ความคิดเห็นที่ 1 Sorry for not being able to answer the question,but I would say "who cares?" When love hits, all we have to do is follow. When love misses, all we have to do is forget. This is all about the state of mind. To love is to serve the Divine Purpose. and yes, people with poor spirits ( the low ranked souls, in other word) would never understand. จากคุณ : Cold Cold Heart. - [ 27 ม.ค. 48 13:11:58 A:141.157.123.70 X: TicketID:072648 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก้อ..มันเป็นเรื่องที่ตกลงกันก่อนแล้วหนิครับ ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ จะโชว์ไม่โชว์ก้อต้องจ่ายเท่านั้นอยู่แล้ว.. จากคุณ : ธัชกร - [ 27 ม.ค. 48 13:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่รู้คนอื่นมีเจตนายังไงเวลาโชว์อย่างที่ว่านะ แต่เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคน ไม่ได้เจตนาจะ "อวด" เท่านั้นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจหรอก เราก็ผ่านการแต่งงานมาแล้ว และรู้ว่าการแสดงให้เห็นกองเงินใส่พานมาของเจ้าบ่าว ก็เหมือนกับให้เกียรติทางเจ้าส่ว และให้เป็นที่แสดงว่า มีความมั่นคงที่จะเริ่มต้นชีวิต เพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่ สินสอดที่แสดงมา สุดท้าย ฝ่ายเจ้าสาวก็ยกคืนไปวันส่งตัว รวมทั้งโชว์แก้วแหวนเงินทอง ก็คือการให้เกียรติฝ่ายเจ้าบ่าวกลับ ให้ผู้ใหญ่เองรู้สึกว่า เราไม่ได้ตั้งจะมาเกาะเขากินอย่างเดียว จากคุณ : Autumn cafe - [ 27 ม.ค. 48 14:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 We embarrass to show money when we get married that seem like a sell daughter but i agree with above opinion, it respect to each other. on the other hand we don't embarrass to make parents feel shame that we live with a guy without married but call 'love' จากคุณ : FromDuskTillDawn - [ 27 ม.ค. 48 16:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืม ยอมรับว่า เป็นประเพณีไทย ที่ส่วนตัวไม่ชอบเป็นที่สุด และถ้าเป็นไปได้ จะแต่งงาน จะคุยกัยพ่อแม่เจ้าสาว ว่า ไม่มีได้ไหม พิธีจ่ายสินสอด (คือจะเอามาให้วันหลัง) ถ้าไม่มีได้จะขอบคุณ มันเหมือนเอาเงินมาซื้อเมียยังไงไม่รู้ (ผมเข้าใจประเพณีทุกอย่าง แต่มัน "ดูเหมือน" อย่างนั้นจริงๆ) เคยมีคนฝรั่งเศสถามว่า จริงเหรอ ที่ถ้าคนไทยจะแต่งงาน ต้องเอาเงินไปจ่ายให้ครอบครัวเจ้าสาวก่อน เป็นเงินจำนวนมากๆด้วย ก็ตอบยาก อธิบายไม่ดี ก็ดูเหมือนเอาเงินซื้อผู้หญิง ตอนหลังคิดคำตอบที่ดีหน่อยได้ ว่า สินสอดเป็นเงิน "ประกัน" การตั้งครอบครัว ว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะได้แน่ใจว่ามีเงินส่วนนี้เอามาใช้ แต่ส่วนตัวก็ยังไม่ชอบน่ะครับ ถ้าเลือกได้อยากจะเลิกประเพณีนี้จัง... จากคุณ : Players (Players) - [ 27 ม.ค. 48 19:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อืมม เคยอ่านกระทู้ทำนองนี้หลายครั้ง ส่วนใหญ่ผู้หญิงก็จะมองว่าเป็นหลักประ กันการใช้ชีวิต และสุดท้ายพ่อแม่ฝ่าย หญิงก็คืนให้เป็นเงินเริ่มต้น อย่างไรก็ตามในฐานะผู้ชายคนไหน ที่ไม่มีฐานะเท่าไหร่ และไม่เคยคิดว่า จะต้องมีฐานะก่อนมีแฟน ก็รู้สึกลำบากใจ เหมือนกัน เพราะหากต้องการให้เกียริติเจ้าสาวด้วย จำนวนเงิน ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเกียรติ แค่ไหน สำหรับผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เวลาแต่ง งานก็คงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก เพราะ คิดว่าชีวิตคู่ คือ ชีวิตที่สองฝ่ายต้องรับ ผิดชอบร่วมกัน ผมนับถือสิทธิสตรี ที่เท่าเทียมกับชาย ดังนั้นการให้สิทธิพิเศษ หรือการให้หลัก ประกัน บางครั้งก็คล้ายกับการที่พยายาม สร้างความไม่เท่าเทียมให้เกิด ม่านประเพณีไทย ม่านสีม่วง จะพูดยังไง ก็ยังรู้สึกว่า "เงิน"เป็นตัวตัดสินคน ขอแสดงความนับถือ จากคุณ : ยาโมเมะ - [ 27 ม.ค. 48 20:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราว่าคู่แต่งงานเองเค้าไม่ค่อยชอบประเพณีนี้เท่าไหร่หรอก รุ่นพี่คนนึง (ญ.) ที่แต่งงานแล้วบอกว่า ตอนเค้าแต่งฝ่ายชายเสนอ 300,000 บาท กับแหวนเพชร แต่พ่อแม่พี่เค้าไม่ยอม บอกว่า ต้องไปหามาอีก แฟนพี่เค้าเลยต้องไปกู้ธนาคาร (กดเงินสดจากบัตรเครดิต) หยิบยืม เพื่อน ญาติ ฯลฯ มากองๆ ให้เห็น รวบรวมมาได้ 500,000 กว่าบาท ถึงจะได้แต่ง พอเสร็จงาน เจ้าหนี้มาคอยเลย ให้คืนเงินเดี๋ยวนั้น พ่อแม่พี่เค้าก็ไม่มองเลย ทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้.. พี่คนนี้ยังบอกเลยว่า มันก็มีคำว่า "หน้าตา" ของพ่อแม่ฝ่ายญ.เข้ามาเกี่ยว เลยเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแม่ญ.แหละตัวดี อยากโชว์คน ลูกสาวลูกเขยตัวเองจะลำบากใจหรือไม่ ไม่สน ขอให้ได้หน้าไว้ก่อน จะเอาไปโม้ ว่าลูกสาวฉันแต่งเท่าไหร่ ส่วนตัวเองแล้วไม่ชอบนะ ที่จะต้องมาใส่ใจกับ "ก็ฉันอยากได้หน้า" "แล้วคนเขาจะว่าอย่างไร" "ไม่มีมันก็น่าเกลียด" "กลัวอายคน ที่ได้น้อย" "กลัวคนว่าได้ลูกเขยจน" ฯลฯ เฮ้อ จากคุณ : Autumn Leaves - [ 27 ม.ค. 48 22:03:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จริงๆแล้วนะ มีนเป้นแค่ประเพนีเฉยๆ นะ การที่มิสินสอดทองมั้นก็เหมือนว่า ฝ่ายชายมีความสามารถที่จะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่ลำบาก เงินสินสอดพวกนั้นก็ต้องตกเป็นของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ดีไม่ใช่หรืองัย เอาง่ายๆมันเป้นประเพนีนะ อินเดียยิ่งกว่าเราอีกนะ ชายหณิงจะแต่งงาน ฝ่ายหญิงต้องเอาเงินไป สู่ขอนะ ขอบอก จากคุณ : OhhO - [ 27 ม.ค. 48 22:05:15 A:61.90.81.108 X: TicketID:082560 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มันเป็นประเณี เก่าแก่ของไทยน่ะค่ะ ผู้หญิงจะไม่สามารถทำงานนอกบ้านได้ (สมัยก่อน) ดังนั้น พ่อแม่ของผู้หญิงก็ย่อมอยากได้ลูกเขยรวยๆ โดยการแสดงจำนวนเงินของสินสอด (มั้งคะ)  แต่สมัยนี้ไม่เกี่ยวแล้ว  เพราะผู้หญิงก็ออกทำงานข้างนอกได้    แต่คำว่าประเพณีก็ยังอยู่ค่ะ   เคยมีพี่คนนึงแต่งงานกับแฟนต่างชาตืที่ไทย  เค้าทะเลาะกันตั้งนานเรื่องสินสอด เพราะแฟนเค้าบอกว่า เหมือนเป็นการซื้อ เมียเลย    ต้องอธิบายให้เข้าใจ ถึงความเป็นมา และ นี่คือประเพณีของเรา  เค้าถึงยอมเข้าใจ แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 48 22:10:47 จากคุณ : SAWEE - [ 27 ม.ค. 48 22:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอ่อ..อินเดีย นี่ผู้หญิงเอาสินสอดไปขอผู้ชายไม่ใช่เหรอคะ ผู้รู้ช่วยบอกที เข้าใจว่าอย่างนั้นมาตลอด จากคุณ : mimi.scra - [ 28 ม.ค. 48 00:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ค่านิยมของไทยเปลี่ยนไป จนคนรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจขนพธรรมเนียมประเพณีไทย จนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องแต่งก็ได้ นึกอยากจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน นึกอยากจะเลิกก็ง่ายๆ ดิฉันมีสามีต่างชาติ แต่ทำตามประเพณีไทยทุกอย่าง สามีประทับใจมาก แม่ก็ภูมิใจ สุขใจทั้งสองฝ่ายค่ะ จากคุณ : lotto - [ 28 ม.ค. 48 01:09:47 A:66.15.199.130 X: TicketID:086590 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คห.10 ถูกต้องค่ะ ที่อินเดียฝ่ายหญิงเป็นคนเอาสินสอดไปขอฝ่ายชาย จากคุณ : Cinderella in BKK - [ 28 ม.ค. 48 01:23:04 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ใช่ๆ เราเกลี่ยดมากเลยสินสอด บ้าบอเนี่ย ไม่เข้าใจว่าให้กันเพื่ออะไร ถ้าเพื่อแค่ หน้าตา นะ เป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ยิ่งบางบ้าน โดยเฉพาะคนการศึกษาน้อย ที่ลูกสาวได้ผัวฝรั่ง น่ะ พ่อแม่ยิ่งดีใจ เพราะคิดว่า ฝรั่งทุกคุนรวย เรียกมันไปซะ ห้าล้าน ขอรถกระบะ อีก แต่ฝรั่งขอต่อเหลือ 1 ล้าน ต่อราคาอยู่นานมาก จนมาลงที่ 2 ล้านห้า อ่ะ มีมาแล้ว ไปอ่านเจอในเนต ทำให้เจ้าสาวกลายเป็นเหมือนผู้หญิงอย่างว่าเลย แล้วเงินห้าล้านนั้นน่ะ พ่อแม่สาวคนนั้นก็เอาไปซื้อของเข้าบ้าน..โชคดีนะที่ฝรั่งนั่นมันมีตัง ถ้างั้น พ่อแม่เจ้าสาว คงไม่ได้แม้แต่รถกระบะใหม่น่ะ ...ไม่ไหวนะ สังคมเสื่อมจัง.. ก็เห็นไหมล่ะ ที่พวก hiso หรือดารา เวลาแต่งงาน จะต้องประกาศให้สื่อรู้ว่ามีสินสอดก่สิบล้าน ปัญญาอ่อนกันจริงๆ จากคุณ : ไม่เห็นด้วยอย่างแรง - [ 28 ม.ค. 48 08:44:37 A:61.90.34.100 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โทษที พิพม์ผิด "แล้วเงินสองล้านห้านั้นน่ะ พ่อแม่สาวคนนั้นก็เอาไปซื้อของเข้าบ้าน.." จากคุณ : ไม่เห็นด้วยอย่างแรง - [ 28 ม.ค. 48 08:46:44 A:61.90.34.100 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #10 ใช่ค่ะ...มีครั้งนึงเคยอ่านข่าวเคยมีสาวอินเดียเคยฆ่าตัวตาย เพราะไม่สามารถหาเงินมาแต่งสามีได้ และก็เคยอ่านข่าวมีสาวนึง ฝ่ายชายต้องการสินสอดมากเกินไป เธอก็เลยยกเลิกการแต่งงาน เพราะคิดว่าผู้ชายไม่ได้รักเธอ คงต้องการแต่เงินหรือวัตถุ... มาคิดแล้ว ยังดีนะที่ตัวเองไม่ได้เกิดที่อินเดีย...อิอิ จากคุณ : JC2002 - [ 28 ม.ค. 48 09:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่ชอบเหมือนกันค่ะ รู้สึกเหมือนการซื้อขายมากกว่า โดยเฉพาะถ้าผู้ชายไม่ได้ฐานะดีมากแต่รักที่จะอยู่ด้วยกัน ทำให้ลำบากใจเปล่าๆ โชคดีที่พ่อแม่เราไม่แคร์เรื่องสินสอดเงินทอง ขอแค่ให้เค้ารักและดูแลลูกสาวเราก็พอ เเคยเจอลูกค้าฝรั่งมาทานข้าว เค้ามีแฟนคนไทย เค้าก็มาปรึกษาเราว่าทำไมต้องมีค่าสินสอด เหมือนซื้อเมียเลย เราก็อธิบายให้เค้าเข้าใจ แต่ใจจริงก็ไม่เห็นด้วยกับประเพณีนี้เท่าไหร่ เพราะเค้าว่าฝ่ายหญิง เรียกเยอะมาก ซึ่งเค้าก็งง ว่าทำไมความรักต้องซื้อขายกัน จากคุณ : wagner - [ 28 ม.ค. 48 10:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่งคุยกับพี่ที่ทำงานวันนี้ เค้าบอกว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง ลูกของป้าเค้าเองเคยมีแฟน เป็นฝรั่งออสเตรเลีย รักกันมาก มาหาที่เมืองไทย หลายครั้ง พอครั้งหลังสุดวางแผนจะแต่งงานกันปรากฏว่า พ่อแม่พี่คนนั้นเค้าเรียกสินสอด 1 ล้านบาท แล้วมี แหวนเพชร 2 แสน กับค่าจัดงานแต่งที่โรงแรมอีกประมาณ 2 แสน (ค่างาน ค่าชุด ค่าถ่ายรูป ฯลฯ) ฝรั่งคนนั้นก็รับปาก ก็โอเคกลับออสฯ ไป แต่แล้ว ก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลยเป็นเดือนๆ พี่สาวคนนั้นพยายาม โทรไปหา ก็บ่ายเบี่ยงไม่ว่าง ไม่รับสาย สุดท้ายพี่เค้าได้คุยกับเพื่อนของผู้ชายคนนั้น เพื่อนบอกว่าผู้ชายคนนั้นกลับมาก็มาบอก ว่าถ้าต้องแต่งงาน แล้วเสียเงินเสียทองมากขนาดนี้ เหมือนเอาเงินไปซื้อผู้หญิงมา เขารับไม่ได้ และไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น อยู่ๆ ต้อง เอาไปให้พ่อแม่ผู้หญิง ฯลฯ เลยเลิกดีกว่า รู้สึกเหมือนโดนสูบเลือด เกิดมาไม่เคยเห็น พ่อแม่ผู้หญิงไม่เคยถามเขาเลยว่า รักลูกสาวไหม นิสัยเข้ากันได้ไหม อยู่ไปจะแพลนอะไร ไม่มี มีแต่อยู่ๆ ก็เรียกให้จ่ายๆๆๆ บ๊ายบายดีกว่า ญาติพี่คนนั้นก็เศร้าเลย .. จนตอนนี้ก็ยังไม่มีแฟนใหม่ แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 48 13:02:46 จากคุณ : Autumn Leaves - [ 28 ม.ค. 48 13:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ใช่คือ ประเด็นนี้เนี่ย เป็นอะไรที่คนรุ่นใหม่ ที่มีการศึกษา หลายๆ คนรับไม่ได้ และไม่เต็มใจจะรับด้วยซ้ำ ดูงี่เง่ามาก กับไอ้แค่การที่พ่อแม่อยากจะรักษาหน้าตัวเอง แต่ไม่คำนึงถึงหน้าและจิตใจของลูก เห็นแก่ตัวที่สุด มีคนนึง เขามายืมเงินแม่เราแสนกว่า เพื่อไปทำสินสอด และแล้ว ไอ้เงินแสนกว่าน่ะ ก็พ่อแม่ฝ่ายหญิงเอาไปเลย แล้วพอแม่ผู้หญิงตอนได้เงินน่ะ ทำท่าดีใจมากเลย แบบเหมือนไม่เคยเห็นเงินอย่างงั้น คนนั้นเขาต้องหาเงินหัวโตมาใช้แม่เราเลย แล้วที่น่าสมเพช เพื่อนเราบอกว่า ล้านนึงสมัยนี้ไม่พอแล้ว กระจอกไป โห..ล้านนึงนี่ หัวโตเลยนะ แล้ว มีคนนึงเคยพูดว่า เรียกแค่ห้าแสนน่ะเหมือนกระหรี่แต่งงาน เรานี่งงเลย สังคมไทยเสื่อมขนาดนี่แล้วหรือ.. จากคุณ : ไม่เห็นด้วยอย่างแรง - [ 28 ม.ค. 48 14:09:26 A:61.90.34.250 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตกลงไม่มีประเทศไหนใช่ไหม ที่เวลาจะแต่งงานแล้ว ผู้ชายต้องใช้เงินซื้อผู้หญิงมา เหมือนที่ประเทศไทยทำ จากคุณ : ไม่เห็นด้วยอย่างแรง - [ 28 ม.ค. 48 14:15:16 A:61.90.34.250 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดิฉันไม่เห็นด้วยกับประเพณีนี้ แต่ก็เข้าใจนะว่าคนไทยบางส่วนก็ยังให้ความสำคัญจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม.. และก็อยากจะอิงถึง ความเห็น 13 ที่ว่า ใช่ๆ เราเกลี่ยดมากเลยสินสอด บ้าบอเนี่ย ไม่เข้าใจว่าให้กันเพื่ออะไร ถ้าเพื่อแค่ หน้าตา นะ เป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ยิ่งบางบ้าน โดยเฉพาะคนการศึกษาน้อย ที่ลูกสาวได้ผัวฝรั่ง... ดิฉันมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีการศึกษา เพราะเป็นคนบ้านนอก ที่การ ศึกษายังไปไม่ถึงเท่าที่ควร สมัยเก้าสิบปีที่แล้ว พ่อแม่มีลูกสาวหลายคน และมีดิฉันที่ดันได้ผัวฝรั่งอย่างคุณว่า แต่เมื่อลูกทุกคนแต่งงาน พ่อแม่ไม่เคยเรียกสินสอด อย่างว่า และลูก ๆ ทุกคนก็แต่งงานสมฐานะ ถูกต้องตามประเพณี มีลูกมีหลานกันไปแล้ว .. และเมื่อคุณเขียนว่า .. โดยเฉพาะคนการศึกษา น้อย.. ดิฉันอยากจะแย้งนิดหนึ่ง การเขียนข้อความบางอย่างลงโพสต์ในที่ ส่วนรวมควรต้องระวังคะ.. จากคุณ : Weka - [ 28 ม.ค. 48 16:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรารู้แค่ว่าอินเดียมีเรื่องการให้สินสอดทองหมั้น แต่เป็นฝ่ายหญิงให้กับชายนะ เราไม่ได้รังเกียจประเพณีนี้เท่าไรหรอกนะ ถ้ามองแง่ร้าย ก็จะว่าเหมือนขายลูกสาวกิน แต่... เรามองในอีกแง่ว่า.. มันคือการพิสูจน์ใจ .. การที่จะให้ลูกสาวออกเรือนไปอยู่ร่วมกับคนอื่น  เขาต้องรู้ก่อนว่าผู้ชายคนนั้น รักจริง ดีจริงหรือไม่ ที่เรียกร้องสินสอดจำนวนมาก ก็เพื่อว่า.. จะดูความพยายาม ความมุมานะของเขา   บางคนก็ถือคติว่า "อะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็ย่อมทิ้งไปได้ง่าย" การโชว์เงินต่อหน้าผู้คน  เรามองว่า เขาไม่ได้ต้องการโชว์ราคาลูกสาวเขาหรอกนะ  แต่ต้องการประกาศให้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้ ทุ่มเทเพื่อลูกสาวเขาขนาดไหน   จริงอยู่บางครอบครัว อาจจะมองว่าเป็นการโชว์แสดงฐานะ ความร่ำรวยของฝ่ายชาย  แต่.. บางสังคม เรื่องการแสดงความร่ำรวยของฝ่ายชายมันจำเป็นจริงๆ นะ อย่างเช่นลูกสาวเศรษฐีจะแต่งงาน.. ถ้าไปแต่งกับคนที่รวยน้อยกว่า ก็อาจจะถูกค่อนขอดว่า หาไม่ได้... จับผู้ชาย... ท้องก่อนแต่ง... แต่งเพราะจำใจ...   ทั้งที่จริงอาจจะรักกันจริง  พ่อแม่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องฐานะมาก.. แต่ว่าฐานะทางสังคมมันค้ำคออยู่ คุณอาจจะมองแง่นั้นก็ได้  หรือแม้กระทั่งฝรั่งเองก็อาจจะมองแง่นั้น เราเองก็เคยโดนทั้งเพื่อน ทั้งครูต่างชาติถามเรื่องนี้  และเราก็อธิบายไป แต่เขาก็ไม่เข้าใจ...  เราก็บอกไปว่า เราไม่คิดหรอกว่าเขาจะเข้าใจลึกซี้ง เพราะเขาไม่ได้เกิดมากับสิ่งแบบนี้  เช่นเดียวกับเรื่องของศาสนา หรือ การแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของคนไทย   เขาไม่เคยรับรู้ หรือเรียนรู้ และเข้าใจเหมือนพวกเรา   เราบอกว่า อย่าได้คิดว่า การกระทำอย่างนี้เป็นการขายลูกกิน  ทุกอย่างมีสองแง่ตลอด   อย่างประเทศเขาเอง ผู้หญิงไปนั่งดื่มตามผับ ตามบาร์ เจอใครคุยถูกใจ แค่สองสามครั้งก็สามารถนอนร่วมกันได้แล้ว..  เราก็ว่า ถ้าอย่างนั้นเราไม่เรียกพฤติกรรมนี่ว่า "โสเภณี" หรือ มันเป็นเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรม  ไม่ขอให้เข้าใจ  แต่ขอให้ยอมรับและไม่ดูถูก หรือรังเกียจ ก็พอแล้ว จากคุณ : S.S. - [ 28 ม.ค. 48 17:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอโทษ เราเข้าใจผิด ที่อินเดียผู้หญิงให้ผู้ชาย แต่ก็มีประเทศใกล้ๆก็เหมือนแบบไทย นะแต่จำไม่ได้ จากคุณ : ขอแก้ตัว อิอิ (SAWEE) - [ 28 ม.ค. 48 19:55:54 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อือ...ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้ว  ก็ขอแจมความรู้สึกหน่อยว่า....ดิฉันยังเห็นด้วย และเห็นดีเห็นงามกับประเพณีนี้ค่ะ.... แต่ก็ไม่เห็นด้วยกรณีที่บางครอบครัวเรียกร้องสินสอดลูกสาวเกินงาม เกินกว่าที่ฝ่ายชายจะหามาได้ต้องไปเป็นหนี้เป็นสินมา   แต่ถ้าเรียกร้องเพื่อเป็นประเพณี เพื่อให้ถูกต้องตามประเพณี ตรงนี้ดิฉันรู้สึกดีและเห็นด้วย เพราะอย่างน้อยมันก็ยังทำให้รู้ว่าการแต่งงานมันมีอะไรมากกว่าการที่จะปล่อยให้ลูกสาวหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับใครก็ได้.... ตัวเอง ตอนแต่งงานกับแฟน ซึ่งก็เป็นฝรั่ง แต่โชคดีที่แฟนเค้าเป็นคนเข้าใจและให้เกียรติประเพณีไทยจริง ๆ เพราะถ้าเค้ารักเราจริง ๆ  เค้าก็ต้องยอมรับได้ในประเพณีของเราด้วย       และก็โชคดีอีกที่พ่อแม่ก็ไม่ใช่ประเภทกระหายเงินขนาดจะเรียกร้องเหมือนขายลูกสาว  พ่อแม่เรียกร้องแบบตามประเพณีไทย ไม่ได้มองว่าเป็นฝรั่งแล้วจะเรียกร้องมาก ๆ....ตรงนี้ก็รู้สึกขอบคุณพ่อแม่เหมือนกันที่แกไม่ใช่พวกที่กระหายเงิน แต่ที่อึ้งกิมกี่ กลับเป็นหัวหน้าเก่า ซึ่งเราก็ไว้ใจ พอแกถามเรื่องสินสอด ก็เลยเผลอบอกไป  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา กลับเป็นสีหน้าและน้ำเสียงว่า "น้อยไปนะ เพราะแต่งงานกับฝรั่ง น่าจะได้มากกว่านี้"  ดิฉันอึ้ง  เพราะเธอผู้นี้สวย และการศึกษาสูง ตำแหน่งก็ระดับผู้จัดการ  มันทำให้ดิฉันรู้เลยว่าคนคนนี้เป็นคนแบบไหน  เธอเป็นคนที่มองในเรื่องเงินทอง วัตถุมีความหมายมากกว่าคำว่า "ความรู้สึกรัก และความจริงใจ" ต่อกันระหว่างคู่บ่าวสาว ในส่วนตัวยังมองในเรื่องนี้ เป็นเรื่องของประเพณีที่น่าจะรักษาไว้  แต่ไม่ใช่ประเภทเรียกร้องกันมากจนเหมือนขายลูกสาว  แต่เรียกแค่เป็นไปตามประเพณีมันก็ดูไม่น่าเกลียด  และยังมีความคิดว่าประเพณีนี้เป็นการให้เกียรติพ่อแม่ของตัวเอง ส่วนค่านิยมที่ดิฉัน "ไม่เห็นด้วยอย่างแรง" กลับเป็น "ค่านิยมทดลองอยู่ก่อนแต่ง" หรือ "ใช้ชีวิตคู่กันแบบไม่แต่งเลย" ค่ะ......ไม่เห็นด้วยจริง ๆ  ใจยังกลัวเลยว่า ถ้าในอนาคต เกิดสังคมมันเปลี่ยนไปมาก ๆ แบบอิสระมาก ๆ ผู้คนทิ้งประเพณีเก่า ๆ ไป  หันไปรับค่านิยมใหม่ ๆ ของฝรั่งเข้ามามากเกินไปแล้วมันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ... ยิ่งดูรายการทีวีรายการนึงที่อเมริกานี่ เค้าจะให้คนที่มีปัญหาเรื่องแฟนนอกใจ เรื่องแฟนไม่แน่ใจว่าลูกคนี้เป็นที่เกิดจากแฟนคนไหน...ต้องมาพิสูจน์ DNA กันให้วุ่น...เหตุผลก็เพราะว่ามันอิสระเกินไปไง  ก็ไปนอนกับคนนี้มา เสร็จแล้วก็มาใช้ชีวิตร่วมกับคนนี้ แบบไม่มีพิธีอะไร พอมีลูกออกมา ปรากฏว่าคนที่อยู่ด้วยปัจจุบันไม่แน่ใจว่าเด็กที่เกิดเป็นลูกเค้ารึเปล่า  พอไปเช็ค DNA ก็ดันผลเป็นเหมือนที่ผู้ชายกังวล กลายเป็นไม่ใช่ลูกเค้า.... บางคู่ก็ทดลองอยู่กันก่อนแต่ง อยู่กันเฉย ๆ และก็เลิกกันง่าย ๆ พอมีลูกผู้หญิงก็เป็นฝ่ายรับผิดชอบ และพอผู้หญิงไปมีแฟนใหม่ ก็ไม่แต่งงานกันอีก ก็อยู่กันเฉย ๆ สุดท้ายก็มีลูกอีก แต่อยู่กันไม่รอด ก็ต้องเลิกรากันไปแบบง่าย ๆ และก็มีแฟนใหม่ไปแบบนี้อีก... คือ ดูรายการนี้แล้ว ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่ประเทศไทยเลย...ไม่อยากให้มีประเพณีที่อิสระในเรื่องนี้เกินไปในเมืองไทย....ยังอยากให้รักษาประเพณีแบบไทย ๆ เราไว้... แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 48 21:27:43 จากคุณ : JC2002 - [ 28 ม.ค. 48 21:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เคยมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง จะแต่งงานกับแฟนชาวเยอรมัน เพื่อนร่วมงานเป็นคนสุรินทร์แต่จำไม่ได้แล้วว่าอำเภอไหน หนุ่มเยอรมันตกลงให้ประมาณแสนกว่าบาทเพราะอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่เท่าไหร่ แสนกว่าบาทก็ทำงานแทบตายกว่าจะเก็บเงินได้ เพื่อนร่วมงานเรากลับไปบอกพ่อแม่ที่สุรินทร์ พ่อแม่แกบอกประมาณว่า "แค่แสนเดียวเองหรือ รู้ไหมแถวบ้านเราแต่งงานกับฝรั่งได้ที่ละหลายล้าน" เพื่อนร่วมงานเรามาบ่นให้เราฟัง เราได้ยินแล้วอึ้งมากค่ะ เราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะว่าชาวบ้านธรรมดาแต่งงานทีจะเรียกสินสอดได้ขนาดนั้นเชียวหรือ โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ชอบค่านิยมนี้เป็นอย่างมาก ถ้าลูกสาวเราจะแต่งงานตั้งใจกับแฟนไว้แล้ว ว่าจะไม่เรียกสักบาทขอให้แฟนลูกสาวรักลูกสาวเราจริงก็พอ จากคุณ : Barclay - [ 28 ม.ค. 48 21:32:23 A:62.163.164.141 X: TicketID:000711 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คนไทยแต่งงานก็ต้องมีสินสอด มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เหมือนๆกับคนต่างชาติแต่งงาน เขาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน ผิดแต่ ธรรมเนียมของใครเป็นยังไงเท่านั้น ประเพณีไทยนั้นหนะ ดีแล้ว เพียงแต่คนเป็นผู้ใหญ่ ควรทำในสิ่งที่เหมาะสม ส่วนผู้ใหญ่ท่านใดที่ทำไม่เหมาะสม เรียกสินสอดมากเกินไป ก็ให้อภัยไป อย่าเอามาเป็นการยกตัวอย่างมันไม่ได้สร้างให้วัฒนธรรม หรือประเพณีของเราให้ดูดีขึ้นเลย เข้าใจว่า เราในที่นี้อาจจะไม่เข้าใจ สินสอดของไทย ผู้ใหญ่โบราณ ท่านตั้งไว้ทำไม แต่ว่าผู้ใหญ่ปัจจุบันเอามาใช้ผิดวิธี แถมยังสั่งสอนลูกหลานผิดๆอีก น่าอนาถ อย่างนี้มีไม่มากหรอก แต่ว่าผู้ใหญ่ที่เรียกสินสอดเพื่อธรรมเนียมปกติ มีมากมาย เรามองไม่เห็น ฉะนั้นถ้าจะให้ดี มีใครพอจะมี เวปไซด์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เอามาลงไว้ให้ลูกๆ หลาน ที่นี่ ได้ศึกษาด้วยก็ดี จะได้เข้าใจ ดีขึ้น และยังได้อธิบาย ให้คนต่างชาติเข้าใจได้ถูกต้องอีกด้วย เขาจะได้ไม่คิดดูถูก ดูแคลน ประเพณีอันดีงามของเราได้ ส่วนตัวแล้ว ยอมรับ สินสอดเป็นเรื่องที่ดี เพราะการมีสินสอด สอนให้คู่บ่าวสาวรู้จักการเตรียมการ มีการวางแผนการเงิน พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่การเดินหิ้วกระเป๋าเช่าห้องร่วมกัน เข้ามานอนร่วมเตียงเดียวกัน อย่างนั้นมันง่าย แต่เด็กรุ่นใหม่ชอบอะไรง่ายๆ ก็เป็นการยากอยู่ ที่จะเปลี่ยนทัศนคติ เด็กรุ่นใหม่ท่านไหน ที่พอจะทำให้สิ่งดีงามของเรายังคงอยู่ได้นานๆ ก็ทำไปอย่างภูมิใจเถอะนะ อย่าได้ท้อหรือเหนื่อยซะก่อน จากคุณ : แว่นแก้ว - [ 28 ม.ค. 48 21:37:27 A:84.65.185.158 X: TicketID:075339 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ขออนุญาตเตือนคุณความเห็นข้างบน ว่า แว่นแก้ว เป็นพระนามแฝงของสมเด็จพระเทพฯ นะคะ จากคุณ : Autumn Leaves - [ 28 ม.ค. 48 21:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จริงหรือคุณAutumn Leaves ไม่ทราบจริงๆ ขอบคุณมากๆ ที่เตือน ที่ใช้เพราะเป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง ถ้างั้นจะเลิกใช้แล้ว ตกใจและเสียใจมากๆ เคยใช้มานานเป็นปี แล้ว แต่ไม่มีใครเตือน ขอบคุณอีกครั้ง จากคุณ : คห 25 - [ 28 ม.ค. 48 22:04:20 A:84.65.185.158 X: TicketID:075339 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องราวที่ ค.ห.17 เล่ามาเศร้าจังเลยอะ บางคนก็โชคดีที่แฟนเข้าใจประเพณีอันเก่าแก่ของเรา  แต่สำหรับบางคนที่เค้าไม่เข้าใจ อุตส่าห์รักกันมานานแต่ต้องมาจบ เพราะคำว่าประเพณีแท้ๆ  เศร้าอีกที จากคุณ : SAWEE - [ 28 ม.ค. 48 22:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อืม เราก้อไม่เห็นด้วยนะ อย่างของเราเอง แฟนเราเพิ่งเรียนจบ เพิ่งทำงาน เงินเก็บก้อมี แต่ไม่มากเลย เอามาซื้อตั๋วให้เรา ทำเอกสารต่าง ก้อหมดไปเยอะ แล้วอย่างที่รู้ ฝรั่ง เขาไม่มีการไปขอพ่อแม่เขาหรอกเนอะ ต่างคนต่างอยู่  แล้วทีนี้ แฟนเราจะเอามาจากไหนล่ะนั่น.. กว่าจะตกลงกะทางบ้านเราได้ แทบตาย เพราะพ่อแฟนก้อไม่เข้าใจ ก้อเข้าใจว่า ทางแม่เราอยากได้ประกันไว้เพราะ เราไปไกล ไรจะเกิดก้อไม่รู้ แต่เราก้ออยากให้เขา เชื่อเราอ่ะ แต่เขาก้อยังเป็นห่วง กว่าจะสรุปได้ เล่นเอาปากแทบฉีก..สรุป ไม่ให้ไรเลย 555 เพราะไม่มีจิงๆ เพราะ ไม่อยากให้แฟนไปกู้ธนาคารมา  เพราะสุดท้าย เรา 2 คน ก้อต้องไปทำงานใช้หนี้ ไม่สนุกเลย แล้วเราก้อจัดงานเล็กๆแค่ที่ ร.พ. สงฆ์น่ะ ค่าใช้จ่ายต่างๆแฟนออก อย่างที่ตกลงกัน แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 48 23:58:52 จากคุณ : มินะของน้องมด - [ 28 ม.ค. 48 23:56:31 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ประเทศที่มีเรื่องแบบนี้ก็ อัฟกานิสถาน เหมือนไทยเลย ถ้าไม่มีเงินพอก็ไม่ยกลูกให้ ผู้หญิงกลายเป็นสินค้า เหมือนซื้อสัตว์พาหนะเลย รังเกียจเรื่องนี้ที่สุด มีไม่กี่บ้านหรอกที่ยกเงินให้ ส่วนใหญ่เอาเงิ น ทอง เครื่องเพชรวางพานโชว มีการต่อรองราคา ถ่ายรูป ป่าวประกาศ บอกตามตรงนี่มันแสดงความป่าเถือนของสังคมนะ ไม่รู้รับกันได้ไหม อย่าพูดเลยว่าเป็นหลักประกันความมั่นคงว่ารักจริง มีอะไรบอกว่าผู้หญิงจะดีพอละ แล้วฝ่ายชายไม่ต้องเรียกมั่งเหรอ รับไม่ได้ที่ต้องใช้เงินซื้อภรรยา เหมือนกลับเอาลูกสาวไปขายซ่องนั่นแหละแต่ต่างกันที่ว่าขายไปให้ให้คนเดียวให้ใช้ ผู้หญิงที่ถูกซื้อมานี่จะมีความภูมิใจได้ไง เดี๋ยวนี้ยิ่งหนัก ต้องป่าวประกาศสื่อมวลชนด้วยว่าดาราคนนี้ได้เท่าไหร่ รถ บ้าน ที่ดิน ไม่ใช่อะไรที่เป็นของโบราณแล้วจะดีเสมอหรอก ไม่งั้นทุกวันนี้เราก็คงยังหาผลไม้กินตามป่า บูชาผี ทำกับภรรยาเป็นสิ่งของ มีเมียเยอะ ขายลูกขายเมียเป็นทาสได้เหมือนเมื่อก่อน เรื่องพรรค์นี้ไม่รู้ทำไมคนไม่คิดกันนะ ของที่ใช้เงินซื้อมานะ มันก็มีราคาเหมือนกันและก็ย่อมขายไปด้วยเงินได้ อนาถกับพวกที่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ดี จากคุณ : sick of old values - [ 29 ม.ค. 48 00:47:52 A:137.222.234.130 X:137.222.10.67 TicketID:076480 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ว่ากันจริงๆแล้ว อังกฤษสมัยก่อนก็เป็น ถึงไม่ได้เอามา กองตรงหน้าแล้วกรี๊ดๆๆ แต่ผู้หญิงที่มีแต่ตัวไม่มีสมบัติ นี่ขายไม่ออกนะคะ  อินเดียก็ด้วย จีนก็นิดๆ   อเมริกาก็ใช่ย่อย ถึงไม่ได้เอาเงินมากอง แต่อย่าลืมว่า เจ้าสาวเป็นคนออกเงิน วางแผนงานแต่งงานทั้งหมด นะคะ แล้วไม่ใช่ถูกๆด้วย  วางแผนกันเป็นปีๆ ดิฉันไม่เชื่อเรื่องสินสอดค่ะ พ่อแม่ก็ไม่เชื่อ สามีก็ไม่เชื่อ แต่ไม่ต่อต้าน ครอบครัวใครครอบครัวมัน แค่ดิฉันไม่ต้องออกค่า งานแต่งงาน และ มีสามี มาเลี้ยงดูปกป้องแทนพ่อแม่ ไม่ไปขอตังค์พ่อแม่ใช้ ก็นับว่ามีค่ามากแล้ว พ่อแม่ โล่งอกจะตาย ฮ่าๆๆ จากคุณ : ปรารถนา (ปรารถนา) - [ 29 ม.ค. 48 01:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อ่าน คห. 31 ของคุณปรารถนา แล้วเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเคยถามแฟนเหมือนกันเกี่ยวกับประเพณีสินสอดของฝรั่งที่อเมริกา... ก็เห็นแฟนบอกว่า ถ้าเป็นประเพณีเดิม ก็ฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการแต่งงานทั้งหมด.... นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่ของเมริกา จึงไม่ค่อยจะมีพิธีกัน บางคู่ก็ไปจดทะเบียนเฉย ๆ เพราะคงอยากประหยัด... แต่ก็ยังมีหลาย ๆ คู่  โดยเฉพาะคนดัง ๆ ก็ยังรักษาประเพณี จัดงานใหญ่โต... จากคุณ : JC2002 - [ 29 ม.ค. 48 02:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่เห็นด้วยอย่างแรงค่ะเรื่องต้องเรียกสินสอดมาก ๆ ของครอบครัวทางฝ่ายเจ้าสาว อึดอัดและต้องใช้ความพยายามที่จะอธิบายให้ทั้ง 2 ฝ่ายคือทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว และ ทางครอบครัวเข้าใจ ตอนแต่งงานที่เมืองไทย จัดเองทุกอย่าง(แม้แต่เงินค่าจัดงานพ่อแม่ไม่ต้องควักจ่าย เรารับผิดชอบเองหมด)แต่งที่บ้านนอก แค่อยากทำให้พ่อแม่ที่เขายังอยู่ในสังคมชาวบ้านยินดี และมีความสุข จริง ๆ ตัวเราเองไม่สนใจเรื่องประเพณีพิธีการสักเท่าไหร่ โชคดีที่ทางพ่อแม่ไม่เรียกสินสอดจากฝ่ายชาย แต่รู้ดีว่าในใจพ่อกํบแม่คงรู้สึกอยู่บ้างถ้าไม่มีเลย ก็เลยจัดการเรียกเองให้เป็นพิธีเท่านั้นเอง แต่ทางเจ้าบ่าว(อิตาเลี่ยน)ก็ไม่ได้บอกทางพ่อแม่เขา ว่ามีสินสอด เพราะกลัวอธิบายแล้วจะไม่เข้าใจและจะคิดดูถูกว่าที่ลูกสะใภ้ (จนป่านนี้ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ค่ะ) พอดีเจ้าบ่าวไปแต่งคนเดียว ดิฉันเป็นคนจัดการเรื่องงานแต่งเองทั้งหมด ตั้งแต่ตารางเวลา ของชำร่วย อาหาร รายชื่อแขก การ์ดเชิญ พ่อแม่แค่เตรียมสถานที่และเรื่องทางศาสนา และแขกชาวบ้าน ญาติ ๆ(ซึ่งเยอะมาก) ไม่มีเวลามากเท่าไหร่เพราะต้องทำงานด้วย เลยไปถึงก่อนวันงานวันเดียว เรื่องสินสอดในวันงาน ดิฉันแลกเงินใบละ 100 บาท ใหม่ ๆ ที่แบงค์ชาติ ให้แม่จัดใส่พานสินสอด 9,999 บาท ค่ะ ชาวบ้าน(ที่บ้านนอก) ก็เอาไปนินทาซะไม่มีชิ้นดี เพราะประมาณว่าแต่งกับฝรั่งทำไมไม่มีสินสอดเป็นล้าน แต่ดิฉันไม่สนใจ และให้แม่บอกชาวบ้านไปเลยว่าไม่ได้ขายลูกสาวกินค่ะ   บางครั้งประเพณี หรือค่าความนิยมทางสังคมมันอาจจะชักนำเราทำให้ต้องทำอะไรแบไม่ประมาณตน หากเรามีจุดยืน รู้เท่าทัน เข้มแข็ง และไม่ตกเป็นเหยื่อทางความคิด ชีวิตเราก็ควรจะกำหนดด้วยตัวเราเอง พ่อแม่เราน่าจะรู้จักลูกสาวตัวเองดีกว่าใคร รู้สึกละอายใจทุกทีเวลาได้ยินใครพูดเรื่องเงินค่าสินสอดหรือ ชาวบ้านที่แต่งงานกับฝรั่งแล้วพ่อแม่ก็มาอวดกันว่าได้เงินเท่าไหร่ ลูกส่งมาให้ใช้เดือนละเท่าไหร่ ประมาณว่าได้ยิ่งเยอะยิ่งภูมิใจ สังคมไทยนับถือเงินเป็นพระเจ้าจริง ๆ แม้แต่ในสังคมชนบท พูดเรื่องสินสอดแล้วก็อดไม่ได้ที่บ่นให้ฟังไม่ได้ค่ะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงไทยที่มีสามีเป็นชาวต่างชาติ ดิฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ทุกครั้งที่อ่านในเว็บไซด์ แห่งหนึ่งที่นี่ เป็นภาษาอิตาเลี่ยนแต่เว็บมาสเตอร์(อิตาเลี่ยน)อยู่ที่ภูเก็ต  ในห้อง(ฟอรั่ม) จะมีชายชาวอิตาเลี่ยนโพสท์ถามปัญหากันตลอดเรื่องที่ทางแฟนชาวไทยเรียกเงินค่าสินสอด(จำนวนค่อนข้างเยอะ) หรือไม่ก็ขอให้ส่งเงินให้ทั้งที่ยังไม่แต่ง คือผู้ชายก็คงไม่เข้าใจเรื่องประเพณีและจำนวนเงินก็เยอะมากด้วย จำนวนคนที่โพสท์ถามว่าควรทำอย่างไรนี้เยอะมาก และ คำตอบที่ได้ในห้อง ส่วนมากก็จะเตือนว่าอย่าโง่ เป็นเสียงหัวเราะ เป็นคำด่าผู้หญิงไทย บางทีหยาบ ๆ ก็มี บางทีเปรียบเทียบแบบน่าเกลียดมาก บางทีเราก็ไม่รู้จะเขียนแก้ต่างอย่างไรเพราะมันเป็นเรื่องจริง  ไดแต่รู้สึกโกรธที่เขาเขียนเหมือนเหมารวมผู้หญิงไทยเป็นแบบนั้นไปหมด เขียนเหมือนระบายเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 48 02:59:31 จากคุณ : Rosa Rossa - [ 29 ม.ค. 48 02:55:52 ]

ความคิดเห็นที่ 34 รู้แต่ว่าประเทศจีน กับอินเดีย เวลาแต่งงานผู้หญิงให้สินสอดฝ่ายชายคะ ส่วนที่ผู้ชายให้ผู้หญิงนี่ เท่าที่รู้ก็มีแต่ประเทศไทยนะ จริงๆเราว่าประเพณีนี้ก็ดีออก มันเป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิงนะ เพียงแต่ว่ามันก็ต้องดูพองาม ถ้าฝ่ายชายมีฐานะ จะเรียกเป็นล้านก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ถ้าแค่ฐานะปานกลาง เรียกพอประมาณที่เค้าพอจะหาได้ก็พอ เรื่องแบบนี้ถ้ารักจริง ต่อให้เป็นต่างชาติเค้าก็ยอมจ่ายคะ ตอนนี้แฟนพี่เราก็รีบทำงานเก็บเงิน(อยู่เกาหลี) ไว้มีฐานะมั่นคงเมื่อไหร่จะมาขอพี่เราแต่ง เรื่องสินสอดนี่เค้าก็เข้าใจนะ เพียงแต่ไม่ได้บอกพ่อแม่เค้าเท่านั้นเอง เพราะเกรงว่าจะไม่เข้าใจ ประเทศเค้าไม่มีประเพณีนี้ เลยทำงานเก็บเงินเอง จากคุณ : ToToT - [ 29 ม.ค. 48 04:38:05 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อันนี้เรื่องความอวดร่ำอวดรวยและอวดค่าสินสอดทองหมั้นโดยเฉพาะชนบทก็ยังมีทั่วทุกแห่ง นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่ปรเทศอัฟริกาผู้หญิงก็ได้ค่าสินสอดเหมือนกัน เราไม่ชอบเรื่องอวดสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่เพราะบางทีมีการโกหกกัน เราแต่งงานแต่ไม่ได้โชว์สินสอด เพราะแม่เราแก่แล้วและอยู่บ้านคนเดี่ยว เราเป็นห่วงความปลอดภัย แต่เราจะส่งให้แม่เป็นการอุปการะโอนไปทางธนาคาร แล้วกำชับห้ามพูดว่าเราส่งเงินมาให้ จะมีคนถามมากว่าได้ลูกเขยฝรั่งแล้วได้ค่า เท่าไหร่ ให้บอกไปเลยว่าไม่ได้สักบาทแต่จริง ๆ แล้วแม่เราได้มากกว่าคนที่ อวดหลายเท่า เห็นข้างบนพูดเรื่องวัฒธรรมอินเดีย เราเลยนึกถึงเพื่อนเราที่เคยทำงานด้วยกัน เธอเป็นอะไรที่ตลกมาก เธอเป็นคนอินเดียโดยกำเนิดแต่มาเติบโที่เมืองไทย เราก็พูดคุยเรื่องการแต่งงานของคนอินเดีย ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายไปสูขอฝ่ายชาย เมื่อเธอโตเป็นสาว เธอมีโอกาสไปเยี่ยมประเทศอินเดียบ้านเกิด แล้วเกิดมีชายหนุ่ม อินเดีย หลงรักเธอหลังจากที่เธอกลับเมืองไทยแล้วผู้ชายคนนั้นยังโทรมาหาเธอขอ ร้องให้เธอไปสู่ขอเขากับแม่ ผู้หญิงคนนี้ตอบชายหนุ่มว่า"ในเมื่อเธอรักฉันเธอต้องเป็น ฝ่ายมาสู่ขอฉันสิ"เธอว่าประเพณีบ้าบออะไรกันมีที่ไหนให้ผู้หญิงหาเงินไปให้ผู้ชาย เรื่องอะไรฉันจะหาเงินไปให้แม่มัน ผู้ชายไทยมีตั้งเยอะแยะ ฟังดูแล้วก็ตลกดีที่เธอ ไม่ได้ยึดประเพณีของอินเดียเลย จากคุณ : เสียงซึง - [ 29 ม.ค. 48 04:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เราว่าเรื่องสินสอดนี่เป็นประเพณีที่ดีงามนะคะ...แต่มันติดอยู่ตรงเรื่องเจ้าสินสอดนี่เปลี่ยนมาอยู่ในรูปของ "เงิน"...ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาดังที่เพื่อนๆ แต่ละคนบอก...(เราเองก็ไม่ชอบเรื่องสินสอดเป็นเงินเป็นทองเลยค่ะ).. แต่ตอนเราแต่งงานพ่อแม่เราก็เรียกสินสอดตามสมควร (เราแต่งกับคนอเมริกัน) พ่อแม่เราไม่บอกชาวบ้านหรือใครๆ เรื่องสินสอดเลย... ก็เพื่อตัดปัญหาเรื่องเงินกับใครๆ นี่แหละค่ะ (ใครๆ ก็คิดว่าฝรั่งรวยนั่นแหละ) ...ชาวบ้านก็เดาๆ กันอยู่นั่นแหละ ...เราก็บอก แม่กับพ่อไม่ต้องพูดไรนะ อยู่เฉยๆ ...แม่กับพ่อเราเค้าเป็นคนเงียบๆ สงบๆ อยู่แล้ว...เราก็สบายใจ... เราเคยถามพ่อกับแม่เราว่าตอนเค้าแต่งงานกันให้สินสอดกับยังไง...(บ้านเราอยู่ลำปางนะ) แม่บอกว่าสมัยนู้น (พ่อเรา 60 กว่าแล้ว) พ่อหาบข้าวมา 1 หาบ ปลาเค็มอีก 1 ห่อ รึไงนี่แหละ แล้วก็ผูกไม้ผูกมือทำพิธีเล็กๆ กับตายายเรา...เราก็อึ้งไปเลย ...ถ้าเป็นไปได้เราอยากให้งานแต่งเราเป็นอย่างนั้นบ้าง..ไม่อยากให้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา และค่านิยมเหมือนในตอนนี้ (เงินสำคัญที่สุด) จากเรื่องของพ่อแม่เรา...เราคิดว่าประเพณีเปลี่ยนไปเยอะมากๆ จากสินสอดสิ่งของจำเป็นข้าวปลาอาหารในสมัยก่อน..กลับกลายมาเป็นเงินเจ้าปัญหาตัวนี้แหละค่ะ..เฮ้อ... จากคุณ : tiny - [ 29 ม.ค. 48 05:45:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านของ คห 17 แล้วนะเศร้ากับญาติของคุณ แต่คนไกลคนนั้นนี่ อืม... ส่วนตัวเราเอง เฉยๆ  ไม่ได้ไม่เห็นด้วย และไม่ได้เห็นด้วยไปเลยซะทีเดียว เราว่ามันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ใช่กะจะขายลูกกินเสียอย่างเดียว ต้องเข้าใจด้วยว่าเรื่องนี้ทำกันมานมนานเป็นประเพณีไปเสียแล้ว สืบทอดกันมาก็ทำกันเป็นรุ่นๆ ต่อไป พ่อแม่บางคนที่ไม่ได้กะจะขายลูกกิน แต่ทำไปตามประเพณีก็มีเยอะ เงินสินสอดที่เรียกมาก็กลับเอาไปให้ใช้ตั้งตัว เป็นทุนกันก็มี แต่พ่อแม่ที่กะขอค่าตอบแทนค่าน้ำนมก็มีไม่ใช่ว่าไม่มี สาเหตุของเขามันก็ต่างกันไปอีก เพราะอะไรถึงต้องเอา อันนี้เป็นเหตุผลของแต่ละคน จากคุณ : Kitty_PoPo - [ 29 ม.ค. 48 07:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สินสอด" กฏหมายได้กำหนดไว้ว่า "เป็นสินทรัพย์ซึ่งฝ่าย ชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครอง ฝ่ายหญิงแล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดย มีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่ สมควร หรือ ไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสิน สอดคืนได้" ทองหมั้น  ประเพณีโบราณถือเป็นของเจ้าสาว ที่จะนำไป เป็นเครื่องแต่งตัว เพื่อเป็นทรัพย์สมบัติติดตัวในเวลาแต่ง งาน จากคุณ : fudge-a-mania - [ 29 ม.ค. 48 09:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ครอบครัวไทยเป็นแบบนับถือญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่ แต่ค่อนข้างเอียงมาทางแม่ (Bilateral descent with matrilineal bias) มีคำขยายความว่า เมื่อเริ่มตั้งครอบครัว ธรรมเนียมการแต่งงานจะกำหนดให้ฝ่ายชายเป็น "เจ้าบ่าว" คำว่าบ่าวก็แปลว่าคนรับใช้ สถานภาพของเจ้าบ่าวที่ตีความว่าต่ำกว่าฝ่ายหญิงก็เนื่องจากสินสมรสหลักๆ ที่เป็นบ้าน ที่ทำกินจะมาจากฝ่ายหญิง เจ้าบ่าวขอให้ขยันขันแข็ง มี "อีโต้เหน็บหลัง" มาอย่างเดียว บ้านไหนก็อยากจะยกลูกสาวให้แล้ว ความเป็นเจ้าบ่าวหมายถึงต้องมี "ระยะทดลองงาน" (คล้าย probation) 3 เดือน 6 เดือน ก่อนวันพิธีแต่งงาน ช่วงนี้เจ้าบ่าวจะต้องมาช่วยบ้านฝ่ายหญิงทำไร่ ไถนา เก็บเกี่ยวจนกว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงพอใจ ในอดีตของสังคมไทย การมี "ช่วงโปร" ทำให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคงมาก มีเวลาที่หนุ่มสาวจะได้ "ดูใจ" กันนานๆ การหมั้น (engagement) ตามธรรมเนียมฝรั่งซึ่งเกิดขึ้นก่อนจะแต่งงานเป็นคนละเรื่องกับธรรมเนียมการเกิดช่วง "ทดลองงาน" ก่อนแต่งของเจ้าบ่าวในวัฒนธรรมไทยครั้งอดีต การหมั้น "จริงๆ ในสังคมไทยโบราณเกิดขึ้นได้หลังจากพ่อแม่ฝ่ายหญิงแน่ใจว่าผ่าน "โปร" แล้ว แต่จะเป็นการเรียก "สินสอด" อันอยู่ในช่วงของระยะเวลาที่ผ่านพ้นการจองหรือทำให้เกิดความผูกพัน (engaged) ไปนานแล้ว การเรียกสินสอดในธรรมเนียมไทย ส่วนใหญ่ใช้ทองจึงเรียกรวมว่าเป็น "สินสอดทองหมั้น" ที่กล่าวว่าการเรียกสินสอดเป็นขั้นตอนที่มาไกลกว่าการจองนั้นก็น่าจะชัดเจนอยู่เพราะเป็นสัญญาที่บอกว่าชายหญิงคู่นี้จะมีการ "สอด" กันในไม่ช้า ใครเป็นคนสอดก็ดูว่าใครให้สิน (ทรัพย์) ก็คนนั้นแหละ มาถึงตรงนี้ไม่มีฝ่ายใดเป็นของปลอมแน่ ประเด็นที่ต้องการบอกตรงนี้ก็คือ ระบบและขั้นตอนของการตั้งครอบครัวไทยที่ค่อยดำเนินอย่างสุขุมมีสไตล์ น่ารักอย่างนี้ยากจะเกิดครอบครัวแตกแยกในสังคมไทยในอดีต เพราะมีหลักแน่นหนาที่จะต้องยึดความเป็น "ผัวเดียวเมียเดียว" (monogamy) หาข้อยกเว้นยากจะมีก็เพลย์บอยแบบขุนแผน เพราะยิ่งมีแฟนมากการอยู่เวรเป็นเจ้าบ่าวบ้านไหนเกิน 3 วัน 7 วันคงยาก ในทางกลับกันบ้านไหนมีลูกสาวสวย แล้วคิดว่าหัวบันไดไม่แห้งอย่างนี้ เลือกคู่ได้สบายไม่ต้องหาเจ้าบ่าวมาทดลองงานก็เสี่ยงเป็นม่ายขันหมาก พอได้แต่งเข้าจริงผัวก็อาจหาเรื่องว่าก่อนม่ายขันหมากอาจคบชู้สู่ชายมาก่อนก็ได้ การครองคู่ก็จะยาก http://www.sac.or.th/newvicha/new434.htm จากคุณ : fudge-a-mania - [ 29 ม.ค. 48 09:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หลวงวิจิตรวาทการพูดไว้ว่า สินสอด ถ้าเกิน 40 บาท ถือว่า ขายลูก จากคุณ : จำได้ - [ 29 ม.ค. 48 09:26:16 A:61.90.69.215 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นพ่อแม่คนแล้วก็จะรู้ ว่ารู้สึกอย่างไรตอนจะแต่งงานลูก ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่ถ้ามีผู้ชายคนนึงมาขอลูกแต่ไม่มีเงินเลย คนเป็นพ่อแม่จะต้องคิดแล้วว่ามันจะไปกันรอกเหรอ ไอ้คนจะแต่งนะมันก็คิดว่ารอดเพราะมันกะลังรัก อะไรก็ง่ายไปหมด แต่คนเป้นพ่อแม่น่ะมองอีกแบบนึง จากคุณ : ohh_no - [ 29 ม.ค. 48 09:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นด้วยกับคห.24 ค่ะ เราก็โชคดีที่สามี และญาติ ๆ เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมไทย พ่อแม่เราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเยอะแยะ ทำตามขนบธรรมเนียมเท่านั้น หลังจากแต่งเราเค้าก็ยกให้เราทั้งคู่ไปตั้งหลัก แต่เราเอามาแค่ครึ่งเดียว (งกให้พ่อกับแม่แฮ่..) เท่าที่ทราบก็อย่างเพื่อน ๆ บอกว่า ประเภทอื่นเค้าก็มีอะไรประมาณนี้เหมือนกัน เช่นเมกา หรือแคนาดาเนี่ยะ ฝ่ายหญิงจะรับผิดชอบเรื่องจัดงาน ส่วนผุ้ชายเนี่ยะดูเรื่องบ้านช่อง ของชิ้นใหญ่ ๆ ที่จะใช้ในชีวิตร่วมกันต่อไปค่ะ  และก็อย่างอินเดียที่เพื่อน ๆ บอกไป ลึก ๆ เราก็ยังเห็นด้วยน๊ะ เพราะคิดว่าหากมีลูกสาว และหากเค้าจะมีครอบครัวก็คงอยากให้เค้าแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน ไม่ใช่ดูกันเฉย ๆ เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนอีก โดยไม่มีพิธีอะไรทำนองนั้น คงรับไม่ได้เหมือนกันอะค่ะ จากคุณ : ลิปสติค - [ 29 ม.ค. 48 09:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 43 จะเเต่ง เอาลูกสาวเค้าไปใช้งาน ทำงานบ้านให้ รับใช้บนเตียงเป็นปีๆ กะอีแค่ เงินที่พ่อแม่ผู้หญิงเรียกมา ยังไม่พอกับหยาดเหงื่อแรงงานที่พ่อแม่เลี้ยงลูกสาวมาหลายสิบปีเลย ผู้ชายคนไหนที่เกี่ยงไม่ให้สินสอดทองหมั้น ..พอแต่งงานไป มันก็จะเค็มกะผู้หญิงเหมือนก็ที่เคยทำก่อนแต่งน่ะแร่ะน้า จากคุณ : เกือกซ่าสีชมพู - [ 29 ม.ค. 48 16:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 43<< ใจเย็นๆไหนๆผู้หญิงสมัยนี้ก็เรียกร้องความเท่าเทียมกัน ก็ช่วยๆกันดิ ตกแต่งพอประมาณ เอาให้มีทุนเหลือพอที่จะสร้างอนาคตกันได้ ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าพูดอย่างคุณว่า " เอาลูกสาวเค้าไปใช้งาน ทำงานบ้านให้ รับใช้บนเตียงเป็นปีๆ กะอีแค่ เงินที่พ่อแม่ผู้หญิงเรียกมา ยังไม่พอกับหยาดเหงื่อแรงงานที่พ่อแม่เลี้ยงลูกสาวมาหลายสิบปีเลย" ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ติดป้ายราคาไปเลยดีมั้ย แล้วเวลาซื้อมาอย่ายึกยักนะ จะเอามาใช้ในบ้านซะหน่อย ไม่ได้เอามาทำเมีย เพราะเมียไม่ใช่สินค้า ไม่ใช่คุณตัว ที่จะต้องซื้อ เมียคือคนที่เรา"รัก"และจะเป็นคู่ชีวิตของเราตะหาก จากคุณ : เถ้าแก่น้อย - [ 29 ม.ค. 48 18:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ชื่อก้อบอกอยู่แล้วว่าสินสอด ถ้ามันเยอะเกินไปจะสอดได้หรือ จากคุณ : ธัชกร - [ 29 ม.ค. 48 20:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 46 I personally don't agree with this idea of "sin sod " in Thai marriage because I think it promotes the so called "face-value" in the society. It creates some kind of ridiculous competition like say if the daughter next door gets this much for the sin sod then your daughter has to get above that amount. What else? It can  bring a certain level of pressure to men for if they happen to be not so rich then they don't have enough to prove and ,unfortunately, we women are the ones who suffer as we cannot live with the ones we love. I believe many Thai customs and traditions are quite uniquely magnificent but we cannot deny that a few of them need to be reviewed or are better of being demolished. จากคุณ : GLAMGIRL - [ 29 ม.ค. 48 21:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 47 รู้จักน้องคนหนึ่งแต่งงานก็ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร จดทะเบียนเฉยๆเพราะอยากจะประหยัดเงิน  เวลาผ่านไปสองปีสามีขอให้กลับไปจัดงานแต่งงานให้ครอบครัวที่เมืองไทย คุณสามีน่ารักมากแอบเก็บเงินเตรียมไว้สำหรับสินสอดโดยไม่บอกภรรยา  บอกเพียงแค่ว่าจัดพิธีไทยๆก็พอ แต่เมือไปถึงเมืองไทยคุณสามีแอบไปเบิกเงินมาเก็บไว้ที่บ้าน พอตอนเช้าเข้าพิธีถึงได้รู้ว่าแอบเอาเงินมาใส่เป็นสินสอดและยกให้แม่ฝ่ายภรรยาทั้งหมด 3 ล้าน 7 แสนบาท ภรรยาร้องไห้โฮกลางงานเลย พอเสร็จสิ้นพิธี แม่ฝ่ายหญิงคืนเงินให้ แต่คุณสามีบอกว่าเก็บเงินมาตลอด 2 ปีที่แต่งงานกัน ไม่เคยบอกให้ภรรยารู้ เขาเต็มใจให้เงินทั้งหมดแก่แม่ภรรยาที่เขาเคารพมาก ผู้ชายคนนี้รักภรรยามากๆ รู้แต่ว่าคนในหมู่บ้านลือกันไปทั่วเรื่องสินสอดบ้านนี้ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 48 00:03:43 จากคุณ : ชะ ชะ ช่า ต่อหน้าฉัน - [ 30 ม.ค. 48 00:01:36 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ทุกประเพณี วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม มันมีสองด้านทั้งนั้นแหละ...ว่าไหม เช่น แต่งงานให้สินสอด มันก็มามีเส้นบางๆที่แยกจุดเหมาะสมกับจุด'เวอร์' หรือตัวอย่างธรรมเนียมวัฒนธรรมเชื่อฟังผู้ใหญ่ มันก็มีเส้นบางๆที่แยกจุดเชื่อฟังเพื่อให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง หรือเชื่อฟังขนาดอยู่ภายใต้การควบคุมและตัดสินใจของคนอื่น ในทางผู้ใหญ่ก็เช่นกัน มีเส้นบางๆที่แยกให้คำแนะนำเพื่อทางที่ถูก หรือใช้ธรรมเนียมนั้นเพื่อคุมคนอื่น แม้แต่ตะวันตก มันก็มีอย่างขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่แบบถือปัจเจกถือตัวเป็นใหญ่ มันก็มีเส้นบางๆอีกที่แยกว่า สิทธิ์กะค.รับผิดชอบน่ะ มันต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่อะไรๆก็สิทธิ์ของฉัน ฉันเป็นใหญ่ แล้วค.รับผิดชอบใครจะรับ พูดเยิ่นเย้อยกตัวอย่าง จุดมันก็คือ ประเพณีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม มีมันก็ดีอยู่ คนเรานี่แหละที่หลายๆครั้งไปบิดเบือนมันจนบูดเบี้ยว เพราะฉะนั้น ว่าบางทีอย่าไปโทษประเพณีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมมันเลย คนเรานี่แหละที่ไป'คน'ให้มันยุ่งและวุ่นวาย ทุกอย่างถ้าทำตามที่พุทธศาสนาว่าไว้ ให้เดินทางสายกลาง มันก็คงลดปัญหาลงได้บ้าง ปล. ส่วนตัวถ้ามีลูกสาว คิดว่าจะขอสินสอดตามสมควร แล้วเก็บไว้ให้ลูกสาวเราเอง (ซักระยะหนึ่ง) สมัยนี้ ใครจะไปรู้ แต่งแล้วหย่าง่ายกว่าหาคนมาแต่งด้วยอีก แต่งไปผัวทิ้ง แล้วลูกสาวเราจะทำยังไง สังคมเริ่มเท่าเทียมจริง แต่ก็ยังมีค.จริงในสังคมอยู่อย่างนึงว่า แม้ผู้หญิงทำงาน (งานเหมือนกันและอื่นๆ) โดยส่วนใหญ่ผู้หญิงก็ยังได้ค่าตอบแทนน้อยกว่า ยิ่งมีลูกแล้วหย่า child supportจะได้หรือเปล่าไม่มีใครรู้ จากคุณ : Overseas - [ 30 ม.ค. 48 00:37:03 ]

ความคิดเห็นที่ 49 comment 47 คุณสามีน่ารักจังเลยค่ะ ขอชมๆๆๆ นับถือด้วยใจ จากคุณ : หมึกสีขาว (Love Tennessee) - [ 30 ม.ค. 48 03:12:42 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ประเพณีมันมีมาแต่โบราณ ชาย หญิงในสมัยโบราณก็ต่างกับสมัยนี้   คิดดูอย่างแยบคายแล้ว คนโบราณ ฉลาดมาก ในสมัยก่อนแต่งงานกันอายุยังน้อย กุศโลบายนี้ ช่วยให้ฝ่ายชายขยัน รู้จักทำงาน สร้างตัว ฝ่ายหญิง ก็ต้องรู้จัก ทำตัวให้ดี ทั้งการบ้านการเรือน    ____ บ้านเรากฎหมายหลังหย่าจ่ายเงินเลี้ยงดู แบบต่างประเทศไม่เหมือนกัน____ จากคุณ : ตถตา - [ 30 ม.ค. 48 06:51:49 ]

ความคิดเห็นที่ 51 >> ความคิดเห็นที่ 17 ผมอ่านแล้วอึ้งมากครับ สงสารฝ่ายผู้หญิง -_-' จากคุณ : PEDestrain - [ 30 ม.ค. 48 06:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ถึงมันจะเป็นประเพณีที่หลายคนว่าเป็นสิ่งดีมาแต่โบร่ำโบราณ เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับสินสอด เราคิดว่าการมีสินสอดนั้น เป็นการสร้างความโลภให้กับคน ถ้าจะมาบอกว่าเป็นค่าน้ำนมล่ะก็ เป็นข้ออ้างมากกว่า ไม่ make sense ขอถามย้อนกลับว่า การจะให้ลูกสาวกับคนคน หนึ่งนี่ถึงขั้นต้องซื้อต้องขายกันเชียวหรือ น่าอนาถใจกับบางบ้านที่เรียกสินสอดมากเป็นล้านจนทำให้ผู้ชายหนีลูกสาวไป อย่างเช่นความเห็นที่ 47 น่ะ มันแสดงให้เห็นว่าพ่อแม่หน้าเงินมาก กว่าที่จะเห็นถึงจิตใจของลูก จากคุณ : littleteddy - [ 30 ม.ค. 48 09:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 53 หวังว่าประเพณีเงินสินสอดพวกนี้ จะถูกเปลี่ยนในไม่ช้า เพื่อไม่ให้ผู้หญิงไทยหลายคน (ที่พ่อแม่เรียกเงินสูงๆ) ถูกมองว่ากำลังขายตัว จากคุณ : littleteddy - [ 30 ม.ค. 48 09:10:50 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ^ ^ ^ ^ พ่อแม่หน้าเงินตรงไหน? ----------------------------------------------------------- พอเสร็จสิ้นพิธี แม่ฝ่ายหญิงคืนเงินให้ แต่คุณสามีบอกว่า เก็บเงินมาตลอด 2 ปีที่แต่งงานกัน ไม่เคยบอกให้ภรรยารู้ เขาเต็มใจให้เงินทั้งหมดแก่แม่ภรรยาที่เขาเคารพมาก จากคุณ : fudge-a-mania - [ 30 ม.ค. 48 11:06:11 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แล้วถ้าสินสอดน้อยๆแต่ประกาศให้เงินเป็นสินสมรสกลางงานเป็นจำนวนเยอะๆจะดีกว่าหรือเปล่า ตัดปัญหาเรื่องเอาเงินซื้อตัวผู้หญิง เพราะมันคือเงินเริ่มต้นชีวิตคู่ ส่วนด้านฝ่ายหญิงถ้ากลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าเกาะฝ่ายชายก็ให้ฝ่ายหญิงประกาศให้สินสมรสด้วย สินสอดควรจะมีเพราะเป็นประเพณีแต่อาจจะลดลงหน่อย จากคุณ : โอ@ - [ 30 ม.ค. 48 11:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อีหร่านเหมือนอินเดียครับ ผู้หญิงต้องมีสินสอดไปขอผู้ชาย เข้าใจว่าประเทศแถบตะวันออกกลางน่าจะเป็นทำนองนี้ จากคุณ : S(2) - [ 30 ม.ค. 48 12:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อุ๊ยขอโทษค่ะ ไม่ใช่ความเห็นที่ 47 ขอโทษจริงๆ ค่ะ พิมพ์ผิด แต่เห็นใจ แต่ที่พูดถึงนี่คือ ความเห็นที่ 17 ค่ะ จากคุณ : littleteddy - [ 30 ม.ค. 48 13:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วยที่สุดกับคุณ JC2002! (opinion # 23)ค่ะ ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าเราเองเป็นผู้หญิงอายุ 26 น่าจะเรียกว่าเป็นคนรุ่นใหม่นะคะ จบธรรมศาสตร์ เพิ่งจะหมั้นไป และกำลังจะแต่งงานค่ะ เรากับแฟนคบกันมา 5 ปี แฟนเราทำงานเก็บเงินมาตลอด เราเองก็ทำงาน ผ่อนรถเอง เรียนโน่นเรียนนี่ไปเรื่อย ครอบครัวเราปานกลาง พ่อเสียแล้ว แม่ทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ตอนที่พ่อแม่แฟนเรามาคุยกับแม่เรา แม่เราบอกว่าไม่ต้องหรอกค่ะ เด็กสองคนเนี่ยพอมีเงินเก็บทั้งคู่ เก็บไว้ให้เค้าในงานแต่งงานเถอะค่ะ พ่อแม่แฟนเราก็ปลื้มใจ แต่ก็อยากจะให้แม่เราสบายใจว่า ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ายังไงเราจัดกันตามประเพณีก็ได้ค่ะ นั่นคือ ฝ่ายชายจะต้องจัด 'สินสอด' 'ทองหมั้น' และ 'เงินกองทุน' มาขอ ตามประเพณีโบราณแล้ว สินสอดเนี่ย ไม่กีบาทค่ะ ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ แบบว่า 49 บาทอะไรเงี้ย ทองหมั้น คือของขวัญที่พ่อแม่ผู้ชายเอามาให้เพื่อจับจองฝ่ายหญิง ถ้าฝ่ายหญิงรับหมายถึงตกลงที่จะแต่งงานกับผู้ชาย เงินกองทุนคือเงินที่ฝ่ายชายจะนำมาให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงดูว่าเค้ามีเงินจะเลี้ยงดูลูกสาวพ่อแม่นะ ลูกสาวจะไม่ต้องลำบากในอนาคต หลานตาหลานยายจะต้องเติบโตอย่างไม่ลำบากนะ เงินกองทุนเนี่ยจะเป็นเงินเก็บของผู้ชาย พ่อแม่ฝ่ายชายเพิ่มเข้าไปให้ก็ได้ และเมื่อถึงวันแต่งงาน พ่อแม่ผู้หญิงก็อาจจะเพิ่มเข้าไปให้อีกก็ได้ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็หมดห่วงค่ะ จริงอยู่ที่การนำเงินมาเกี่ยวข้องกับพิธีที่สวยงามและมีคุณค่าทางใจอย่างพิธีแต่งงานเป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันเป็นการส่อให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเหมือนการขายลูกสาวกิน แต่อย่าลืมนะคะ ประเพณีทุกประเพณี จะดีหรือจะไม่ดีขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติค่ะ ถ้าแม่ของผู้หญิงตั้งท่าเรียกร้องขอเท่านั้นขอเท่านี้ เราว่ามันบอกคุณผู้ชายได้เลยนะว่าครอบครัวของผู้หญิงที่คุณเลือกจะแต่งงานด้วย จริงๆแล้วเป็นยังไง..ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ เราว่าใช้ได้จริงนะคะ เราเชื่อว่าทุกวันนี้มีครอบครัวดีๆ ที่ปฎิบัติตามประเพณีนี้ด้วยเจตนาที่ดี พ่อแม่ของผู้หญิงที่ดีๆ เค้าจะบอกกับคุณผู้ชายที่เค้าเห็นว่าดีและต้องการแต่งงานกับลูกสาวเค้าว่า เรื่องสินสอดเนี่ย แล้วแต่ทางฝ่ายชายจะจัดมาตามที่เห็นสมควร นั่นก็คือ เท่าที่คุณฝ่ายชายจะไม่ลำบากนั่นแหละค่ะ ทางฝ่ายชายเองก็ไม่ควรไปคิดมากเกินไปนะคะ เพราะลองถ้าคุณมีลูกสาวบ้าง แล้วมีผู้ชายคนนึงมาบอกว่ารักลูกสาวคุณ อยากแต่งงาน แต่ไม่มีเงิน คุณจะว่ายังไง ถ้าถามเรา เราจะบอกกับฝู้ชายที่ต้องการแต่งงานกับลูกสาวเราว่า ถ้าไม่มีเงิน ก็ไปทำงานเก็บเงินซักพักดีมั๊ย พอมีเงินเก็ยเมื่อไหร่ก็มาขออีกที ผู้ชายดีๆ ส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจนะคะ อยากจะชี้ว่าทุกวันนี้เราจะเห็นครอบครัวที่แต่งงานกันด้วยความรัก เงินทองไม่สำคัญ ไม่ต้องสนใจ แค่สองคนรักกัน เงินไม่มีจะแต่ง บางคู่ก็ต้องไปกู้เงินมาจัดงาน บางคู่ดีหน่อยแค่จดทะเบียนกัน บางคู่อยู่ด้วยกันเฉยๆ แค่รักกันก็พอนิ พอแต่งงานฝ่ายชายทำงานงกๆ ฝ่ายหญิงก็ต้องช่วยทำงานทั้งในบ้านนอกบ้านเพราะเงินเก็บก่อนมาตั้งครอบครัวไม่มี บ้านก็ไม่มีต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรือเช่าบ้านอยู่ ไม่นานฝ่ายหญิงตั้งท้อง ทีนี้ล่ะต้องใช้เงินละ ไหนจะต้องฝากท้อง ไหนจะยาบำรุง อาหารจะอดๆก็ไม่ได้ งานบ้านก็ทำเต็มที่ไม่ได้เพราะท้อง จะจ้างคนมาช่วยทำก็ไม่มีเงิน เดี๋ยวต้องคลอดลูกอีก ค่าหมอ ค่าห้องพัก แล้วค่านมลูกค่ากินค่าอยู่ค่าเสื่อผ้า ไหนถ้าจะเข้าโรงเรียนอีก...คราวนี้ล่ะ ความรักเริ่มเหนื่อย เริ่มเหนื่อย และเริ่มเหนื่อย เพราะไม่ได้สร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่นคงตั้งแต่แรกก่อนแต่งงาน ลูกที่คลอดออกมา ต้องเจอกับสภาพที่พ่อไม่มีเวลา แม่ก็ไม่มีเวลา เรียนโรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพ เพราะเอาราคาถูกไว้ก่อน เสื้อผ้ารองเท้าของขวัญวันเกิด ไม่ต้องอ่ะ ประหยัด เรียนยังไงก็ช่าง แต่อย่าให้ต้องซ้ำชั้น เพราะเปลืองเงิน หมดตัวเอาหนักๆ ก็ต้องให้ลูกเลิกเรียน สุดท้ายเด็กก็ไม่มีการศึกษา ไม่มีคุณภาพ สร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่ด้วยการไปคบเพื่อนที่มาจากสภาพครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่ต้องตามล้างตามเช็ดในสิ่งที่ลูกไปทำ ที่สุดก็เป็นหนี้ ฝ่ายหญิงก็ไม่มีเงินไปแต่งตัวให้ดูดี ฝ่ายชายก็เริ่มเซ็งกับภาระหนักอึ้ง ตีตัวออกห่าง เริ่มออกไปหาชีวิตที่อิสระ ชีวิตที่เลือกจะทิ้งไว้ เพื่อมาแต่งงานกับผู้หญิงที่รัก ไปมีภรรยาน้อย เพราะไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องมีลูก สุดท้ายครอบครัวแตกแยก ชีวิตแหลกเหลว ฝ่ายที่แย่คือฝ่ายหญิง ไม่เหลืออะไรเลย ฝ่ายชายจะไปมีใหม่ แต่งงานอีกที ไมตำหนินี่นา ทำอะไรก็ได้ สุดท้ายเรามองว่าผู้ชายที่ออกมาบ่นอุบอิบเรื่องต้องเสียเงินสินสอดเนี่ย เป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่ความสบายของตัวเอง ไม่คิดถึงอนาคต ที่ต้องรับผิดชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ลูกอีกกี่คน..ยังไม่รู้ ต่างประเทศเนี่ย ไม่มีเงินสินสอดก็จริงค่ะ แต่วัฒนธรรมของเค้าเนี่ยคือ ฝ่ายชายมักจะทำงานสร้างตัวให้มีอาชีพ มีงานประจำ มีเงินเก็บมั่นคงก่อนที่จะแต่งงานค่ะ เงินที่ใช้ในงานแต่งงานมักจะเป็นของฝ่ายชายทั้งหมด หรือไม่ก็ช่วยกัน หรือถ้าพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจัดงานให้ก็ดีไป พวกชิงสุกก่อนห่ามแอบหนีตามกันมีค่ะ แต่ก็ลงเอยเหมือนกันคือสร้างครอบครัวที่ไม่มีคุณภาพกลายเป็น trash ของสังคมไป ประเด็นนี้เราว่า sensitive ค่ะ การที่คนเรารักกัน มันก็เรื่องนึง ดีค่ะที่คนเรารักกันโดยไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อคิดจะสร้างครอบครัว มันไม่ใช่แค่ความรักอีกแล้วล่ะค่ะ ลองไตร่ตรองดูก่อนนะคะ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 48 18:19:21 จากคุณ : CoPsGiRL - [ 30 ม.ค. 48 17:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ก็แค่การแสดงออกแบบหนึ่งที่เรียกว่า "ให้เกียรติ" ไอ้เรื่องคนมาดูมาดีใจ ก็ "ไทย(ชอบ)มุง" อ่ะ จากคุณ : จ้าจาร์ - [ 30 ม.ค. 48 20:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ผมคิดว่าผมก็เป็นคนรุ่นใหม่ ทันสมัย แต่ก็ยังเห็นว่าประเพณีไทยเรื่องสินสอดทองหมั้น น่าจะดำรงต่อไป ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงรักลูกสาวจริง ก็เพียงแต่ทำให้ถูกประเพณีเท่านั้น มีเท่าไรก็เท่านั้น ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ผมมีเพื่อนสองคนที่แต่งงานกัน ฝ่ายชายมาจากครอบครัวธรรมดาไม่รวย เป็นวิศวกรจากจุฬา ฝ่ายหญิงเป็นลูกมหาเศรษฐีจบอักษรจุฬา พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เห็นกลัวเสียหน้าเรื่องสินสอด เขาบอกว่าเรื่องสินสอดเอามาเป็นพิธีตามประเพณีเท่านั้น ขอให้รักลูกสาวเขาจริงก็พอ พอแต่งเสร็จพ่อแม่ฝ่ายหญิงโอนเงินเข้าบัญชีลูกสาว 40ล้านบาทแค่เริ่มชีวิตครอบครัวใหม่ อีกหลายพันล้านคงเก็บไว้ให้หลานในอนาคต หลายคนบอกเห็นใจสาวในคคห 17 ที่หนุ่มออสซี่หายหัวไป ผมกลับเห็นว่าไม่น่าเสียใจอะไรมาก เพราะถ้าฝรั่งหายหัวไปง่ายๆอย่างนั้นจริงก็แสดงว่าไม่ได้รักมากจริง ถ้ารักจริงก็ควรจะคุยกับแฟนและหาทางต่อรองได้ คงเป็นฝรั่งค่อนข้างกระจอก แบบถ้าได้ง่ายๆก็เอา ยากไปก็ give up and run away จากคุณ : Benz (BenzSiam) - [ 31 ม.ค. 48 07:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นด้วยกับคุณ Benz ค่ะถ้าเขารักเราจริง ทุกอย่างต้องมีการแก้ไขพูดคุยกันไม่ใช่หนีหน้าไปเฉยๆ จากคุณ : lotto - [ 31 ม.ค. 48 08:14:03 A:66.126.175.146 X: TicketID:086590 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โอ๊ยสมัยนี้น่ะ แค่ผู้ชายเขายอมมาจดทะเบียน ยอมมาแต่งงาน (ไม่ว่าจะมีรูปแบบหรือไม่ก็ตาม) ด้วย ไม่หลอกฟันแล้วทิ้ง ก็ถือว่าเฮงสุดๆ แล้วครับท่าน ไม่ต้องไปเรียกร้องสินสอด สินเสิดอะไรหรอก จากคุณ : Suekong - [ 31 ม.ค. 48 10:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 63 โดยส่วนตัวเรามองว่ามันเป็นรูปแบบของการให้ความเคารพตามประเพณีนะคะ ^^ อยู่ที่ว่าใครจะปรับเอาประเพณีไปใช้เพื่อการขูดรีด การอวดร่ำอวดรวย และอื่นๆ อีก แต่ตัวประเพณีมันเป็นการให้ลูกหลานแสดงความเคารพ แสดงคุณค่าในค่าน้ำนม และอีกหลายๆ อย่าง เป็นเรื่องที่น่ารักที่หลายๆ ชาติเขาไม่มีด้วยซ้ำไป ^^ จากคุณ : =p o o k p u i= - [ 31 ม.ค. 48 13:12:54 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เรื่องสินสอดทองหมั้นเป็นอารายทีละเอียดอ่อนนะคะ ต่างคนก้อต่างมองเรื่องนี้ต่างกัน เมื่อก่อนการเรียกสินสอดทองหมั้น เป็นสิ่งประกันเพื่อฐานะของเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่สมัยนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด บางคนมองว่าการเรียกสินสอดมากเป็นการ "เอาหน้า" น่าเสียดายเหลือเกินกับบางคู่ที่ต้องจบล่มลงเพราะการตกลงเรื่องค่าสินสอดทั้งๆที่รักกันมากนาน ดีใจกับครอบครัวที่ยังรักษาธรรมเนียมและแนวความคิดเดิมของเรื่องสินสอด ส่วนตัวมองว่าการเรียกสินสอดเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่ต้องเรียกในฐานะที่ฝ่ายชายรับได้และไม่ดูเป็นการขายลูกสาว พอเหมาะพอควร จะเป็นการดีที่สุด แต่สังคมบางสังคมที่เห็นว่าค่าของเงินประเสริฐที่สุด มันก็ไม่ใช่เองแปลกที่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะอยู่ในกระแสนั้น อันนี้แนะนำให้ผู้หญิงลองคุยกะพ่อกะแม่ดูค่ะ เรื่องสินสอดหากได้มากด้วยการเป็นหนี้ แล้วลูกสาวตัวเองต้องไปทำงานลำบากเพื่อล้างหนี้ค่าสินสอด มันดีแล้วยัง แล้วหากมีแฟนเป็นฝารั่งก็ควรอธิบายให้พ่อแม่เราให้เข้าใจด้วยว่าสังคมเขาไม่มีประเพณีอย่างเรา ถ้าเราเรียกร้องมากๆเค้าจะคิดอย่างไร แล้วถ้าเขาสามารถแต่งกะเราได้เพราะค่าสินสอดสูงปี๊ด พ่อแม่จะไม่ทุกข์ใจที่เห็นลูกสาวเป็นทุกข์หรือคะ ส่วนเรื่องชาวต่างชาติเราจะคาดหวังให้ชาวต่างชาติเข้าใจเลยไม่ได้ว่าทำไมเราถึงทำแบบนี้ ก็ต้องอาศัยการอธิบายเป็นหลัก เค้าม่ายรู้ประเพณีเรา แต่สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือเคารพมัน การไม่เคารพกันเป็นมารยาทที่ถือว่าไม่มีของชาวต่างชาติค่ะ คิดว่าเขาคงเข้าใจดี ฉันเองก็มีคู่หมั้นเป็นชาวต่างชาติ ก็อธธิบายให้เค้าฟังและแม่เราฟังด้วย แฟนก็ไม่ว่าอะไรจะยินดีที่จะจ่ายค่าสินสอดที่แม่เรียก พอเราอธิบายให้แม่ฟัง แม่ไม่เรียกค่าสินสอดแล้วแต่แฟนเราจะให้ ไม่ใช่ว่ายกให้ง่ายๆเหมือนของไม่มีค่า แต่แม่เห็นความรัก ความสุข ที่เราทั้งสองให้กัน แม่ จบ ป4 แต่แม่เข้าใจ แม่บอกว่าแม่ไม่สนที่คนอื่นเค้าจะว่ายังงัย เพราะตอนนี้แม่เข้าใจธรรมเนยมของฝารั่งว่าเขาไม่มีแบบเรา และแม่กลัวเค้าจะเข้าใจครอบครัวเราผิด แฟนเค้าก็ใจดีมาก ไม่ได้ให้เป็นเงินหรอกนะคะ แต่ให้สินสอดเป็นสิ่งที่แม่และครอบครัวจะสามารถทำมาหากินและพักอาศัยอยู่ได้ คือแฟนให้สร้างบ้านและออกร้านขายของชำให้แม่ค่ะ นั่นคือสินสอดที่เค้าให้เรามา ทั้งสองฝ่ายยินดี แฮปปี้ ตอนนี้กำลังจะวางแผนงานแต่งค่ะ จะแต่งแบบธรรมเนยีมอิสานที่บ้าน ไม้ใหญ่โต ค่ะ เน้นบรรยากาศความอบอุ่นค่ะ สุดท้ายอยากจะบอกว่าเรื่องทุกอย่างมีสองด้านเสมอนะคะ อย่าพึ่งตัดสินเพราะเรามองจากด้านเดียว พบกันครึ่งทางคงเป้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องสินสอดค่ะ จากคุณ : สองด้านความคิด - [ 31 ม.ค. 48 15:49:20 A:202.28.48.2 X: TicketID:079990 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เราก็มีแฟนต่างชาติเหมือนกัน แล้วก็มีปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน เราคิดว่าก็ดีที่มีสินสอด อย่างน้อยก็แสดงถึงความรัก ความเข้าใจ และความพยายาม แม้จะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก พ่อแม่เราก็หัวโบราณ บางครั้งเราก็คิด่ว่า เราน่าจะรักกับคนไทยให้รู้แล้วรู้รอด อธิบายให้พ่อแม่ฟังท่านก็ไม่ยอมเข้าใจ เพราะพี่สาวแต่งงานกับคนไทยมีสินสอด 999,999 บาท ท่านก็เก็บไว้แค่แสนเดียว ที่เหลือก็คืนให้ไปตั้งตัวกัน แต่เราก็ยังไม่สามารถอธิบายให้แฟนเข้าใจได้ ไม่ได้เลิกกันค่ะ ไม่ได้หนีหน้า เหมือน คห ที่ 17 แต่เหมือนเกิดช่องว่างระหว่างกัน เลยแอบคิดเงียบๆ ว่า อยู่มันไปแบบนี้แหละ พ่อแม่ก็ไม่ยอม ยังไงก็จะดูให้ได้ว่า แฟนเรามีสปิริตแค่ไหน รับผิดชอบแค่ไหน แฟนเราก็ไม่ยอมเข้าใจ เฮ้อ หาแฟนใหม่คงง่ายกว่ามังคะ จากคุณ : N - [ 31 ม.ค. 48 17:56:45 A:202.176.130.119 X: TicketID:087158 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เห็นใจคุณ 65 นะ แต่ 999,999 มันก็เยอะเหมือนกันนะ คิดดูสิว่าถ้าเป็นคนไทย มนุษย์เงินดือนธรรมดา ที่ไม่เกาะพ่อแม่กิน เนี่ย กว่าจะหามา ล้านนึง ยังไม่รวมแหวน ค่างานแต่งงาน และทอง และนู่นนี่อีก มันเยอะนะ แล้วเงินล้านของคนต่างชาติมันก็ไม่ใช่น้อยนะ คิดดู กว่าจะได้มาเก็บเดือนนึง ได้เงินเดือน สมมติเดือนละแสนห้าบาท แต่ภาษี ค่านู่นนี่ หลังอานเลยน่ะ ยังไงก็ลองหาทางออกอื่น แต่ไม่แนะนำให้เลิกกันแค่เรื่องสินสอดหรอก อนาคตยังอีกไกล และสินสอดก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมานำทางชีวิต ลองขอพ่อแม่ ลดราคาสินสอดลงมาได้ไหม หรือในกรณีที่พ่อแม่ไม่ยอมจริงๆ เอาเงินคุณไปโปะ แล้วไม่ต้องให้พ่อแม่รู้ รุ่นพี่เราที่มีแฟนต่างชาติ ก็ทำแบบนี้ เพราะแม่ไม่ยอม ยังไงก็ต้องไม่ต่ำกว่าล้านห้า ทองแสนนึง แหวนไม่ต่ำกว่า 8 หมื่น etc. ขอให้ชีวิตดำเนินไปด้วยดี จากคุณ : อีกไอเดีย - [ 31 ม.ค. 48 19:29:57 A:61.90.34.208 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 67 น่ารักมากๆๆ เลยข่ะ น้อง คห 58 นี่คนรุ่นใหม่แท้ๆ แต่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ได้รับทั้งการอบรมที่ดีจากครอบครัว ทั้งได้รับการขัดเกลาจากการศึกษา เชื่อจริงๆ กับคำที่น้องพูด ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ แต่ให้แน่ๆ อีกที ให้ดูถึงยาย แต่น้องนี่ไม่ต้องถึงยายหรอก นี่แหละ อย่างนี้ ขนบธรรมเนียมไทยไม่สูญหายไปไหน เห็นด้วยกับน้องทุกตัวอักษร รักหนูจังเลย แล้วก็น้อง คห 60 ด้วยข่ะน่ารักจริงๆ นี่แหละหนุ่มไทย สาวหัวใจไทยใฝ่หา จากคุณ : คห 25 - [ 31 ม.ค. 48 20:21:32 A:84.65.185.158 X: TicketID:075339 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ALL BIT BIT BIT จากคุณ : asdf - [ 1 ก.พ. 48 00:43:50 A:66.105.41.65 X: TicketID:072863 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณผู้หญิงทีเห็นว่าเราควรจะสนับสนุนเรื่องนี้ด้วยเหตุผลว่า เป็นหลักประกัน ความมั่นคง รักจริง ได้เราไปแล้วจะได้ไม่ทอดทิ้ง อะไรต่างๆนี่ ผมว่าสมัยนี้คุณรู้จักผู้ชายและก็เลือกเขาเองนะไม่ใช่ว่าโดนจับแต่ง ทำไมต้องมองว่ามีใครไปเอาของใครมา การที่สองคนจะเริ่มใช้ชีวิตเนี่ย ทั้งคู่เป็นคนมีคุณค่าศักดิศรี ซึ่งเงินซื้อๆไม่ได้ ตีราคาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผู้หผญิงเป็นสิ่งของที่ใช้เงินเพื่อพิสูจน์ได้ถึงคุณค่า "สุดท้ายเรามองว่าผู้ชายที่ออกมาบ่นอุบอิบเรื่องต้องเสียเงินสินสอดเนี่ย เป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่ความสบายของตัวเอง ไม่คิดถึงอนาคต ที่ต้องรับผิดชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ลูกอีกกี่คน..ยังไม่รู้" ถามจริง การแต่งงานกันไปนี่คุณไม่คิดเลยหรือว่าทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันสร้าง แบ่งเบาทุกข์ สุข รับผิดชอบซึ่งกันและกัน ประหลาดใจจริงที่ผู้หญิงไทยไม่น้อยยังตีค่าตนเองเป็นสิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง ตัวเองถูกเอาไปเป็นเจ้าของ เอาไปเป็นเมีย เอาไปใช้งานบนเตียง ก่อนซื้อควรมั่นใจว่ามีเงิรเลี้ยง ดูแลบำรุงรักษา ที่ผ่านมาผู้ชายไทยจ่ายสินสิดแล้วไง ถ้ามีเงินขึ้นก็ซื้อคนใหม่ได้ ใช้วิธีเดียวกับที่ได้คนแรก เพราะคุณค่าของการได้ใช้ชีวิตกับคนรักไม่ใช่จิตใจ แต่เป็นเงิน ก็ซื้อได้เรื่อยๆ มันพิสูจน์ความรักหรือความรับผิดชอบไหม เรื่องไม่มีเงินพอสร้างครอบครัวนี่คนละประเด็นเลยนะ ก่อนมีลูกต้องดูสถานะทางการเงินของตัวเอง วางแผนชีวิต การทำงานอะไรต่างๆ มันคนละประเด็นเลย ในตะวันออกกลางใช้เงินซื้อเจ้าสาวเหมือนของไทยเช่นกันครับ หลายประเทศ " เงินที่ใช้ในงานแต่งงานมักจะเป็นของฝ่ายชายทั้งหมด หรือไม่ก็ช่วยกัน " คุณหมายถึงชาติไหนครับ ที่แน่ๆตะวันตกผู้หญิงจ่ายหมด นอกจากแหวน ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยควรช่วยกันมากกว่า ผิดหวังกับผู้หญิงไทยหลายท่าน ถ้าคุณยอมลดค่าตัวเองเป็นเหมือนสิ่งของ และเงินเป็นตัวพิสูจน์ความรักในการเริ่มต้นชีวิตกับผู้ชายสักคนนี่ ก็เลิกถามเถอะว่าทำไมชายไทยเจ้าชู้ มีเมียน้อย จากคุณ : เลิกดีกว่า - [ 1 ก.พ. 48 01:37:21 A:137.222.234.130 X:137.222.10.67 TicketID:076480 ]

ความคิดเห็นที่ 70 สำหรับคนไทยที่เติบโตและเข้าใจคำว่า "สินสอดทองหมั้น" เป็นอย่างดี ยังมีมากมายที่ไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยเพียงบางส่วน ส่วนตัวเราเห็นด้วยที่ว่าเป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิง และเป็นหลักประกันให้ครอบครัวฝ่ายหญิงมั่นใจในตัวว่าที่ลูกเขย แต่ก็ต้องยอมรับว่า โดยเฉพาะสังคมต่างจังหวัดที่ส่วนมากยังมีฐานะยากจน ยังการศึกษาไม่สูง การแข่งขันกันเอาหน้าเรื่องขายลูกสาวกินก็ยังมีถมถืด...นี่เป็นแค่มุมมองของคนไทยที่รู้ประเพณีไทยมายี่สิบกว่าปี แต่ถ้าฝรั่งที่เค้าไม่รู้เรื่องด้วย อยู่ดีๆวันนึงฝ่ายหญิงบอกเค้าว่าเธอต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้เพื่องานแต่งงานของเราสองคน ...ยากเหลือเกินที่เขาจะมาเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 48 02:36:02 จากคุณ : ash the best - [ 1 ก.พ. 48 02:34:19 ]

ความคิดเห็นที่ 71 อ่านค.เห็นที่69 แล้วเลยพูดหน่อย การเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องหญิงไทยลดค่าตัวเองเพราะสินสอด กับการที่ชายไทยมีเมียน้อย ว่าไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่นะ คนเรา(ไม่ว่าหญิงหรือชาย)จะมีเมียน้อยหรือผัวน้อย ว่าคงไม่เกี่ยวกับต้องเสียสินสอดหรือไม่หรอก เพราะถ้ารังเกียจเรื่องสินสอดจริงๆ จะแต่งทำไมกับคนแรกแล้วต้องมาเสียสินสอดแต่ตอนนั้น สู้ไปมีน้อยๆหลายๆที่เฉยๆ สบายกว่าเยอะ อีกอย่างพวกมีน้อยๆเนี่ย จริงๆแล้วเสียตังค์เพิ่มขึ้นนา ต้องใช้จ่ายเพิ่มทั้งเงินทั้งเวลา ยิ่งพวกหลายๆปีนี่ บางทีทบไปทบมามากกว่าเสียสินสอดกับผู้หญิงคนเดียวอีก จากคุณ : Overseas - [ 1 ก.พ. 48 03:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 72 First I read this 'Kratoo' I heard one of The Beatles songs. It goes like this.... "...Say you don't need no diamond ring and I'll be satisfied Tell me that you want the kind of thing that money just can't buy..." Then... During a cigarette burning and blowing... Another song came through my mind... "You can spend all your TIME making MONEY. and you can spend all your LOVE making TIME." --------------------------------------------------------- Anyway... Let me tell you a seminal joke from ( that I think is perfect. ) "You can't buy love, but you can pay heavily for it." -Henny Youngman --------------------------------------------------------- Anyway... I'm afriad that the quote above is not really a joke. จากคุณ : Cold Cold Heart. - [ 1 ก.พ. 48 05:19:35 A:70.16.17.215 X: TicketID:072648 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เห็นด้วย กับคนที่ไม่เห็นด้วยนะ (งงหรือเปล่า?) คนนะ ไม่ใช่สิ่งของ จะมาซื้อขายกัน บ้าป่าว 1. ทำๆ มันไป เขาทำกันมา ก็ทำไป จริงๆ ไม่รู้หรอกว่าสินสอดคืออะไร ในความหมายจริงๆ รู้แต่ว่ามันคือเงินทองของใช้ที่ผู้ชายเอามาจ่าย เพื่อเอาไปทำเมีย 2. พ่อแม่ไม่เอาตังหรอก หมดงานก็คืนให้ แต่ต้องเอาสินสอดมานะ ไม่งั้นเสียหน้าหมด หน้าใหญ่มากกกกกกก ยิ่งได้โชว์เงินเป็นล้าน ล้าน ที่ดินหลายร้อยไร่ ทองหลายแสน เพชรประกาย ยิ่งหน้าใหญ่คับงานเลย 3. พ่อแม่หัวการค้า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลูกสาวจะแต่งซะที หารายได้จากตัวลูกสาวเลย เอาไปขัดผิว ขัดหน้า ให้สวย เรียกมันไปเป็นสิบสิบล้าน อู๊ยยยย อยู่สบายไปหลายปี ถ้าโชคดีได้คนรวย ใจป้ำ ก็ยิ่งถือว่าได้กำไรอย่างงาม กินเหลือ เก็บไว้ใช้ชาติหน้าต่อได้ ของใครตรงกับข้อไหนกันบ้างเอ่ย จากคุณ : .. - [ 1 ก.พ. 48 10:52:04 A:61.90.34.39 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คุณคห ที่ 69 กับ 73 อยากให้กลับไปอ่าน คห ที่ 58 ดูอีกสักครั้ง ไม่ทราบว่า ขอโทษนะจ้ะ ขอโทษ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้คิดจะลบหลู่ หรือว่าพาดพิง ให้เคืองใจ ถึงผู้ใหญ่ว่าคุณพ่อ คุณแม่ได้มีพิธี แต่งงานไหม ถ้ามีควรจะถามท่านว่า ดีหรือไม่ดี อย่างไร เราคิดว่าถ้าคนเรารักกัน และทำอะไรถูกทำนองตามวิถีไทย ขอย้ำว่าไทย น่าภูมิใจมากแค่ไหน ผู้หญิงเขาจะเทิดทูลคุณแค่ไหน ผู้ชายจะรักและซื่อสัตย์ ต่อคุณขนาดใด มันเป็นความภาคภูมิใจจริงๆ ที่ได้ประกาศให้คนรู้ว่า นี่คนนี้ฉันเป็นเจ้าของนะ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แบบไปสวิงกิ้งมา อะไรทำนองนั้น จากคุณ : ยังอยากเก็บไว้ให้ลูกหลาน - [ 2 ก.พ. 48 00:21:48 A:84.65.185.158 X: TicketID:075339 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ถึงคุณความคิดเห็นที่ 73 ของเราไม่ตรงซักข้อ พ่อเเม่เราไม่เรียกสินสอด เเต่ฝ่ายชายให้สินสอดเราเกิน 10 ล้าน พ่อเเม่ไม่เอาสักบาท ยกให้เรากับสามี พ่อเเม่ขอเเค่ขนมไทย 2 ถาดที่มากับขบวนขันหมาก เอาไว้เเจกญาติๆ ในงานมีเงินมาโชว์ 1 เเสนบาท ที่เหลือเป็นสมุดบัญชีกับพันธบัตรรัฐบาล เเล้วก็ไม่ได้มีใครมาขอเปิดดู เเล้วทองหมั้นก็เป็นเเหวน กำไล ต่างหู สร้อยเล็กๆ พอให้มีทองเป็นพิธี หลังวันหมั้นพ่อเเม่เราโอนเงินเข้าบัญชีให้เราอีก 10 ล้าน อย่าเหมาว่าคนที่เห็นด้วยกับพิธีเป็นคนที่ขายลูกสาวกินสิคะ ค่าจัดงานหมั้นพ่อเเม่เราก็จ่าย งานหมั้นก็เป็นโต๊ะจีน 20 โต๊ะ เสร็จงานเรายังไม่เห็นว่าพ่อเเม่เรากำไรตรงไหน เพราะค่าสินสอดที่ฝ่ายชายให้ ยังไม่เท่าเงินที่เราใช้ไปตอนที่อยู่กับพ่อเเม่ด้วยซ้ำ จากคุณ : อยากให้เข้าใจ - [ 2 ก.พ. 48 07:04:00 A:24.99.199.202 X: TicketID:040456 ]

ความคิดเห็นที่ 76 พวกผู้หญิงที่เถียงๆ มาเนี่ย คิดเหรอว่าสินสอดที่ว่าเนี่ย มันไม่ตรงกับ 1 ในสามข้อที่ผมกล่าวมา ส่วนใหญ่ลูกก็จะมีปัญหากับพ่อแม่ ก่อนแต่งงาน ก็ไอ้เรื่องสินสอดนี่แหละ ยังไงก็ต้องมีสินสอด ไม่งั้นเสียหน้า คนไทยนี่หน้าใหญ่กันมาก ยากจนแค่ไหนก็ต้องมีหน้ามีตา นี่แหละสังคมไทย ยุคเงินคือพระเจ้า คุณคงต้องยอมรับนะ จากคุณ : คห 69 - [ 2 ก.พ. 48 08:23:23 A:61.90.34.163 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คห. 56 ผิดนะคะ  ไม่ทราบว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน ประเทศมุสลิมก็มีสินสอดเหมือนกันค่ะ  ฝ่ายชายต้องจัดให้กับฝ่ายหญิงโดยมีอิหม่ามเป็นผู้จดบันทึก และเป็นพยาน จากคุณ : OumAM - [ 2 ก.พ. 48 11:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 78 แม่เราบอกว่า ถ้า ฝ่ายชายให้มาเท่าไหร่ แม่เราก็จะให้บวกเข้าไปเท่านั้น แล้วทั้งหมดยกให้ เราสองคนไปตั้งตัว แม่ไม่เอาตังส์ ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายดูถูกหรือมีปัญหาทีหลัง แฟร์ๆ กันไปเลย มาเท่าไหร่ไปเท่ากัน จบ. จากคุณ : Fresh Girl - [ 2 ก.พ. 48 14:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 79 อิอิอชิงอิชั้นคุณแม่ท่านยกให้สามีฟรีๆๆเลยค่ะ ฝ่ายสามีก็ถามว่าทำไมยกให้ฟรีๆๆ กลับได้จากปากของท่านว่า  "ก็แม่ไม่เคยเรียก แม่ไม่รู้จำเรียกเท่าไหร่ ยกให้เลยละกันดูแลให้ดีๆๆนะ " แต่ฝ่ายสามีก็ให้เองนะค่ะหลายเหมือนกันแต่สุดท้ายท่านก็คืนมาอยู่ดี จากคุณ : แม่หมาทั้ง4 - [ 2 ก.พ. 48 19:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณ คห 36 (tiny) เป็นคนลำปางเหมือนเฮาเลย    บ้านอยู่ตรงไหนอ่ะคะ จากคุณ : คนไกล@UK (tweety_jay) - [ 2 ก.พ. 48 23:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ฝากให้อ่านสำหรับท่านที่ไม่เข้าใจความเป็นมาของการแต่งงานแบบไทยนะคะ วัฒนธรรมไทยเนี่ยน่าภูใจกว่าชาติไหนๆค่ะ ที่สำคัญ จะโทษวัฒนธรรมก็คงจะไม่ถูกหรอก ต้องโทษที่คน ที่ครอบครัวที่เอาวัฒนธรรมดีๆมาใช้หาประโยชน์เข้าตัวนะคะ ถึงเราจะเป็นไทยแค่ครึ่งเดียว เรายังรู้สึกภูมิใจวัฒนธรรมไทยได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเราได้ประโยชน์จากการแต่งงาน เพราะได้สินสอดหรอกนะคะ แต่ทั้งเรื่องรักนวล สงวนตัว และวิถีคิดที่เพศชายจะคอยดูแลปกป้องเพศหญิง เราชอบมากเมื่อได้เรียนรู้ว่า สาเหตุที่ผู้ชายต้องนอนด้านขวาของเตียงเพราะมือขวาต้องพร้อมที่จะหยิบดาบเพื่อปกป้องครอบครัวเมื่อมีภัยค่ะ... จาก weddingsquare.com ค่ะ การแต่งงานคืออะไร หลายๆคนคงจะสงสัยว่าการแต่งงานจะแต่งเพื่ออะไร ไม่แต่งงาน ต่อยู่ร่วมกันเฉยๆไม่ได้หรืออย่างไร จริงๆแล้วในสภาพสังคมปัจจุบันนั้นก็คงมีหลายๆคู่ที่กระทำเช่นนั้น แต่การแต่ง ความหมายมากกว่าการอยู่ร่วมกันเฉยๆอย่างลึกซึ้งทีเดียว การแต่งงานเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตครอบครัวของมนุษย์ที่อยู่รวม กันเป็นสังคม ผู้ที่สามารถแต่งงานกันได้ก็คือ ชาย และหญิง ที่ได้เข้าพิธีแต่งงานเป็นปกติตามจารีตประเพณีที่มีอยู่ในสังคม นั้นๆ การแต่งงานคือการประกาศว่าคนทั้ง 2 คนจะยินยอมอยู่ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยา และถ้าเกิดให้กำเนิดบุตร ทั้ง 2 คนก็จะมีหน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรของตนเองด้วย ไม่สามารถปฎิเสธความรับผิดชอบที่แต่ละคู่จะมีต้องบุตรและการดูแลบุตรให้เป็นคนดีของสังคมต่อไปภายภาคหน้าด้วย การแต่งงานจึงมีความสำคัญต่อบุคคลต่างๆในสังคมด้วยเหตุนี้นั่น อง ความหมายของคำว่า “แต่งงาน” เราลองมาแยกพิจารณาความหายของคำว่า แต่งงานดูเราจะได้ความหมายดังนี้ คำว่า แต่ง หมายถึง จักให้งาม ทำให้ดี   ส่วนคำว่า งาน หมายถึง การที่ต้องทำ ดังนั้นเมื่อรวมเป็นคำว่าแต่งงาน ก็จะหมายถึง การที่ต้องทำเพื่อจัดให้งาม หรือทำให้ดี พิธีแต่งงานโดยทั่วไปจึงเน้นจารีตประเพณีที่ดีงามของสังคม และกระทำแต่สิ่งที่ดีและเป็นมงคลสำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิตครอบ ครัวร่วมกันนั่นเอง ในอดีตพิธีแต่งงานจะเรียกอยู่ 2 อย่างคือ “วิวาหมงคล” หมายถึง การทำพิธีแต่งงานแล้วเจ้าสาวไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวและ “อาวาหมงคล” เมื่อทำพิธีแล้วเจ้าบ่าวไปอยู่บ้านเจ้าสาว แล้วแต่กรณี จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นมาใช้คำว่า งามมงคลสมรส ในปัจจุบัน วิวัฒนาการของการแต่งงาน การแต่งงานก็มีวิวัฒนาการเช่นเดียวกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในสังคม และพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพวีถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม ณ ขณะนั้น วิวัฒนาการของการแต่งงานจึงสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะได้ดังนี้ 1.       การแต่งงานโดนการฉุดคร่า หรือการลักพาตัว โดยไม่คำนึงว่าฝ่ายหญิง หรือญาติจะพอใจหรือไม่ (อาจจะยังเห็นอยู่บ้างในบางสังคมที่ยังห่างไกลความเจริญมากๆ) 2.       จากการฉุดคร่ากลายเป็นธรรมเนียมการเรียกร้องเอาเงินทอง แรงงาน หรือของใช้อย่างอื่น เช่น ฝ่าชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ต้องมีเรือนหอ เมื่อหมั้นกันแล้ว ฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง จนกว่าจะถึงการกำหนดวันแต่งงาน หรืออาจจะต้องอยู่นานกว่านี้แล้วแต่ข้อตกลง เป็นต้น 3.    การแต่งงานด้วยความรักอันบริสุทธิ์ เป็นการแต่งงานที่ฝ่ายชายและหญิงเกิดความรักซึ่งกันและกันจนสมัครใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน การแต่งงาน พิธีแต่งงานจะเริ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายชายจัดผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นตัวแทนไปเจรจาสู่ขอฝ่ายหญิง ทางผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงตกลงปลงใจยอมยกให้ และฝ่ายชายยอมรับจัดทำตามข้อเรียกร้องของฝ่ายหญิง ในอดีต การแต่งงานจะเป็นลักษณะที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ที่คอยสอดส่องดูแลจัดหาให้ โดยฝ่ายชายก็จะกระทำดูหรือสอบถาม สาวบ้านไหนที่มีกริยามารายามเรียบร้อยเป็นแม่บ้านแม่เรือน เป็นคนขยันขันแข็ง ไม่มีชื่อเสีย หน้าตาหมดจด ฯลฯ หรืออะไรที่ดีเหมาะสมตามแต่ในยุคสมัยหรือท้องถิ่นนั้นๆ ถ้าเกิดมีการทาบทามโดยการใช้เพื่อสื่อหรือแม่สื่อ ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงก็จะสอบถามดูเช่นกันว่าฝ่ายชายเป็นลูกเต้าเหล่า ใคร เป็นคนเรียบร้อนขยันทำมาหากินหรือเปล่า เคยบวชเรียนแล้วหรือยัง และสอบถามเรื่องอื่นๆพอสมควร แต่ถ้ายังไม่แน่ใจก็จะขอผัดเวลาตรึกตรอง หรือขอวันเดือนปีของฝ่ายชายเพื่อนำไปผูกดวงเสียก่อน เพื่อที่จะได้มีเวลาดูความประพฤติของฝ่ายชาย ถ้าไม่มีปัญหาอะไรขั้นตอนแรกของการแต่งงานก็เริ่มขึ้น การส่งเฒ่าแก่ทาบทาม(การสู่ขอ) ฝ่ายชายจะหาเฒ่าแก่โดยจะขอให้ ผู้ที่มีหน้าตา หรือเป็นผู้ใหญ่สูงอายุ มีคนนับหน้าถือตา ซึ่งจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ ซึ่งการส่งเฒ่าแก่ทาบทามในครั้งนี้จะเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น และสามารถเตรียมฤกษ์ยามไปได้เลยก็ได้ จากนั้นเจรจาตกลงเรื่องขันหมากหมั้นและวันหมั้นไปสู้ขอตามธรรมเนียม ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสู่ขอ แต่ก่อนที่จะส่งเฒ่าแก่ทาบทาม ควรที่จะแจ้งให้ฝ่ายหญิงทราบด้วยเพื่อที่จะได้เตรียมการรับรอง ได้อย่างเหมาะสม การหมั้นหมาย เมื่อถึงวันฤกษ์ดีตามที่ได้ตกลงกันแล้ว ทางฝ่ายชายก็จะจัดเตรียมขันหมากหมั้น โดยจะมีส่วนประกอบดังนี้ คือ หมากดิบทั้งลูก 8 ผล พลู 4 เรียง บรรจุลงในขัน 1 ใบ อีก 1 ขันจะบรรจุทองหมั้นหรือเงินหมั้นของหมั้นและก็นิยมบรรจุสิ่งของ อื่นๆลงในขันทองหมั้นด้วยเช่นให้ใส่ถุงเล็กๆบรรจุถั่วเขียว ข้าวเปลือก ข้าวตอก งาดำ อย่างละถุง และเอาใบเงิน ใบทอง และใบนากรองก้นขัน เป็นต้น และอาจจะเพิ่มดอกรักที่เด็ดเอาทั้งช่อที่เป็นยอดเพื่อเอาความหมายว่า “ ยอดรัก ” ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้อาจจะมีแป้งหมักเพื่อเอาความหมายให้ฟูเฟื่องด้วย ส่วนทองรูปพรรณก็มักจะนิยมใช้กระดาษแดงห่อแล้ววางบนใบเงินใบทอง อีกครั้งนึง (สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม) เครื่องขันหมากนอกจะเป็นพวกขนมและผลไม้ใส่ถาม ซึ่งจะมีจำนวนมากหรือน้อย ตามแต่ที่ตกลงกันโดยมากจะเป็นจำนวนคู่มากกว่าจำนวนคี่ (ของในขันหมากหมั้นนี้อาจจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดได้แล้วแต่ประเพณีของแต่ละท้องถิ่น) บางรายอาจจะเรียกน้ำตาลทรายเป็นของหมั้นด้วย(น้ำตาลหมั้นนี้เมือฝ่ายหญิงได้รับมักไปแบ่งแจกจ่ายแก่ผู้รู้จักมักคุ้น เพื่อประกาศให้ทราบว่าได้มีการหมั้นเกิดขึ้นแล้ว และน้ำตาลที่เหลือก็จะเก็บไว้ทำขนมในวันงาน) พิธีหมั้น เมื่อได้เวลาฤกษ์ เฒ่าแก่(มักจะเป็นคู่สามีภรรยา หรือคนเดียวก็ได้)เป็นผู้นำไปมอบให้เฒ่าแก่ฝ่ายหญิง เมื่อเดินทางถึงบ้านฝ่ายหญิง จะมีเด็กหญิงถือพานหมากเล็ก(ภายในพานจะมีหมากพลูที่เจียนและจีบ แล้ว)ออกมารอรับและยื่นพานหมากแก่เฒ่าแก่ฝ่ายชาย เฒ่าแก่ฝ่ายชายเมื่อรับพานหมากแล้วจะส่งเงินเป็นของขวัญให้กับเค้กที่ถือพานหมากต้อนรับ พร้อมทั้งคืนพานหมากให้ไปด้วย แล้วเดินตามเด็กเข้าไปยังสถานที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ โดยจะมีเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงคอยต้อนรับอยู่แล้วเช่นกัน เมื่อจัดวางขันหมากและบริวารในที่ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว ก็จะเริ่มเข้าสู่การเจรจา โดยการเจรจาจะกระทำดังต่อไปนี้ ท่านที่เป็นเฒ่าแก่หมั้น ควรกล่าวแต่คำมงคล เมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาว นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็พูดกับเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงว่า “ ข้าพเจ้ามาในการมงคล ด้วยวันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี ข้าพเจ้าจึงได้นำของหมั้น มาขอหมั้น(ออกชื่อ....)ซึ่งเป็นบุตรตรีของ(ออกชื่อบิดามารดา)ให้ ้กับ(ออกผู้ชาย)ซึ่งเป็นบุตร(ออกชื่อบิดามารดาฝ่ายชาย)ขอท่านจงได้รับของหมั้นนี้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความสุขความเจริญของบุคคลทั้งสองสิ้นกาลนาน ” เมื่อกล่าวจบแล้ว จึงมอบของหมั้นให้เฒ่าแก่ฝ่ายหญิงรับไป  ขณะกล่าวก็จะเปิดผ้าคลุมขันหมากออก มอบให้เฒ่าแก่ฝ่ายหญิงรับเอาไป เมื่อตรวจนับแล้วก็จะส่งของเลื่อนเข้าไปในห้องที่มีคนคอยรับอยู่ข้างใน(ซึ่งจะเตรียมถ่ายของเพื่อคืนภาชนะเปล่าออกมา และมีของแถมพกสำหรับคนยกซึ่งฝ่ายเจ้าสาวจะต้องเตรียมให้กับทุกคน ตามจำนวนและฐานะของผู้มา สำหรับเฒ่าแก่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ของแถมสมนาคุณเช่นเดียวกัน แต่จะดีกว่าของคนอื่นในกระบวนขันหมาก) ระหว่างนี้ก็จะเป็นการเจรจาสนทนาทั่วๆไป จากนั้นก็เฒ่าแก่ฝ่ายชายก็จะพูดอีกเล็กน้อยว่า “ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้เห็นคุณสมบัติฝ่ายชาย เป็นผู้มีความเจริญด้วยชาติสกุล และเป็นผู้ที่มีอายุพอสมควร ซึ่งสมควรจะปกป้องรักษาภรรยาให้ถึงความรุ่งเรืองทั้งส่วนตัวและ ความเจริญแห่งสกุลทั้งสองได้ อีกทั้งเป็นผู้บริบูรณ์ในความรู้วิชาอันเป็นที่หวังในความเจริญ ซึ่งลาภยศสรรเสริญได้โดยสมบูรณ์ เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบคุณสมบัติแห่งฝ่ายชายดังนี้ ข้าพเจ้าจึงปีติยินดีเป็นอันมาก(ควรที่จะพูดเรื่องความเจริญตาม ความเป็นจริงหรือที่เฒ่าแก่ทราบจริงๆ)ในที่สุดก็อำนวยพรให้แก่คนทั้งสองถึงพร้อมด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ประกอบด้วยลาภยศบริวารจงทุกประการ ” ครั้งเมื่อสมควรแก่เวลากลับ ก็จะพูดดังนี้ “การมงคลของทั้งสอง ได้สำเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ข้าพเจ้าขอลาสวัสดี” *** บทพูดดังกล่าวนี้อาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามความสะดวก *** ในพิธีหมั้นนี้ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมอาหารเลี้ยงฝ่ายชายด้วย หรือจะไม่เลี้ยงก็ได้ ความหมายของพิธีนั้นนี้มีความสำคัญพอสมควรเพราะว่า พิธีหมั้นนั้นเหมือนกับว่าเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความแน่นอนไม่ กลับคำ ถ้าฝ่ายชายผิดสัญญา ฝ่ายชายจะเรียกขันหมากหมั้นคืนไม่ได้ เพราะฝ่ายหญิงเป็นหม้ายขันหมาก ถือว่าเป็นฝ่ายเสียหาย แต่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จะต้องคืนขันหมากแก้ฝ่ายชายจนครบเป็นการชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน พิธีหมั้นจึงเป็นเครื่องหมายแสดงความตั้งใจจริงที่จะใช้ชีวิตคู ่ร่วมกันนั่นเอง แต่ในปัจจุบันนิยมกระทำการหมั้นและแต่งภายในวันเดียวกัน เพราะความสะดวกนั่นเอง จากคุณ : CoPsGiRL - [ 3 ก.พ. 48 01:41:29 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ***เกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับฤกษ์แต่งงาน*** ส่วนมากคนส่วนใหญ่มักจะเลือกเดือนคู่ในการแต่งงาน แต่ในอดีตจะมีการยกเว้นอีกเดือน 1 ที่ไม่กระทำการแต่งงานกันก็คือเดือน 12 เพราะเป็นฤดูที่สุนัขติดสัด แต่ในปัจจุบันไม่ได้มีการถือแบบนี้อีกแล้ว เดือนที่มักจะใช้ในงานแต่งงานก็คือเดือน 6 9 12 2 และ 4 แต่เดือน 8 เป็นช่วงเข้าพรรษาบางท้องถิ่นจะไม่แต่งในเดือนนี้จึงเลื่อนเป็น เดือน 9 แทน ของเลื่อนเตือนขันหมาก ของเลื่อนเตือนขันหมากคือ การนำเครื่องคาวหวานเอาไปถึงบ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะจัดคนมาเชื้อเชิญตามธรรมเนียม และผู้นำของเลื่อนจะกล่าวทักทายปราศรัยถึงแต่สิ่งมงคลพอเป็นพิธีแล้วรับของเลื่อนไปถ่ายแล้วคืนภาชนะ พร้อมทั้งจัดของชำร่วยให้แก่ผู้นำและผู้ยก ผู้นำของเลื่อนบอกกำหนดเวลาที่กะให้ขันหมากไปแล้วลากลับ การที่ฝ่ายเจ้าสาวไปเตือนฝ่ายเจ้าบ่าวอีกครั้งก่อนวันงานเพื่อเป็นการเตือนและนัดเวลากัน และให้เลื่อนขบวนขันหมากไปได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้จะกระทำในสมัยก่อน เพราะบางครั้งบ้านเจ้าบ่าวและเจ้าสาวห่างไกลกันค่อนข้างมาก ทำให้การนัดเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็นจะได้ไปไม่ผิดเวลา ในปัจจุบันนี้ไม่มีการทำขั้นตอนดังกล่าวแล้วเนื่องจากการใช้เครื่องมือสื่อสารสะดวกและรวดเร็วกว่านั่นเอง การจัดเตรียมขันหมากเอก ขันหมากโท ขันหมากเอก ประกอบไปด้วย 1. ขันหมากที่บรรจุหมากพลู และถือกันว่าขันสำหรับใส่หมากและพลูจะต้องเป้นขันที่มีขนาดใหญ่ กว่าขันอื่น 2. ขันสินสอด* 3. ขันเงินทุน* *ขันสินสอดและขันเงินทุนอาจจะเป็นขันเดียวกันก็ได้ ซึ่งในแต่ละขันจะบรรจุถั่ว งา ข้าวเปลือก และอื่น (เหมือนกับขันหมากหมั้น) หรือจะบรรจุแต่เงินทุนและสินสอดเพียงอย่างเดียวก็ได้เช่นกัน 4. เตียบ บรรจุอาหารคาวประกอบไปด้วย เหล้า 1 ขวด ไก่ย่างหรือไก่ต้ม 1 ตัว ขนมจีนน้ำยาและห่อหมกปลา และอาหารหวานมีมะพร้าวอ่อน , ส้ม, กล้วย, ขนมชะมด ขนมกง จำนวน 1 คู่ (ถ้ามี) 5. พานผ้าไหว้ 3 สำรับ สำรับที่ 1 เป็นผ้าขาวสำหรับนุ่ง 1 ผื่น และสำหรับห่ม 1 ผืน เป็นผ้าสำหรับการไหว้ผีอีก 2 สำรับที่เหลือคือ ผ้าไหว้สำหรับพ่อแม่ ฝ่ายหญิง จะเป็นผ้านุ่งห่ม หรือจะอะไรก็ได้ตามความเหมาะสม คนที่ยกขันหมากเอก จะใช้เด็กรุ่นสาว และต้องเป็นเด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ได้แต่งงานกันอย่าถูกต้องธรรมเนียมประเพณี แต่งตัวสวยงาม แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ให้หญิงที่แต่งงานแล้วถือก็ได้เช่นกัน แต่ห้ามหญิงหม้าย และแม่ร้าง ยกขันหมากเอก ขันหมากโท ประกอบด้วย ขนมพื้นเมือง ขนมจันอับ และผลไม้ต่างๆใส่ภาชนะ มีธงกระดาษแดงปักกลางทุกภาชนะ โดยขันหมากโทจะจัดของเป็นคู่เช่นกัน จะมีจำนวนทั้งหมดกี่เท่าไหร่ก็ได้ ตามแต่จะตกลงกัน เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวนขันหมาก ก็จะมีการยิงปืนเพื่อให้สัญญาณ หรือจะใช้การโห่ฮิ้วรับ 3 ลา ก็ได้เช่นกัน หรือจะไปแบบเงียบๆก็ได้เช่นกัน เมื่อขบวนถึงบ้านเจ้าสาวก็จะโห่ฮิ้ว 3 ลาอีกเช่นกัน เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าขบวนขันหมากได้มาถึงแล้ว  ฝ่ายเจ้าสาวจะจัดหาเด็ก 1 คน โดยมากจะเป็นเด็กหญิงแต่งตัวสวยงามเป็นผู้นำขันหรือพานขนาดเล็ก ที่บรรจุหมาก 4 ผล พลูจีบ 1 ซอง (พานหมากเชิญ)ออกมาต้อนรับ เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวรับขันหรือพานหมากเชิญแล้ว จะให้ของแถมพกแก่เด็กและพร้อมคืนขันหรือพานหมากด้วย จากนั้นเด็กจะเดินนำหน้าพาเฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวขึ้นบนเรือนพร้อม ทั้งขบวนขันหมาก โดยจะมีการจัดขบวนดังนี้คือ เฒ่าแก่เดินนำหน้า ถัดมาเป็นคนยกขันหมากแต่งขันสินสอด ขันเงินทุน(ถ้ามี) ผ้าไหว้ และเตียบ(ถ้ามี) โดยลำดับ จากนั้นต่อด้วยขันหมากโทต่อท้ายขบวน ระหว่างขบวนขันหมากไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวแล้ว ก็จะมีปิดประตูขันหมาก หรือการกั้นประตู โดยมากจะมี 3 ประตู เฒ่าแก่ของฝ่ายเจ้าบ่าวจะถามชื่อประตูแต่ละประตู ซึ่งถ้าผู้กันประตูตอบชื่อประตูไม่ถูกก็จะไม่ได้ของแถมพก ชื่อประตูแต่ละประตูจะมี ประตูชัย , ประตูเงิน , ประตูทอง  หรือ ประตูเงิน , ประตูทอง ,ประตูแก้ว หรือ ประตูเงิน , ประตูทอง , ประตูนาก ตามแต่ละท้องถิ่นจะเรียก ในบางแห่งนั้นเมื่อถึงประตูสุดท้าย ผู้ที่กั้นประตูจะถามกลับว่า ท่านมาจากแห่งใด เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องตอบให้ถูกด้วยเช่นกันว่ามาจากที่ใด เช่น ข้าพเจ้าเดินมาทางตะพานทิพตะพานแสงตะพานเงิน และตะพานทอง จากนั้นผู้ที่ปิดประตูก็จะเปิดสายสร้อยที่กั้นออก ให้เฒ่าแก่ และพวกขันหมากเข้าไปข้างในได้ สำหรับในปัจจุบัน การปิดประตูขันหมาก หรือการกั้นประตูกระทำเพื่อความสนุกสนาน ทำให้มีเกิน 3 ประตูไป และบทกล่าวดังกล่าวก็ไม่ค่อยนิยมในการกล่าวแล้ว การเปิดเตียบ(ในกรณีถ้ามี) เมื่อขันหมากมาพร้อมกันแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวจะเลือกหาหญิงชายที่เป็นสามีภรรยามาเป็นคนเปิดเตียบ เฒ่าแก่ฝ่ายหญิงต้องมานั่งชิดขอบเตียบ ให้คนฝ่ายเจ้าบ่าวยกเตียบ อุ้มเตียบส่งให้แก่หญิงฝ่ายเจ้าสาวที่จะมาเปิดเตียบ เมื่อรับมาแล้วก็จะวางเตียบลงแล้วแก้ผ้าที่ห่อหุ้มเตียบ และเปิดฝาออกวางไว้ จากนั้นเอาแป้งหอม น้ำมันหอมและกระแจะประพรมสิ่งของในเตียบจากนั้นจะส่งเตียบให้สา มีของตน จากนั้นจะอุ้มเดินเข้าไปในห้องเรือนบิดามารดเจ้าสาวจากนั้นฝ่าย หยิงจะอุ้มเดินตาม และจะนำผ้าขาวกว้าง 4 ศอก ยาว 4 ศอก ปูลงกลางเรือน แล้วยกเตียบทั้งหมดพร้อมผ้าไหว้สำรับขาวรวมลงในเตียบ วางลงตรงกลางผ้าขาว จุดธูปเทียนคู่ ดอกไม้สด 2 ช่อ กระทำการสักการะเทวดาและผีเรือนผีปู่ย่าตายาย กล่าวบทชุมนุมเทวดาเพื่อขอให้มาปกป้องรักษาบ้านเรือบิดามารดาเจ้าสาว เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวจูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปข้างในเรือน ส่วนเฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าสาวก็จูงมือเจ้าสาวเข้าไปในเรือน นั่งลงพร้อมกันเฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวจับมือขวาเจ้าบ่าวทับมือซ้าย เจ้าสาวให้ประสานกัน และยกขึ้นถึงศีรษะเจ้าบ่าวก่อนแล้วถึงศีรษะเจ้าสาว แล้วให้ก้มศีรษะลง หัวแขนเข่าจดพื้นอย่างเบญจางค์ ประดิษฐ์ เพื่อทำการไหว้ผี จากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงมาไหว้บิดามารดาฝ่ายเจ้าสาว จากนั้นเฒ่าแก่จะเอาอาหารในเตียบพร้อมทั้งผ้าไหว้ชุดขาวออกเซ่น ผีปู่ย่าตายาย และผีเหย้าผีเรือนเป็นการคำนับนบนอบ ส่วนผ้าไหว้บิดามารดาให้เจ้าสาวเก็บไว้ก่อน เอาไว้ไหว้เมื่อเข้ามาอยู่เรือนหอแล้ว พิธีไหว้ผี ต้องจัดพิธีที่เสาดั้งก้นเรือน (ในปัจจุบันสามารถไหว้ที่กลางแจ้งได้) เอายอดตอง 3 ยอด ปูที่โลงเสาดั้ง เอาเครื่องเซ่นกอลงในใบตอง เตรียมธูปเทียนติดกับเสาดั้ง และเรียดตั้วเจ้าสาวเจ้าบ่าวออกมาจากนั้นจุดธูป 2 ดอก ให้เจ้าสาว 1 ดอก และเจ้าบ่าว 1 ดอก เอาไปแกว่นวนๆที่ขนมด้วยทั้ง 2 คน และกล่าวคำว่าดังนี้ “สูๆผีทั้งหลายเอ่ย ข้าพเจ้าจะขอเชิญมาประชุมในเวลานี้ ผีปู ผีย่า ผีตา ผียาย ผีพ่อ ผีแม่ทั้งหลาย ผีพี่ ผีน้อง ผีเกี่ยงดองพวกพ้องทั้งหลาย เชิญมาให้ทันเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าผู้เป็นลูกหลาน ได้จัดเครื่อง กระยาบวช ฝูงผีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เชิญมาให้สังเวย จะขอศีลขอพรให้แก่ข้าพเจ้าผู้เป็นลูกหลานนี้เถิด” หลังจากการไหว้ผีก็คือพิธีผูกขวัญแก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว โดยพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะผู้ให้เจ้าบ่าว และพ่อแม่ฝ่ายชายจะผูกให้เจ้าสาว สามารถผูกทั้งมือเดียวหรือ 2 มือก็ได้ จะผูกเส้นเดียว 3 เส้น หรือ 5 เส้นก็ได้เช่นกัน *** ปริศนาธรรมในการผูกขวัญ การผูก 3 เส้น หมายถึง พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ / การผูก 5 เส้น หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ *** กองทุน (ในกรณีถ้ามี) เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าสาวจะยกขันทุนของเจ้าสาว ออกมาตรวจนับพร้อมกับเงินทุนของเจ้าบ่าว ในกองทุนของแต่ละฝ่ายจะมีการใส่เศษเงินมาด้วยทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อเป็นการเสี่ยงทาย ถ้าครบถ้วนไม่เหลือเศษ จะถือกันว่าเป็นสวัสดิมงคล เมื่อตรวจนับเสร็จแล้วก็จะนำทุนวางในผ้าขาว นำกระแจะ แป้งหอมน้ำมันหอมมาเจิม และประพรม และนำถั่วทองงาเม็ดและข้าวเปลือก มาคลุกเคล้าระคนเข้ากับเงินทุน เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะคลุกเวียนขวาไปหาซ้าย เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าสาวจะคลุกเวียนซ้ายไปหาขวา เพื่อเป็นการถือว่าเงินทุนนั้น เมื่อนำไปค้าขายแจกแลกเปลี่ยน จะได้มีกำไรงอกงามเหมือนธัญชาติที่นำไปเคล้ากัน แล้วห่อเงินทุนทั้ง 2 ฝ่ายรวมกัน มีการกล่าวคำอันไพเราะเป็นมงคลต่างๆด้วย และส่งเงินทุนให้บิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวเก็บรักษาไว้และมอบให้เจ้ าบ่าวเจ้าสาวเป็นทุนในโอกาสต่อไป ส่วนเงินสินสอดก็จะกระทำในลักษณะเดียวกัน หลังจากเสร็จพิธีนี้ก็จะเป็นงานเลี้ยงใหญ่ และมีการแจกของแถมพกให้กับเฒ่าแก่ทั้ง 2 ฝ่าย และผู้ที่มาร่วมในขบวนขันหมาก *** ภาชนะที่บรรจุขันหมากเมื่อมีการถ่ายของแล้วห้ามนำวางซ้อนกัน เพราะมีความหมายว่าหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ดังนั้นจึงต้องมีการแบ่งของในขันหมากกลับคืนไปในภาชนะให้ฝ่ายเจ ้าบ่าวนำกลับไปแจกจ่ายญาติ หรือสำหรับเลี้ยงผู้ที่มาช่วยงาน *** พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ ในสถานที่จัดพิธีในปัจจุบัน จะมีการตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระพุทธรูป เมื่อได้ฤกษ์ คู่สมรสจุดธูปเทียนบูชาและกราบที่หน้าแท่น เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะไปนั่งบนตั่งเคียงตู่กัน เจ้าบ่าวจะนั่งทางด้านขวามือของเจ้าสาว มีเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนอยู่ด้านหลังจะมีกี่คนก็ได้ แต่ว่าจะต้องเป็นจำนวนคู่ และควรที่จะหันหน้าไปในทิศที่เป็นมงคลแก่คู่บ่าวสาวด้วย แต่ถ้าไม่สะดวกให้หันหน้าไปในทิศตะวันออก และให้เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเป็นผู้สวมมงคลให้เจ้าบ่า ว อาจจะมีการท่องคาถามงกุฎพระเจ้าหรือมงคลพระเจ้าขณะสวมด้วยก็ได้ อิติปิโส วิเสเสอิ              อิเสเส พุทฺธ นาเมอิ อิเมนา พุทะ ตํ โสอิ      อิโส ตํ พุทฺธ ปิติอิ เมื่อสวมมงคลและหลั่งน้ำพระพุทธมนต์เสร็จแล้วจึงค่อยเจิม(การหล ั่งน้ำพระพุทธมนต์มีความหมายถึง การชำระร่างกายให้บริสุทธิ์เป็นมงคล ชำระแล้วก็เจิม ซึ่งเก่ากับการแต่งตัว) แต่บางครั้งก็จะเจิมก่อนการหลั่งพระพุทธมนต์ก็ได้ ตามแต่ความคุ้นเคยของแต่ละครอบครัว การเจิมนั้น จะใช้นิ้วหัวแม่มือ (ถือว่าเป็นนิ้วที่สกปรกน้อยที่สุด) / นิ้วนาง (เป็นแบบมุทราของเทวรูป พระวิษณุ) / นิ้วชี้ (เป็นนิ้วที่สวมแหวนพิรอดที่ถือว่าเป็นแหวนพระอุมา ป้องกันสิ่งที่ไม่เป็นมงคล) แต่ยกเว้นนิ้วกลางห้ามใช้ การเจิมนั้นจะเจิมแต้มเดียวก็ได้ หรือจะเจิม 3 แต้ม เรียงเป็นแถวตามนอน หรือเรียงเป็นรูปหน้าจั่วก็ได้ สังข์ เป็นภาชนะใส่น้ำมนต์รดคู่บ่าวสาวถือว่าเป็นมงคล เพราะว่ามีตำนานกล่าวว่า พระนารายณ์อวตารไปปราบสังหารสังสูร แล้วทรงล้วงเอาพระเวทออกมาจากสังข์ ด้วยเหตุนี้ที่ปากสังข์จึงมีรอยพระหัตถ์ของพระนารายณ์เป็นองค์พยานอยู่ จึงถือว่าได้สังข์เป็นสิ่งมงคลเพราะรองรับพระเวท  อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า สังข์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็น 1 ใน 14 สิ่ง ที่เทวดาและอสูรกวนเกษียรสมุทรได้ขึ้นมา ซึ่งได้ตกเป็นของพระนารายณ์ และพระกฤษร์ใช้สำหรับเป่าบันลือเสียงบังเกิดชัยชนะแก่ศัตรู เมื่อเริ่มลงมือรดน้ำ ผู้ที่ทำหน้าที่ยื่นน้ำมนต์ในสังข์ไปให้แขกจะใช้ใครก็ได้ ไม่กำหนด แต่ควรที่จะเลือกเป็นผู้ใหญ่หน่อย ไม่ควรจะเด็กมากนัก การรดน้ำบางคนก็จะเจ้าบ่าวก่อน บางคนจะรดเจ้าสาวก่อนได้ทั้งนั้น สามารถรดได้ที่มือ บนศีรษะ น้ำที่รดจะไหลลงไปในขันที่มีดอกไม้อยู่เต็มเพื่อกันน้ำไม่ให้กระเด็นออกไป ขณะที่รดน้ำก็จะมีการให้พร หรือรดเฉยๆก็ได้เช่นกัน เมื่อแขกรดน้ำออกมาก็จะได้รับของชำร่วย มักจะนิยมแจกพวงมาลัย หรือไม่ก็ช่อบุหงา การปลดมงคลออกจากศีรษะของคู่บ่าวสาว นั้นจะปลดออกมาเฉยๆพร้อมๆกันแล้วไปวางในพานที่เตรียมไว้ แล้วรวบมือคู่บ่าวสาวให้ลุกขึ้นพร้อมๆกัน (ในบางท้องถิ่นจะถือว่าถ้าหลังจากปลดมงคลแล้วถ้าใครลุกขึ้นก่อน จะเป็นใหญ่กว่าอีกฝ่ายหนึ่ง)  หรือจะปลดมงคลออกจากศีรษะแล้วเด็ดสายสิญจน์ที่ต่อมงคลแผดให้ขาด ออกจากกัน แล้วมอบมงคลแฝดข้างละวงให้แก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพันข้อมือเอาไว ้ (ในอดีตจะเอาด้ายที่พันข้อมือไปยัดไว้ในที่นอนซึ่งทำค้างไว้ไม่ เย็บตลอด และให้ช่วยกันเย็บที่นอนปิดช่องที่เหลือ) จากนั้นก็รวบมือคู่บ่าวสาวและให้ลุกพร้อมๆกัน เป็นอันเสร็จพิธี" แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 48 01:44:06 จากคุณ : CoPsGiRL - [ 3 ก.พ. 48 01:42:50 ]

ความคิดเห็นที่ 83 "สินสอดเป็นของที่คู่กับการแต่งงานตามประเพณีไทย แต่น้อยคนนักจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง สินสอดจึงกลายเป็นเรื่องบาดใจใครต่อใครมานักต่อนักแล้ว เพราะการแต่งงานในสังคมไทย มิใช่เป็นเรื่องของคนสองคนอย่างแท้จริง เกือบจะร้อยทั้งร้อยจะต้องมีครอบครัวทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็ขั้นตอนของการสู่ขอซึ่งยังไม่เคยเห็นบ่าวสาวคู่ไหนทำกันสองคน และแน่นอนว่ายิ่งมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก โอกาสที่จะเกิดความเข้าใจผิดระหว่างกันย่อมจะมี ถ้าคุณกำลังจะแต่งงาน คงจะเคยคิดถึงเรื่องสินสอดบ้างแล้ว และหากยังไม่เคยให้ความสนใจ ก็น่าจะถามตัวเองและคนที่คุณจะแต่งงานด้วยว่าคุณทั้งสองคนเข้าใ จคำนี้มากแค่ไหน และเข้าใจตรงกันหรือเปล่า           สินสอดมีไว้เพื่ออะไร ถ้าลองถามคนรอบข้างดู แล้วจะพบว่าแต่ละคนคงจะมีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็บอกว่า "เป็นค่าน้ำนม ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา" บ้างก็บอกว่า "เป็นการให้เกียรติกันและกัน" จนกระทั่ง "ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเขาทำกันมาทุกคู่ก็ทำตามเขาเป็นธรรมเนียม"     คุณหลวงวิจิตรวาทการ ปราชญ์ของแผ่นดินผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "วิชาการครองรักครองเรือน" เอาไว้ว่า ของหมั้นและสินสอดเป็นของที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเรียกจากฝ่ายชาย โดยของหมั้นนั้นนิยมเรียกเป็นของมีค่า เช่น ทองรูปพรรณ แหวน เป็นต้น เพื่อไม่ให้ฝ่ายชายทอดทิ้งไม่แต่งงาน เนื่องจากสังคมไทยเรา การเป็นม่ายขันหมาก ถือว่าเป็นเรื่องสาหัสสำหรับลูกผู้หญิง หากมีเหตุให้ไม่ได้แต่งงานกันเพราะฝ่ายชาย ของหมั้นก็จะตกเป็นของฝ่ายหญิง และตามธรรมเนียมไทยแท้ๆ พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเรียกสินสอดเป็นพิธีเท่านั้น เรียกกันว่าเป็น "ค่าน้ำนม" โดยคุณหลวงวิจิตรฯท่านเล่าว่า สินสอดนี้จะเรียกไม่เกิน 40 บาท หากเรียกเกินกว่านี้ถือว่าเป็นการ "ขายลูกสาว" ไม่ว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะมั่งมีขนาดไหนก็จะไม่ทำกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนก็คงจะลืมเลือนไป หรือไม่ก็จะสับสนกับคำว่า "เงินกองทุน"       เงินกองทุน เป็นเครื่องแสดงถึงฐานะของพ่อแม่ ถ้าฐานะดี จะเรียกกันสูงๆ แต่ข้อสำคัญเงินกองทุนนี้  ต้องให้เท่ากันทั้งสองฝ่ายและจะมีการแกะห่อออกมา นับกันในวันแต่งงานเพื่อให้ผู้ที่มาร่วมพิธีเป็นพยาน   จำนวนเงินกองทุนนี้ มิได้แสดงถึงหน้าตาอย่างเดียว ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นว่าเป็นการแสดงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกสาว และเป็นหลักประกันว่า ผู้ที่มาเป็นเขยนั้น สามารถเลี้ยงดูลูกสาวได้ไม่ด้อยไปกว่าที่พ่อแม่เลี้ยงดูมา และเงินนี้จะถูกยกให้กับคู่บ่าวสาวไปตั้งตัว       ธรรมเนียมสินสอดดูจะไปได้ดีในวิถีชีวิตรุ่นปู่-ย่า ตา-ยาย เพราะชายหญิงที่คบหากันมักจะมีพื้นเพและฐานะใกล้เคียงกัน เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาทาบทามสู่ขอและได้รับคำตอบว่าให้จัดสินสอ ดมา " ตามความเหมาะสม " จึงมักจะเป็นที่เข้าใจว่าต้องเป็นเท่าไหร่ แต่สมัยนี้โอกาสที่จะเข้าใจไม่ตรงกันนั้นมีมาก เช่น กรณีชายหนุ่มผู้มั่งมีรายหนึ่ง ซึ่งคบหากับสาวคนรักอย่างราบรื่น จนกระทั่งถึงวันที่มารดาของฝ่ายหญิงเรียกสินสอดเป็นจำนวนเงิน " แปดหลัก " เป็นเหตุให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายถึงกับเอ่ยปากว่า "ถ้าจะแต่ง ก็ให้จัดการเอง " กรณีเช่นนี้แสดงว่า สองฝ่ายต่างมีความพอดีที่แตกต่างกัน และในบางครั้งเจ้าสาวก็กังวล กลัวว่าฝ่ายเจ้าบ่าวจะจัดหาสินสอดที่ดูไม่เหมาะสมกับฐานะของตนเ อง แล้วจะขายหน้าแขกในวันงาน แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกตรงๆ เกรงจะถูกมอง " ไม่ดี "         สินสอด จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องอึดอัด การมี " คนนอก " อาจจะเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งในวงศาคณาญาติที่คุณไว้ใจ เข้ามาคอยช่วยเป็นสื่อกลางเจรจาให้นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก่อนอื่น คุณสองคนควรที่จะรู้ฐานะการเงินของกันและกัน ความต้องการของตัวคุณเองและความพร้อมของอีกฝ่ายหนึ่ง และที่สำคัญคุณต้องรู้ความคาดหมายของพ่อแม่ของคุณด้วย     ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะทำให้รู้แน่ ก็คือ การคุยกับท่านอย่างเปิดอก หากท่านบอกว่า"ต้องการให้เข้าตามตรอกออกตามประตูก็พอแล้ว " คุณก็ต้องถามต่ออีกว่า การเข้าตามตรอกออกตามประตูนี้ หมายถึง ไม่ต้องมีอะไรเลย หรือว่าควรจะมีแหวนหมั้นสักวง และเงินสักจำนวนหนึ่ง เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็อย่าลังเลที่จะบอกกับคนรักของคุณ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวและบอกกับพ่อแม่อีกต่อหนึ่ง อย่ามัวแต่อายหรือเกรงใจกัน เพราะถ้าปล่อยให้เขารู้ทีหลัง อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะอภิรมย์นัก โดยเฉพาะในยามโกธรที่ต่างฝ่ายต่างก็ขุดคุ้ยเรื่องที่ไม่ดีของอี กฝ่ายขึ้นมาโจมตีกัน         เรื่องสินสอดนี้ควรจะจบลงเมื่อมีการเปิดขันหมากในพิธีสู่ขอ จะมากหรือน้อย สมควรหรือไม่สมควร ก็อย่าได้ปล่อยให้เรื่องนี้ติดตามเข้ามาในชีวิตแต่งงานของคุณ เพราะในสังคมไทย เมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็จะได้รับครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งพ่วงมาด้วย จงอย่าลืมว่า ครอบครัวของใคร ใครก็รัก อย่าให้เกิดความรู้สึกหรือคำพูดทำนองที่ว่า " พ่อแม่เธอดูถูกฉัน " หรือ " บ้านเธองก " เพราะจะเป็นบ่อเกิดแห่งความร้าวฉานที่ใหญ่โตได้           หากคุณยังไม่เคยถามคนสำคัญของคุณว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสินสอด คุณควรเริ่มถามเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะได้ไม่ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณ จากคุณ : CoPsGiRL - [ 3 ก.พ. 48 01:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ถ้าจะเอาเป็นเงินตั้งตัว พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ต้องออกด้วยเด่ะ  ออกเท่าๆกันด้วย จากคุณ : A girl (shory) - [ 3 ก.พ. 48 21:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อย่าคิดว่ามันเป็นการซื้อขาย...แต่มันคือประเพณี....มันเป็นการตกลงกันก่อนหน้าที่จะแต่งงานแล้ว...ส่วนใหญ่จะเรียกตามฐานะ......ถ้าฝ่ายชายไม่มี...ก็บอกฝ่ายหญิงตรงๆ ว่ามีกำลังที่จะให้ได้เท่าไร ก็เท่านั้น....บางครั้งเจ้าสาวช่วยเจ้าบ่าวออกค่าสินสอดด้วยก็มี..เพราะสุดท้ายแล้ว พ่อ-แม่ มักจะคืนให้ทั้งคู่มาเริ่มต้นชีวิตด้วย (อาจจะเก็บไว้บ้าง แต่มักจะไม่ทั้งหมด) สมัยนี้ ถ้าคน 2 รักกันแล้ว ใครจะมาจับคุณแยกกันได้ พ่อ-แม่ ไม่ได้มีอิทธิพลมากมาย ที่จะมาจับลูกคลุมถุงชน...ก็แค่ไม่เห็นด้วยเท่านั้นแหละ..... จุดประสงค์ในสมัยโบราญ พ่อ-แม่ ฝ่ายหญิง อาจจะต้องการให้ฝ่ายชายแสดงให้เห็นว่า ก่อนจะแต่งงาน ควรจะมีสัมมาอาชีพ..มีความตั้งใจ....หาเงินหาทองมาเลี้ยงดูครอบครัวได้...ไม่ใช่ได้ลูกเคยประเภทไม่เป็นโล้เป็นพาย...ไม่รู้จักทำมาหากิน...เพราะมันคือปัจจัยเริ่มต้นในการสร้างครอบครัว จากคุณ : ประเพณี - [ 3 ก.พ. 48 22:15:02 A:202.59.255.20 X: TicketID:027216 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอเล่านิดนึงนะคะ พ่อแม่เราเป็นข้าราชการครูทั้งคู่ เคยถามแม่เล่น ๆ ว่าถ้ามีคนมาขอเราแม่จะเรียกเท่าไหร่ แม่บอกว่าก็คงอย่างละสิบ (เงินสิบหมื่น ทองสิบบาท) เหมือนตอนที่แม่แต่ง เราก็ถามว่าตอนนั้นพ่อมีเงินด้วยเหรอ เพราะในความรู้สึกเรามันก็เยอะนะ แม่บอกว่าตอนนั้นพ่อไม่มีเงิน พ่อกับแม่ไปช่วยกันรับจ้างทำไร่มันสำปะหลัง (ไร่มันร้อนมากนะคะ ไม่มีร่มเงาเลย) แม่เป็นคนกรุงเทพ ไม่เคยลำบากขนาดนั้น แต่ด้วยความรัก และอยากทำถูกต้องตามประเพณีก็ยอมลำบาก ไม่ได้เอาเปรียบให้ฝ่ายชายหาฝ่ายเดียว เราว่าแบบนี้ก็ดีนะคะ เราเองก็เก็บเงินกับแฟนอยู่เหมือนกันค่ะ ไม่ได้จะขายตัวเอง เพราะเงินสินสิดทองหมั้นครึ่งนึงเป็นเงินเรา จากคุณ : patri - [ 3 ก.พ. 48 22:23:27 A:61.90.4.50 X: TicketID:087380 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ป.ล. ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเห็นด้วยกับเรื่องสินสอดเสมอไปนะ เราคนนึงนี่แหละ ที่ค้านสุดตัว!!!! จากคุณ : shory - [ 4 ก.พ. 48 01:14:16 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ผู้ชายที่หวังจะได้ผู้หญิงไปอยู่ด้วยง่ายๆ ไม่ต้องมีความพยายามอะไรเลย  ไม่นานมันก็เบื่อแล้วมันก็ไปมีน้อยง่ายๆ เหมือนกันล่ะนะ คุณ คห.หกเก้า ถามจริงๆเคยเห็นผุ้ชายกลางคนที่เมียเริ่มเหี่ยวแล้วไปมีน้อยไหม เคยเห็นพวก ผุ้ชายเฮี้ยๆที่ทำร้ายเมียมั้ย ก่อนแต่งเป็นอย่าง หลังแต่งเป็นอีกอย่างน่ะ  เห็นกันอยู่เต็มเมือง   ถ้าญาติพี่น้องจะแต่งงานจะให้แม่เก็บสินสอดเอาไว้ ไม่ต้องคืน ถ้ามีหย่าเมื่อไหร่ จะได้เอาออกมาใช้ได้ เมืองไทย กฎหมายค่าเลี้ยงดูหลังหย่าไม่มีผล อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันได้ว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญฺงจะไม่ลำบาก เรื่องผู้หญิงตีค่าตัวเองเป็นเงินน่ะ..ถามจริงๆว่า หลังแต่งงานมีผู้ชายกี่คนที่ช่วยเมียทำงานบ้านเลี้ยงลูก  ยิ่งถ้าผู้หญิงต้องออกจากงานมาเป็นแม่บ้านแล้ว เงินเดือนที่เค้าควรจะได้หายไปเท่าไหร่ เพื่อมาดูแลบ้าน ดูแลสามี ดูแลลูก คิดเป็นค่าแรงเท่าไหร่... แน่สิคุณบอกว่าเพื่อความรัก สามีภรรยาต้องช่วยกัน....แต่ พอเมียแก่ เมียเหี่ยวแล้วไปมีเมียน้อย ไอ้ที่ผู้หญฺงเคยทำให้มาก่อน มันก็หายไปหมดล่ะ เดี๋ยวนี้ผู้ชายคิดแค่ ถ้ารักผม คุณต้องทำได้ทุกอย่าง ทำงานด้วย กลับบ้านมาต้องดูแลปรนนิบัติผม มีลูกมาต้องเลี้ยงลูก เอาเงินมาช่วยกันในบ้าน  ผมมีหน้าที่แค่ทำงาน เอาเงินเดือนมาช่วยกันนิดหน่อย ถึงเมลาผมต้องได้ไปกินเหล้ากะเพื่อน เที่ยวอ่างบ้างบางครั้ง ถ้าคุณ ไม่มีอารมณ์บนเตียงเพราะเหนื่อย นั่นเป็นหน้าที่ของคุณนะ เมื่อคุณบกพร่องในหน้าที่ ผมมีสิทธิ์ไปมีกิ๊กได้เสมอ ไม่ใช่ความผิดของผม พอผู้ชายอายุ เข้ารุ่นสามสิบปลายๆ ถามดูเถอะ ไม่เพื่อน พี่ น้อง  มีประสพการณ์กันทั้งนั้น สังคมไทยเป็นซะอย่างนี้ เลิกคิดถึงความรักชั่วนิรันดร์ได้แล้ว สาวๆ จากคุณ : เกือกซ่าสีชมพู - [ 4 ก.พ. 48 05:46:11 ]

ความคิดเห็นที่ 89 มาเพี้ยนๆ อีกแล้วคุณ ถ้าจะคิดว่าเป็นเงินที่พ่อแม่เลี้ยงฝ่ายหญิงมา แล้วฝ่ายชายพ่อแม่เขาปล่อยให้หากินเองหรือไงครับ แล้วฝ่ายชายแต่งไป (ถ้าคุณว่าฝ่ายหญิงต้องอยู่บ้านแบบนั้นนะ) แล้วฝ่ายชายก็ยังต้องหาเงินเลี่ยงไปตลอดชีวิตอีก ที่อ้างเรื่องความไม่ได้เรื่องของผู้ชาย นั่นมันเท่าไหร่ของทั้งประเทศครับ คุณช่วยบอกหน่อย แล้วผู้หญิงทุกคนทำหน้าที่"ภรรยา"อย่างที่คุณว่ามาทั้งหมดหรือครับ คิดถึงผู้ชายด้วยครับ จากคุณ : g9h - [ 4 ก.พ. 48 11:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขอออกความเห็นหน่อยครับ รู้สึกว่าความคิดเห็นส่วนมากไม่ได้ให้คําตอบที่จขกท. ถามเท่าไหร่ ที่ญี่ปุ่นนี่ก็มีครับเป็นเงินเหมือนกันจำนวนประมาณ 3 เท่าของเงินเดือน เรียกว่าสินสมรสเหมือนกันจ่ายให้กับบิดามารดาของฝ่ายหญิงและจะเหมือนเป็นการให้ไปเลย แต่จะไม่เป็นการเปิดเผยต่อสาธารณะูชนและคนส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจอยากที่จะรู้เท่าไหร่ เมืองไทยเป็นอย่างนี้ก็ดีนะครับสามเท่าของเงินเดือนฝ่ายชายจะได้ไม่ลำบากใจเท่าไหร่กับสินสมรสนี่ อิ อิ จากคุณ : WONDERFUL_DAY - [ 4 ก.พ. 48 11:46:46 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เออ...........แปลก มาเถียงกันในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี เก่าๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่ ปัจจุบันนี้อ่ะนะตอนเรียนอยู่ ใช้วัฒนธรรมฝรั่ง อยู่กับผู้ชายตั้งแต่มัธยม จนจบมหาลัย พอจะแต่งงาน เอาวัฒนะธรรมไทยมาใช้ เรียกสินสอด ผู้ชายใหนให้ไปก็..........โง่...........เต็มที ถ้าเราแต่งไป จ่ายไป สามีคนแรกของเธอ คงหัวเราะเยาะ ว่าได้ของมือสองไปเชยชม ในราคาสูงลิบ ถ้าเวอร์จิ้น แบ็คกราวด์ดี อบอุ่น การศึกษาดี มีความเป็นกุลสตรี มีเสน่ห์ปลายจวัก รูปสวย รวยทรัพย์ พ่อตาใจดี แม่ยายใจดี เรียกเท่าไหร่ ผมก็สู้ราคา แต่ไอ้ประเภท สายเดี่ยว เที่ยวกลางคืน มั่ว...แล้วมาเรียกสินสอดเนี่ย........ไปไกลๆเลย จากคุณ : socialfobia - [ 4 ก.พ. 48 12:31:25 ]

ความคิดเห็นที่ 92 คนรู้จักบางคน ต้องยืมเงินมาโชว์ เสร็จงานก็คืน แต่ความจริงให้เท่าไหร่ไม่รู้ จากคุณ : วี - [ 4 ก.พ. 48 15:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอเถียงคุณ WONDERFUL_DAY นิดนึงครับ ผมอยู่ญี่ปุ่นมานาน ที่ญี่ปุ่นไม่มีสินสอดครับ เคยมีนานมาแล้ว แต่ได้ล้มเลิกไป เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นการขายลูกสาว บ้านไหนรับเงิน จะเหมือนขายลูกกิน ตอนนี้ก็เลยล้มเลิกวัฒนธรรมนี้ไป แต่วัฒนธรรมนี้ก็ยังมีบ้างครับตามชนบท ในแถบที่ยังไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ จากคุณ : . - [ 4 ก.พ. 48 16:19:33 A:61.90.34.31 X: TicketID:070742 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เห็นด้วยกับ คห. ที่ 23 อย่างแรง และก็เห็นด้วยกับ คห. 4 ที่ว่า " We embarrass to show money when we get married that seem like a sell daughter.... on the other hand we don't embarrass to make parents feel shame that we live with a guy without married but call 'love' อันนี้ก็เห็นด้วย  คห.ที่  60 " หลายคนบอกเห็นใจสาวในคคห 17 ที่หนุ่มออสซี่หายหัวไป ผมกลับเห็นว่าไม่น่าเสียใจอะไรมาก เพราะถ้าฝรั่งหายหัวไปง่ายๆอย่างนั้นจริงก็แสดงว่าไม่ได้รักมากจริง ถ้ารักจริงก็ควรจะคุยกับแฟนและหาทางต่อรองได้ คงเป็นฝรั่งค่อนข้างกระจอก แบบถ้าได้ง่ายๆก็เอา ยากไปก็ give up and run away " ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนนะ ถ้าคนไหนสามีฝรั่งหรือไทยก็แล้วแต่  เข้าใจและยอมรับในประเพณีและได้แต่งงาน ก็คงเห็นด้วยและอยากให้ดำรงต่อไป แต่ถ้าคนไหนมีปัญหาเรื่องสินสอด จะไม่ได้แต่งงานกับฝรั่งก็เพราะไอ้เรื่องสินสอดนี่ ก็คงไม่เห็นด้วยอย่างแรง แถมพาลเกลียดประเพณีไทยเอาซะด้วย. จากคุณ : Bryan - [ 4 ก.พ. 48 17:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เงินเดือนผม18,000 หักค่าใช้จ่ายนู้นนี่เหลือ8,000 ถ้าฝ่ายเจ้าสาวเรียกล้านนึง สงสัยเมื่อไรจะได้เเต่ง (ฮา) จากคุณ : ดีที่ยังไม่มีเเฟน (Jamba_juice) - [ 5 ก.พ. 48 17:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 96 จำไม่ได้แล้วว่าอ่านจากที่ไหน รุ้สึกว่า40เปอร์เซ็ตน์ของคนญี่ปุ่นยังมีสินสอดนะคะ ประมาณ5แสนถึงหนึ่งล้านเยน อีก30เปอร์เซ็ตน์ไม่มีการเรียกสินสอดแต่ให้เป็นของขวัญ ประเภทนาฬิกาทำนองนี้ คือมีก็ไม่แปลกไม่มีก็ไม่แปลก ไอ้เรื่องรับแล้วจะถุกมองว่าขายลุกกินคงไม่น่ามีหรือมีก้น้อยมากค่ะ จากคุณ : แม่ไคตี๋ตัวแสบ (nagaya_m) - [ 5 ก.พ. 48 19:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 97 เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 93 ญี่ปุ่นไม่มีสินสอดแล้วจ้า ล้มเลิกไปนานแล้ว ประเทศที่มีก็คงพวกประเทศแถบลาว กัมพูชา มั๊ง ที่มีวัฒนธรรมคล้ายๆกัน เดาเอา จากคุณ : littleteddy - [ 5 ก.พ. 48 22:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ยืนยันว่าญี่ปุ่นยังมีสินสอดจ้า ไม่ได้ล้มเลิกไปนานแล้วแต่อย่างได เพียงแต่ในจำนวนคนแต่งงานทั้งหมดมี29เปอร์เซ็ตน์ที่ไม่จ่ายเงินจำนวนนี้เท่านั้นเอง (แต่เค้าจะให้เป็นของขวัญราคาแพงแทนจำนวนเงิน) ส่วนอีก71เปอร์เซ็นต์นั้นตามกราฟนี้เลยค่ะ ข้อมูลจากเวบนี้ค่ะ http://www2.ainetgrp.co.jp/ainet/ainet_kekkonstory_03.htm คุณสามารถหาข้อมูลได้ตามเวบไซด์แต่งงานทั่วไป ซึ่งมักจะบอกว่าเฉลี่ยแล้วประมาณ5แสนถึง1ล้านเยนตามกำลังทรัพย์ค่ะ จากคุณ : nagaya_m - [ 6 ก.พ. 48 07:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ที่รู้มาประเทศตุรกีก็มี เพราะเคยคุยกับเพื่อนบ้านเค้าเป็นครอบครัวตุรกี แต่งงานลูกสาว มีสินสอด แถมมีการกั้นประตูเงินประตูทองด้วย ครั้งนั้นพี่ชายเค้าเรียกเอาสร้อยคอทองเส้นโตจากเจ้าบ่าว เพื่อจะเข้าไปหาเจ้าสาวน้องเค้านะ คิดว่าประเทศในแถบเอเซียน่าจะมีประเพณีคล้าย ๆ กันนะ จากคุณ : Bryan - [ 7 ก.พ. 48 14:22:33 ]