ความคิดเห็นที่ 17
แหะ ๆ เกือบไม่ได้เข้ามาดูกระทู้นี้แล้ว ไม่รู้ได้ยินเสียงใครเพรียกหา (ทำอย่างกะมีกระแสจิต)
เรื่องข้าราชการท้องถิ่น เอาเท่าที่สัมผัสมาปีกว่า จะว่าเช้าชามเย็นชามก็ใช่ แต่ก็ว่าไม่ใช่เสียทีเดียวหรอกนะ เขาจ่ายราคาถูก ๆ ก็ได้คนทำงานแบบนั้นแหละ เด็กจบปริญญาคะแนนดี ๆ (ถึงมีโครงการ fast track ก็เหอะ) อยู่พอเรียนงานแล้วก็จากกันไป จะได้มาก็จะมีอายุแล้ว หรือไม่ก็พวกอยู่ในวงงานนาน (ย้ายจากเขตหนึ่งไปเขตหนึ่ง)จะไปทำเอกชนก็ถูกเขาติดไว้ว่ามาจากวงราชการ (คนที่นี่เวลาเปลี่ยนจากวงการหนึ่งไปวงการหนึ่งไม่ค่อยง่ายเหมือนเมืองไทย...แต่ก็ทำได้) พวกนี้ก็จะอยู่จนรับเงินบำนาญ แต่ปัจจุบันความกดดันสูงแล้ว มีการลดคน เพิ่มงาน อยู่เรื่อย ๆ ใครที่พิมพ์ดีดเอง จัดสรรตัวเองไม่ได้ ก็ทำงานลำบากแล้วล่ะ
อีกอย่างต้องไปดูประวัติศาสตร์ของราชการท้องถิ่นอ่ะนะ (ในที่นี้ไม่พูดถึงข้าราชการส่วนกลางเพราะจะมีพวกบินสูงไปลง พอระยะหนึ่ง อายุมาก เบื่อการเมือง ก็อาจจะมาลงราชการท้องถิ่นในตำแหน่งสูงอีกทีหนึ่ง) สมัยก่อนราชการท้องถิ่นก็เล่นพรรคเล่นพวกกัน คนเข้าไปทำงานก็ไม่ได้จบอะไรมากหรอก แล้วก็อาศัยหน่วยงานส่งเรียน พอจะรับคนใหม่ ก็ไม่รับเด็ก ๆ ที่จบสูงกว่าตัวเท่าไหร่หรอก ส่วนมากก็เอาแค่ระดับมัธยม แล้วก็ไปไต่ระดับ เรียนรู้จากระบบเอา (พอมีเรื่องการพัฒนาองค์กร ก็จะมีการส่งเสริมให้พนักงานมีวุฒิ พวกนี้ก็เอางานที่ทำ ๆ ทุกวันไหนล่ะไปสมัครวุฒิเอ็นวีคิว)
คนอังกฤษเขาเองก็ติดภาพพจน์ว่าคนทำราชการ เดี๋ยวก็พักดื่มน้ำชา แต่ในความเป็นจริง มันก็เป็นภาพยุคเก่า เพราะงานที่ต้องรับผิดชอบในระดับท้องถิ่นมันเพิ่มขึ้นทุกปี แต่งบประมาณไม่ได้เพิ่มหรอก ที่ว่าเพิ่มนี้ก็เพิ่มในเรื่องของขั้นตอน การทำรายงาน การรวบรวมข้อมูล พูดกันมากเรื่อง value for money, public service, quality (ถ้าใครจบด้านการตลาดมา ก็จะเข้าใจนะว่าจะเอาทั้งคุณภาพดี ราคาถูกด้วย บางทีมันก็ไม่ได้ใช่ว่าจะได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน ไม่งั้นคงไม่มีการล้อว่า pay peanuts, get monkeys)
ที่นี่ก็เหมือนเมืองไทยละค่ะ กระดาษเอกสารแบบฟอร์มเยอะ พอทุกอย่างต้องลงคอมพิวเตอร์ เขาก็ไม่ได้ลดขั้นตอนหรอกนะ ก็เท่ากับว่า ทำมันทั้งสองระบบ ทั้งเก็บบันทึกลงกระดาษและแบบอิเลคโทรนิค (นี่เขาก็มีเป้าหมายให้ทุกอย่างเป็นระบบ paperless ต่อไปก็จะเห็นรัฐบาลกับประชาชนติดต่อกันทางคอมฯ อย่างเดียวเท่านั้น) อีกอย่างเงินงบมันไม่พอ ลงทุนซื้อระบบอะไรทีก็ซื้อมาแบบครึ่ง ๆ หรือแบบ off the shelf (เงินไม่เยอะเหมือนเอกชนอ่ะนะ)
พูดถึงเรื่องแรงกดดัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อย ก็เลยทำให้มีคนลาป่วยเยอะ งานที่จ้างพอดีคนทำ ก็เลยกลายเป็นขาดคน (อ๋อ..ลืมไปอีกอย่างคือ จำนวนชั่วโมงทำงานของลูกจ้างก็ต้องไปเป็นตามของอียูด้วย ทำมากไม่ได้นะ ต้องแอบทำ)...แถมยุคนี้เป็นยุคพาร์เนอร์ชิพ ระบบรวมผูกเยอะ ทั้ง ๆ ที่วัฒนธรรมองค์กรก็อาจจะไม่ได้เข้ากันได้เลย บางเขตก็เจรจาย้ายสัญญาว่าจ้างลูกจ้างกันหมด บ้างก็ไม่ได้ทำ จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ เหมือนต้องรีบทำให้ได้ผลงานเร็วทันใจ (ทั้ง ๆ ที่กระบวนการและขั้นตอนมันเยอะอ่ะนะ) ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ของนักการเมือง
บีพีไม่เคยทำงานราชการไทยหรอก ก็เลยเปรียบเทียบให้ไม่ได้ ถ้าเทียบกับเอกชน ทำงานให้เอกชนสนุกกว่าเยอะ ผลงานเห็นเด่นชัด และเร็วกว่ามาก (เพราะเอกชน เราสามารถมีเครื่องมือมากกว่าในการสร้างเสริมกำลังใจ) แต่เห็นว่าถ้าเราเอาข้อดีของเขามา ก็จะดีไม่ใช่น้อย เพราะข้าราชการที่นี่ เขาถือตนเองเป็นคนรับใช้ของประชาชน เวลาประชาชนติดต่อมา ก็ต้องรีบทำให้ เรื่องร้องเรียนนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างว่านะ ระบบภายในระเบียบมันเยอะดี (เหมือนสั่งจ่ายเงินสิบบาท แต่ค่าโสหุ้ยในการดำเนินการหมดไปแล้วสิบห้าบาท อย่างนี้เป็นต้นไง) ยิ่งไปเกี่ยวกับ benefits, welfare, housing, social service และไปเกี่ยวกับ เด็ก คนแก่ คนพิการ แต่ละหน่วยแต่ละองค์การมันมีระเบียบเยอะ ยิ่งตอนนี้ไปพันเข้าไปกัน NHS และหน่วยงานสงเคราะห์อิสระ หน่วยงานกลางอื่น ๆ
เรื่องทำให้ราชการท้องถิ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอนนี้เกือบทุกแห่งจะมี contact centre มีระบบเก็บข้อมูล เราสามารถติดต่อราชการในเวลาเย็นหรือวันเสาร์ จะทำอะไรต่อไปก็มี smart card ส่วนเจ้าหน้าที่ประเมินรายได้ ก็จะถือ hand held terminal ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็ทำเหมือนเอกชนล่ะนะ
ถ้าเมื่อไหร่ ศูนย์ข้อมูลของเอกชน กับรัฐบาล เชื่อมถึงกันหมด เราก็จะได้ข้อมูลละเอียดของคน ๆ หนึ่งครบด้านเลยล่ะ ไม่ว่าเขาชอบกินอะไร ซื้ออะไรเมื่อไหร่ ที่ไหน ทำอะไร ใช้จ่ายเท่าไหร่ มีโรคอะไรบ้าง (เกิดใครไปแอบเปลี่ยนข้อมูลล่ะก็ ทีนี้สนุกที่สุดล่ะ) นี่แหละหนา...หลาย ๆ คนถึงบ่นไงว่า อิสรภาพและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนจะหายไป จะได้รู้ว่า อยู่เมืองไทยดีกว่าไหน ๆ
ว้า...ลืมไปว่า เราพูดนอกหัวข้อของคุณGen.TOM เลยนะ หวังว่าคงไม่ว่ากัน
จากคุณ :
บีพี
- [
11 พ.ย. 47 07:18:29
]
|
|
|