ความคิดเห็นที่ 40
จากใจเจ้าของกระทู้นี้
ถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในห้องสมาชิกไกลบ้านแห่งนี้ ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน ได้อ่านทุกความเห็นได้รับกำลังใจเต็ม ๆ (น้ำตาคลอเลยค่ะ จริง ๆ) จะขอฝากตัวเป็นสมาชิกคนนึงของที่นี่ ได้ไหมคะ(ต้องทำอย่างไร) กว่าดิฉันจะได้ไป หรือไปแล้ว ก็คงยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ที่ต้องขอคำปรึกษา หรือคำแนะนำ จากทุก ๆ ท่านที่มีความรู้และมีประสบการณ์มาก่อน
ตอบคุณ pippuri ใน คห.ที่ 38 ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ คิดว่าลักษณะงานที่บอกนั้นคุณไม่ได้ขู่หรอกค่ะ พอทราบเหมือนกัน อืมม... อาจจะมีหลายคนบอกว่า คิดว่า ดิฉันคงไม่สามารถจะทำงานแบบนี้ได้ ซึ่งดิฉันเองก็ยอมรับว่า ไม่เคยทำมาก่อนเลย เพราะประสบการณ์ การทำงานของดิฉัน เริ่มต้นจากการเข้าทำงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารพาณิชย์,คอนโดมิเนียม เริ่มจากตำแหน่งพนักงานคนนึง(ที่มีกันแค่ 2 คนในส่วนของ staff) ทำทุกอย่างตั้ง ไม่ว่างานธุรการ,บัญชี, การเงิน,งานบุคคล, (แต่ปัจจุบันบริษัทนี้ใหญ่โตแล้วเฉพาะฝ่าย staff ก็มีร่วมห้าสิบคนแล้ว) ไต่เต้าด้วยเงินเดือน 4,500 บาทด้วยวุฒิ ปวส. ในขณะนั้น จนกระทั่งต้องลาออก(เพราะมีปัญหาในครอบครัว)ในปี พ.ศ.2541 เงินเดือนล่าสุดอยู่ที่ 15,000 บาท(ไม่รวมรายได้พิเศษและสวัสดิการอื่น ๆ) มีเงินเก็บในบัญชีหลายแสน มีรถยนต์ส่วนตัว ถ้าหลายคนสงสัยว่า มีปัญหาครอบครัวทำไมต้องลาออกจากงาน นั้นเป็นเพราะว่า ตำแหน่งงานในขณะนั้นมีความรับผิดชอบสูงมาก เมื่อมีปัญหาครอบครัวทำให้ทำงานผิดพลาดอยู่เนือง ๆ บางครั้งก็โดนผู้บังคับบัญชาตำหนิอย่างรุนแรง สุดท้ายถูกปลดให้ลงมาอยู่ในตำแหน่งที่.... ยอมรับว่าในตอนนั้นรับไม่ได้ เมื่อลาออกมาก็ไปอยู่บ้านของสามี (คือดิฉันพยายามจะรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้แม้สามีจะทำให้ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสแค่ไหนก็ตาม) เอาเงินเก็บที่มีไปลงทุนเปิดร้านขายของ แต่ก็อยู่ได้ไม่กี่เดือนเพราะสุดจะทนกับความประพฤติของสามี สุดท้ายคือ หมดใจ ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้ ก็เลยหอบลูกหนีลงมาอยู่กรุงเทพ สิ่งที่ดิฉันมีติดตัวมา คือลูกสาวที่ป่วยหนักในขณะนั้น รถยนต์ที่มีอยู่ 1 คัน และเงินสดในธนาคารที่เหลือไม่กี่แสน มาเซ้งร้านขายของเล็ก ๆ อยู่กับลูก(ตอนนั้นลูกอายุ 2 ขวบแต่ยังเดินไม่ได้เลย) ร้านขายของชำเล็ก ๆ ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมาย ไหนจะค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ไม่พอหรอกค่ะ ต้องควักทุนอยู่เรื่อย แต่อาศัยว่าได้ทำพอได้อยู่ดูแลลูกไปวัน ๆ อยู่อย่างนั้นมาได้ 3 ปี เงินที่มีก็ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ จนเริ่มคิดได้ว่า ไม่ไหวแล้วถ้าจะกอดลูกอยู่กับอกแบบนี้ต่อไป จึงตัดสินใจออกหางานทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย กับอายุเราตอนนั้น 30 กว่าแล้วสุดท้ายก็ขอกลับเข้าทำงานที่บริษัทเดิม ซึ่งเจ้านายใหญ่ก็มีเมตตากับดิฉันมาก สั่งให้ฝ่ายบริหารรับเข้าทำงานซึ่งเดี๋ยวนี้ บริษัทเจริญใหญ่โต คนเก่า ๆ ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกับดิฉันที่ยังอยู่ มีเงินเดือน 2 - 30,000 บาทแล้ว แต่ดิฉันต้องเข้ามา start ใหม่ที่ 7,000 บาท กับตำแหน่งพนักงานฝ่ายบุคคลรับผิดชอบด้านเงินเดือน,ค่าแรง ยื่นภาษีและประกันสังคม เท่านั้น ก็โอเค ดิฉันทำได้ ทำอยู่ 2 ปีกว่า ขอบอกว่าระหว่างนี้ต้องอดทนกับความรู้สึกที่ ถ้าใครไม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นผู้หญิงคนนี้ ก็จะไม่เข้าใจหรอกว่ามันเก็บกดแค่ไหน กับสายตา กับคำนินทา กับความรู้สึกที่หมิ่นแคลน ของคนที่เคยมีหน้าที่ ในตำแหน่งที่เป็นรองเรา(หลายขุม) แต่ปัจจุบันดิฉันเป็นแค่น๊อตตัวเล็ก ๆ ตัวนึงเท่านั้นที่มีอะไหล่อยู่มากมาย แต่ดิฉันก็ทนได้ แต่ที่เริ่มจะทนไม่ไหวคือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับลูก นอกจากค่าอาหาร ค่าเลี้ยงดู ค่ารักษาพยาบาลที่มีอยู่เป็นประจำแล้ว ตอนนี้ก็ต้องเพิ่มค่าเล่าเรียนเข้ามาอีก ถึงลูกจะไม่มีอนาคตที่ยาวไกลเหมือนเด็กอื่น ๆ ดิฉันก็ต้องให้เค้าเข้าโรงเรียน ได้เรียนหนังสือเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป ยอมรับว่า ดิฉันเลี้ยงลูกมาแบบให้เค้าสุขสบายตลอด (ด้วยความรู้สึกที่ว่าเค้าเกิดมาต้องทุกข์ทรมานกับโรคประจำตัวนั้นพอแรงแล้ว และเค้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน) อาหารการกินที่มีคุณค่า มีประโยชน์ แม้ราคาค่อนข้างแพง และลูกชอบกิน ดิฉันซื้อ ของเล่นราคาแพง ถ้ามันทำให้ลูกยิ้มได้ ทำให้ลูกมีความสุข ดิฉันซื้อ เมื่อต้องเข้าโรงเรียน แต่เพื่อให้ครูหรือพี่เลี้ยงดูแลลูกให้เป็นกรณีพิเศษ(เพราะลูกไม่แข็งแรงเหมือนเด็กอื่น) ต้องจ่ายแพงขึ้นมาอีกนิด ดิฉันก็ยอม ทุกวันนี้ยังใช้รถยนต์ส่วนตัวไม่ยอมขาย(แม้จะไม่ค่อยมีเงินบำรุงรักษา) ก็เพราะว่าไม่เคยพาลูกขึ้นรถเมล์ หากใครบางคนได้อ่านเรื่องราวของดิฉันมาจนถึงตรงนี้ เชื่อว่า คงเกิดความรู้สึกสมเพชดิฉัน มากกว่าจะเกิดความรู้สึกสงสาร หรือเห็นใจ ซึ่งดิฉันก็ขอยืนยันว่า ที่เล่าเรื่องราวมาทั้งหมด ไม่ได้เขียนมาเพื่อเรียกร้องความสงสารจากใคร แต่เพื่อให้ทุกความเห็นที่ไม่เข้าใจ ในการที่ดิฉันเข้ามาโพสต์ขอคำแนะนำในกระทู้นี้ได้เข้าใจในเหตุผลของดิฉัน ที่อาจจะฟังดูไร้เหตุผล และอาจดูเว่อร์เกินไปในความเป็นแม่ แบบดิฉัน ขอบคุณ คห.ที่ 38 ที่บอกให้ดิฉันรักตัวเอง(ซึ้งใจจนน้ำตาไหล) เคยมีคนบอกอย่างนี้เหมือนกัน แต่ดิฉันก็ทำไม่ได้สักที ถ้าเลือกเกิดได้ ดิฉันจะขอไม่เลือกที่จะเกิดมาเป็นตัวเองด้วยซ้ำ เพราะเกิดมาแล้วเป็นคนไม่รักดีแม้แต่ใจก็ไม่รักดี ขอบคุณทุกท่านค่ะ
จากคุณ :
tangoa
- [
16 ม.ค. 48 12:56:58
A:203.118.120.234 X: TicketID:049879
]
|
|
|