ความคิดเห็นที่ 1 ตัวเราเรียนจบบัญชีจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย เกรดที่จบมาก็เป็นเกรดนิยมที่นิยมกันทั่วไปค่ะ ครั้งแรกเราตั้งใจว่าจะมาเรียนต่อทันทีหลังจากรับปริญญานั่นคือจะเริ่มเรียน fall quater (sept) แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังไม่ได้เตรียมพร้อมเรื่องสอบก็ทำให้ต้องเลื่อนออกไปจนกว่าจะได้มาเรียนจริงๆก็สองปีหลังจากเรียนจบแน่ะ อันดับแรกสำหรับผู้ที่จะมาเรียนต่อที่ USA นั่นคือเราต้องสอบ TOEFLและ GMAT ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวเราคิดว่าควรจะสอบให้ได้จากที่เมืองไทยพราะจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินค่าเรียนภาษาทั้งค่ากินค่าอยู่อีก เราตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้เลยว่าเราจะสอบ TOEFLและ GMATให้ได้จากที่เมืองไทยรวมทั้งทำการสมัครสอบให้เรียบร้อยรอจนกระทั่ง U ตอบรับเราถึงจะไป ก็อลงคิดดูนะคะว่าเสียค่าเรียนที่เมืองไทยคอร์สนึงไม่เกินสองหมื่นแต่ที่นี่คอร์สนึงก็เป็นแสนเลย แถมมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก ทุกอย่างเป็นเงินหมด สงสารพ่อแม่ค่ะเค้าพิมพ์เงินเองไม่ได้ แล้วอีกอย่างมันก็จะมีกรณีตัวอย่างของนักเรียนไทยหลายคนที่คิดว่าจะเรียนภาษาต้องทาเรียนเมืองนอกจะทำให้ได้ภาษาเร็ว เราว่าก็ถูกส่วนนึงค่ะแต่ไม่ใช่ทั้งหมด อย่าลืมว่าที่เราเรียนนี่เราเรียนเพื่อสอบ ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าคนไทยติวข้อสอบเก่งขนาดไหน เรามาที่นี่ได้คุยกับนักเรียนไทยที่เค้ามาแบบไม่มีอะไรเลยกะว่าจะมาเรียนภาษาที่นี่แล้วค่อยสอบเอา ในความรู้สึกของเราเราว่าแบบนั้นเนี่ยเราอยู่แบบไม่มีจุดหมาย เคว้งไปเรื่อย คือไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้า U สอบแล้วจะผ่านมั้ย ถ้าไม่ผ่านก็ต้องสอบใหม่ ลงเรียนใหม่ เสียค่าเรียนไปเรื่อยๆ โห เงินทั้งนั้น แล้วมันทำให้เรายิ่งเครียดด้วยค่ะ บางคนอยู่เป็นปีแล้วยังสอบไม่ได้สักที นี่ก็ทำให้เห็นว่าเรียนเมืองไทยหรือเมืองนอกไม่ใช่ตัวแปรที่จะบอกว่าเราจะสอบได้หรือไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักเรียนไทยที่นี่ชอบทำงานเสิร์ฟตามร้านอาหาร บางคนพอทำแล้วได้เงินมาก็คูณกลับเป็นเงินไทย มันก็เยอะสิคะทีนี่ สมมุติว่าทำวันนึงได้ $50 เป็นเงินไทยก็สองพันบาท ก็เกิดอาการที่เราเรียกเองว่า "ดอลล่าห์เข้าตา" ไม่รงไม่เรียนมันแล้ว ไหนๆก็สอบไม่ได้สักที ทำงานเอาเงินดีกว่า แล้วอีกปัญหานึงคือเรื่องวีซ่า บางคนบอกว่าได้วีซ่า 5 ปีแล้วอยู่ได้ยาว 5 ปีเลยไม่ต้องทำอะไร อันนี้ไม่จริงค่ะ วีซ่านักเรียนจะขาดทันทีเมื่อเราหยุดเรียน นั่นคือ U หรือสถาบันสอนภาษาเค้าจะส่งชื่อเราไปให้ทาง immigration ที่นี่นั่นก็มีผลให้เราวีซ่าขาดและกลายเป็นโรบินฮูดทันที แต่สำหรับคนที่สอบผ่านทุกอย่างแล้วจากเมืองไทยแล้วจะมีลงเรียนภาษาสัก 3 เดือนก่อน U เปิด อันนี้ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันค่ะ เพราะเราจะได้มาปรับตัวด้วยแล้วสิ่งสำคัญที่จะได้คือพวก listening จะทำให้เราคุ้นเคยสำเนียงอเมริกันเร็วขึ้น เพราะอย่างของเราไม่ได้เรียนภาษาที่USAเลย มาถึงก็เปิดเรียนทันที quater แรกเราเรียน 4 ตัวเลย ต้องปรับตัวเยอะมาก แต่พอ quater ที่สองรู้ตัวเลยว่าเราฟังรู้เรื่องขึ้นมาก อีกอย่างที่ต้องทำก็คือเลือก U สำหรับเราก็จะใช้ ranking ของ USNEWS เวบไซด์ www.usnews.com ก็เป็น ranking ที่น่าเชื่อถือและใช้กันแพร่หลาย เค้าจะมีแยก ranking  ออกไปตาม major ด้วย อย่างเช่น MBA in Finance, MBA in Marketing ก็ว่ากันไป สำหรับ rank รวมก็จะมีประมาณ 1-90 ถ้าจำไม่ผิด เค้าจะบอกข้อมูลต่างๆแต่ที่น่าสนใจก็คือ average GMAT score นั่นจะทำให้เรารู้ว่าถ้าเราอยากเรียน U นั้นๆควรจะทำคะแนนให้ได้เท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าจะต้องเสียค่าสมัครประมาณ $14.95 จึงจะได้ดูข้อมูลครบทั้งหมด สำหรับเราคิดว่าก็ไม่ได้แพงจนเกินไปอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนนะคะ เมื่อเราเลือก U ได้แล้วก้เข้าไปเวบไซด์ของ  U นั้นๆเพื่อหาข้อมูลโดยละเอียดว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง โดยทั่วไปก็จะมีคะแนน TOEFL, GMAT, Admission fee, transcript, letter of recommendation, resume, statement of purpose บางที่อาจจะมี essays เพิ่มเติมให้เราเขียนอย่างที่เราโดนมาก็ให้ขียนเรื่อง business ethics นอกจากนี้ก็จะมี deadline ของใบสมัคร แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 48 03:24:21 จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 12:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตอนนี้ขอพูดเรื่องสอบก่อนและค่อยพูเรื่องการสมัครเรียนโดยละเอียดทีหลัง สำหรับ TOEFL โดยทั่วไปจะ require ที่  213(CBT) หรือ 550 (paper based) แต่เราคิดว่าน่าจะได้ที่ 230 หรือไม่ก็ 250 นั่นคือประมาณ 580-600 ไปเลย เพราะเดี๋ยวนี้ U บางแห่งก็กำหนดไว้ที่ 580 หรือ 600 คือถ้าเด้ไม่ถึงก็จะต้องลงเรียนภาษาซึ่งค่าเรียนก็แพงพอๆกับลงเรียนวิชาของปริญญาโทหนึ่งตัวเลย ดังนั้นสู้เสียเงินเรียนบ้านเราถูกกว่าเยอะค่ะ โดยส่วนตัวแล้วเราเรียนที่สถาบันสอนภาษาที่เค้าเรียนเป็น VDO น่ะค่ะ อันนี้ถ้าใครเรียนเป็น VDO ก็ต้องบังคับตัวเองหน่อยเพราะเรามีประสบการณ์มาแล้ว ตอนแรกเราลงเรียนคอร์ส 8 เดือน ตอนนั้นเราอยู่ปีสี่เทอมสุดท้ายแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาเรียนสักทีมัวแต่ขี้เกียจแต่พอเรียนจบเดือนมี.ค. เราก็ว่างแล้วก็เลยไปเรียนเราเรียนอยู่ประมาณ 3 เดือน เรียนทุกวันตอนนั้นเราลงเรียนคอร์สแกรมม่าด้วยอีกสองคอร์สเพราะว่าเราว่างมาก ไม่ได้ทำงาน เคยเรียนสุดๆวันละเกือบ 12 ชม.สำหรับ TOEFL นี่ 3 เดือนเราว่าเต็มที่นะถ้าตั้งใจเรียนจริงๆ แต่สุดท้ายพอเรียนเสร็จเราก็ดันไม่ได้ไปสอบเพราะเราเกิดเปลี่ยนแผนขอทำงานก่อนแล้วค่อยไปเรียน ซึ่งเราคิดว่าสำหรับคนที่จะไปเรียน MBA ควรจะมีประสบการณ์ทำงานด้วยนะคะเพราะ U เค้าก็พิจารณาจากตรงนี้เช่นกันรวมทั้งทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเวลาเรียนใน class เพราะอย่างเรานี่ทำงานมาสองปีแต่พอมาถึงที่นี่เรากลับเป็นคนที่เด็กที่สุดใน class ก็คิดดูเอาแล้วกันค่ะว่าถ้าเรียนจบปุ๊บมาต่อโทปั๊บนี่จะเป็นอย่างไร ต่อมาก็เป็น GMAT เราเริ่มเรียน GMAT ตอนที่ทำงานแล้วตอนนั้นก็ตั้งเป้าไว้แล้วล่ะว่าทำงานเกือบสองปีแล้วจะไปเรียนต่อแล้ว ก็เลยเริ่มเรียน GMAT ก็ไปเรียนที่เดิมอีกนั่นแหละค่ะ ทำงานเสร็จก็ไปเรียนต่อก็ไปเกือบทุกวันเหนื่อยดีเหมือนกัน ช่วงนั้นก็เริ่มเข้าไปดาวน์โหลดใบสมัคร เตรียมเอกสาร วางแผนการสอบว่าจะสอบอะไร ช่วงไหน จะส่งใบสมัครเมื่อไหร่ สำหรับ GMAT เราว่าไม่น่าต่ำกว่า 600 นะ แต่ถ้าได้ 550 ขึ้นไปก็น่าจะใช้ได้ถ้ามีประสบการณ์ทำงาน จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 12:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับการสมัครสอบตอนนั้นก็มีสองวิธีคือ ดาวน์โหลดไปสมัครจากอินเตอร์เนต www.ets.org แล้ว fax ไปที่มาเลเซียเพราะตอนนี้ศูนย์สอบอยู่ที่นั่นวิธีนี้ก็จะดีสำหรับคนที่ไม่อยากโทรทางไกลไปมาเลเซีย ในใบสมัครเค้าก็จะให้เราเลือกวันและเวลาสอบไว้สามวันแล้วเค้าจะ email มา confirm อีกทีว่าจะสอบวันไหน สำหรับการจ่ายเงินค่าสอบก็ต้องใส่เบอร์ credit card ไม่จำเป็นต้องเป็นของเราเองก็ได้ค่ะ ค่าสอบก็แพงเหมือนกันนะคะโดยเฉพาะ GMAT เนี่ยสอบทีเหงื่อตกเลย ดังนั้นก็ควรจะเตรียตัวให้พร้อมก่อนสอบ อีกวิธีก็คือโทรไปที่ศูนย์ที่มาเลเซีย ตอนนั้นที่เราโทรเค้ายังไม่มีoperatorคนไทย (1 ปีมาแล้ว) ตอนนี้ไม่รู้มีหรือยัง ก็ทำใจนะคะภาษาอังกฤษเค้าก็จะสำเนียงแขกๆนิดนึงฟังยากหน่อย ตอนนั้นเราเองก็งงๆค่ะ แต่สำหรับคนที่เคยสอบแล้วเค้าจะมีข้อมูลของคุณอยู่แล้วพวกวันเดือนปีเกิด เบอร์พาสปอร์ต ก็แค่ confirm ว่าถูกต้อง สำหรับคนที่สมัครครั้งแรกต้องเตรียมเบอร์พาสปอร์ตด้วยนะคะ ตอนนี้มีให้สมัครสอบออนไลน์แล้วค่ะสะดวกมากเลยเค่เข้าเวบไซด์แล้วเลือก register online ในการสอบแนนำว่าควรจะสอบ TOEFL ก่อนเพราะง่ายกว่าจากนั้นก็ค่อยสอบ GMAT สำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่าจะสอบครั้งเดียวผ่านหรือไม่ก็แนะนำว่าควรจะเผื่อเวลาสำหรับสอบรอบที่สองด้วย อย่าสอบใกล้ deadline เกินไปเพราะถ้าคะแนนออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจก็จะทำให้คุณเตรียมสอบรอบที่สองไม่ทัน อ้อ เมื่อสมัครสอบแล้วเค้าจะส่ง CD มาให้ก็จะเป็นตัวอย่างว่าเวลาเราไปสอบเนี่ยข้อสอบจะเป็นประมาณนี้แล้วเราก็ต้องสอบด้วยอคมพิวเตอร์ด้วยก็ฝึกไว้ให้คุ้นจะได้ไม่ต้องตกใจ แต่บางที่ CD ก็มาช้า มาไม่ทันเราสอบก็มีในกรณีที่เราสมัครสอบใกล้วันสอบมากๆ ในการสอบ TOEFL จะต่างจาก GMAT ตรงที่ว่า TOEFL จะให้ดูคะแนนก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าจะส่งคะแนนไปให้ U หรือไม่ถ้าส่งก้ถึงจะเลือก U แต่สำหรับ GMAT คุณจะต้องเลือกก่อนเลยว่าจะส่งคะแนนหรือไม่ ถ้าส่งก็ต้อง U ทันทีก่อนที่จะเริ่มทำข้อสอบ ในการส่งคะแนน TOEFL ส่งได้ 4U ส่วน GMAT ส่งได้ 5U นั่นคือถ้าเราเลือกตอนวันสอบเลยก็จะส่งฟรีแต่ถ้ามาเลือกทีหลังก็ต้องเสียค่าส่งคิดตามจำนวน U สำหรับคะแนนที่ออกมาของ TOEFL writing จะถูกเอาไปคำนวณรวมกับ part structure ดังนั้นคะแนน ณ วันสอบก็จะเป็น range ต่ำสุดคือ writing =0 สูงสุดคือได้ writingเต็ม 6 ส่วน GMAT คะแนนที่ออกมาคือสมบูรณ์แล้วสำหรับ part math และ verbal เพราะคะแนน writing จะแสดงแยกต่างหากอยู่แล้ว สำหรับผลคะแนนที่เป็น offcial ก็ประมาณ 4 weeks ถ้านานกว่านั้นแล้วไม่ได้รับก็สามารถ email หรือ โทรไปทวงได้ค่ะ เรื่องการสอบนะคะ หลายคนอาจจะคิดว่ายากทำไม่ได้แน่เหมือนกับที่เราเคยคิด แต่เราอยากจะบอกนะคะว่าถ้าเราตั้งใจทำแล้วเราต้องทำได้แน่นอนค่ะ แต่ที่ยอมรับว่ายากนั่นคือ verbal part ของGMAT เด็กไทยส่วนใหญ่จะทำไม่ค่อยได้เมื่อเปรียบเทียบกับ math part ที่เรียกได้ว่าง่ายสำหรับเรา ก็ถือว่าชดเชยกันไป แต่โดยรวมแล้วก็คือขอให้ตั้งใจ เตรียมตัวให้พร้อมค่ะ ตอนนั้นเราบอกตัวเองนะคะว่าต้องทำได้สิคนอื่นเป้นร้อยเป็นพันเค้าก็ทำได้มาแล้ว แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ สมองเราก็พอจะมีรอยหยักอยู่บ้างล่ะน่า จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 13:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนนี้เรามาพูดถึงการเลือก  u กันค่ะ หลังจากที่เคยเกริ่นมาตอนต้นแล้ว สำหรับตัวเราค่อนข้างทีข้อจำกัดว่าเราต้องมาอยู่เมืองนี้เท่านั้นเพราะเรามีบ้านอยู่ที่นี่นั่นคอเราไม่ต้องเสียค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ นี่ก็จะเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ดังนั้นเราก็เลือกได้แค่ U ที่อยู่ในเมืองนี้เท่านั้น สำหรับคนที่เลือกเมืองก่อนแล้วค่อยเลือก U ก็ลองเข้าไปดูที่เวบ usnews ได้ค่ะเพราะเค้าจะมี list ให้ว่าแต่ละเมืองมี U อะไรบ้าง ส่วนคนที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆก็แนะนำว่าให้เลือก U ที่ไม่เกินความสามารถตัวเอง อันนี้ก็ต้องเข้าเวบไซด์ของ U นั้นๆแล้วก็ต้องศึกษาข้อมูลว่าอย่างเราเนี่ยพอจะ qualify มั้ย เลือก U ที่สนใจมาสัก 5-10 U ก็ได้ค่ะ แล้วแนะนำว่าให้แวะเวียนเข้าเวบไซด์ของ U นั้นๆบ่อยๆค่ะ ของเราตอนนั้นเลืกมา 4U เข้าไปดูทุกวันเลยหลังจากเลิกงานกลับบ้าน เพราะเข้าตอนแรกก็จะงงๆไม่รู้อะไรอยู่ตรงไหน แต่พอเข้าไปเรื่อยๆก็จะชินและจะเก็บรายละเอียดต่างๆได้มากขึ้น นอกจากนี้ U เค้าก็จะ update ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับโปรแกรมและการสมัครเรียนต่างๆ เพราะเราเองเคยเจอมากับตัวแล้ว โดยเราเข้า usnews ไปดู daedline ของ Uนึง และเราเองก็เข้าเวบของ U นั้นด้วยจากนั้นเราก็ดาวน์โหลด brochure, bulletin และข้อมูลต่างๆมาเก็บไว้แต่ประมาณไม่มีเดือนที่เราไม่ได้แวะเข้าไปดู พอเข้าไปดูอีกทีเค้ากลับเปลี่ยน deadline ซะนี่ ซึ่งทาง usnews ก็ไม่ได้ update นั่นก็ทำให้เราไม่สามารถส่งใบสมัครได้ทันเพราะแผนสอบที่เราวางไว้มันไม่ทัน dealine แต่ก็โชคดีที่ไม่ใช่ U อันดับต้นๆที่อยากได้ นั่นก็ทำให้เราเหลือตัวเลือกแค่ 3U เท่านั้น ซึ่งเราว่าค่อนข้างน้อย ขอย้ำอีกทีนะคะเรื่องเลือก U ให้เลือกที่ตรงกับความสามรถแต่ก็อย่าประมาณความสามารถของตัวเองต่ำไปด้วยนะคะ เพราะต่อให้เลือกมา 10 U แต่เป็น U TOP TEN ทั้งหมดแล้วความสามารถเราไม่ถึง คะแนนเราไม่ได้ 10 U ก็จะไม่ได้ซัก U ค่ะ นอกจากนี้นะคะ ถ้าเรามีอะไรสงสัยเกี่ยวกับ u นั้น เรื่อง deadline เรื่องใบสมัคร เรื่องเอกสารต่างๆ เรื่องโปรแกรมที่เรียน เพื่อความแน่ใจเราควร email ไปคุยกับเค้าเลย เพราะ U เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ถูกต้องที่สุด อย่าสันนิษฐานเอาเอง หรือฟังคนโน้นคนนี้เพราะบางครั้งเค้าอาจจะมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมหรือ requirement ต่างๆ เมล์ไปถามเค้าเลยค่ะ ไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัว เค้ามีหน้าที่ตอบคำถามเราอยู่แล้ว เหมือนกรณีของเราพอโดนเรื่องที่เค้าเปลี่ยน daedline เข้าไปเนี่ย เราก็เลยต้องเมล์ไปคุยกับเค้าโดยตรงและตั้งแต่ตอนนั้นมาเราก็ทำแบบเดียวกับ U อื่นๆด้วยเพื่อความชัวร์ค่ะ จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 13:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอาอีก เอาอีก อิอิ จากคุณ : BlossomPPG - [ 2 เม.ย. 48 13:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อมาเราก็จะส่งใบสมัครกันค่ะ อย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่าให้ดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเวบไซด์ของ U นั้นๆ ขั้นตอนนี้ถ้าใครสมัครหลายที่ก็ยุ่งยากกันหน่อย จากนั้นเราก็กรอกใบสมัครให้เรียบร้อยจัดเตรียมเอกสารโดยทั่วไปก็มีดังนี้ - Application Form - Application Fee(draft) - จดหมายรับรองการทำงานออกให้โดยบริษัทที่เราทำงานอยู่ - Resume (คร่าวๆก็คือว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จบอะไรมา ทำงานอะไรมาบ้าง สมัยอยู่มหาลัยทำกิจกรรมอะไรบ้าง) - Statement of Purpose (บอกว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนโปรมนี้ ทำไมถึงเลือก U นี้ แผนการข้างหน้าหลังเรียนจบแล้วจะทำอะไร) ป.ล. สำหรับ resumeกับ SOP นี่ต้องเขียนแบบพยายาม present ตัวเองหน่อยนะคะ มีประสบการณ์อะไร ทำอะไรมา โดดเด่นตรงไหน ใส่ไปให้หมดค่ะ - Transcript - Letter of Recommendation (ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาจารย์ที่เคยสอนเรา หรือว่าเจ้านายเรา ถ้าเป็นอาจารย์นี่เวลาไปขอให้เค้าเขียนให้ต้องไปแต่เนิ่นๆนะคะ เพราะบางท่านเขียนเป็นเดือนกว่าจะได้ ส่วนคนที่มีประสบการณ์ทำงานก็ควรจะให้เจ้านายเขียนให้นะคะ อย่างของเรานี่ไปขอให้ GM เขียนให้เลย เพราะ U เค้าก็พิจารณาตรงนี้ด้วยนะคะ สำคัญนะอย่าทำเป็นเล่นไป) - Bank Statement หรือจดหมายรับรองฐานะทางการเงินจากธนาคารซึ่งออกให้กับคนที่จะมาเป็น sponser ให้เรา ตามกม.ของ USA แล้ว นักศึกษาต่างชาติต้องแสดงเอกสารนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเรามีเงินเพียงพอกับค่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่ U คำนวณให้ โดยต้องใช้บัญชีออมทรัพย์เท่านั้นนะคะ กระแสรายวันไม่ได้นะคะ โดยในจม.จะระบุยอดเงินเป็นดอลล่าห์ อันที่จริงเรายังไม่ต้องส่งไปตั้งแต่ต้นก็ได้ รอให้เค้าตอบรับก่อนแล้วค่อยส่งให้ก็ได้ค่ะ เพราะเค้าต้องจม.นี้ในการออก I-20 ให้เรา อันนี้ต้องเมล์ไปคุยกับ U นะคะว่าเค้าจะเอาเลยหรือเปล่า - others i.e.essays อย่างบอกไว้บาง u จะมีหัวข้อ essay อื่นๆมาให้เขียนเพิ่มเติมด้วย) สำหรับคะแนน TOEFL กับ GMAT ต้องให้ทาง ETS ส่งเท่านั้นค่ะ นั่นคือถ้าเราเลือกให้ส่งตั้งแต่ตอนสอบเราก้ไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้ว แต่ถ้าไม่ได้เลือกก็ต้องติดต่อ ETS ให้เค้าส่งให้ค่ะ ในการส่งเอกสารแนะนำว่าให้ส่งแบบลงทะเบียนนะคะ ที่เค้าให้บริการส่งก็คือ ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ ชั้นสอง ฝ่ายแนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ ที่นั่นเค้าใช้ DHL ส่งค่ะ ค่าส่งก็ 600 บาท ประมาณ 2-3 วันก็ถึงค่ะ track ได้ด้วยว่าของไปถึงไหน เมื่อไหร่ ใครรับ สำหรับของเราตอนนั้นเค้าส่งไปแค่ Application form, draft (app. fee), transcript ส่วน resume, sop, eassys เราอีเมล์ตามไปค่ะ อันนี้ก้ต้องเมล์ไปคุยกับเค้าก่อนนะคะว่าเค้ารับเป็น email หรือไม่ เมื่อ email ไปแล้วต้องบอกเค้าด้วยนะคะว่าให้ confirm กลับด้วยว่าด้รับแล้ว เพราะอันนี้เราก็โดนมากับตัวอีกแล้วค่ะ คือเค้าไม่ confirm เรากลับ เราก็เข้าใจว่าเค้าได้รับแล้ว ตอนนั้นคือเราก็ส่งเอกสารครบหมดแล้วรอผลอย่างเดียว ปรากฎว่าหนึ่งเดือนต่อมา เค้าเมล์มาบอกว่าเราขาด essay ไปอันนึงซึ่งก็คือตอนนั้นเรา attach ไปไม่ครบ ทำเอาเครียดเลยเพราะที่ส่งไปนั่นก็คือวันสุดท้ายของ deadline แล้วนี่ผ่านมาเดือนนึงแล้ว ทำให้เราสันนิษฐานว่านี่อาจะเป็นการพิจารณาใบสมัครรอบสุดท้ายแล้วเค้าถึงได้ทวงมา เกือบไปแล้วมั้ยล่ะเรา แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 48 12:22:12 แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 48 14:42:59 จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 14:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พูดถึงการพิจารณาใบสมัคร ต้องเช็คด้วยนะคะว่าเค้าพิจารณาแบบไหน ถ้าเป็นแบบ rolling basis ก็คือเค้าจะทยอยพิจารณาไปเรื่อยๆ ใครส่งก่อนเอกสารครบเค้าก็พิจารณาเป็นรอบๆไป พวกนี้เค้าจะมี committee อาจจะประชุมกัน week ละครั้งอะไรประมาณนี้ ถ้าเป็นอีกแบบนึงก็คือรอจนหมด deadline แล้วค่อยพิจารณาทีเดียวเลย นี่ก็แตกต่างกันไปแล้วแต่ U อย่างของเรามีที่นึง 2 อาทิตย์ก็รู้ผลแล้ว ส่งจม.มาที่บ้านแล้วค่อยส่ง I-20 ตามมา ทีแรกที่ได้จม.ก็งงๆค่ะ เพราะเราคิดว่าน่าจะประมาณเดือนนึงถึงจะรู้ผล เราก็เลยคิดไปว่าเค้าส่งจม.มาทวงเอกสารอะไรอีกละเนี่ย เราส่งครบแล้วนะ ตอนเปิดเลยไม่ตื่นเต้น แต่พออ่านไปอ่านมาก็อ้าว เค้ารับเราแล้วเหรอ ส่วนอีกที่ก็ประมาณ 3 อาทิตย์รู้ผล เค้าส่งจม.มาพร้อม I-20 เลย ส่วนที่สุดท้ายนี่ที่เราส่ง essay ไม่ครบ เค้าใช้เวลาพิจารณา 1 เดือนค่ะ ตอนนั้นเราก็โทรทางไกลไปถามเลยนะเพราะเป็ที่ที่อยากได้ที่สุดและดันมีปัญหามากที่สุดอีก เค้าก็บอกว่าเข้า committee อยู่ จากนั้นเค้า email กลับมาหาเราว่าของเราผ่านด่านเบื้องต้นไปแล้ว แต่จะขอสัมภาษณ์โดยเค้าให้เราเลือกเวลาแล้วเค้าจะโทรมาสัมภาษณ์ เราก็โอ้โหมีสัมภาษณ์ด้วย นั่นก็ทำให้เรารู้ว่าพวก U ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเค้าจะสัมภาษณ์ด้วย อย่างเรายังอยู่ที่เมืองไทยเค้าก็จะโทรมาสัมภาษณ์เรา นัดครั้งแรกเราให้เบอร์มือถือแต่พอเค้าโทรมากลับสัญญาณไม่ไดวันนั้นเลยไม่ได้สัมภาษณ์ ต้องนัดกันใหม่ (วุ่นวายจริงเลย กว่าจะได้เรียนที่นี่เนี่ย) ตอนสัมภาษณ์เค้าก็ถามว่า -ทำไมถึงเลือกเรียนโปรแกรมนี้ -เรียนแล้วจะไปทำอะร -จุดแข็งของเราคืออะไร -จุดอ่อนของเราคืออะไร การสัมภาษณ์เนี่ยเบื้องต้นอย่างพวกเราที่เป็น international student เค้าจะดูว่าเรามีความสามารถในการ communicate แค่ไหน พูดรู้เรื่องมั้ย ฟังรู้เรื่องมั้ย นอกจากนี้ก็ดูว่าเราจะ contribute อะไรให้ classได้บ้าง เพราะสาเหตุหนึ่งที่เค้ารับ international student ก็เพราะเค้าต้องการสร้างความหลากหลายให้ชั้นเรียน จากนั้นเราก็ได้รับจม.ตอบค่ะ แต่ที่นี่ต้อง deposit เงินค่า I-20 ด้วย ซึ่งก็แล้วแต่ u  อีกเช่นกัน กว่าจะได้เรียนนี่ก็ทำเอาเหงื่อตกเหมือนกันนะ ตามที่เราตั้งข้อสังเกตจากกรณีของตัวเองนะคะเรื่องการพิจารณาใบสมัคร - เกรดและมหาลัยที่จบมา อย่างกรณีของเราเกรดที่เรียนจบก็ไม่ได้สูงมากแต่ว่า U ที่เราจบมาถือว่าดีมีชื่อเสียง อันนี้บางคนบอกว่าฝรั่งเค้าไม่รู้จักหรอกว่าที่เมืองไทยมหาลัยไหนดังมหาลัยไหนไม่ดัง อันนี้ขอเถียงค่ะ โอเคถ้าเราเดินถามฝรั่งที่เดินตามถนนว่า U รู้จักจุฬามั้ย รู้จักธรรมศาสตร์มั้ย หรือว่ารู้จักABAC มั้ย แน่นอนว่าเค้าไม่รู้จักกันหรอกค่ะ แต่สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษาแล้วเค้ารู้จักนะคะโดยเฉพาะฝ่าย Admission ของ U นี่เค้ารู้จักแน่นอนค่ะว่าถ้ามาจากประเทศนี้ เรียนด้านนี้ ต้องใมหาลัยนี้ เพราะแน่นอนเค้าของเก็บสถิติของนักเรียนที่เข้ามาเรียนกับเค้าทุกคนว่าแต่ละคนมาจากประเทศไหน จบอะไรมา ทำงานอะไรมา   - กิจกรรมต่างที่เราทำไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่มหาลัยหรือว่าเรียนจบแล้วอันนี้ไม่รวมที่เราทำงานประจำนะคะ ฝรั่งค่อนข้างสนใจตรงนี้พอสมควร ถ้าลองคุยกันเพื่อนฝรั่งดูนี่จะรู้ว่า resume เค้ายาวเหยียดก็เพราะไอ้กิจกรรมพวกนี้แหละค่ะ ดังงนั้นใครทำอะไรมาบ้างก็ใส่มันไปให้หมดค่ะ ในresume และ sop นี่ต้องเขียนแบบพยายาม present ตัวเองนะคะว่าเรามีดีอะไรตรงไหน เพราะเค้ามองว่าถ้ารับเราเข้ามาแล้วเราจะ contribute อะไรให้ class ได้บ้าง - ประสบการณ์ทำงาน เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ทำงานเรียนจบตรีปุ๊บก็ต่อโทปั๊บ อันนี้เราเองก็จะแย่นะคะเพราะในห้องจะฟังเค้าไม่รู้เรื่องเพราะบางอย่างมันไม่มีในหนังสือเรียนพวก case ต่างๆที่เค้ายกมา ดังนนั้นสำหรับ U ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องนี้สำคัญค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีประสบการณ์ทำงานแนะนำว่าให้ทำเกรดตอนจบให้สูงๆรวมทั้งคะแนน TOEFL กับ GMAT ด้วยค่ะ ยกตัวอย่างกรณีเรานะคะ เรานี่แหละค่ะประสบการณ์ทำงาน้อยที่สุดนั่นคือ 2 ปี แล้วทั้ง class นี่ประสบการณ์เฉลี่ย 5 ปีค่ะ - คะแนน TOEFL กับ GMAT สูงไว้ก็ปลอดภัยค่ะแต่ไม่ได้แปลว่าจะได้เสมอไป อย่างที่บอกตอนต้นถ้าไม่มี work experience ก็ควรทำคะแนนตรงนี้ให้สูงๆเหมือนกับว่าคือตคนเรามันต้องมีอะไรสักอย่างน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าคะแนนก็ไม่ดี เกรดก็ไม่ได้ งานก็ไม่เคยทำแบบนี้ม่ายหวายยยย ลองคิดดูนะคะ U ที่ค่อนข้างดีจนไปถึงดีมากนี่เค้าให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทำงานนะคะ อย่างเช่นบางคนคะแนนไม่ได้สูงมากแต่ทำงานมาแล้ว 5ปี 7ปีเทียบกับคนที่ได้คะแนนสูงๆแต่ไม่เคยทำงานเลย U เค้ามีโอกาสที่จะเลือกคนที่คะแนนต่ำกว่าแต่ประสบการณ์สูงนะคะ อย่างโปรแกรมเราคะแนน GMAT range อยู่ที่ 750-470 โดยคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 600 เราว่าคนที่ได้ 470 นี่เค้าต้องมีประสบการณ์ทำงานที่น่าสนใจมากเลยนะคะไม่งั้น U คงไม่รับหรอกค่ะ ส่วนตัวเราเองได้ไม่ถึง 600 เหมือนกัน แต่เราว่าเรามีทุกอย่างที่เค้าต้องการ - letter of recommendation นี่ก็มีส่วนนะคะถ้า recommendation ดีๆก็มีโอกาสได้สูงค่ะ อย่างเรานี่เค้าขอมา 3 เราให้ไป 4 เลย เป็นจากอาจารย์, GM, Financial Director,และ  Assistant Fin Direct ส่วนใหญ่ถ้ามาจากอาจารย์นี่เค้าเขียนแบบเดียวกันหมดแหละค่ะอาจารย์แต่ละท่าน แต่ถ้ามาจากที่ทำงานอันนี้เราว่าน้ำหนักดีนะคะ อย่างของเรา GM เค้าก็ไม่ได้เขียนเว่อร์ สรุปแล้วนะคะ เค้าพิจารณาทุกองค์ประกอบรวมกัน ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าเราด้อยส่วนไหนก็ต้องทำส่วนอื่นให้เด่นขึ้นมาจะได้มาทดแทน ทีแรกเราเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากถึงเรื่องนี้เพราะพูดได้เลยว่าเราเองก็ไม่ได้มีส่วนไหนโดดเด่นมากแต่เรามีครบ พอเค้ารับเราแล้ว เราก็ลองมาตั้งข้อสังเกตดูแล้วก็เอามาแชร์ในห้องนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้างนะคะ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 48 03:54:36 แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 48 03:52:02 จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 14:30:35 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดีจังมีอะไรแนะนำมาอีกนะค่ะ จะได้ เก็บกระทู้นี้ไว้เผื่อตอนจะใช้จริง จากคุณ : อมรเบิกฟ้า - [ 2 เม.ย. 48 14:39:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จริงๆตอนรอผลว่าจะได้ไม่ได้นี่ตอนแรกไม่ค่อยเครียดนะคะ เพราะรคิดว่าอย่างน้ยๆต้องได้ที่นึงอยู่แล้ว แต่พอเข้ามาอ่านในห้องไกลบ้านแล้วกลับเครียดซะนี่ เพราะเราไปเจอกระทู้นึงบอกว่าสมัคร 10 U โดน reject ทั้ง 10 U เลย โอ้โห แล้วเราจะเหลืออะไรเนี่ยสมัครไปสามเอง แต่สุดท้ายเราก็ได้มาทั้งสามที่ โชคดีไป ตอนนี้ก็มาถึงขั้นตอนขอวีซ่า เราเองก็ได้อ่านประสบการณ์จากหลากหลายกระทู้นะคะแล้วก็พบว่าของเรานี่ของ่ายมากเลย สัมภาษณ์สองนาทีเองมั้งคะ เร่มต้นที่เอกสารกันก่อนนะคะ เอกสารที่เราจัดไปก็ตามที่เค้าบอกทุกอย่างไม่ขาดไม่เกิน เราเห็นหลายๆกระทู้บอกให้แนบ Statement of Purpose หรือไม่ก็ จม.แนะนำตัวไปด้วยแต่ของเราไม่ได้แนบค่ะเพราะไม่ใช่ required document ที่สถานทูตกำหนด เอกสารที่เราเอาไปก็มีดังนี้ -Passport 2 เล่ม (เล่มเก่าและเล่มใหม่) -I-20 เรียนปริญญาโท (เราไม่ได้เรียนภาษา) - self sponser เราใช้บัญชีออมทรัพย์ตัวเอง ในI-20นี่เค้าจะระบุเลยนะคะว่าใครเป็น sponser ให้เรา ของเรานี่มี U นึงเค้าใส่ชื่อ แต่อีก U นึงเค้าใส่ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับเราแต่ไม่ใส่ชื่อ -จม.รับรองการทำงานจาก office (ตอนนั้นเราเพิ่งลาออก) -จม.รับรองฐานะทางการเงินจากแบงค์โดยเป็นบัญชีออมทรัพย์ของเราเอง 7 หลัก จม.นี้เค้าจะไม่ได้ใส่จำนวนเงินแต่ใส่แค่ว่ามีเงินอยู่กี่หลัก -Transcript -Bank book ของเราเอง -Bank book ของป้าประมาณ 7 เล่มได้ -จม.รับรองฐานะทางการเงินของป้า -ทะเบียนการค้าของป้า -Statement ย้อนหลัง 6 เดือนบัญชีกระแสรายวันของป้า หมุนเดือนละประมาณ 7 ล้านแต่เป็นตัวแดงหมดเลย -ทะเบียนบ้านของป้า อันนี้ที่เราเอาไปเพราะเราอ่านเจอในนี้ว่าถ้า sponser ไม่ใช่พ่อแม่เนี่ยก็ต้องแสดงว่าเป็นญาติสนิทดังนนั้นในทะเบียนบ้านป้ากับแม่เราก็จะมีชื่อตากับยายซึ่งพิสูจน์ว่าป้าเป็นพี่แท้ๆของแม่จริงๆ (ยุ่งจัง) แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 48 15:40:31 จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 15:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขั้นตอนการขอวีซ่าก็คือเราต้องเตรียมเอกสารไปยื่นแล้วเค้าก็จะทำการตรวจเอกสารจากนั้นจะให้บัตรคิวนัดสัมภาษณ์ว่าเราได้สัมภาษณ์วันไหน พวก bank book นี่เราเก็บกลับมาก่อนได้แล้วค่อยเอาไปแสดงตอนวันสัมภาษณ์ กรณีของเราตั้งแต่ได้ I-20 จนถึงขึ้นเครื่องบินนี่ใช้เวลา 2 อาทิตย์ เก็บของแทบไม่ทันแน่ะค่ะ วันศุกร์ - ได้ I-20 วันจันทร์ - สถานทูตปิด (วันหยุดราชการ) วันอังคาร - ยื่นเอกสารขอวีซ่า วันพฤหัส - สัมถาษณ์วีซ่า วันศุกร์ - รับเล่ม วันอังคาร - ได้ตั๋วเครื่องบิน วันพฤหัส - บิน ตารางเราแบบว่าสุดๆเลย ของเราไปยื่นวีซ่าแล้วได้สัมภาษณ์เลยเพราะว่า U ใกล้จะเปิดแล้ว ตามกม. USA แล้วเราจะเข้าประเทศเค้าได้แค่ 30 วันล่วงหน้าก่อน uเปิด ซึ่งตอนนั้นมันก็ใกล้แล้ว เค้าเลยเปิดให้สัมภาษณ์ช่วงบ่ายซึ่งก็มีแต่วีซ่านักเรียนแบบเราเป็นส่วนใหญ่ ตามปกติแล้วถ้าตามคิวก็ต้องรอประมาณ 1 เดือนกว่าจะได้สัมภาษณ์ วันสัมภาษณ์ในบัตรนัดมันคือบ่ายสอง แต่ว่าให้ไปก่อนได้เลยค่ะเพราะไปถึงก็ต้องเอาบัตรนัดไปโชว์แล้วเค้าก็จะให้คิวสัมภาษณ์ใหม่ เราก็มานั่งรอเค้าเรียกคิวเรา เท่าที่เราสังเกตนะเอกสารที่เรายื่นไว้เค้าจะเอายางยืดรัดไว้ตั้งแต่วันยื่นเอกสารแล้วมันก็ยังอยู่อย่างนั้นอยู่เลยตอนวันสัมภาษณ์ เรานั่งรอประมาณสองชั่วโมงครึ่งได้ ตอนรอก็ใจไม่ค่อยดีเพราะก่อนหน้าเราเด็กนักเรียนทั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้กันทั้งนั้น วันที่เราไปขอมีพวกเด็ก AFS ไปขอด้วยบางคนยังไม่ได้เลย เราล่ะงงเลย เด็ก AFS บางคนไม่ได้นะร้องไห้กันทั้งแม่ทั้งลูกเลย อีกคนก็เป็นนิสิตใส่ชุดนิสิตมาเลยมากับครอบครัวแต่ก็ไม่ได้เหมือนกัน พ่อเค้าโวยวายใหญ่เลย เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเค้าไม่ได้ พอถึงคิวเรา เราได้สัมภาษณืกับฝรั่งช่อง 11 คำถามแรกเค้าถามเป็นภาษาไทยเราก็ตอบเป็นภาษาไทย แล้วที่เหลือก็เป็นภาษาอังกฤษหมด Q: จะไปทำอะไรครับ A: ไปต่อโท MBA ค่ะ Q: ทำไมถึงเลือกไปเรียนที่นี่ A: เพราะ U นี้ก็มีชื่อเสียงดี Q: ใครออกค่าใช้จ่ายให้ A: ป้าค่ะ จากนั้นเค้าก็ขอดู bank book ขอป้า ทีแรกเราส่งให้สามเล่มเค้าก็พลิกผ่านๆ แล้วเราก็ส่งของป้าให้อีกสองเล่มแต่เค้าไม่ดู แล้วเค้าก็ส่งคืนมาทั้งหมด Q: เรียนจบอะไรมา A: จบบัญชี ที่ XXX ค่ะ (อันนี้ตลก เพราะเราก็เห็นแล้วว่าเค้าเปิดดู transcript เราแล้วยังจะมาถามอีก สงสัยไม่มีอะรไจถามมั้ง) Q: พรุ่งนี้มารับวีซ่านะครับ A: ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 48 15:26:35 จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 15:13:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 บางคนอาจะสงสัยนะคะเรื่องเอกสารเรา คือว่าในI-20 เราน่ะเป็น self sopport นั่นคือบอกว่าเราจ่ายค่าเรียนเองไม่มีใครส่ง เพราะตอนนั้นเราส่งจม.แบงค์ของป้าไปให้ U ไม่ทันก็เลยต้องใช้ของตัวเอง แล้วทีนี้เนี่ยเราก็ได้อ่านจากห้องนี้ว่าถ้า sponser ไม่ใช่พ่อแม่ก็จะขอยาก ยิ่งของเราเป็น self support ด้วย ก็จะกลายเป็นว่าเรายังโสดอยู่ แล้วมีเยอะขนาดนี้ อย่างนี้จะไปเรียนจริงรึเปล่า ไปแล้วไม่กลับหรือเปล่า แล้วพ่อแม่ไปไหน ทำไมไม่ support เรานี่เครียดเลยเพราะเห็นบางคนเจอถามละเอียดมาก (ตามที่อ่านมา) กลัวว่าจะไม่ผ่าน แล้วพอวันไปยื่นวีซ่าเราเอาเอกสารป้าไปยื่น เงินก็ไม่ได้มีเยอะ เค้าทำการค้ามันก้เป็นเงินหมุน ไม่ได้มีเงินก้อนเก็บไว้เยอะแถม statement ยังป็นตัวแดงอีก เพราะที่เราเจอในห้องนี้อีกนั่นแหละ statement ตัวแดงก็กลายเป้นว่าไม่มีเงิน มีแต่หนี้ แล้วจะส่งไหวเหรอ โห ยิ่งเครียด อะไรเนี่ย บัญชีออมทรัพย์ก็เพิ่งเอาเงินเข้าวันนั้นเอง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ นั่งรอสองชม. สัมภาษณ์สองนาที ถ้าให้เราตั้งข้อสังเกตนะ -ประเด็น sponser เป็นพ่อแม่นี่ก็สำคัญนะคะเพราะถ้าม่ใช่พ่อแม่ แล้วใครจะมาจ่ายเงินค่าเรียนให้เป็นล้าน -อีกเรื่องก็คือ U และ โปรแกรมที่เราจะไปเรียน เราว่าถ้าไปเรียนภาษานี่อาจจะยากหน่อย แต่อย่างของเรามันเป็นเรียนต่อโทเลย แล้ว U ก็ค่อนข้าง OK มันก็ดูน่าเชื่อถือ -แล้วก็ background อื่นๆ เช่นเราเรียนจบจากที่ไหน ทำงานอะไรมา คือมันก็บอกถึงการเตรียมตัวไปเรียนต่อของเราด้วย จากคุณ : Take me to your heart - [ 2 เม.ย. 48 15:38:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ว้าวสุดยอดเลยครับขอบคุณมากๆๆๆครับ จากคุณ : ov69 - [ 2 เม.ย. 48 23:04:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะคะ ไม่นึกเลยว่าจะยาวขนาดนี้พิมพ์ตั้งแต่เที่ยงคืนมาเสร็จเอาตอนตีสามแน่ะ หนังสือหนังหาไม่ได้อ่าน การบ้านก็ยังไม่ได้ทำ แย่แน่เลย หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้คงจะพอมีประโยชน์กับหลายๆคนบ้างนะคะ แล้วถ้านึกอะไรออกจะเข้ามาเพิ่มเติให้อีกนะคะ จากคุณ : Take me to your heart - [ 3 เม.ย. 48 12:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านๆ ขอบคุณที่โพสให้อ่านค่ะ จากคุณ : piaoliang - [ 3 เม.ย. 48 21:57:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากๆเลย จากคุณ : เด็กปี2 - [ 4 เม.ย. 48 00:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบอ่านจังเลย ขอบคุณมากๆ เป็นแนวทางที่ดีค่ะ จากคุณ : GIS - [ 5 เม.ย. 48 01:39:55 A:203.113.40.9 X:203.151.140.113 TicketID:084025 ]