sound ด้วย บางทีเราฟังไม่ออกว่ามันคือคำอะไร แต่จริงๆแล้วมันคือคำที่เรารู้อยู่แต่ แต่พอเจอเข้าเชื่อมเสียงเข้าด้วยกัน เลยเหมือนเป็นคำใหม่ ควรศึกษาไว้ด้วย เช่น come on สามารถออกเสียงได้ว่า คัม มอน อีกอย่างคือการเน้นคำในประโยค เช่น this movie is pretty good ถ้าเน้นเสียงต่างที่กัน ความหมายจะต่างกัน คือ เน้นที่ pretty แปลว่า คนพูดคิดว่าหนังใช้ได้ แต่ไม่ได้ดีมากมายนัก แต่ถ้าเน้นที่ good คนพูดคิดว่าหนังเรื่องนี้ดีมากๆ ผมคิดว่าบางที เวลาออกเสียงคำเดี่ยวโดดมันออกเสียงตอนท้ายด้วย แต่พอไปอยู่ในประโยค บางทีแทบจะไม่ได้ยินใครออกเสียงแบบอ่านคำเดียวเลย เนื่องจากในความเป็นจริง มันจะมีคำอื่นตามมา ถ้าจะออกเสียงชัดทุกคำ ก็จะทำให้พูดช้า และอาจเนื่องจาก linking sound ด้วย จากคุณ : อยากเหมือนกัน - [ 4 พ.ย. 47 23:27:26 A:69.162.29.66 X: TicketID:064569 ]

ความคิดเห็นที่ 13 - ก่อนอื่นคุณหัด stress ให้ถูกจุด - ลืมไม้โทท้ายคำภาษาอังกฤษให้ได้ ทำให้ได้ตรงนี้ก่อนอย่างอื่นค่อยฝึกตามทีหลัง ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษขัดแย้งกันตรงนี้มากที่สุด ไอ้พวกกระแดะ คอมพิวเต้อ ลอนด้อน เมลเบิ้น อะไระพวกนี้ ลบมันออกจากหัวให้ได้ก่อน ที่เคยเจอ 95% ของนักเรียนไทย มักพูดภาษาอังกฤษลืม stress (monotone) หรือไม่ก็ใส่ไม้โทให้พยางค์สุดท้ายตลอด ฝึกที่สองข้อนั้นให้ได้ก่อนเพราะมันยากมากๆๆเพราะมันฝังอยู่ในหัวคนไทยตั้งแต่เกิด ปล. ที่ออกความเห็นนี่ไม่ได้เก่งกาจอะไรนะ.....แค่ความเห็น จากคุณ : xxx.com - [ 5 พ.ย. 47 09:05:36 A:10.161.40.15 X:202.12.97.118 TicketID:008548 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หนังสือ The elementary of the spoken English โดย อ. ปรารมภ์รัตน์ โชติกเสถียร ช่วยทำให้เราออกเสียงได้อย่างดี native speakers ร้อยละ 95 บอกว่าเราพูดชัดมาก จากคุณ : เจน - [ 5 พ.ย. 47 09:07:35 A:203.144.169.82 X: TicketID:031802 ]

ความคิดเห็นที่ 15 P.S ขอต่ออีกนิด หนังสือของ อ.ปรารมภ์รัตน์ มี CD ROM ด้วยนะ P.P.S ฝรั่งอีกร้อยยละ 5 ถึงไม่ได้ชม แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าว่าฟังเราไม่เข้าใจนะ จากคุณ : เจน - [ 5 พ.ย. 47 09:09:31 A:203.144.169.82 X: TicketID:031802 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขยันออกเสียงครับ ออกเสียงเป้นคำๆ ก่อน อย่างคำว่า really ฝึกจนคล่อง พอคล่องๆ ก็ฝึกเป็นประโยค จริงแล้ว ลิ้นคนเรา เมื่อแก่ตัวมากขึ้น มันก็จะดัดยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้อง พยายามหัด พูดง่ายๆ คือต้องตอแหล เลียนแบบ เสียงฝรั่ง เห็นใครสำเนียงเพราะก็เลียนแบบ เขา คนที่อยากเก่งภาษาอังกิด อยากสำเนียงดี แต่ไม่ทนฟังเพลงอังกิด ที่มีสถานีที่ดีเจ หรือดีเจพูดอังกิดก็จะ เก่งยาก ผมว่าถ้าลอง เอามัน ตลอด ฟังมันตลอด เอาสถานีวิทยุที่มันพูดอังกิด หัดเลียนแบบ การพูดเขา ผมว่า มันต้องได้มั่งละ โดยส่วนตัว ผมจะฝึกและเลียนแบบ สำเนียงเพื่อนเอา ก็ได้มาบ้าง แต่ที่สำคุญ ต้องทนฝืนๆ คือตอแหลนั่นเอง จากคุณ : yoyobsb (Dirty_Face) - [ 5 พ.ย. 47 11:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยกับคุณ Green-Knt มากๆ เลยค่ะ จริงๆ เราพูดสำเนียงไทยๆ นี่ล่ะค่ะ แต่การออกเสียงการเน้นต้องถูกต้อง รวมทั้งไวยากรณ์ต้องดีด้วย โดยศึกษาจาก Dictionary ไม่จำเป็นต้องเลียนเสียงให้เหมือนอเมริกันหรืออังกฤษเป๊ะ ดิฉันเองสมัยที่เรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ภาษาจะแน่นมาก แต่สำเนียงยังไงก็เป็นไทย แต่ก็ยังมีฝรั่งชมนะคะว่าพูดได้ดีมาก แต่ตอนนี้ แฮ่ะๆ พอมาทำงานที่ KL นี่ภาษาห่วยลงจริงๆ แถมเวลาไม่แน่ใจก็ขี้เกียจเปิด Dict แก้คำของเราเอง เริ่มเละเทะออกจะติดสำเนียงมาเลย์แล้ว สงสัยคงต้องขอย้ายตัวเองกลับเมืองไทยด่วน อิอิ.. จากคุณ : Tiwanon48 - [ 5 พ.ย. 47 11:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เราเป็นคนนึงที่การพูดภาษาอังกฤษจัดอยู่ในขั้นที่สำเนียงดีมากๆ ไม่ได้ชมตัวเอง นี่พูดจริงๆ เราพูดได้ดีก่อนที่เราจะได้ไปเรียนต่างประเทศด้วยซ้ำ เหตุจูงใจของเราเกิดจากเราไปสอบ AFS ไม่ผ่าน เพราะเราฟังคนสัมภาษณ์ไม่รู้เรื่อง พอกลับมาบ้าน เราโหมฝึกอย่างหนัก ด้วยการไปซื้อเพลงสากลมาฟัง แล้วหัดร้องตาม ร้องมันเข้าไป ร้องแบบเลียนแบบให้เสียงเหมือนเค้าทุกพยางค์ แล้วเราก้อขอให้แม่ติด UTV ไม่ใช่ UBC นะ หลายคนคงยังจำได้ว่านานมากแล้ว แล้วก้อดูซีรี่ต่างๆ จดจำคำพูดที่ฟังดูตลกๆ แล้วก้อเอามาหัดพูดตาม เราได้ AFS ในปีถัดไป แล้วสำเนียงเราก็พัฒนาขึ้นดีมากๆ จนหลายคนไม่เชื่อว่าเราไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศ และสุดท้าย เลยได้ทุนจากมหาลัยไปเรียนค่ะ จากคุณ : นางมารนอกสังกัด - [ 5 พ.ย. 47 11:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุยกับเจ้าของภาษาเยอะๆน่ะค่ะ คน british หรือ american ก็ได้ เราจะเลียนแบบเขาไปเองโดยไม่รู้ตัว แล้วก็จะพาลฟังเขาพูดรู้เรื่องไปได้เอง ฮ่าๆ และถ้าได้คนที่พูดภาษาภาคกลางจะดีมาก จะได้ไม่ติดเหน่อๆ มา ฟัง ubc อย่างที่คุณนางมารบอก ช่วยได้ไม่น่าเชื่อน่ะค่ะ จิงๆ แต่ต้องดูต่อเนื่อง ดูๆ ไปทั้งวัน แล้วก็ใจกล้าๆ เอาไปใช้กับฝรั่ง พอฝรั่งชม เราจะมั่นใจค่ะ แล้วก็กล้าใช้คำยากๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่สามารถเห็นผลข้ามคืนน่ะค่ะ ต้องหลายเดือนน่ะค่ะ แต่อย่าไปเครียดกับมันค่ะ ฟัง พูด สบายๆ get along with it จากคุณ : นู๋ปิ๋มมี่ - [ 6 พ.ย. 47 03:13:30 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อยากให้ลองอัดเสียงตัวเองดูแล้ว ฟังค่ะ อย่าพูดให้เหมือนท่อง ดูหนังซาว์ดแทรค แล้วหัดออกเสียงตามประโยคที่ได้ยิน ( อันี้แนะนำให้ทำตอนอยู่คนเดียวนะคะ )จะได้ออกเสียงดัง ๆ ตาม ไม่ต้องอายใครที่จะพูดค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : chatchanya - [ 6 พ.ย. 47 03:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยกับคุณเจน #14 อีกคนค่ะ หนังสือของอ.ปรารมภ์รัตน์ดีมากๆ เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีขายเป็น CD-ROM แล้วด้วย สงสัยเราจะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันนะคะคุณเจน :) ถ้าใครอยากได้หนังสือสอนวิธีออกเสียงที่เขียนเป็นภาษาไทย หนังสืออีกเล่มที่ดีก็คือ Speak English Clearly ของ Terry Fredrickson เป็นหนังสือในเครือ Bangkok Post แต่เล่มนี้พิมพ์มาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีขายหรือเปล่า มีเทปให้ฟังสำเนียงอังกฤษและอเมริกันเทียบกัน ให้เราพูดตาม แล้วก็อธิบายความแตกต่างด้วยว่าวิธีของอังกฤษกับอเมริกันต่างกันยังไง แต่หนังสือส่วนมากก็จะสอนหลักการคล้ายๆ กัน ลองเลือกศึกษาหนังสือเล่มไหนสักเล่มก็ได้ แล้วตั้งใจอ่าน ตั้งใจสังเกตว่าเค้าเอาลิ้นอยู่ตำแหน่งไหน ทำปากยังไง แล้วก็ฟังเยอะๆ หัดพูดหัดอ่านออกเสียงทุกวัน เราว่าใช้เวลาไม่กี่เดือนสำเนียงก็จะดีขึ้นมากๆ เลยค่ะ เพราะคอร์สออกเสียงที่เราเคยเรียน ใช้เวลาเรียนแค่เทอมเดียว แต่ทำให้นักเรียนพูดชัดและสำเนียงดีขึ้นมาก จากคุณ : Aoyama - [ 6 พ.ย. 47 23:43:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไปเรียน phoenetics เรียนการออกเสียง แล้วจากนั้นเปิดอ่านตามดิคได้เลย รับรองพูดได้เหมือนหรือคล้ายเจ้าของภาษา จากคุณ : padme' amidala - [ 7 พ.ย. 47 02:33:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อย่างเราอยู่ออสนี่สำเนียงนับวันยิ่งออสซี่ไปแล้วค่ะ (แต่ก็ยังติดไทยๆอยู่บ้างแหละ) ตอนแรกมาใหม่ๆจะแนวอเมริกัน เพราะที่ไทยส่วนใหญ่จะสอนสำเนียงอเมกัน ไปๆมาๆ ออสซี่ไปแล้ว ถึงตอนนี้เราเองก็ยังพยายามพัฒนาสำเนียงตัวเองอยู่ พวกที่ใช้ในชีวิตประจำวันน่ะไม่มีปัญหาแล้ว แต่พวกคำศัพท์ในห้องเรียน เวลาพรีเซ้นอะไรแบบนี้ บางทีประโยคยาวๆก็ยังแอบสำเนียงไทยๆอยู่ คิดว่าฝึกฝนไปเรื่อยๆ มีประสบการณ์มากขึ้นก็น่าจะพัฒนาขึ้น ถ้าอยู่ที่ไทย ยิ่งต้องหมั่นฝึกพูดค่ะ อย่างที่เพื่อนๆแนะนำไป เข้าใจว่าโอกาสจะได้พูดมันน้อยจริงๆ แต่ก็ต้องพยายาม เราว่าเรื่องสำเนียงนี่ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ สำคัญที่สุดคือต้องสื่อสารให้รู้เรื่อง แล้วก็ค่อยๆปรับสำเนียงเรา แล้วมันจะค่อยๆดีขึ้นเองค่ะ จากคุณ : + + an hao + + - [ 7 พ.ย. 47 22:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คิดถึงอาจารย์ปรารมภ์รัตน์จัง จากคุณ : Kellyger - [ 8 พ.ย. 47 02:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาแอบจำวิธีบ้าง... ว่าแต่คคห1. คะ คนประกาศที่สานมบิน เท่าที่รู้มาเค้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์นะคะ ดังนั้นจึงไม่เคยผิดพลาดค่ะ จากคุณ : Sa-Rah - [ 8 พ.ย. 47 08:31:52 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แล้ว หนังสือ ของ อ. ปรารมภ์รัตน์ โชติกเสถียร หาซื้อได้จากที่ไหน จากคุณ : kaew - [ 8 พ.ย. 47 14:25:33 A:161.246.59.196 X:161.246.1.33 TicketID:068694 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความจริงที่เค้าประกาศที่สนามบิน บางคนก็ออกเสียงไม่ถูกเหมือนกันนะครับ ลองสังเกตตอนที่เค้าพูดคำว่า immediately ดู จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 8 พ.ย. 47 16:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คนประกาศที่สนามบินไม่น่าจะใช้คอมพิวเตอร์นะ เพราะเวลาประกาศเรียกชื่อผู้โดยสาร Final Call เค้าก็เรียกได้นะ จากคุณ : Pim - [ 8 พ.ย. 47 17:52:41 A:132.203.11.136 X:132.203.11.136, 202.12.118.36 TicketID:043481 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ kaew ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ มีขายค่ะ รู้สึกจะราคา 300 บาท จากคุณ : Aoyama - [ 8 พ.ย. 47 18:43:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอแย้งคับที่ว่าที่สนามบินไทยสำเนียงดี ผมกลับมาจากเมืองนอกฟังเค้าประกาศ ผมบอกได้คำเดียว สำเนียงยังมีกลิ่นไทยเพียบเลยคับ แต่ยังดีกว่าคนไทยทั่ว ๆ ไปมาก ในโทรศัทพ์เหมือนกัน ตอนบอกว่า the number you're trying to call can not be connect จริง ๆ แล้วต้อง connected สิ เกือบเหมือนแล้วเชียว ติดคำสุดท้ายนี่แหละ สุดท้าย อยากได้สำเนียงดีเนี่ย จะเอาสำเนียงไหนคับ เมกา แคนนาดา อังกฤษ ไอร์แลนด์ ออสซี่ นิวซีแลนด์ อินเดีย etc. ไม่เหมือนกันซักที่คับ ใคร ๆ ก็บอกของตัวเองถูก (แบบตัวเอง) ผมยังนั่งขำเพื่อนผม คนเมกา คุยกะคน ออสซี่เลย คนเมกามันมานั่งเรียน slang กับ phase ใหม่เลย เพราะบางทีมันก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน จากคุณ : Thanatos - [ 8 พ.ย. 47 19:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มีคำไทยบอกไว้ว่า สำเนียงส่อภาษา.. เป็นคำกล่าวที่ถูกเป๋ง..ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดไหน สำเนียงดีเลิศขนาดไหน..แต่ถ้าไม่ใช่เป็นภาษาแม่ที่พูดแต่เด็กแล้ว ก็ยังติดสำเนียงไทยอยู่ดี คนเก่งบางคนอาจจะพูดได้แบบเจ้าของภาษา แต่ก็ยังมีบางคำที่แฝงสำเนียงไทยอยู่ดี การลงเว้นจังหวะ ออกเสียงเน้นคำ อาจจะช่วยให้สำเนียงดี แต่ยังไงก็ไม่เหมือนเจ้าของภาษา 100 เปอร์เซนต เอาแบบง่ายๆ และเป็นไปได้มากที่สุด คือพูดให้ชัด สื่อสารรู้เรื่อง ก็พอมั้ง จากคุณ : ขอแจมด้วย. (โอ..ลาล้า) - [ 9 พ.ย. 47 02:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อยากขอคำแนะนำค่ะว่า พจนานุกรมหรือหนังสืออะไรดีค่ะที่เกี่ยวกับวลีหรือสำนวนภาษาอังกฤษ หรือจะเป็นแบบซอฟแวร์ก็ได้ค่ะ เช่นคำว่า your english leaves a little to be desired. สำนวนนี้อาจารย์สอนค่ะ แต่ถ้าเวลาเราอยากค้นหาความหมายเองจะหาได้จากที่ไหนดีคะ ขอบคุณมากล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : ก - [ 9 พ.ย. 47 16:10:11 A:203.113.61.107 X:203.150.217.120 TicketID:014133 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สำเนียงของคนไทยในการพูดภาษาอังกฤษเนี่ยะ มีหลายระดับนะคะ แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า เวลาเราจะอ้างอิงคำว่า "เจ้าของภาษานั้น" เรามักจะหมายถึงไม่อเมริกัน ก็อังกฤษ ... เพราะฉะนั้นในกระทู้นี้ คำว่าสำเนียงเนถีฟเดี๊ยนหมายถึง 2 ชาติที่กล่าวมาแล้ว 1) พูดสำเนียงเจ้าของภาษาเป๊ะๆ --- เดี๊ยนยังไม่ค่อยเห็นค่ะ น้อยมากจริงๆ แม้แต่อีครูเคทที่หล่อนชื่นชมเหลือเกินว่าสำเนียงตัวเองเนถีฟมากๆก็ยังไม่ใช่ค่ะ แค่พยายามจะใช่เท่านั้น.. คนที่สำเนียงคนไทยที่ฟังแล้วเนถีฟจริงๆนั้นมีค่ะ แต่ยืนยันว่ามีน้อย แม้แต่เด็กไทยที่ไปเกิดที่นั่น โตที่นั่นก็ยังไม่เนถีฟเสียทีเดียว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าโครงสร้างในการออกเสียง (เส้นเสียง, กระโหลก, กล่องเสียง) ของคนเอเชียยังไงก็ไม่เหมือนฝรั่งมังค่า... คนเอเชียต่อให้สำเนียงเนถีฟแค่ไหนก็ยังมีความเป็นเอเชียหลงเหลืออยู่ในน้ำเสียง.. รวมถึงคนไทยด้วยนะคะ 2) สำเนียงอยู่ในขั้นดี --- หมายถึงยังไม่ขนาดเนถีฟ แต่ฟังแล้วฝรั่งรู้สึกลื่นหู จังหวะจะโคน และการขึ้นสูงต่ำถูกต้องทั้งหมด... พูดไหลลื่น ฟังแล้วฝรั่งเข้าใจได้ทันทีเลย... อันนี้เยอะค่ะ ส่วนมากคนที่ไปเรียนเมืองนอกจะเป็นแบบนี้ 3) สำเนียงอยู่ในขั้นปานกลาง --- หมายถึงจังหวะจะโคนยังไม่ถูกต้องนัก แต่ก็จัดว่าสำเนียงดีเริด ส่วนใหญ่พวกที่เรียนในเมืองไทย ภาษาอังกฤษดีๆจะเป็นเช่นนี้ รวมถึงคนที่ไปเรียนเมืองนอกบางส่วนด้วย 4) สำเนียงค่อนข้างแย่ --- พวกนี้พูดน้ำไหลไฟดับ ถูกไวยากรณ์ แต่ฝรั่งฟังแล้วไม่แน่ใจ เพราะพูดแล้วไทยมากๆ พวกนักการเมืองเป็นกันเยอะ แม้แต่รัฐมนตรีบางคนก็ตาม พูดคล่องปร๋อ แต่สำเนียงแย่มาก ฝรั่งพอจะฟังเข้าใจ แต่รู้สึกว่ามันแปร่งๆ 5) สำเนียงแย่มาก --- เยอะสุดค่ะ ต้องปลงนะคะ คนที่มาเริ่มหัดสำเนียงอังกฤษตอนโตแล้ว อย่างมากก็ไปได้แค่ข้อ 3 ค่ะ... คงจะยากในการพัฒนาให้ไปถึงข้อ 1-2 ได้ มันสายไปแล้วค่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ขำมากกก - [ 9 พ.ย. 47 16:36:35 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่จำเป็นเลยครับ ถ้าจะต้องออกสำเนียงเหมือนชาวอังกฤษ เพื่อให้ภาษาอังกฤษฟังแล้วดูน่าเชื่อถือ คนจีน เขาก็พูดอังกฤษสำเนียงจีน คนรัสเซีย เขาก็พูดอังกฤษสำเนียงรัสเซีย ไม่เว้นแม้แต่คนอเมริกัน ก็ยังพูดอังกฤษสำเนียงอเมริกันเลยครับ ถ้าคุณพูดได้ และสื่อสารได้ เชื่อผมสิครับ การพูดอังกฤษสำเนียงไทย ๆ นี่แหละ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ชาวต่างชาติรักคนไทยนั่นเอง จากคุณ : hotboyz - [ 9 พ.ย. 47 16:47:19 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สำเนียงดี กับออกเสียงชัด ไม่เหมือนกันนะครับ อย่าเอามาปนกันให้สับสน ฝรั่งฟังไทยไม่ค่อยออกเพราะเราพูดไม่ชัด เช่น play คนไทยโดยมากออกเสียง เพย์ ซึ่งตรงกับคำว่า pay แปลว่าจ่าย I play game-station. I pay game-station. you rock ! you lock ! ความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง แน่นอนฝรั่งหน้าไหนก็งง มีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้นที่เข้าใจ จากคุณ : สำเนียงเป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว - [ 9 พ.ย. 47 16:49:21 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ออกเสียงไม่ชัดมันก็คือสำเนียงไม่ดีนั่นแหละ เรื่องง่ายๆทำไมต้องทำให้มันยาก ลองถ้าออกเสียง play ว่า pay แบบนี้มันคือสำเนียงห่วยนั่นแหละค่ะ ส่วนคุณ Hotzboy นะคะ อิชั้นไม่เห็นด้วย คนเขาจะพัฒนาสำเนียงตัวเองเป็นสิ่งดีค่ะ ตัวคุณจะสำเนียงห่วยแค่ไหนก็ตามสบายเถิดหนา แต่อย่าให้คนอื่นเขาคิดเหมือนคุณ คนที่อยากพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่องค่ะ แล้วไอ้เรื่องที่ว่าฝรั่งรักคนไทยเพราะสำเนียงมันคนละเรื่องฮ่ะ อิชั้นเคยได้ยินฝรั่งมันนินทาคนไทยว่า สำเนียงคนไทยเหมือนคนปัญญาอ่อน สาบานได้ อิชั้นเคยได้ยินฝรั่งพูดแบบนี้จริงๆ ลองฟังพวกฝรั่งมีปัญหาทางสมองพูดสิ สำเนียงเหมือนคนไทยเลย "อั่ม เบบี้" ---> Baby = เบบี้ เป๊ะๆ นี่คือสำเนียงไทยๆแบบไทยแท้ๆเลยล่ะ แล้วอย่าคิดว่าฝรั่งทุกคนจะฟังสำเนียงคนไทยออกนะฮะ เพื่อนเดี๊ยนเคยเห็นฝรั่งจะชกกับกระเป๋ารถเมล์เพราะคำว่า 12 นี่แหละค่ะ กระเป๋ารถเมล์ ปอ.12 บอกว่า "ทเว้วบาท" ฝรั่งมันงงค่ะ กระเป๋าก็บอกว่า ทะเว้วๆๆๆๆ ฝรั่งมันว่าอะไม่รู้ค่ะ ฟักๆนี่แหละค่ะ จนกระเป๋าต้องยื่นตั๋วแล้วชี้เลข 12 ให้ดูถึงรู้เรื่อง อีกทีนึงอันนี้เดี๊ยนเองฮ่ะ พูดกับเพื่อนชาวอังกฤษ บอกว่าขอยืมแผ่นที่หน่อย (Atlas) ปกติพวกนี้จะชอบพก Atlas ติดตัวเวลาไปเที่ยวเมืองนอกน่ะฮ่ะ แต่เพื่อนฟังไม่รู้เรื่องฮ่ะ อิชั้นบอกว่า "แอ๊ทล้า~ส" พยายามทำสำเนียงให้ดัดจริตและชัดที่สุด แต่เพื่อนก็ยังไม่เข้าใจ ต้องเขียนให้ดู มันถึงร้องโอ้ว์... "แอ๊~ทหลัส" จากคุณ : จิมมี่ - [ 9 พ.ย. 47 16:51:06 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ท่าทางอีข้างบนนี่จะตกภาษาไทย ออกเสียงชัด กับ สำเนียงไม่ดี ไม่เหมือนกันนะ:-) สำเนียงอังกฤษ ไม่เหมือนสำเนียงอเมริกัน สำเนียงแลงแคสเตอร์ ไม่เหมือนสำเนียงยอร์ก ไม่เหมือนสำเนียงลอนดอน และไม่เหมือนสำเนียงครูสอนภาษามัธยมอย่าง:-) แล้วอันไหนออกเสียงชัด:-)บอกมาซิอีหน้าโง่ จากคุณ : ครูลิลลี่ - [ 9 พ.ย. 47 16:51:55 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ใจเย็นครับครูลิลลี่ คุณจิมมี่ครับ ลองดูนะครับ คนไทย ออกเสียงด้วยความมักง่าย เหมือนลืม ร ล ภาษาตัวเอง ในภาษาอังกฤษก็มักง่ายไม่ยอมออกเสียงตัว l ตัว r ชัดๆ แต่ถ้าคุณจะบอกว่า pay กับ play พลาดเพราะออกเสียงไม่ชัดคงเป็นเพราะคุณได้รับการศึกษาด้านภาษาศาสตร์มาน้อยมากๆครับ ผมไม่ถือ หรือคุณอาจจะเรียนภาษาอังกฤษมาแบบโลกแคบๆ เจอแต่ฝรั่งข้าวสารก็ได้ เดี๋ยวผมจะสะกดเป็นภาษาไทยง่ายให้คุนลองออกเสียงตามวรรณยุกต์นะครับ เพล่ เพ เพล๋ เพล ถ้าบุญมีกรรมแต่ง คุณลองออกเสียงให้ถูกแล้วบอกทีครับ ว่า อันไหนเป็นสำเนียงเมืองไหน ของอังกฤษบ้าง ใบ้ว่า อันที่สองเป็นสำเนียงอวดรู้ของคุณครับ จากคุณ : สำเนียงเป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว - [ 9 พ.ย. 47 16:53:04 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อีรีบนหัวกรู:-)ก็อวดรู้เหมือนกันน่ะแหละ อวดจนให้คนอื่นเค้าจับได้ว่า:-)ไม่ได้เรื่องทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาไทย ภาษาบ้านเกิด:-)เอง :-) กูล่ะเกลียดชิบ อีพวกที่เห็นคนอื่นเข้ามาแนะนำแล้วต้องคอยตินู่นตินี่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเก่ง สำหรับกูรู้สึกเวทนาพวก:-)มากกว่าว่ะ ถึงเจ้าของกระทู้อยากสำเนียงดีขึ้นไม่ต้องมาฟัง:-)พวกนี้แนะนำหรอก เอาเวลาตั้งกระทู้ไปเปิด Cable TV ฟังว่าเจ้าของภาษาเค้าพูดยังไง ฟังเสร็จก็ลองออกเสียงตามมั่ง ตามนั้น หรือถ้าอยากได้ผลเร็ว ก็บินมาอังกฤษ ถ้าชอบสำเนียงอเมริกัน ก็บินมาอเมริกา แนะนำให้มาอยู่รัฐบ้านนอกๆ ที่ไม่ค่อยมีคนไทย 1 ปีถ้าอยู่โดยไม่มีเพื่อนไทย คุยกะอเมริกันล้วนๆ ฟัง/ดูแต่ TV อเมริกัน รับประกันผลสำเนียงดีขึ้น ส่วนจะอยู่ ระดับ 1 หรือ 2 หรือ 3 ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของคุณเอง จากคุณ : ผ่านเข้ามา - [ 9 พ.ย. 47 16:56:56 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เจ้าของกระทู้ครับ ผมเองก็เรียนที่ออสฯหลายปีครับ ต้องพยายามฝึกที่บ้าน หรือพยายามจำสำเนียงไว้แล้วกลับบ้านก็พูดคำนั้ๆซ้ำๆๆๆหลายๆๆครั้งแล้วลองนึกดูว่าที่เราออกเสียงยังไม่เหมือนตรงไหน เช่นคำว่าสเตอแบรี่ผมฝึกเป็นปีครัล และฟังวิทยุหรือทีวีแล้วพูดตามต้องอดทนครับจริงๆแล้วผมไม่เก่งภาษอังกฤาแต่สำเนียงผมดีมากครับพูดกะคนไทยไม่ทราบว่าผมเป็นคนไทย และหลายครั้งผมพูดกะฝรั่งเขาว่าผมมาจากออกฯหรือไม่กะบริททิช แต่ต้องทนเมื่อยลิ้นและช่องปากมากไม่ต่ำกว่า6เดือนครับ และอีกอย่างคื่อเหนื่อที่เวลาเราต้องเปล่งเสียงออก แต6เดือนไปแล้วจะดีขึ้นและจะชินมาก ครับ ต้องฝึกมากๆครับพูดตามวิทยุ หรือทีวีก็ไดเพดเป็นร้อยๆครั้ง จากคุณ : 911 - [ 9 พ.ย. 47 16:57:38 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 41 น้องแพรวว่าน่ะค่ะ บางครั้งการออกเสียงเนี่ยมันก็เป็นทฤษฎีที่ต้องการการเรียนรู้อย่างจริงจังเหมือนกัน การที่เราเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาที่สอง ก็เป็นสิ่งที่ดีน่ะค่ะ เราจะได้มีความรู้ไว้สื่อสารกับคนต่างชาติ ทักวันนี้น้องแพรวก็ไม่ได้พูดภาษาฝรั่งแบบ native speaker เหมือนกัน แต่น้องแพรวก็สามารถสื่อสารได้นี้ค่ะ ส่วนมากคนไทยจะไม่ค่อยรู้เรื่องของระบบการออกเสียงเท่าไรค่ะ ว่าจะเน้นหนักคำไหน ประโยคแบบไหนที่ต้องมีเสียงสูงต่ำ หรือ ลงท้ายคำต้องออกเสียงอย่างไร ไงค่ะ จากคุณ : น้องแพรวค่ะ - [ 9 พ.ย. 47 16:58:21 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 42 #32 ใช้พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษอย่างเช่น Oxford Advanced Learner's Dictionary หรือ Longman Dictionary of Contemporary English ก็มีความหมายของสำนวนภาษาอังกฤษให้เหมือนกันค่ะ เวลาเจอวลีหรือสำนวนแปลกๆ ให้ดูว่าคำไหนเป็นคำหลักของวลีนั้นๆ แล้วลองเปิดพจนานุกรมดู อย่าง Your english leaves a little to be desired. ถ้าเปิดพจนานุกรม Oxford ที่คำว่า "desire" หรือ "leave" ก็จะเจอวลีว่า leave a lot to be desired ค่ะ เค้าให้ความหมายไว้แบบนี้ leave a lot, much, something, nothing, etc to be desired = be very, ect (un)satisfactory e.g. Your conduct leaves a lot to be desired, ie is extremely unsatisfactory. ส่วน Longman ให้ความหมายไว้ว่า leave a lot to be desired (especially spoken) = used to say that something is not as good as you think it should be. e.g. The standard of cooking here leaves a lot to be desired. ฉะนั้น Your english leaves a little to be desired. ก็เลยหมายความว่า ภาษาอังกฤษของคุณค่อนข้างดีแล้ว (มีส่วนที่ยังไม่น่าพอใจอยู่ไม่มาก) นั่นเอง จากคุณ : Aoyama - [ 9 พ.ย. 47 16:59:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ปัญหาผมจะแตกต่างจากคนอื่นมากๆครับ คิดว่าเด็กๆโตที่เมืองนอกครับ กลับมาเมืองไทยตอนป.2 จากนั้นก็ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าไร แต่ก็เรียนภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งตลอดจนถึง ม. 2 เวลาพูดจะชัดแจ๋วมาก น้ำไหลไฟดับ แต่รู้ศัพท์ไม่ค่อยเยอะ เวลาเขียนจะเห็นเลยว่า แกรมม่าเน่ามาก การแต่งประโยคก็ห่วย สมัครงานที่ไหนพอสัมภาษณ์ ฝรั่งหลายๆท่านก็ชมว่าพูดชัดมาก ใครๆก็ทึ่ง แต่เชื่อไหมครับว่า โทอิค แค่ 600 เอง ส่วนโทเฟิลไม่กล้าไปสอบครับ อาย พอเรียนภาษาอื่นๆ เช่น จีน เยอรมัน อ.ก็จะชมว่าพูดสำเนียงได้ดีมาก แต่ก็อีหรอบเดิม แกรมม่าเน่าสนิท ทำไงดีครับ อ่านแกรมม่ายังไงก็ไม่เข้าหัวเลยครับ จากคุณ : น๊อคครับ - [ 9 พ.ย. 47 16:59:48 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โถ อาตี๋นั่นเหรอสำเนียงดีมาก สำเนียงเอเชียพูดอังกฤษมากขอบอก อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ฝรั่งมันฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้มั่งก็ช่างมัน ไม่เห็นต้องอยากเหมือนเป๊ะเลย คำไหนมันแกล้งโง่เพราะอีโก้จัดว่าพูดได้ไม่เหมือนเจ้าของภาษาเดี๋ยวมันก็ย้ำถามเองล่ะ แต่ก็ไม่ใช่พูดแบบไทยจ๋า ประเภท ฮันโหล ฮาว อา ยู ..... วอเต้อเมลล่อน ........ เทเลวิชั่น ....... ไอ ด้อน โน ...... ไอ ด้อน ติ้ง โซ นั่นก็เกินไป พูดแบบกลางๆคือไม่กระแดะห่อลิ้นแบบอเมริกันจ๋า หรือพูดเหน่องุมงำกัดฟันพูด แบบ ตัวสะกดไม่มี เช่น GET อ่านว่า เก็ท แต่ออกเสียงเป็น เก๊ะ Got อ่านว่า ก๊อท แต่ออกเสียงเป็น ก๊อะ แบบอังกฤษยุคใหม่ พูดช้าๆ ชัดๆ เป็นกลางๆ ฟังรู้เรื่องไม่ต้องดัดจริตรัวแล้วผิด ยังจะชัวร์กว่า ฟังง่าย รู้เรื่อง ฝรั่งตัวไหนฟังไม่รู้เรื่องนั่นคือดัดจริต นี่เรื่องจริง พูดภาษาอังกฤษได้อย่างมากก็ไกล้เคียง จะเหมือนเป๊ะอิมพอสสิเบิ้น ยิ่งหัดกับครูไทยก็ลืมไปเหอะ ทางที่ดีมีเพื่อนฝรั่ง หรือหาครูฝรั่งมาคุยมาสอนกันตัวๆ พูดทุกวันมันก็จะรู้เรื่องไปเอง อยากเอาภาษาอังกฤษมาถอดเสียงเป็นไทยแล้วบอกออกเสียงแบบนี้แบบนั้นมันไม่ได้ คำไทยอ่านให้ไกล้คำอังกฤษน่ะได้ แต่เสียงกับความคล่องลิ้นมันไม่ได้หรอก จะไปกลัวอะไรกับการพูดไม่เหมือน ฝรั่งสิมันต้องอายเรา เราพูดได้สองภาษาเชียว แม้จะงูๆปลาๆก็ยังตั้งสอง ฝรั่งมันพูดได้ก็ภาษามันภาษาเดียว ลองมาให้พูดไทยดูบ้าง จะได้ง่อยปะไร หัดฟังให้มากนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะพูดแล้วคล้าย แกรมม่งแกรมม่าไม่ต้องไปกังวลมาก กล้าพูด กล้าผิด พอหายตื่นเต้นคราวนี้ล่ะ น้ำไหลไฟดับ อย่าลืมยังไงเราก็เป็นเอเชียหัวดำ พูดให้กระแดะสุดโลก จนฝรั่งงงแบบอีครูเคทก็ไม่ทำให้ผมสีทองไปได้ ฝรั่งรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ใช่คนของเค้า เวลาฟังคุณพูดเค้าต้องตั้งใจฟังมากกว่าปกติเป็นของธรรมดา ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเราลืมผันเวิร์บ เคยถามเพื่อนฝรั่งว่าฟังแล้วเข้าใจมั้ย เพื่อนก็พยักหน้ากันนี่ ไอ้กฏเกณท์ฟุ่มเฟือยมันแค่ทำให้ดูภาษารุ่มรวยขึ้นเท่านั้น เพื่อนบอก แต่ถ้าพยายามพูดมา ฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลาก็รู้เรื่องกันทั้งโลกล่ะ ไม่ต้องห่วง เอาเป็นว่าพูดแบบกลางระหว่างอเมริกันกับอังกฤษ ออสเตรเลียไม่ต้องวพูดถึง ฝรั่งบ้านนอก พูดแล้วปวดประสาท ฝรั่งกันเองไปฟังพวกออสซี่พูดยังวิ่งหนีเลย นับประสาอะไร งู = Snake อ่านว่า ซ เน๊ค อีออสซี่ก็อ่าน ซ ไนค์ค คือจะเอก็ไม่เอจะไอก็ไม่ไอ แล้วจะไปเอาน้ำยาที่ไหน พูดช้าๆชัด ระวัง แอ๊กเซ่น ระวังเสียงหน่อยๆ ดัดจริต นิดเดียว แต่พองาม ให้มีเสียง เอส เสียง ทีบ้างพอดู เอฟเอ็ม แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วคุณพี่ จากคุณ : ดำเกิง - [ 9 พ.ย. 47 17:01:19 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อยากจะเข้ามาเตือนเรื่องการถ่ายเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้ตัวอักษรภาษาไทยน่ะค่ะ (Transliteration) เพราะในระบบเสียงของทั้ง 2 ภาษาไม่ได้มีเสียงที่คล้ายคลึงกันมากโดยสิ้นเชิงขนาดนั้นหรอกนะคะ ดังนั้นใน Reply ที่ 20 ที่เจ้าของกระทู้ยกตัวอย่างคำว่า Temperature แล้วบอกว่าควรอ่านเช่นนั้น ประการแรกต้องยอมรับค่ะว่าในการออกเสียงในภาษาอังกฤษมักปรากฏการใช้เทคนิคการกร่อนเสียงพยางค์ (Syllabic compression) ทำให้เกิดการอ่านออกเสียงแบบต่อเนื่อง (Connected speech) โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสงวนพลังงานของกระแสลมที่ส่งขึ้นมาจากปอดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตามธรรมชาติในการเปล่งเสียงของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องพูดหรือกล่าวสุนทรพจน์หรือข้อความที่มีความยาวมากๆ จึงเป็นเหตุให้การอ่านคำดังกล่าวเหลือเพียง 3 พยางค์ก็จริง อย่างไรก็ตามในสถานการณ์หรือบริบทของการเพิ่มทัศนคติของการจงใจเพื่อเน้นย้ำข้อมูล (Emphatic attitude) เจ้าของภาษาเองก็ยังสามารถอ่านออกเสียงคำดังกล่าวนี้โดยเน้นทั้ง 4 พยางค์ได้อยู่ดีนั่นแหละค่ะ ทีนี้เข้าประเด็นสำคัญนะคะ สำหรับพยางค์ที่ 2 ที่คุณ reply 20บอกว่าต้องออกเสียงว่า “เผ่อ” นั้นอยากให้ตรองดูดีๆ ก่อนนะคะว่าคำๆ นี้มีตัว ‘r’ เข้ามาด้วยเมื่อเกิดการกดดันหรือกร่อนพยางค์ระหว่างพยางค์ที่ 2 และพยางค์ที่ 3 จึงทำให้เกิดการออกเสียงในลักษณะควบกล้ำ (Cluster) ที่ถูกจึงควรจะต้องออกเสียงว่า “เพร่อ” กระนั้นก็ดีนี่ก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่ดิฉันพยายามจะชี้แจงเกี่ยวกับการถ่ายโยงเสียงภาษาอังกฤษโดยการใช้อักษรในภาษาไทย เพราะเสียง “ร” นั้นมีสัทลักษณะ (Phonetic feature) ที่ต่างไปจาก ‘r’ ของภาษาอังกฤษในแง่ของลักษณะเสียงที่เปล่งออกมา (Manner of articulation) กล่าวคือ “ร” เป็นเสียงตีรัว (Trill) เกิดจากการเคลื่อนตัวของปลายลิ้น (Blade/Tip of the tongue) ยกขึ้นไปตีรัวกับปุ่มเหงือก (Aveolar/gum ridge) ในขณะที่เสียง ‘r’ในภาษาอังกฤษมีลักษณะของเสียงเปล่งออกมาแบบเปิดกว้างหรือเสียงเปิด (Approximant) คือ ปลายลิ้น (Blade) มีการยกตัวขึ้นไปในทิศทางของปุ่มเหงือก (Gum ridge) จริง แต่ไม่เกิดการสัมผัสกันระหว่างฐาน-กรณ์ทั้ง เหมือนเสียง “ร” ของไทยเรา สรุปก็คือเสียง ‘r’ นั้นมีการยกตัวของกรณ์เล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับขึ้นไปจรดจนสนิทกับฐานในช่องปาก คนไทยส่วนใหญ่ที่ขาดความรู้ความเข้าใจหรือแม้จะรู้ก็ตามแต่ก็ยังขาดการตระหนักใช้ให้ถูกต้องทำให้การออกเสียงดังกล่าวบิดเบือนไปจากแนวปฏิบัติของเจ้าของภาษา (Norm) ดิฉันจะไม่บอกหรอกนะคะว่ามันผิดหรือมันถูกเพราะไม่ใช่วิสัยของนักภาษาศาสตร์ โดยหลักการแล้วนักภาษาศาสตร์จะวิเคราะห์ภาษาในเชิงวัตถุวิสัยมากกว่าอัตตวิสัยค่ะ คือ มองว่าข้อเท็จจริงโดยรวมเป็นอย่างไร และปรากฏการ์บางอย่างในภาษาที่เกิดขึ้นสอดคล้องหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้นหรือไม่ อย่างไร เป็นที่ยอมรับหรือไม่ ในระดับใดไม่ใช่เห็นอะไรแล้วก็บอกว่ามันผิดมันถูกตะพึดตะพือท่าเดียว อีกเสียงหนึ่งคือ พยางค์สุดท้ายของคำตัวอย่างที่คุณ reply ยกมาคือที่องการจะบอกว่าพยางค์ ‘-ture’ ต้องออกเสียงว่า “เจอร์” นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะเสียงพยัญชนะตัวนี้ไม่ใช่เสียง ‘จ’ ในภาษาไทยเรา แต่ที่คนไทยออกเสียงเป็น ‘จ’ นั้นเพราะทั้ง 2 เสียงมีลักษณะของเสียงที่เกิดคล้ายกันคือ เป็นเสียงกักเสียดแทรก (Affricate stop) ใช้ฐาน-กรณ์ตำแหน่งเดียวกันคือ ปุ่มเหงือกเพดานแข็งกับปายลิ้นหรือลิ้นส่วนหน้า แต่เสียงพยัญชนะในคำ ‘-ture’ นี้ใช้พลังลมมากกว่าเล็กน้อยกอปรกับลักษณะการจัดริมฝีปากก็มีการยกตัวเชิดขึ้นมากกว่าทำให้เกิดความต่างขึ้นอย่างชัดเจน รายละเอียดในระบบเสียงทั้ง 2 ภาษานี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือต่อไปนี้ พิณทิพย์ ทวยเจริญ. 2547. ภาพรวมของการศึกษาสัทศาสตร์และภาษาศาสตร์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : กรุงเทพมหานคร. หน้า 37, 247 และ พิณทิพย์ ทวยเจริญ. 2544.การพูดภาษาอังกฤษตามหลักภาษาศาสตร์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : กรุงเทพมหานคร. หน้า 20 ส่วน “accent” ในทางสัทศาสตร์จะเป็นการศึกษาองค์ประกอบในการออกเสียงทุกด้านค่ะ (Pronunciation) การศึกษาเรื่อง Stress กับ Intonation เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระดับหน่วยเสียงพิเศษ (Suprasegmental unit) เท่านั้นค่ะ ควรพูดถึงเรื่องของหน่วยเสียงปกติ (Segmental unit) ได้แก่ เสียงพยัญชนะ (Consonant) และสระ (Vowel) ด้วยค่ะ จากคุณ : Linguist Usana - [ 9 พ.ย. 47 17:05:47 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 46 หนทางที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบันก็คือ การแก้ไขปรับปรุงคุณภาพบุคลากรทางการศึกษาเสียใหม่ กล่าวคือ การอบรม “ต้นแบบ” ซึ่งก็คือ “ครู” ที่สอนภาษาอังกฤษให้มีความตระหนักในประเด็นดังกล่าวพร้อมทั้งพยายามฝึกฝนการออกเสียงให้ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ต้องเหมือน 100 % หรอกค่ะ ยาก สำหรับตัวผู้เรียน หรือ นักเรียน เองนั้นพร้อมที่จะฉลาดอยู่แล้ว เปรียบไปก็เหมือน “มีด”อยู่ที่ว่าผู้ที่จะเข้ามาทำการลับคมมีดนั้นมีความแม่นยำและแข็งแกร่งไปด้วยหลักการที่น่าเชื่อถือสอดคล้องกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงไร มิเช่นนั้นเราก็จะยังเห็นภาพของการ “ฆ่า” ศักยภาพของเด็กนักเรียนไทยด้วยน้ำมือของ “ฆาตกรทางภาษาในคราบแม่พิมพ์” ทำให้ “มีด” ทื่อๆ มีอยู่เกลื่อนดารดาษอยู่ฉันท์นั้นเอง ฝากไว้ด้วยนะคะ อย่าให้การลงทุนทางการศึกษาของท่านต้องเสียเปล่าเพียงเพราะความคิดที่ว่า “แค่สื่อสารได้” ก็เป็นพอ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันคงต้องแนะนำพวกที่มีความคิดเช่นนี้เสียใหม่ว่า ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเรียนภาษาต่างประเทศเช่นภาษาอังกฤษในห้องเรียนที่โรงเรียนให้เสียเวลาหรอกค่ะ ไปฝึกกับ “ผู้หญิงบริการฯ” แถวๆ พัทยาก็คงจะพอสื่อสารกับฝรั่งได้สมใจเพียงพอและตรงตามวัตถุประสงค์ในการเรียนภาษาอังกฤษของท่านแล้ว หรือไม่จริงคะ? ป.ล. ดิฉันมิได้มีเจตนาอ้างถึง “กลุ่มผู้หญิงบริการฯ” ในทัศนคติที่ไม่ดีต่ออาชีพนี้ซึ่งบางครั้งในความเป็นจริงเธอเหล่านั้นอาจไม่มีหนทางที่จะเลือกปฏิบัติได้ตามที่ใจคิด ออกจะเห็นใจและปรารถนาที่จะได้มีโอกาสหยิบยื่นความช่วยเหลือในทุกทางเท่าที่ความสามารถของดิฉันจะเอื้ออำนวยได้เสียด้วยซ้ำ แต่ในที่นี้ ดิฉันมุ่งเน้นที่จะนำเสนอแง่มุมของการใช้ภาษาของพวกเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการออกเสียงภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ จากคุณ : Linguist Usana - [ 9 พ.ย. 47 17:06:49 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 47 มีใครรู้สึกเหมือนผมมั้ยคับ.......ว่าอ่านReply เจ๊Linguist Usana ไม่ว่าจะไปปรากฏที่กระทู้ไหนจะต้องมีลักษณะยืดยาดเยิ่นเย้อน้ำท่วมทุ่งหาผักบุ้งไม่ค่อยเจอ....เน้นแต่จะอวดภูมิรู้ปลีกย่อยจับผิดคนอื่นๆ....ให้สรุปประเด็นราวกับว่า....Replyอื่นๆนั้นมีแต่"ควาย" ทั้งๆที่เค้าตอบกันกระชับได้เนื้อๆถึงจะไม่perfect แต่อรรถประโยชน์ก็เกิดแก่ผู้อ่านและสื่อสารได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการช่วยแสดงความคิดเห็นและยกตัวอย่างประกอบแล้ว....ถ้าเจ๊แกทำหน้าที่ผู้บรรยายนะมีหวังนักเรียนนั่งหลับกันทั้งห้อง เพราะลอยคอเก็บผักบุ้งกันจนเหนื่อยล้า การบรรยายที่ดีควรกระชับใช้วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและใช้แบบพองามโดยเฉพาะหากต้องการถ่ายทอดความรู้อย่างจริงใจก็ควรตระหนักถึงวิธีการนำเสนอด้วยว่าบรรยายแบบไหนแล้วคนฟังรับได้เกิดความรู้เกิดประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่ปิง วัง ยม น่าน โขง มูล ชี แม่กลอง ท่าจีน ชักเอามาจนหมด กะว่าเอาปริมาณเข้าว่า หรือติดนิสัยตอนเป็นนักเรียนว่าต้องเขียนเยอะๆเต็มหน้าเข้าไว้ คุณครูจะได้เพิ่มคะแนนขยันเขียนให้ ป.ล. ที่เขียนมานี่เพราะรำคาญ และไม่ได้เป็นญาติกะใครในReplyที่ถูกเจ๊แกวิจารณ์ทั้งสิ้น จากคุณ : 7-up - [ 9 พ.ย. 47 17:08:47 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมไปเรียนHIGH SCHOOLที่อเมริกาตั้งแต่เด็กจำได้ว่าช่วงแรกๆประมาณ3เดือนจะฝึกการฟังจากละครทีวี เพราะพูดเสียงชัดดีแล้วพูดตาม หัดฟัง.....เลียนแบบพูดตาม...แล้วนำไปใช้ วิธีนี้ได้ผลดีมากเพราะได้ภาษาพูดแบบสดๆที่เค้าใช้กันจริงๆในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ แพทเทิร์นที่ท่องมาจากในตำรา มันทำให้การพูดคุยมีสีสรรค์ไม่แข็งทื่อ และผมเห็นด้วยกับRE17 ที่ให้ใช้วิธีแบบนกแก้วนกขุนทอง คือฟังมายังไง พูดตามไปอย่างนั้นสดๆเลย อย่าจดเป็นภาษาไทย เลียนเสียงธรรมชาติเหมือนที่เราหัดพูดตามแม่ตอนเด็กๆโดยที่ยังไม่รู้จักกอไก่ ขอไข่ เชื่อไหมว่าผมฝึกวิธีนี้หมาที่บ้านฝรั่งยังฟังรู้เรื่องเลย แสดงว่าใช้ได้ เพราะหมาแกล้งเออออว่ารู้เรื่องแบบคนไม่เป็น.... ฝึกคุยกะฝรั่งบ่อยๆครับ เด๋วก็ดีเอง จากคุณ : เด็กทุน - [ 9 พ.ย. 47 17:09:59 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อีรี 38 คะ .. แล้วมันหนังกบาลอะไร:-)คะ เวลาที่คนเขามีน้ำใจมาช่วยอธิบาย ถึงแม้บางทีมันไม่ใช่การตอบที่ตรงคำถาม บางคนเขาอาจจะมาถ่ายถอดความเห็นหรือว่าประสบการณ์ของการใช้ภาษาค่ะ อย่างตัวดิฉันเองไม่ถนัดภาษาอังกฤษค่ะ ถนัดภาษาไทยมากกว่า แต่ว่าดิฉันก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้ ชาวต่างชาติเหล่านั้นกลับถามดิฉันซะอีกนะคะว่าดิฉันเรียนเมืองนอกมาหรือเปล่าเพราะว่าภาษาอังกฤษของดิฉันนั้นเข้าขั้นดีเลยค่ะ (ดิฉันไม่ได้ยกหางตัวเองค่ะ นี่คือคำพูดที่มีคนบอกดิฉันมา) อีชั่วสันดานทรามหาความดีมิได้เช่นมรึงนั้น นอกจากมือไม่พายแล้วยังเอาเท้าหาหมาเน่าแดกอีกนะคะ มีหน้ามาพูดได้อย่างไรคะว่ามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ แล้วมรึงมีความสามารถสูงส่งปานใดคะ ทำไมมรึงไม่มาไขข้อข้องใจแบบเจ๋ง ๆ ซะเองสักหนึ่งรีพลายให้เป็นบุญแก่กระทู้นี้ ความสามารถในการถ่ายทอดของแต่ละคนอาจจะต่างกันค่ะ ไม่ใช่ครูสอนเด็กประถมแบบ:-)นะคะที่จะมีเนื้อแบบเต็ม ๆ ให้นักเรียนแบบที่:-)ว่า ว่าแต่ถ้า:-)เป็นครูจริงเด็กนักเรียน:-)คงน่าสงสารค่ะ เติบโตมาแบบไม่ใช่ประชากรที่มีคุณค่าของประเทศชาติ ต่ำทั้งไอคิว อีคิว เอ็มคิว สารพัดเหมือนครูคนที่สอนพวกมันนั้นแหละค่ะ จากคุณ : pseudo pussy - [ 9 พ.ย. 47 17:13:54 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เอาเถอะค่ะ ในเมื่อสิ่งที่ดิฉันคิดสิ่งที่ดิฉันเขียนถูกมองว่าเป็น “การจับผิด” ชาวบ้านไปเสียแล้ว ก็สุดแท้แต่สติปัญญาของแต่ละคนจะพาไปก็แล้วกันค่ะ แต่ถ้าท่านเป็นนักอ่านที่ดี พยายามอ่านสิ่งที่ดิฉันเสนอไว้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ท่านจะพบว่าสิ่งที่ดิฉันคิด มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงกรอบที่ท่านพยายามสร้างขึ้นมาด้วยทัศนคติเชิงลบหรือสิ่งที่ท่านเรียกว่า “การจับผิด” เป็นสำคัญ จะว่าไปแล้วดิฉันก็มองไม่เห็นประโยชน์อะไรเลยที่จะต้องมานั่งสาธยายความรู้ที่มีอยู่ให้คนอื่นที่ไม่ได้มานั่งตรากตร่ำร่ำเรียนกับดิฉันมาหลายปีดีดักได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ดิฉันพบเจอมาเลยแม้แต่น้อย สู้เก็บไว้คนเดียว รู้คนเดียว วันหน้าก็จะได้ไปนั่งจับผิดคนอื่นให้สาแก่ใจเล่นดังที่ใครบางคนในที่นี้กล่าวหาเสียยังจะดีกว่า ดีค่ะ แต่นี้ไปอะไรที่เป็นกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับวิชาการทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับ “การออกเสียงภาษาอังกฤษ” ดิฉันจะไม่ขอเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอีกแล้วค่ะ คนเก่งกว่าดิฉันมีอยู่ถมไป ดิฉันเองก็เป็นเพียงหน่วยเล็กๆ หน่วยหนึ่งของสังคม ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากมายหรอกค่ะ ต่อแต่นี้ดิฉันจะไม่พยายามถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้อะไรให้ผู้อื่นโดยไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะเดี๋ยวจะถูกมองว่า “ไร้ค่า” และ “น่าเบื่อน่ารำคาญ” เอาเสียดื้อๆ ส่วนอะไรที่ได้เคยกล่าวล่วงเกินทั้งแก่ตัวดิฉันและแก่ตัวท่านใดท่านหนึ่ง ในที่นี้ ดิฉันขออโหสิกรรมค่ะ ขอบพระคุณค่ะ จากคุณ : Linguist Usana - [ 9 พ.ย. 47 17:15:33 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 51 Honey, don't get mad. I always gain some useful knowledge from what you post. I'm sure many people here would love to expand their linguistic learning since most of us did not study it as a major subject.Thanks again, I truly appreciate your effort and concern in this delicate topic. Please keep up your gifted work for us once again. Luv ya! จากคุณ : Joe - [ 9 พ.ย. 47 17:16:46 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ดิฉันเป็นคนหนึ่งค่ะที่ยอมรับว่า บางทีฟังฝรั่งพูดไม่เข้าใจ บางทีคนอังกฤษแท้ ๆ เลยนะคะ พูดมาแล้วดิฉันอึ้งแดก เพราะว่าฟังยากมาก ๆ พวกสำเนียงลอนดอนใต้ ลิเวอร์พง-ลิเวอร์พูลอะไรนั่นน่ะค่ะ ดิฉันเคยหน้าแหกสื่อสารกันไม่ติดเพราะฟังมันไม่ออกมาแล้ว แล้วก็ออสเตรเลียค่ะ สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ค่อยคุ้นภาษาอังกฤษนั้น ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะเวลาออสเตรเลียนพูด เพราะสำหรับดิฉัน ออสเตรเลียนพูดเร็วมาก แต่เพื่อนดิฉันที่อยู่ออสเตรเลียมา 7 ปีบอกว่า ไม่นะหล่อน ก็ปกติ ... ก็แน่สิยะ หล่อนอยู่นั่นมากี่ปีหล่อนก็คุ้นสิ แต่แปลกนะคะ พวกยุโรปพูดอังกฤษดิฉันฟังออก มีบางทีที่เขา pronounce ไม่ชัดหรือไม่ตรงกับพวกอังกฤษ/อเมริกันพูด ดิฉันก็อาจจะต้องมีเดาและ pardon บ่อย ๆ แต่พวกนี้จะงงเวลาสื่อสารด้วยการเขียนค่ะ เพราะว่าบางทีเขาสะกดไม่ถูก หรือว่าสะกดตามการออกเสียงดังนั้นเขาจะใช้ตัวอักษรที่สะกดไม่ตรงกับคำภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ก็ต้องเดาเอาเองบ่อย ๆ บางทีก็ต้องไปช่วย correct ให้เขาค่ะ แต่หลัง ๆ มานี่ดีขึ้นนะคะ ดีกว่าตอนดิฉันไปอยู่เมืองนอกแรก ๆ เลยค่ะ ถึงเยอรมันไม่พูดภาษาอังกฤษแต่ว่าเวลาไปอยู่ที่นู่นแล้วได้พูดอังกฤษกับคนหลายเชื้อชาติทำให้คุ้นสำเนียงค่ะ ตัวดิฉันเองฟังแล้วบอกไม่ถูกหรอกค่ะว่าอีคนพูดเนี่ยมันมาจากไหน แต่ว่าดิฉันแค่ฟังมันเข้าใจก็พอแล้ว มั้งคะ .. จากคุณ : pseudo pussy - [ 9 พ.ย. 47 17:20:59 A:202.129.26.137 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอ่อ... ... ... คุณ TicketID:046649 นี่.......ขยันและตั้งใจดีเน๊อะ555555 จากคุณ : เหนื่อยไม๊คะ - [ 9 พ.ย. 47 18:19:16 A:221.128.101.82 X: TicketID:045092 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เออจริงด้วย เพิ่งสังเกตุว่าTicket ID มันเหมือนกันหมด บ้ามากค่ะ ขอนับถือ สงสัยจะว่างจัด จากคุณ : บ้ามาก - [ 10 พ.ย. 47 01:01:36 A:137.222.234.94 X:137.222.10.67 TicketID:066293 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณมากค่ะ คุณ Aoyama จริงๆก็หวังไว้ก่อนว่าคุณจะเข้ามาตอบน่ะค่ะ เรามีปัญหาว่าสำเนียงไทยมากๆ อยู่พอดี คิดว่าจะซื้อหนังสือที่คุณแนะนำมาอ่านและลองไปสมัครเรียนเอยูเอ เพิ่งรู้ว่ามีคอร์สนี้ด้วย กระทู้นี้มีประโยชน์มากๆ ขอให้ผู้ที่เข้ามาให้ความรู้มีความสามารถทางภาษาต่างประเทศยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆนะคะ จากคุณ : ก อีกครั้ง - [ 10 พ.ย. 47 02:01:10 A:203.113.61.107 X:203.150.217.120 TicketID:014133 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอคำแนะนำเพิ่มค่ะ เราอยากได้ข้อสอบโทเฟลแท้ตอนที่ยังมีสอบpart vocab อยู่มาสอนกวดวิชาน่ะค่ะ เราอยู่ต่างจังหวัดค่ะ ไปหาซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬา ก็เจอแต่ข้อสอบโทเฟลย้อนหลังเจ็ดแปดปี ซึ่งไม่มีพาร์ทโวแคบแล้ว เพราะเห็นว่าปัจจุบันโทเฟลเลิกสอบโวแคบแล้ว ทราบว่าอาจารย์สอนโทเฟลบางคนมีหนังสือโวแคบ แต่เราไม่อยากไปใช้ เพราะกลัวปัญหาลิขสิทธิ์น่ะค่ะ ขอคำแนะนำจากผู้รู้ค่ะ ว่าถ้าอยากได้ข้อสอบโทเฟลพาร์ทโวแคบเยอะๆสักร้อยสองร้อยชุด จะไปหาซื้อได้ที่ไหนคะ จะอีเมล์ไปขอซื้อจากอีทีเอสได้ไหมคะ อยากได้เป็นหนังสือหรือซอฟแวร์ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากล่วงหน้าทุกความเห็นค่ะ จากคุณ : ก อีกครั้ง - [ 10 พ.ย. 47 09:28:22 A:203.113.61.107 X:203.150.217.120 TicketID:014133 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เหยย...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมมีแต่คนเดียวกันโพสต์เต็มไปหมดล่ะ เครื่องเสียเหรอ หรือมีใครเล่นตลก จากคุณ : งงง่ะ (ปัน) - [ 10 พ.ย. 47 09:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 58 สงสัยจะมีหลายบุคลิก TicketID:046649 .......... จากคุณ : StabiloBoss - [ 10 พ.ย. 47 11:59:50 A:203.146.78.34 X: TicketID:001477 ]

ความคิดเห็นที่ 59 what do you like best, British accent or American accent? I don't wanna create any fight over this question na. I just want to know other ppl opinions ka. จากคุณ : Kill Bill - [ 10 พ.ย. 47 19:42:29 A:161.200.255.161 X: TicketID:075994 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เอ่อ ผม copy ความคิดเห็นมาจาก webboard อื่นๆอะครับ พวกเค้าตอบได้ถึงใจมากและไม่เครียดดีครับ เลยอยากให้ทุกคนได้อ่านกันคลายเครียดนะครับ อิอิ ไม่มีอะไรมากหรอก จากคุณ : 33 - 52 - [ 10 พ.ย. 47 20:18:55 A:202.129.26.200 X: TicketID:046649 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ^ ^ ^ (*O*) งงแต่ก็ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ohhh (Liztalor) - [ 10 พ.ย. 47 22:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อ้อ เข้าใจแล้วคับ แต่คราวหน้าช่วยเขียนด้วยนะคับว่าลอกมาจากที่อื่น ทำแบบนี้มันหมดความน่าเชื่อถือเด้อคับ จากคุณ : Thanatos - [ 11 พ.ย. 47 13:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ TicketID:046649 ขอแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ อยากเข้าไปอ่านในนั้นบ้าง อาจจะมีหลายกระทู้เป็นประโยชน์กับผมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ^_^Ohng^_^ - [ 11 พ.ย. 47 17:05:04 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณ ก อีกครั้ง ลองดูซีดีของคุณแพนด้านะ เค้ามีข้อสอบเก่าตั้งแต่ปี89 แต่ไม่รู้จะเยอะถึงร้อยชุดเปล่านะ ลองสอบถามดูละกันค่ะ www.tanthai.com/cgi-bin/mboard/4937.shtml จากคุณ : Z - [ 12 พ.ย. 47 19:12:53 A:61.90.83.37 X: TicketID:070553 ]

ความคิดเห็นที่ 65 I agree with every comment kha. In America there are a lot of accents. I learned phonetics from a tutor who works at IUPUI in Indiana kha. She is a volunteer kha. She gave me a text book about phonetics and a pronunciation dictionary kha. It was a shame that I could study with her for only 2 months once a week. I used what she taught me and the books for reference and watched a lot of movies. A lot of people told me that my English was better. I really realised it when I met my tutor agian after two years. She was very proud of me. She said my English was more verbal than it was before. I couldn't eat all day. จากคุณ : sweetbuttercup - [ 14 พ.ย. 47 01:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เห็นคนอื่นตอบกันไปมากแล้วนะครับ ทะเลาะกันก็มีในนั้น :) อยากจะเขียนคำแนะนำไว้ในนี้บ้างครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ จากประสบการณ์การใช้ชีวิตในเมืองนอกเมืองนา ตั้งแต่เป็นละอ่อนแล้ว มาถึงตอนนี้บอกได้เลยว่า อย่าไปยึดติดกับสำเนียงขอรับ หรือถ้าชอบสำเนียงแบบชาติใหนฝังใจอยู่แล้วก็ให้ย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยครับ รับรองพัฒนาให้ได้เกือบเหมือนหรือเหมือนได้แน่นอน แต่ถ้าอยู่ในเมืองไทยอยู่ ตรงนี้มีคำแนะนำว่า เราจะเอาสำเนียงของคนชาติใดชาติหนึ่งมาเป็นข้อบ่งชี้ไม่ได้ ต่างที่ก็ต่างกันไป สำเนียงอเมริกันนั้นออกจะเน้นตัว r หนักๆ แต่ถ้าฟังให้ดี จากทางรัฐเหนือๆ อย่าง นิวยอร์ค ไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงทางใต้โน่น สำเนียงก็ไม่เหมือนกันสักที่ พวกพ็อม(ชาว บริติช) ก็ออกเสียงตัว T หาย เช่นคำว่า bottle จะได้ยินเป็น เบ๊าะโอ่ เสียงสระที่คนอเมริกัน(แย้งก์)ออกเป็น แอ--- พวกพ็อมก็จะออกเป็น อา เช่นในคำว่า Dance-- พวกสก๊อตช์ และไอริช ยิ่งไปใหญ่ แต่ยังไงก็ดีละแวกนั้นเหล้าโคตรถูกเลยว่ะ ปัจจุบันนี้ผมทำมาหากินอยู่ในออสเตรเลีย เสียงพวกเวจจี้ไมท์ ก็ออกสำเนียงไปอีกอย่าง เสียงสระ เอ จะปนไป อาย... และอื่นๆ อีกมากมาย ทางออกที่ดีคือ อย่าไปยึดติดกับตรงสำเนียงมากครับ ออกเสียงให้ถูก รู้จักการเลือกใช้คำให้เหมาะกับการสนทนา ผมก็ว่าใช้ได้แล้วครับ คนไทยส่วนมากที่มาขอความเห็นผม ก็จะแนะนำให้ดังนี้ คือ ออกเสียง V -TH -R-L ให้ถูกในการออกเสียงสะกดคำ V นั้น ให้ออกกึ่ง ฟ ฟันควบ ว แหวนไปด้วย TH นั้นให้ใช้ลิ้นแตะฟันหน้าด้านบน แล้วออกเสียง ซ โซ่ ส่วน R นั้นให้จู๋ปาก และ L นั้นแบะปากออกเสียง นอกจากนั้นแล้วให้ฝึกสังเกตคำที่เขียนอีกอย่างแต่ออกเสียงอีกอย่าง เช่น Dymmock Paddock เอาไว้กันลืม แต่ที่สำคัญที่สุดคือการปรับความคิดตัวเองครับ ภาษาที่สองจะพัมนาได้เร็วก็ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องคิดเป็นภาษานั้นๆ ไปเลยก่อนจะออกมาเป็นคำพูด อังกฤษก็เหมือนกัน พยายามอย่าคิดเป็นไทยแล้วค่อยแปลอีกที ทำให้ช้าครับ ฝึกคิดให้เป็นอังกฤษไปเลย อยู่เมืองไทยอาจจะยากหน่อย เพราะสภาพแวดล้อมเป็นภาษาไทยไปหมด แต่ถ้าเพิ่งไปอยู่เมืองนอกใหม่ๆ(ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก) ผมแนะนำให้ฝึกคิดเป็นอังกฤษไปเลยครับ แรกๆ อาจจะขลุกขักหน่อย นานๆไปก็จะชินไปเอง เริ่มจาก ตัวเลข สิ่งของ หรืออะไรง่ายๆ ไป จากคุณ : ขอตอบมั่ง (เควิน ลี) - [ 16 พ.ย. 47 14:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เห็นด้วยกับคุณ Green-Knt.ในข้อที่ 1 เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่ประสบกับตัวเองค่ะ ขอเพิ่มเติมความคิดเห็นจากประสบการณ์ของตัวเองเล็กน้อย สำหรับตัวดิฉันเองคิดว่า ปัญหาหรือใจความที่สำคัญอีกอย่างของการออกเสียงให้เหมือนกับเจ้าของภาษา (โดยไม่คำนึงว่าจะมีสำเนียงแบบใด) คือ เราต้อง "ได้ยิน" เสียงนั้นด้วยค่ะ ในบางภาษา บางเสียงนั้นเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เพราะไม่มีฐานเสียงแบบนั้นในภาษาไทย หากมาได้ยินเมื่อโตแล้ว หูของเราไม่สามารถจะแยกความแตกต่างได้ การวางลิ้นและทำปากได้ถูกต้องในการออกเสียงใดเสียงหนึ่ง ในภาษาใดภาษาหนึ่ง จึงเป็นวิธีการที่ดีในการออกเสียงให้ถูกต้อง และตัดปัญหาเรื่องการไม่ได้ยินเสียงนั้นๆ ไป แต่ตรงนี้ขอบอกว่า เมื่อเราฝึกออกเสียงอย่างถูกต้องแล้ว ในที่สุดเสียงที่เราเคย "ไม่ได้ยิน" ก็จะ "ได้ยิน" ต่อมา ใน Orthophonist หรือ Speech therapist หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขการออกเสียงนั้น ก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน บางทีในเด็กเล็กที่พูดภาษานั้นๆ เอง ออกเสียงบางตัวไม่ถูก เขาก็มีวิธีการใช้ไม้วางที่ลิ้น หรือว่าการออกเสียงให้มีลมออกมา (แล้วแต่ว่าเสียงไหน) ซึ่งฝึกไปเรื่อยๆ เด็กก็จะมีการเปลี่ยนแปลงการวางลิ้น จนในที่สุดออกเสียงได้ถูกต้อง หรือไม่ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตแล้วต้องมีการ speech reeducation ก็ใช้หลักเดียวกัน แต่เขาจะคำนึงถึงความผิดปกติที่ผู้ป่วยมีอยู่ แล้วดูว่าทำอย่างไรจึงจะได้ออกเสียงในบางเสียงได้ใกล้เคียงที่สุด (บางทีผู้ป่วยทำไม่ได้ เช่นกระดกลิ้นไม่ได้ หรือว่าห่อปากไม่ได้ เป็นต้น) นอกเรื่องไปนิด ย้อนกลับมาที่การฝึกฝนนะ ดิฉันเห็นด้วยกับทุกความเห็นที่ว่า หากเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมของภาษานั้นๆ จะทำให้เราพัฒนาสำเนียงได้ดีขึ้น แต่ว่าเราก็ยังคงเห็นผู้ที่มีสำเนียง (ไม่ว่าคนชาติไหนๆ) ถึงแม้เขาจะพูดได้คล่องแคล่วก็ตาม สำหรับวิธีการที่ตัวเองใช้มาตลอดในการเรียนภาษาต่างประเทศ ตั้งแต่ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และตอนนี้ ภาษาจีน คือ 1. imitate 2. assimilate ภาษาฝรั่งเศสนั้น ดิฉันไม่เคยเรียนในชั้นเรียนมาก่อนเลย พอมีเวลาไปเรียน ก็ได้ที่ชั้น advanced เลย โดยที่สำเนียงก็ใช้ได้ (เพื่อนฝรั่งบอก) ส่วนภาษาจีนตอนนี้ที่เรียน สำเนียงก็ใช้ได้ (ครูบอก) แทบไม่ต้องแก้เลย วิธีที่จะ Imitate ที่ดิฉันใช้นั้น นอกจากจะต้องรู้การวางลิ้นและปากแบบที่คุณ Green-Knt. บอกแล้ว ที่ใช้ได้ผลมากๆ อยากแนะนำ คือ การฟังจากเทป แล้วพูดตาม (หลังจากที่รู้การวางลิ้นแล้ว) แบบเลียนแบบทุกๆ คำ ทุกๆ ประโยค ทุกๆ จังหวะการหยุด และทุกๆ โทนเสียงที่ขึ้นหรือลง ถ้าดูโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษได้ ก็นั่งดูแล้วพูดตาม จริงอยู่บางตัว เรายังไม่รู้ เพราะมีปัญหาเรื่องศัพท์ แต่ก็ท่องตามไป อาจจะเห็นว่าเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่นี่คือการ imitate แน่นอนว่าควรจะต้องพัฒนาพื้นฐานไวยากรณ์และศัพท์ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การพูดต่อไปอย่างถูกต้อง และสำเนียงก็ดีด้วย เมื่อพัฒนามาได้ระดับหนึ่ง คราวนี้ก็ assimilate แล้วค่ะ ถ้าเราได้พูดกับเจ้าของภาษานะ เราเอาที่เราเคยฝึก imitate ไว้มาใช้ค่ะ ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะ assimilate ได้ ตอนเรียนที่อเมริกา มีเพื่อนอเมริกันที่สนิทคนหนึ่ง เอาหนังสือศัพท์ไปอ่านในเทปให้ 10 กว่าปีผ่านไปยังเก็บเอาไว้อยู่เลย เอามาฟังแล้วก็คิดถึงเพื่อนว่า นี่เพื่อนช่วยให้เราออกเสียงได้ดีจนถึงทุกวันนี้ เพราะเขาเป็นคนที่สังเกตว่า ทำไมดิฉันออกเสียง ch และ sh เหมือนกัน เขาก็ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะดิฉันไม่รู้ว่าจะวางลิ้นและปากให้แตกต่างกันอย่างไร จากนั้นเราก็เลยคิดวิธีการที่จะทำอย่างไรให้ดิฉันออกเสียงได้ดี เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นมีศัพท์ทั้งหมด 900 กว่าคำ พร้อมตัวอย่างการใช้ ใส่ในเทปทั้งหมด 7 ม้วน แล้วก็อ่านบท presentation งานวิทยานิพนธ์ที่ดิฉันเตรียมไว้ แล้วดิฉันอ่านตาม แทบจะเรียกว่าท่องตาม ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการหยุด เสียงขึ้น-ลง ทุกๆ อย่าง พอมาเรียนภาษาฝรั่งเศส ก็เหมือนกัน ไปซื้อเทปและหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ ที่เขาขายสำหรับเด็ก 7-8 ขวบ แล้วดิฉันเอามาฟัง และอ่านตามหนังสือ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ตอนนี้เรียนภาษาจีน ก็ใช้วิธีเช่นเดียวกัน เหลือแต่เพียงว่าจะทดสอบว่าพูดสำเนียงได้ดีไหม ก็ต้องเอาไปใช้ เพราะยังไม่มีโอกาสได้ใช้เท่านั้น ถ้าตั้งใจอยากทำ ก็คิดว่าเจ้าของกระทู้ก็จะทำได้ ถ้าได้เริ่มตั้งแต่วันนี้ อีก 1 ปีข้างหน้า ก็จะเห็นว่าเราได้พัฒนาสำเนียงภาษาของเรา เป็นกำลังใจให้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 47 15:34:14 จากคุณ : พธูไทย - [ 16 พ.ย. 47 15:31:55 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ซะงั้น... จากคุณ : StabiloBoss - [ 16 พ.ย. 47 17:53:02 A:203.146.78.34 X: TicketID:001477 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ถ้าเรียนตั้งแต่ตอนเด็กๆนะ โอกาศสำเนียงพูดได้ดีสูง แต่ถ้าโตๆ หรือได้ไปอยู่ต่างประเทศก็จะมีโอกาศได้พัฒนาอีกระดับหนึ่ง แต่ถ้าอยู่เมืองไทยได้ใช้ทุกวันกีอีกระดับหนึ่ง แต่ถ้าเรียนภาษาแต่ไม่ได้ใช้ทุกวัน แนะนำให้ออกเสียงให้ถูกอักขระของเขาก็พอ ไม่ต้องไปแลบลิ้นปริ้นตาหรอก 55++ เช่น leisure = ลี เชอ leisured = ลี เชิร์ด ออกเสียง ให้ ถูก consonant, syllable ใช้ได้แล้วละ จากคุณ : LEO - [ 18 พ.ย. 47 05:03:35 A:203.113.51.5 X:203.150.217.114 TicketID:077504 ]

ความคิดเห็นที่ 71 พยายามครับ จากคุณ : ง่ะ - [ 20 พ.ย. 47 13:48:53 A:161.246.27.185 X:161.246.1.34 TicketID:079703 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณมากครับ ผมสั่งหนังสือมาอ่านทุกเล่มแล้วครับ กำลังรอหนังสืออยู่ครับ สั้งทาง www.chulabook.com ครับ เร็วดีครับ อิอิ จากคุณ : ^_^Ohng^_^ - [ 20 พ.ย. 47 14:07:55 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไม่สะดวกจะไปหาซื้อหนังสือ เราไปเจอเว็บสอนออกเสียงเว็บนึงค่ะ มีรูปประกอบด้วยว่าต้องทำปากยังไง http://www.soundsofenglish.org/pronunciation/index.htm ถ้าคลิกที่ How to pronounce specific sounds in English ก็จะเจอคำแนะนำวิธีการออกเสียงสระและพยัญชนะหลายคู่ อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ มีรูปวิธีทำปากให้ดูว่าต้องทำปากทำลิ้นยังไง แล้วก็คลิกฟังเสียงได้ด้วยว่าออกเสียงยังไง อันนี้เป็นรูปจากในเว็บค่ะ เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง หวังว่าเจ้าของเว็บเค้าคงไม่ว่าอะไรเรานะเนี่ย เอามาจาก http://www.soundsofenglish.org/pronunciation/a.html พอดีเราเห็นว่าเว็บน่าสนใจ ก็เลยอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเข้าไปดูค่ะ ถ้าอยากได้รายละเอียดคู่เสียงอื่นๆ เยอะกว่านี้ ลองเข้าไปดูในเว็บนะคะ จากคุณ : Aoyama - [ 20 พ.ย. 47 18:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 74 รูปเมื่อกี้เป็นการออกเสียงคำว่า "hot" แบบอเมริกันนะคะ (เสียง /a/) คือจะออกเสียงคล้ายๆ เสียงสระอะ แล้วก็ยังมีอีกเว็บนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ชื่อว่าเว็บ Authentic American Pronunciation http://evaeaston.com/pr/home.html เว็บนี้จะไม่มีรูปให้ดู แต่คลิกฟังไฟล์เสียงได้ อย่างเช่น คู่เสียงพยัญชนะ http://evaeaston.com/pr/consonants.html เสียงสระ http://evaeaston.com/pr/vowels.html นี่ก็น่าสนใจ Words with Silent Letters คือพยัญชนะที่ไม่ออกเสียง http://evaeaston.com/pr/sl-pattern.html คลิกฟังชื่อรัฐต่างๆ ในอเมริกา http://evaeaston.com/pr/states.html ส่วนอันนี้เป็น link ไปที่เว็บสอน pronunciation ภาษาอังกฤษที่ใช้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น Australian English, British English, Canadian English, Scots/English, Singaporean English http://evaeaston.com/pr/links.html แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 47 18:36:30 จากคุณ : Aoyama - [ 20 พ.ย. 47 18:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ถ้าใครชอบฟังสำเนียงอังกฤษ ก็มีเกมออนไลน์มาให้เล่นค่ะ เอามาจากเว็บของ Department of Phonetics & Linguistics ที่ University College London (UCL) เกมแรก The Vowel Machine เป็นเกมที่ให้เราฟังเสียง แล้วตอบว่าคำนั้นสะกดยังไง http://www.btinternet.com/~eptotd/vm/vowelmachine/vowelmachine.htm เกมที่สอง Plato ให้เราฟังประโยค แล้วเลือกว่าประโยคนั้นเน้นเสียงหนักที่สุดที่คำไหน http://www.btinternet.com/~eptotd/vm/plato/platmen.htm ถ้าอยากเล่นเกมอื่นเพิ่มเติมก็ลองเข้าไปที่ http://www.phon.ucl.ac.uk/resource/tutorials.html จากคุณ : Aoyama - [ 20 พ.ย. 47 19:27:45 ]