ความคิดเห็นที่ 1 คิดว่าภรรยาของเขาคงไม่ว่าที่จะเอาเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆคนได้คิดกันนะคะ จะเขียนชื่อเพื่อนเเละครอบครัวของเขาเป็นภาษาไทยก็เเล้วกันนะคะ คือเขาเป็นครอบครัวอเมริกันน่ะค่ะ อัลเลน เพื่อนคนที่ว่าที่ทำงานกับสามีของพี่ค่ะ ภรรยาของเขาเป็นพยาบาล ทั้งสองคนทำงานมายี่สิบกว่าปีแล้ว รายได้รวมกันไม่เคยต่ำกว่าเลขหกหลักต่อปี ครอบครัวนี้เคยมีความเป็นอยู่ที่ดีมากๆ บ้านหลังใหม่ก็เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่อัลเลนจะรู้ว่าเขาเป็นมะเร็ง แต่เพราะค่าหมอ ค่ารักษาโรคของเขาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวนี้หมดตัวเลยค่ะ เขาต้องเอาบ้านไป refinance 2-3 รอบแล้ว เพื่อเอาเงินมาเป็นค่ารักษา ตอนนี้ก็ยังติดเงินค่ารักษาพยาบาลอยู่อีกหลายเเสน อัลเลนมีประกันชีวิต 1/4 ล้าน คือ $ 250,000 แต่เมื่อดอนน่า ภรรยาของเขาได้เงินนั้นมา ก็จะหมดไปกับหนี้ค่า medical care ของสามี เคยอ่านที่ห้องนี้ครั้งนึงที่มีคนๆนึงมาโพสต์ว่ากำลังติดต่อกับผู้ชายสูงอายุชาวอเมริกันซึ่งเป็นโรคหัวใจ และเขาบอกว่ามีรายได้จากเงิน social security ของเขา หลายๆคนพยายามเตือนว่าเงิน social อย่างเดียว ไม่พอที่จะช่วยให้ใครมีชีวิตอยู่ในประเทศอเมริกาได้ นั่นคือความจริงที่สุดเลยค่ะ แล้วการเป็นโรคที่ต้องรักษากันในระยะยาวก็ทำให้คนอเมริกันล้มละลายไปตามๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันนี้ เพราะค่ารักษาพยาบาลโรคมันเพิ่มสูงขึ้นเร็วมาก สูงจนคนอเมริกันระดับกลางเเทบจะสู้ไม่ไหวกันแล้ว ใครเป็นโรคที่เจ็บป่วยเรื้อรังเข้าซักคน ทั้งครอบครัวจะล้มละลายไปตามๆกัน อย่างครอบครัวที่เล่านี่เเหละค่ะ ใครจะคิดว่าจากครอบครัวที่เคยอยู่ในระดับดีมากๆของเมืองที่อยู่ มาเป็นครอบครัวที่ภรรยาคนตายต้องตั้งมูลนิธิกองทุนเรี่ยไรเงินเพื่อช่วยเหลือลูกสาวสองคน ลูกสาวคนโตอายุ 13 ขวบ คนเล็ก 5 ขวบค่ะ บ้านที่อยู่กันตอนนี้ก็คงถูกธนาคารยึด คิดว่าดอนน่าคงจะย้ายไปอยู่กับพ่อเเม่ ยังดีที่ยังมีพ่อเเม่พี่น้องอยู่เมืองเดียวกันนะคะ ยังพอเป็นที่พึ่งได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอมีลูกที่ต้องเลี้ยงดูอีก 2 คน และยังต้องทำงานด้วย ก็เลยยกเอาเรื่องนี้มาเป็นเครื่องเตือนใจน่ะค่ะ อะไรๆมันไม่แน่นอน เคยมีคนตั้งกระทู้ทำนองนี้ครั้งนึงแล้ว ควรจะคิดวางแผนกันให้ดีๆนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีลูก คิดวางแผนเพื่อลูกให้ไกลไปถึงเมื่อเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโน่นแหละค่ะ เพราะอย่าว่าแต่ในอนาคตเลยค่ะ ทุกวันนี้ถ้าไม่จบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย ก็หางานทำแทบจะไม่ได้แล้วค่ะ ค่าเรียนมหาวิทยาลัยมีแต่จะสูงขึ้นทุกวัน ระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ค่าเรียนมหาวิทยาลัยทั้งประเทศเพิ่มขึ้น 106% โดยเฉลี่ยค่ะ แล้วก็มีเเต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเล่าไม่ค่อยเป็นระบบเท่าไหร่นะคะ เพราะยังรู้สึกหดหู่อยู่ค่ะ แต่ถ้าเรื่องนี้จะช่วยให้ใครคิดวางแผนการณ์อะไรล่วงหน้าเพื่อรับปัญหาทำนองนี้ซักคน ก็คิดว่าคุ้มแล้วค่ะ ขอไปทำงานก่อน เดี๋ยวมาคุยต่อค่ะ เพราะเรื่องนี้ยังไม่จบทั้งหมด จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 7 มิ.ย. 48 23:41:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พี่ไก่ ทีแรกว่าจะแวบมาอ่านแล้วจะไปนอน แต่อ่านแล้วเศร้า อดมาคุยด้วยไม่ได้ เรืองอนาคตนี้มันไม่แน่นอนจริงๆนะคะ ทรัพย์สินกับสุขภาพมันไม่จีรังเลย ลูกเราเพิ่ง 3 ขวบ ยังไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นเลย อ่านเรื่องของเพื่อนพี่ไก่แล้วทำให้ฉุกคิด ทำไมค่ารักษาพยาบาลที่อเมริกามันแพงจังเลยคะ อย่างนี้คนป่วยนี้ถ้าไม่มีตังนี้ทำยังไงคะ ต้องไปเป็นหนี้เป็นสินหมดเหรอ แล้ว หมอ/สถาบัน เขาทอดทิ้งคนไข้ไหมคะ แบบว่า คุณไม่มีเงิน เราก็ไม่รักษาอะไรแบบนี้ เท่าที่ดูรู้สึก โซเชียวเซคิวริตี้ ของฝรั่งเศสนี้ระบบวางไว้ดีมากๆๆเลย เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ แต่กระนั้น ก็ยังมีคนฉวยโอกาส ใช้ช่องโหว่ของระบบแบบผิด ๆ เห็นสามีว่า โซเีชียวเซเคียวริตี้ฝรั่งเศสนี่เลขตัวแดงเพียบเลย แต่เขาก็ไม่ทอดทิ้งคน ไว้มาคุยใหม่พรุ่งนี้ดีกว่า จากคุณ : BFR - [ 8 มิ.ย. 48 01:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาต่ออีกนิดค่ะ ปัญหาที่ครอบครัวนี้เจอคือ - สามีไม่สบายเป็นเวลานาน ทำให้หมดตัวไปกับการรักษา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากในปัจจุบัน ตามสถิติผู้คนที่ทำเรื่องขอล้มละลาย อันดับหนึ่งเลยคือคนที่หมดตัวเพราะค่ารักษาพยาบาล อันดับสองคือล้มละลายเพราะตกงาน สมัยก่อนเมื่อทำเรื่องขอล้มละลายแล้ว หลังจากที่ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปหมดแล้ว หนี้สินที่มีอยู่จะถือเป็นโมฆะ เเต่ไม่นานมานี้คองเกรสออกกฎหมายใหม่ ถึงแม้จะล้มละลายแล้ว หนี้ที่มีอยู่ก็ยังต้องใช้คืนเจ้าหนี้ กลายเป็นว่านอกจากล้มละลายแล้ว ก็ยังต้องมานั่งทำงานใช้หนี้ต่ออีก จะตั้งต้นใหม่ไม่ได้ทันทีจนกว่าจะใช้หนี้หมด - ภรรยาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับการเงินเลย เรื่องนี้เเหละค่ะที่เป็น rude awakening ของตัวเองเหมือนกัน เพราะตัวเองก็ไม่รู้เรื่องการเงินเลยเหมือนกัน ในกรณีอัลเลนกับดอนน่า อัลเลนเป็นคนจัดการเรื่องเกี่ยวกับการเงินในครอบครัวทั้งหมด ดอนน่าทำงานอย่างเดียว พออัลเลนตาย ดอนน่าไม่รู้เลยว่าตัวเองมีส่วนได้เงินช่วยเหลืออะไรบ้าง เเม้เเต่ประกันชีวิตของอัลเลน ถ้าไม่ได้เพื่อนๆเช็คให้ก็คงไม่รู้อยู่เหมือนเดิม อัลเลนมีบำนาญนิดหน่อยจากที่ทำงานมา 30 ปี ก็พอช่วยได้นิดหน่อย แต่ในสภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้ บวกกับหนี้ที่มีอยู่ ดอนน่าก็คงยังจะต้องทำเรื่องขอล้มละลายอยู่ดี - ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถของครอบครัวนี้สูงมาก ค่าผ่อนบ้านอย่างเดียว เดือนละ $ 2,500 รายได้ของดอนน่าอาจจะพอ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกเยอะเเยะ คิดเเล้วกลุ้มแทนค่ะ - ลูกสองคน ดอนน่าต้องหาคนช่วยดูแลลูก ดีหน่อยที่มีพ่อเเม่พี่น้องที่คอยช่วยได้บ้างในช่วงเเรกๆ เเต่สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เเต่ละครอบครัวพึ่งตัวเองก่อนเป็นหลัก ไม่ใช่สังคมเเบบ extended family เหมือนสังคมเมืองไทย ที่พ่อเเม่ช่วยเลี้ยงหลาน เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดอนน่าบ่นให้ฟังว่ากลุ้มใจ เพราะเมื่อก่อนเคยผลัดกันกับสามีคอยดูแลรับส่งลูกไปโรงเรียน นี่แหละค่ะคือปัญหาที่อาจจะต้องเจอกัน วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อนดีที่สุดค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 01:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เบญคะ ถ้าเป็นคนที่รายได้ต่ำ รัฐก็มีช่วยบ้างค่ะ แต่การเจ็บป่วยระยะยาวแบบนั้น รัฐช่วยได้เพียงเเค่ส่วนเดียวเท่านั้นเองค่ะ กรณีของอัลเลนกับดอนน่านี่เขามีประกันที่ดีมากทั้งสองคนนะคะ ประกันจ่ายค่ารักษาให้ 3/4 แล้วค่ะ แต่เพราะค่ารักษามันแพงมาก ถึงได้ยังเป็นหนี้อีกมหาศาล จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 01:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านเรื่องที่พี่ไก่เล่าแล้วหดหู่ กับกังวลใจด้วยค่ะ ตอนแรกว่าจะถามว่าเขาไม่มีประกันสุขภาพเหรอ แต่พอรู้ว่าแม้ประกันจะช่วยจ่ายแล้ว ยังไม่พอ อ่านเล้วกลุ้มเลยค่ะ สงสัยถ้าเจอกแบบนี้บ้างคงไปรักษาตัวที่ไทยแทน ค่ารักษาพยาบาลที่นี่โหดจริงๆ จากคุณ : ปอมปอมเกิร์ล - [ 8 มิ.ย. 48 02:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดีแล้วค่ะที่เอามาเล่าสู่กันฟัง บางทีจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ อะไรที่คิดว่าไม่เกิด มันอาจจะเกิดมาก็ได้ จากคุณ : เสียงซึง - [ 8 มิ.ย. 48 03:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่เเค่ที่เล่าเท่านั้นนะคะ ขนาดอัลเลนไม่สบายอยู่ 3 ปี ยังไม่มีการเตรียมที่ฝังศพให้เขาเลยค่ะ คือเขาคิดว่าเขาน่าจะอยู่ไปได้นานหลายปีน่ะค่ะ พอเขาตายต้องเรี่ยไรเงินซื้อที่ฝังศพให้โดยใช้วิธีเป็นว่าเเทนที่จะส่งหรีดหรือช่อดอกไม้สำหรับงานศพ ให้ส่งเป็นเงินไปช่วยสุสานฝังศพนั้นเเทน เพื่อจะใช้เป็นเงินบูรณะสุสานนั้น โชคดีตรงที่พ่อของอัลเลนเคยเป็นนักเทศน์ของโบสถ์นั้นมาก่อน เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ควรเตรียมตัวกันค่ะ ฟังดู morbid หน่อย แต่ถ้าสมมุติว่าคนในครอบครัวเกิดตายกระทันหัน ตอนนี้วางเเผนกันไว้หรือยังคะว่าจะฝังเขาที่ไหน เพราะถ้าจะฝังที่อเมริกานี่ เราต้องซื้อ plot เอาไว้เป็นที่ฝังศพด้วยค่ะ แล้วค่าทำศพอีกล่ะ สมัยนี้ว่ากันเป็นหมื่นแล้วค่ะ บอกตรงๆเรื่องแบบนี้เมื่อก่อนเวลาคุยกับคนที่บ้านก็ได้เเต่หัวเราะกันว่าเราช่างคิดไปไกลเกินไปแล้ว แต่พอมาเจอเข้ากับเพื่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่ได้เตรียมเรื่องที่ฝังศพไว้ล่วงหน้าเเล้วเจอปัญหานี้ ช๊อคไม่เเพ้เพื่อนเลยค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 04:13:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เสียใจด้วยนะคะพี่ไก่ เพื่อนอเมริกันคนหนี่งพูดเสมอว่าประเทศนี้อะไรก็ดี อยู่สบาย แต่อย่าสะดุดก้อนหิน หรือตกบันไดบ้านเข้าละ ครั้งเดียวแย่ไปนานเพราะค่ารักษาพยาบาล ถึงแม้จะมีประกันก็ตาม ท๊อปชอบคิดเรื่องพวกนี้เรื่อยๆค่ะพี่ แต่ไม่ได้วางแผนจริงๆจังๆ เปรยๆกับแฟนเหมือนกันว่าถ้าเธอตายจะให้ชั้นทำไงๆ ถ้าชั้นตายให้ทำงี้ๆนะ ประมาณนั้นแต่ไม่ได้มีแผนจริงจังอะไรค่ะ เพื่อนแฟนเสียปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุ ครอบครัวเค้าก็ยุ่งกับงานศพเหมือนกันค่ะ เพราะมันกระทันหันมาก แถมแฟนเค้าที่อยู่ด้วยกันเจ็ดปี ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยระหว่างที่รอพ่อแม่ฝ่ายชายเดินทางมา จะดูศพที่รพ.ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้แต่งงาน จดทะเบียนกัน ต้องรอพ่อแม่ฝ่ายชายมาจาก east coast ก่อน เศร้าแทนผู้หญิงมากๆเลยค่ะ จากคุณ : SFO-CNX - [ 8 มิ.ย. 48 04:56:54 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พี่ไก่ค่ะ อ่านแล้วเศร้าจังเลย ระบบรักษาพยาบาลที่นี่แย่มากๆจริงๆค่ะ พิมนะเข้าผ่าตัดนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน ค่ารักษารวมทั้งหมดเกือบสี่หมื่นเหรียญ บ้าไปเลยค่ะ ดีนะคะที่ประกันจ่าย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ต้องจ่ายเองด้วย เค้ากะกันว่ารักษาหายแล้วก็ต้องทำงานใช้หนี้โรงพยาบาลไปจนตายกันเลยเหรอค่ะ ค่าโรงพยาบาลแพงอย่างนี้ ค่าประกันสุขภาพถึงได้แพงมากๆ แล้วถ้าไม่มีงานทำจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายกันล่ะคะ ทำไมเค้าไม่คิดเปลี่ยนระบบอะไรกันบ้างก็ไม่รู้นะคะพี่ไก่ เรื่องภาษีบ้านอีกอย่าง มันดีหรือไม่ดีกันแน่ค่ะ ภาษีบ้านส่วนใหญ่เอาไปช่วยโรงเรียน เด็กถึงได้เรียนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าเทอม แต่จริงๆแล้วค่าเทอมของเด็กก็คือภาษีบ้านที่พ่อแม่จ่ายนั่นแหล่ะ เค้าถึงว่าของฟรีไม่มีในโลกหรอก แล้วบ้านที่ไม่มีลูก ก็ต้องจ่าย คนแก่ที่ลูกเรียนจบแล้วไม่ได้ทำงานแล้ว ก็ต้องจ่าย ถึงจะจ่ายน้อยแต่ก็ต้องจ่าย ไม่จ่ายสองปีโดนยึดบ้าน มันแบบดีเหรอค่ะระบบเนี่ย วันแรกที่ได้บิลภาษีบ้านดูเสร็จหัวใจแทบวาย ทำไมมันมากมายอย่างนี้ ถ้าพี่โจ้ไม่มีงานทำก็คือต้องขายบ้านกันอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่มีปัญหาหาเงินมา่จ่ายแน่ๆ อ้าวววว กลายเป็นมาบ่นไปเลยค่ะพี่ไก่ จากคุณ : pim(พิม) - [ 8 มิ.ย. 48 05:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ มาสมทบอีกเสียงว่าค่าพยาบาลที่นี่แพงมหาโหดจริงๆ ค่ะ วันอาทิตย์ืที่แล้วตัวเองเป็นกระเพาะปัสสวะอักเสบ และตอนนี้ท้องได้เจ็ดเดือน เป็นผลทำให้มี contraction หมอ treat ประมาณ 6 ชั่วโมงที่โรงพยาบาล   เมื่อวานบิลที่เค้าเก็บจากประกันสุขภาพเรามาแทบเป็นลมค่ะ เพราะทรีทแค่นี้แต่ปาเข้าไปเกือบสามพันเหรียญ นี่ถ้าไม่มีประกันสุขภาพก็แย่แน่ๆ หน่ะค่ะ จากคุณ : meneya - [ 8 มิ.ย. 48 05:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พี่ไก่คะ เสียใจด้วยคะกับการจากไปของเพื่อนนะคะ เรื่องค่ารักษาพยาบาลจิว่าที่ไหนๆๆก็แพงทั้งนั้นแหล่ะคะ ((จากประสบการณ์นะคะ)) แต่ที่นี่แพงกว่าที่อื่นเพราะว่าเค้ามีกฎหมาย((คุ้มครองมากเกินไป หมอเลยต้องจ่ายค่า Malpractice insurance ต่อปีสูงมากก คิดว่าทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพง)) เคสเพื่อนพี่ไก่ คล้ายๆๆ เพื่อนสามีจิ เดี๋ยวหากเค้ากลับมาจากทำงาน จะถามอีกทีแล้วมาเล่าให้อ่านนะคะว่าเค้าแก้ปัญหายังไงบ้าง เผื่อพี่ไก่ได้ไอเดีย แล้วสามารถช่วย ดอนน่าได้นะคะ จากคุณ : บอสตัน - [ 8 มิ.ย. 48 05:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณค่ะจิ ท๊อปคะ แฟนพี่เขาก็ถามพี่อยู่เรื่อยๆว่าถ้าพี่เป็นอะไรไปเเล้วจะให้เขาทำยังไง จะให้ทำศพแบบไทยเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แต่ของเขาเขาสั่งเสียไว้เรียบร้อยเเล้วค่ะว่าไม่เอาแบบที่เปิดโลงให้ผู้คนไปเดินเข้าเเถวดู เขาบอกว่าเคยได้ยินคนที่ไปดูงานศพคนอื่นเเล้ววิจารณ์แล้วเขาเซ็ง เขาบอกว่าบางคนวิจารณ์ศพว่า ดูเหมือนยังไม่ตายนะ บางคนว่า ดูไม่โทรมอย่างที่คิดเลยนะ อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ เขาบอกว่าของเขาเอาเป็นเเบบไปทำพิธีข้างหลุมศพทีเดียวเลย ไม่ต้องมีพิธีในโบสถ์ ไม่ต้องมีนักร้องมาร้องเพลง ไม่ต้องมีใครหลายๆคนมาพูดย้อนอดีตความดีงามของเขาให้ผู้มาร่วมงานฟัง จากประสบการณ์คราวนี้ เมื่อวานก็นั่งคุยกันเรื่องซื้อ plot แล้วค่ะ ซื้อ plot สำหรับเป็นที่ฝังศพตัวเองนี่ก็ต้องผ่อนส่งนะคะ ปอมคะ อัลเลนเขาทำผ่าตัดทั้งหมด 7 ครั้งแน่ะค่ะ ผ่าทั้งที่โรงพยาบาลของเมือง ทั้งไปผ่าที่ Duke ที่รัฐ North Carolina แล้วก็ไปผ่าที่รัฐเท๊กซัสด้วย เขามีพี่ชายเป็นสัตวเเพทย์อยู่ที่เท๊กซัส พี่ชายของเขาเป็นมะเร็ง รอวันตายเหมือนกัน เมื่อวานก็มางานศพของน้องด้วยค่ะ เพราะผ่าตัดหลายรอบ แล้วก็เพราะไปหาหมอหลายคน ดอนน่าบอกว่าใช้หมอทั้งหมด ตลอด 3 ปีนะคะ 8 คนค่ะ ประกันที่เขามีคือ 2 ประกัน ทั้งของเขาเองซึ่งเป็นของ federal government กับของดอนน่าซึ่งเป็นประกันของโรงพยาบาลที่ดอนน่าทำงานอยู่ เป็นของ Blue Cross ประกันทั้งสองประกันจ่ายให้ 3 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด เเต่ถึงเเบบนั้นก็ยังติดหนี้ค่ารักษาอยู่หลายเเสนเลยค่ะ เเถมจะขอเงินช่วยจาก medicaid ก็ไม่ได้ด้วย เพราะรายได้ของดอนน่าสูงเกินไปค่ะ พิมคะ พี่ว่ายิ่งนับวันระบบอะไรต่ออะไรของอเมริกายิ่งเเย่ลงนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับคนชั้นกลางอย่างเราๆ คือเราต้องควักกระเป๋าจ่ายทุกอย่างเเบบเต็มๆ ในเวลาเดียวกัน เป็นเพราะเรามีรายได้สูงกว่าจำนวนที่จัดไว้สำหรับคนรายได้ต่ำ เราก็เลยไม่มีสิทธิขอความช่วยเหลือใดๆจากรัฐได้เลย จริงๆเเหละค่ะ ประเทศนี้ไม่มีอะไรฟรีเลยเเม้เเต่อย่างเดียว คุณ meneya คะ จริงๆเลยค่ะ รักษาอะไรนิดหน่อยมันเป็นพันขึ้นไปทั้งนั้น บางทีถ้าเราไม่เช็คบิลดูดีๆ มีการ charge ซ้ำๆกันด้วยนะคะ บางทีส่งบิลมาให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนพี่ไม่เคยสนใจเลยนะคะ ได้บิลมาก็จ่ายเงินไป จนหลายปีหลัง เเฟนพี่เขาเป็นคนจัดการเรื่องบิลค่ารักษาพยาบาลของทั้งครอบครัว เขาถึงได้ชี้ให้เห็นว่าเราต้องรอบคอบเรื่องนี้ยังไง หลายครั้งเลยค่ะ เห็นๆอยู่เลยว่าเพิ่งส่งเช็คจ่ายเงินไปไม่กี่วันนี่เอง มาอีกเเล้ว บิลเดียวกันเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 48 06:45:45 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 06:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แวะมาแสดงความเสียใจกับพี่ไก่ด้วยค่ะ จากคุณ : นางมารร้าย/น้อยซะเมื่อไหร่ - [ 8 มิ.ย. 48 06:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอเเสดงความความเสียใจด้วยค่ะ เเวะมาอ่าน ทำให้นึกถึงสำนวนหรือภาษิตก็ไม่รู้ที่กล่าวว่า"ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" จากคุณ : Hana* - [ 8 มิ.ย. 48 06:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พี่ไก่คะ ถามแล้วคะ ได้เรื่องมาดังนี้ 1. จ่ายค่ารักษาพยาบาล Token payment ทุกๆๆเดือนเช่น 50$ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วแต่ว่าดอนน่าสามารถจ่ายได้แค่ไหน แล้วทีนี้พวกโรงพยาบาลก็ไม่สามารถฟ้องได้เพราะถือว่าเราจ่ายแล้ว และก็จ่ายไปได้ตลอดชีพ ถ้าหากดอนน่าตาย โรงพยาบาลก็ไม่ตามไปเก็บเงินกับลูกเค้า กรณีนี้เพื่อนสามีจิทำเค้าบอกว่าดีกว่ายื่นล้มละลาย เพราะ เครดิตสำคัญมาก ต่อธุรกรรมและอื่นๆๆต่อไปในอนาคต 2.สามารถต่อรองกับทางโรงพยาบาลว่า สามารถจ่ายเท่านี้ คือ ต่อรองว่า จ่ายจำนวน xxxx ตลอด 10-20 ปีก็ว่าไป แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่สามารถจ่ายได้ ซึ่งเพื่อนสามีต่อรองให้ลดลงได้คะ ส่วนจิ จิกับสามีเราทำ Living Will  แล้วก็  Will กับสามีเรียบร้อยแล้วคะ ว่าหากจิตายก็เผาไปเลย แล้วก็เก็บเถ้าถ่านที่เหลือเอาไปเมืองไทยส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งก็ไว้ที่นี่ สามีก็เหมือนกันคะ คือ เผาแล้วก็เอาไว้ที่โบสถ์ที่ครอบครัวเค้าคะ เคยคิดเหมือนกันหากว่าไม่สบายมากๆๆ จะทำไง แต่ตกลงกับสามีแล้วว่า หากไม่ไหวจริงๆๆ ก็ส่งกลับเมืองไทยไปดีกว่า อย่างน้อย รักษาเมืองไทยไม่มีประกันยังถูกกว่ามีประกันที่นี่แถมเรายังมีญาติพี่น้องได้ดูแลเราอีกต่างหาก   พูดเรื่องแพลนนะคะ จิทำไว้เยอะ ตั้งแต่มีลูกนี่แหล่ะคะ วางไว้อย่างดี จิไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่หากเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะจิทำทุกอย่างจัดการไว้ตามที่ต้องการไว้หมดแล้ว เรื่องบิลจากโรงพยาบาลนี่จริงๆๆคะ จิได้รับบางรายการ เช่นผ่าตัดนี่นะคะ เจอมา สามบิลเลยคะ ต้องเช็คละเอียดมากๆๆ จากคุณ : บอสตัน - [ 8 มิ.ย. 48 07:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนพยาบาลของพี่ไก่ด้วยคนค่ะ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าค่ารักษาพยาบาลที่อเมริกาแพง มาก เพราะมีเพื่อนบ้านติดกันเค้าเคยไปป่วยอย่างกระทัน หันที่อเมริกาปีที่แล้ว เพื่อน ๆ พาส่งโรงพยาบาล แค่วัน เดียว ปรากฏว่าบิลออกมา 3 หมื่นกว่าเหรียญ ไม่มีประกัน สุขภาพ เพราะเป็นต่างชาติ....... เพื่อนมาเล่าให้ฟังอย่างสยดสยองมาก พร้อมกับพูดติด ตลกว่าอย่างนี้น่าจะปล่อยให้ชั้นตายไปเลยดีกว่า ที่ญปค่ารักษาพยาบาลไม่โหดขนาดนั้นค่ะ เวลาปวดหัวตัว ร้อนไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็จะตกราว ๆ 3-40 เหรียญ (แปลงจากเยน) เท่านั้น เพราะมีประกันสุขภาพ แล้วหาก ต้องกลับไปให้หมอตรวจอีกรอบแต่เป็นโรคเดิม ก็จะจ่าย แต่ค่ายา ไม่ต้องเสียค่าตรวจอีก แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 48 07:56:21 จากคุณ : fudge-a-mania - [ 8 มิ.ย. 48 07:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาอ่านแล้ว ขอแสดงความเสียใจด้วยกับครอบครัว ของเพื่อนคุณไก่ด้วย อ่านไปก้อให้คิดถึงตัวเองไปด้วย เรื่อง WILL ได้ทำไว้นานแล้ว เออ มาอ่านแล้วทำให้คิดเรื่องหลังการตาย เพราะไม่เคยคุยกัน มีคุยกันบ้างแบบไม่ซีเรียสนัก คงเพราะคิดแบบคนโบราณว่าไม่ให้พูดถึงมันเป็นลางค์ แต่ที่จริงมันน่าจะวางแผนอย่างที่คุณไก่มาเล่านะคะ คิดแล้ว เศร้าใจหดหู่ไงบอกไม่ถูก อยู่ที่ออส นี่ก้อต้องพยามทำตัวให้รายได้ต่ำๆไว้ เกินไป สัก หนึ่งเหรียญ ก้อเสียสิทธิไปสารพัด แต่ทุกวันนี้รายจ่ายทางบิลต่างๆก้อโขอยู่ ภาษีที่ดิน ภาษีรถภาษีการค้า สารพัด ยังดีที่เรามาอยู่ซ้านอกเมืองภาษีไรไรก้อไม่สูงเท่าพวกในเมือง แต่คงไม่สูงเท่าทางUSอย่างที่อ่านมาข้างต้น ขอบคุณมากคะที่นำมาเล่าเพื่อพวกเรา จะได้เตรียมคิดไว้แต่เนิ่นๆ เรื่องแบบนี้เกิดได้กับทุกคนช้าหรือเร็ว เรื่อง Plot นี่ทำให้อยากไปสอบถามว่าเราฝังในบริเวณ ที่ของเราเองจะได้ไหมหนอ เพราะเรามีที่มากมาย หากไปซื้อ Plot ที่อื่นเราก้อต้องเสียเงินมากมาย เออคงไม่ได้เนอะ ฮ่า ฮ่า เอองั้นเผาซ้าหมดเรื่อง แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 48 08:05:11 จากคุณ : จิงโจ้/ออสซี่ - [ 8 มิ.ย. 48 08:03:16 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เสียใจด้วยค่ะพี่ไก่ และขอขอบคุณที่มาเล่า ให้ฟัง เรื่องบิลจากโรงพยาบาล ก็เคยเจอ ค่ะ ส่งมาอยู่นั่นแล้ว แต่เรารู้ว่าเราไม่ต้อง จ่ายก็ทำเฉยๆ เพราะเคยโทรไปเคลียร์ที่โรง บาล เขาก็ไม่ว่าอะไร ประมาณว่า ค่ะๆ คุณไม่ต้องทำอะไร ให้เมินเฉยไปเลยค่ะ บางที คอมมันก็มีข้อมูลไม่ตรง บลาๆๆๆ เคยบ่นให้หมอ ฟัง หมอก็บอกว่า มันเป็นความฉลาดของโรงบาล ได้เงินสองต่อ ทั้งจากประกันและ คนไข้ ขอถามเรื่องพินัยกรรมหน่อยค่ะ เคยได้ฟังครอบครัวแฟนเขาคุยกัน เขาว่าอะไรนะ ถึงแม้เราไม่มีสมบัติ มีแต่หนี้บ้าน หนี้รถ สามีก็ควรทำ พินัยกรรมระบุว่าให้ภรรยาเป็นผู้จัดการ มรดกหรือคะ ไม่งั้นรัฐบาลจะยื่นมือมาร มาจัดการและทำให้เงินหรือสมบัตินิดๆหน่อยๆ ของเราหายเรียบ แจงฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่คนที่เป็นทนายความสองคนในครอบครัว เขาบอกให้ทำ แต่แฟนแจงก็ดื้อไม่ทำสักทีเขา ว่าไม่มีสมบัติอ่ะค่ะ(ประกันชีวิตน่ะมีค่ะ) จากคุณ : ปรารถนา - [ 8 มิ.ย. 48 08:15:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ว่าจะถามอยู่พอดีเลยคะว่าที่ อเมริกาไม่มีการเผาศพ พี่จิเข้ามาพูดถึงพอดีเลย คิดเหมือนกันว่า หากตัวเองตาย อยากให้เผาๆไปเลย ไม่อยากให้เป็นภาระคนข้างหลัง เห้นตอนงานศพแม่แล้ววุ่่นวายมากเลย พ่อแม่ไม่เคยมีใครวางแผนแบบนี้เลย พอแม่ไปคนนี้วุ่นวายเลย พี่จิ เรื่องใช้หนี้ คล้ายกับเรื่องหนึ่งของที่ฝรัง่เศสเลย แต่ไม่ค่อยเกียวกันเท่าไหร่ สามีเล่าให้ฟังว่า หากใครเช่าบ้านแล้วไม่จ่ายค่าเช่า เจ้าของบ้านไม่มีสิทธิไปไล่เขาออกโดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว แล้วถ้าเขาจ่ายๆหยุดๆ จ่ายนิดๆหน่อย ก็ไม่สามารถไล่ออกได้อีก เพราะถือว่าเขาก็จ่าย บางคนก็เอาช่องโหว่ตรงนี้มาใช้กอบโกบผลประโยชน์ จากคุณ : BFR - [ 8 มิ.ย. 48 08:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ฟังแล้วเศร้า เห็นใจ และสยองจริง ๆค่ะ ต้องแข็งแรง แข็งแกร่ง เท่านั้นนะคะ จึงจะดำรงอยู่ได้เป็นปกติ บ้านเรา มี 30 บาทรักษาทุกโรค แม้จะมีบ่น(ว่าห่วย)แต่คนจนก็ยิ้มรับ มีโอกาสได้เข้ารพ.รักษาโรคได้ทุกโรค (ที่เมื่อก่อนไม่มีโอกาส) กลุ่มข้าราชการบำนาญ ก็ได้รักษาฟรีตลอดชีพ(พร้อมคู่สมรส) แม้บางโรคจะไม่จ่ายยาแพง(จากตปท.)ให้ แต่หมอก็มีสิทธิพิจารณาให้ได้ เป็นกรณี ๆไป ฯลฯ ส่วนกลุ่มเอกชน พอเกษียณ คงต้องมีเงินออมเพียงพอ+ประกันสุขภาพ ไว้จ่ายยามเจ็บป่วย รพ.เอกชน ในเมืองไทย ดีเลิศทั้งด้านบริการและฝีมือ ก็เป็นที่นิยมของประเทศเพื่อนบ้าน หมายว่า เมืองเราฝีมือการตรวจรักษา เครื่องมือ ราคา ฯ ของการแพทย์ไทย เชื่อถือได้จึงไว้วางใจมาใช้บริการ   แต่คุณภาพรพ.รัฐของบ้านเมืองเรา(ด้วยงบประมาณ เรายังจน) ถือว่ายังด้อยอยู่ ค่ะ เป็นธรรมดาของชีวิตนะคะ พุทธองค์กล่าว ประมาณว่า "จงดำรงชีวิตอยู่ ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (ใช้ได้กับทุกเรื่อง)  เห็นด้วยเชียวค่ะ ต้องหันมาพิจารณาทบทวนตัวเองบ้างแล้ว (เป็นจริงเป็นจัง ด้วยการ เขียนบันทึก ลงนาม ให้คนในครอบครัวรับรู้ไว้ซะด้วย) เป็นประเด็นน่าสนใจมากค่ะ ขอบคุณ คุณกุลธิดา ที่จุดประกาย ความกังวล ให้ได้เตรียมพร้อม/ไม่ประมาท จากคุณ : samranjai - [ 8 มิ.ย. 48 08:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุญกับสามีอยู่ค่ะพี่ไก่ ว่าถ้าตายนี่คงเผา เถ้ากระดูกอะไรก็ตาม ไปโปรยที่สวยๆ ที่เราชอบ ไม่เปลืองเนื้อที่ สามีไม่มีศาสนา ก็ว่าคงทำอย่างนั้น เรื่องโรงพยาบาลกับการศึกษานี่ ปัญหาใหญ่สำหรับอเมริกาเลยนะคะ รัฐบาลล้มเหลวมากจริงๆ ในการทำให้ทั้งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ ทุกวันนี้มันแพงเหลือเกิน สุภาษิตฮิบรู เขาบอกว่า คนสุขภาพดีนั้น จะมีมงกุฏทองสวมอยู่ คนป่วยเท่านั้นที่จะมองเห็น จากคุณ : mrs.night owl - [ 8 มิ.ย. 48 08:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะพี่ไก่ เห็นด้วยค่ะว่าค่ารักษาพยาบาลนี่โหดจริงๆ  ถ้าเจ็บป่วยเป็นอะไรที่ต้องรักษาแบบเรื้อรังนี่ อยากจะบินกลับบ้านจริงๆ   พูดถึงเรื่องสุขภาพ คิดว่าจะทำ living will ไว้ก็เป็นเรื่องดีนะคะ จะได้ไม่ลำบากคนข้างหลัง   ขอบคุณพี่ไก่นะคะ ปล.ขอบคุณพี่ไก่อีกครั้งสำหรับหลังไมค์นะคะ เพิ่งได้อ่านไม่นานนี้เอง หลังไมค์ไป ไม่รู้พี่ไก่ได้หรือเปล่า ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ค่ะ ว่าอยากจะเอาคนมาช่วยเลี้ยงน้อง เพราะสัญญาที่ทำกับบริษัทคือ หลังจากได้ license จะทำ full time แล้วก็มีคนที่ไว้ใจได้และเค้าก็อยากมา แต่ยังไม่รู้จะจับต้นชนปลายยังไงดี คิดว่าจะรอให้สอบเสร็จก่อนแล้วค่อยเริ่มคิดอีกที จากคุณ : Monti Ta - [ 8 มิ.ย. 48 09:59:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของเพื่อนพี่ไก่ด้วยนะค่ะ เป็นกำลังใจให้พี่ไก่เสมอค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณพี่ไก่มากนะค่ะที่ได้เล่าเรื่องราวอุทาหรณ์สอนใจหลาย ๆ คน เกี่ยวกับชีวิตความเป็นไปของเพือ่นพี่ ฟังดูแล้วเศร้ามากเลยค่ะ สงสารทั้งภรรยาและลูก ๆ ของเค้ามากเลยค่ะ คนที่เป็นมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ หรือจะเรียกว่าโรคเผาผลาญเงินทองนี่ก็ยากลำบากมากที่จะรักษาให้หายขาด ส่วนมากแล้วก็ล้วนแต่สร้างภาระให้คนข้างหลังทั้งนั้นเลย  อยู่ที่นี่เวลายีนส์ไม่ค่อยสบายนิด ๆหน่อย ๆ ก็จะไม่ยอมไปหาหมอค่ะ เพราะค่าใช้นั้นแพงมาก ๆ เลย เพราะระบบประกันที่ใช้นั้นไม่ดีเลยค่ะ จะไปหาหมอทีก็แบบอาการแย่จริง ๆ ถึงจะยอมไปหาหมอค่ะ       ก็มีเรื่องที่อยากจะเล่าแบ่งปันประสบการณ์เหมือนกันค่ะ เป็นเรือ่งครอบครัวของแฟนนะค่ะ พ่อของแฟนนั้นเป็นโรคหัวใจ ท่านเสียชีวิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วค่ะ แฟนเล่าให้ฟังว่า ค่ายาค่าหมอแต่ละเดือนนั้นแพงสุด ๆ แต่ก็ยอมจ่ายกันมาตลอดเพราะอยากให้พ่อแฟนหายจากโรคนี้ อยู่มาวันหนึ่งพ่อแฟนเกิดอาการโคม่า แฟนกับแม่เลยพาเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน หมอก็พยายามปั้มหัวใจช่วยชีวิต แต่ท่านไม่หายใจไปประมาณ 15นาที ส่วนแฟนกับแม่แฟนก็นั่งร้องให้อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เพราะนึกว่ายังไงก็ไม่รอดแน่นอน เชื่อไหมค่ะ พ่อแฟนเล่าให้แฟนฟังว่า ช่วงระหว่างที่หมอปั้มหัวใจเค้านั้น วิญญาณของเค้าได้ออกจากร่างไปและก็ผ่านตรงห้องที่แม่แฟนและแฟนนั่งร้องให้กันอยู่ พ่อแฟนบอกว่าเห็นแม่กับแฟนนั่งร้องให้กันใหญ่เลย พอไม่นานพ่อแฟนก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อท่าน พอสักพักก็เริ่มมีสัญญาณหายใจ และก็รู้สึกตัวอีกทีค่ะ ตั้งแต่เจอเหตุการณ์ครั้งนั้น พ่อแฟนไม่เคยกลัวที่จะตายเลยค่ะ อาหารประเภทไหนที่หมอห้ามทานสำหรับคนเป็นโรคเดียวกับท่าน ท่านก็ทานทั้งนั้น เพราะท่านคิดเสมอว่าไหน ๆ ก็รักษาไม่หายก็มีแต่เสียตังค์เปล่า ๆ ยังไงก็ขอให้ได้ทานอะไร ๆ อร่อย ๆ มีชีวิตที่มีความสุขก่อนตายดีกว่า ถึงตายแล้วจะได้ทานหรือเปล่าก็ไม่รู้และก็คงไม่ได้ทำอะไรที่ตัวเองคิดอยากจะทำแน่นอน มาพักหลังเวลาที่พ่อแฟนเจ็บป่วยมาก ๆ ท่านก็ไม่เคยไปหาหมอเลยนะค่ะ และก็ไม่เคยบ่นด้วยค่ะ  ท่านบอกแฟนเสมอว่า ถ้าพ่อจะตายก็ขอนอนตายที่บ้านดีกว่า ไม่อยากให้ลูกเมียต้องรับภาระหนี้สินค่ารักษาพยาบาลตามหลัง สุดท้ายพ่อแฟนก็จากไปอย่างมีความสุขจริง ๆ ค่ะ  คือท่านนอนดูทีวีแล้วท่านก็เสียชีวิตไปเลยค่ะ ส่วนแฟนกับแม่แฟนก็ไม่ต้องรับผิดชอบปัญหาต่าง ๆ เพราะพ่อแฟนวางแผนอย่างดีไว้ก่อนแล้วค่ะ       ส่วนยีนส์กับแฟนนั้นก็เคยคุยกันเรือ่งนี้ตั้งนานแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้ทำ Living will ทำแค่พินัยกรรมอย่างเดียวค่ะ  คิดว่าคงต้องหาโอกาสกลับไปบ้านแฟนที่ต่างเมืองอีกครั้ง และก็คงไปจัดการเรือ่งนี้กับทนายความก่อนที่แฟนจะเปิดเทอมค่ะ ส่วนแผนที่คิดกันเอาไว้ก็คือ ถ้าหากเกิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สบายแบบโอกาสรักษาให้หายนั้นน้อยมาก สิ่งเดียวที่ตัดสินใจก็คือกลับเมืองไทยอย่างเดียวค่ะ ส่วนแฟนนั้นก็คุยกันไว้แล้วว่า ถ้าเกิดว่ายีนส์หรือแฟนเสียชีวิตกะทันหันก็ขอให้เอาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่สามารถบริจาคช่วยเหลือชีวิตคนอื่น ๆ ได้ ก็ขอให้บริจาคให้กับโรงพยาบาลไป นอกจากนั้นก็ขอให้เอาศพส่วนที่เค้าไม่ต้องการกลับเมืองไทย แต่ถ้าค่าใช้จ่ายในการขนส่งตรงนี้มันแพงมาก ๆ ก็ขอให้จัดการเอาศพไปเผาที่วัดลาวไกล้ ๆ บ้าน แล้วก็เอาผงเถ้าถ่านไปใส่ในอัฐิที่กำแพงวัดแถวบ้านที่เมืองไทย ไม่ต้องรอญาติพี่น้องของยีนส์บินมางานศพ ไม่ต้องจัดงานอะไรมากมาย กลับไปเมืองไทยแล้วก็ค่อยนิมนต์พระมาสวดและทำตามประเพณีแบบบ้านเราค่ะ ส่วนเงินประกันชีวิตและทรัพย์สินที่หามาด้วยกันนั้นก็ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ใช้ดำเนินชีวิตต่อไปค่ะ จริง ๆ แล้วเวลาคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เศร้าทุกทีเลยค่ะ  ไม่ใช่เศร้าเพราะกลัวตายนะค่ะ เพราะเรือ่งนี้ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่กลัวที่สุดก็ความห่วงใยคนข้างหลังมากกว่าค่ะ ไม่รู้เค้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ตอนนี้ยีนส์ยังไม่คิดมากแต่ถ้าวันใดที่มีลูก ก็คงต้องคิดหนักกว่านี้ค่ะ    พี่ไก่ทำใจให้สบายนะค่ะ แล้วอย่าลืมพักผ่อนให้มาก ๆ เป็นห่วงนะค่ะ จากคุณ : roslita - [ 8 มิ.ย. 48 10:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มาเล่าต่อค่ะ เมื่อกี้โทรศัพท์คุยกับดอนน่า เขาบอกว่าเรื่องหนี้โรงพยาบาลของรัฐหรือของเมืองนี่ไม่มีปัญหาเพราะเขาทำ payment plan ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ที่นั่นยกหนี้ให้เลย ปัญหาคือหนี้ของโรงพยาบาลเอกชนน่ะค่ะ อัลเลนไปทำผ่าตัดที่ Duke (เป็นโรงพยาบาลแพทย์ของมหาวิทยาลัย Duke) 2 ครั้ง โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน แถมประกันที่มีก็ไม่ cover ด้วยค่ะ แล้วก็ไปทำผ่าตัดที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย Baylor ที่รัฐ Texas อีกครั้งนึง คือพี่ชายของอัลเลนที่เป็นมะเร็งอยู่เหมือนกัน เขาแนะนำให้ไปลองที่นั่นด้วย โรงพยาบาลที่อยู่รัฐอื่น ประกันของรัฐนี้ไม่ cover แถมค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านๆมาก็ทำเอาหมดตัวเลยค่ะ เขาบอกว่าที่มีปัญญาผ่อนใช้เงินค่ารักษาอัลเลนมาได้ตลอดก็เพราะมีรายได้จากทั้งสองคน ปรากฎว่าอัลเลนยังไม่ออกจากงานค่ะ จะเกษียณก็ยังไม่ได้ด้วย เพราะอายุยังไม่ถึงที่จะเกษียณได้ ถ้าเกษียณเเล้วก็จะดีขึ้นนิด คือพอตาย ครอบครัวรับเงินเกษียณนั้นได้บ้างนิดหน่อย ตอนเเรกคิดว่าเขาเกษียณเเล้วเสียอีกค่ะ พอตายขณะที่ยังไม่ลาออกจากงาน ก็หมายถึงเงินที่เขาจ่ายๆไปใน retirement plan ก็ศูนย์เปล่า รายได้จากเงินเดือนของอัลเลนก็จบลงเเค่เมื่อเขาตาย ตอนนี้รายได้ทั้งบ้านมาจากเงินเดือนของดอนน่าคนเดียว พูดถึงเรื่องนี้ทำให้คิดถึงเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คนนึงที่เมืองที่อยู่ค่ะ คนนั้นเวลาไปส่งจดหมายที่ไปรษณีย์ทีไรก็จะเจอเขาทุกที เขาชอบนิกกี้ (ลูกสาวน่ะค่ะ) เขาเห็นนิกกี้มาตั้งเเต่ยังเเบเบาะเลย ตอนที่เขาใกล้จะเกษียณเขาก็พูดให้ฟังทุกวันที่ไปไปรษณีย์ว่าเขาจะเกษียณเเล้วนะ ปรากฎว่าเขาเกษียณได้ไม่กี่วันหัวใจวายตายเเบบกระทันหัน ยังไม่ทันได้รับเช็คใบเเรกจากเงินบำนาญเลยด้วยซ้ำไปค่ะ ทำงานมาเป็นสิบๆปี เงินที่จ่ายๆไปใน retirement plan สูญเรียบ พูดถึงดอนน่าต่อ ทีนี้ตอนนี้พอสามีตาย ครอบครัวของดอนน่าก็เลยมีรายได้จากดอนน่าคนเดียว เงินเก็บไม่มีเหลือ เเถมมีหนี้ มีค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายอีกจิปาถะ ต่อไปก็ต้องมีค่า day care เพื่อดูแลลูกด้วย หนักจริงๆเลยนะคะ เหมือนที่เขาพูดเลยว่า เหมือนกับทั้งหมดมันอยู่ดีๆก็ crash ลงมาบนตัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แจงคะ หมายถึง living will หรือเปล่าคะ พี่ทำไว้หลายปีแล้วเหมือนกันค่ะ ระบุไว้ละเอียดเลยว่าต้องการยังไง ทรัพย์สมบัติที่มีร่วมกันมีอะไรบ้าง คิดว่ายังไงก็คงพอมีแนวทางบ้างถ้าคนที่บ้านเป็นอะไรไป จริงค่ะ ได้ยินมาเหมือนกันว่าถ้าไม่มี will เอาไว้ รัฐมีสิทธิเข้ามาจัดการยึดบ้าน ยึดสมบัติของเราได้ ไม่เเค่นั้นนะคะ ถ้ามีใครเกิด contest สิทธิในสมบัติเราขึ้นมา เราอาจเสียของที่เราเคยคิดว่าเป็นของเราไปก็ได้ด้วยค่ะ มีคนรู้จักคนนึงพอสามีตาย ปรากฎว่าบ้านที่เขาอยู่ถูกภรรยาเก่าของสามียึดเอาไป เพราะในพินัยกรรมของสามีของเขาที่เขาเคยทำไว้กับภรรยาเก่า มันระบุไว้ว่าอย่างนั้น เเล้วเมื่อเขาหย่ากัน เเล้วเขาเเต่งงานใหม่ เขาก็ไม่ทันได้คิดจะเปลี่ยนพินัยกรรมใหม่ด้วยค่ะ เรื่องพวกนี้มันคิดแล้วหดหู่นะคะ แต่คิดว่ายอมหดหู่ตอนนี้เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในอนาคตจะดีที่สุดค่ะ เพราะถ้าคนในครอบครัวของเราเป็นอะไรไป ภาระที่เราต้องแบกรับมันเยอะไม่น่าเชื่อเลยแหละค่ะ แถมเราอยู่กันในประเทศที่ไม่มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือด้วยเเล้ว ยิ่งต้องวางเเผนกันหนักกว่าคนที่มีครอบครัวพ่อเเม่พี่น้องอยู่ในประเทศเดียวกัน จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 10:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เสียใจแทนคุณไก่ที่เสียเพื่อนไปนะคะ เรื่องระบบรักษาพยาบาลที่เมกานี่นับว่าล้มเหลวจริงๆ ตัวเองก็มีประสบการณ์ไม่ดีกับระบบนี้เมื่อตอนที่ประสพอุบัติเหตุจักรยานตกถนน แล้วข้อมือหัก ช่วงนั้นยกเลิกประกันสุขภาพไปแล้วเพราะส่งไม่ไหวค่ะ 2 คนเดือนละเกือบ $ 600 สามีทำงานน้อยเพราะดูแลแม่ ค่าใช้จ่่ายในบ้านแม่สามีจ่ายส่วนใหญ่ ตอนเข้า ร.พ ก็เซ็นเอกสารขอความช่วยเหลือจากรัฐ อยู่ ร.พ แค่ 2 คืน บิลมา $ 23,000  ตอนแรกรัฐปฎิเสธ แต่เราสู้มา 4-5 เดือนค่ะ เราชนะ จ่ายส่วนของหมอ $ 2 พันกว่า ที่เหลือรัฐจ่าย อีกประสบการณ์นึง เมื่อปีที่แล้ว แม่สามีเริ่มไม่สบายด้วยโรคมะเร็ง คนแก่อายุ 84 ปี ไปนอน ร.พ มาเดือนนึง บิลทะยอยมาเป็นตั้ง สูงขึ้นทุกวัน กลับมาอยู่บ้านก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นั่งเซ็นเช็คจ่าย ร.พ  แกทนอยู่ได้แค่ 6 เดือน แกก็ไม่รักษาแล้ว แกกลัวลูกลำบาก กลัวว่าเงินที่เก็บไว้ให้ลูกจะหมด ในที่สุดแกก็เสียที่บ้านค่ะ อยู่ในความดูแลของ Hospiec ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลทีดูแลผู้ที่ต้องการจากไปอย่างสงบ องค์กรนี้น่าทึ่งมาก ทำงานกันเป็นระบบดี ไม่คิดเงินแม้แต่เซ็นต์เดียว  แล้วแม่สามีก็ไม่ยอมให้ลูกลำบากเลยนะคะ สั่งไว้ให้เผาและห้ามมีพิธีีใดๆด้วย  แกทำ Will and Living Trust ไว้ เชื่อไม๊ค่ะเราต้องมาจ่ายค่าทนายอีกเกือบหมื่นเหรียญเพื่อเปลี่ยนพินัยกรรมให้เป็นถูก ก.ม ที่เมกามี 2 อาชัีพ หมอกับทนายที่สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน เรา 2 คนก็ทนกับระบบนี้ไม่ไหว ปีหน้าเราจึงจะย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย อยู่ที่นี่เวลาป่วยที ก็ไม่สามารถไปหาหมอได้ทันที ต้องนัดค่ะ 2 เดือนได้คิว ถึงตอนนี้ต้องกัดฟันทำประกัน กลัวเรื่องอุบัติเหตุ แต่เวลาไม่สบายก็ยังไม่อยากไปหาหมออยู่ดี เรื่องมากเหลือเกินจะหาหมอทั้งที เวลาเลือกตั้งประธานาธิปดี ก็เห็นหยิบเรื่องนี้มาพูดทุกที ยังไม่มีประธานาธิปดีคนไหนทำสำเร็จ จากคุณ : >>>Seaworld<<< - [ 8 มิ.ย. 48 11:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มาแสดงความเสียใจด้วยคนนะคะ ได้อ่านแล้วหดหู่ใจจัง เรื่องคิดล่วงหน้าตัวเองก็มีคิดไว้บ้าง แต่บอกตรงๆ ว่าตัวเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเงินเลยเช่นกัน อ่านแบบนี้ก็ทำให้เราได้ฉุกคิดเป็นอย่างดี แม้ไม่ใช่อเมริกา...ตัวเองอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ระบบการรักษาพยาบาลก็สูบเลือดสูบเนื้อไม้แพ้กันอีกทั้งหากใครเกิดเจ็บป่วยขึ้นมานั่นคือต้องรอนัดหมอว่าเมื่อไหร่เขาจะให้คิดเราได้ เคยมีครั้งหนึ่งเราปวดฟันสมัยมาใหม่ๆ ยังไม่มีประวัติการรักษา ปวดจนทรมานคะกว่าจะสามารถนัดหมอได้กินเวลาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนหลายๆ ที่ ที่ติดต่อไปนั่นคือคิวให้รอเป็นเดือน...เฮ้อ...คนปวดฟันรอเป็นเดือนถอนทิ้งเองดีกว่า ขอบคุณคุณไก่ที่มาให้ข้อคิดนะคะ จากคุณ : marinesnow - [ 8 มิ.ย. 48 11:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะคุณกุลธิดาที่เสียเพื่อนไป ระบบการรักษาพยาบาลที่อเมริกานี้สูบเลือดเนื้อจริง ๆ ค่ะ เพื่อนบ้านกันนะคะ เป็นพนักงานระดับบริหารบริษัทใหญ่ อยู่ดี ๆ วันหนึ่งอุบัติเหตุจากกระดูกสันหลัง ต้องเป็นคนไร้สมรรถภาพ ไร้งานและรักษาตัวอยู่ 2-3 ปี ต้องขายบ้านไปอยู่อพาร์ทเมนท์แล้วค่ะ และขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ต้องอยุ่อย่างกระเหม็ดกระแหม่ น่าสงสารจริง ๆ ค่ะ เพราะค่ารักษาพยาบาลแพงเนี่ยแหละค่ะ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐนะคะ จากคุณ : น้านก (Aunti-นก) - [ 8 มิ.ย. 48 12:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านเเล้วสงสารภรรยาคุณอัลเลนมากๆเลยค่ะ ทั้งสูญเสียสามีเเละต้องมาตามรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลอีก ชีวิตคนเรานี่ไม่เเน่ไม่นอนจริงๆ เคยดูรายการ 60 minutes ที่นี่เค้าเจาะเรื่องค่ารักษามหาโหดที่ อเมริกาตอนนี้รายการนำเสนอว่าอเมริกันชนเริ่มไปสรรหาการรักษาพยาบาลนอกประเทศตัวเองเพราะสู้ ค่าใช้จ่ายไม่ไหว เค้ามาถ่ายที่บำรุงราษฎร์ด้วยน่ะค่ะว่าเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยเเละค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบ กับที่อเมริการเเล้วถูกกว่ากันหลายเท่าตัว อินเดียก็เริ่มจะเข้ามาเเข่งขันในด้านนี้ด้วยเค้ามีภาษีมากกว่าเรา เพราะเรื่องภาษานี่หละค่ะ เห็นเเล้วก็ได้เเต่ถอนใจว่าอย่าให้ตัวเองเป็นโรคร้ายที่นี่เลย จากคุณ : Jamigirl - [ 8 มิ.ย. 48 12:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอแสดงความเสียใจกับพี่ไก่ด้วยค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วเศร้าจังค่ะ แต่เห็นด้วยเรื่องที่ว่าความตายมันไม่ไกลตัวเราเลยแต่ไม่มีใครเตรียมตัวตายกันสักเท่าไหร่ เคยถามสามีเหมือนกันว่าหากเราตายก่อนจะจัดการศพอย่างไร เขาก็บอกไม่อยากได้ยิน เป็นไปซะงั้น เรื่องสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่อิตาลี่ยังถือว่าดีค่ะ(ตอนนี้) เพราะยังรักษาฟรีหลายอย่างและรัฐจ่ายให้ทั้งหมด แต่ก็แตกต่างกันในแต่ละแคว้น ไม่ค่อยเห็นใครทำประกันค่ารักษาพยาบาลกันเท่าไหร่ แต่ในอนาคตไม่แน่ค่ะ เพราะเห็นนายกฯอิตาลี่เคยเปรย ๆ ว่าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบคล้ายของอเมริกา หลังจากพูดไม่นาน ก็มีการเลือกตั้งระดับย่อย ปรากฏว่าฝ่ายค้านได้ที่นั่งไปเกือบหมด ที่อิตาลี่ก็คงหวังใช้เงินบำนาญตอนแก่ไม่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะได้น้อยมาก แถมคนแก่เยอะมาก อายุยืนอีกต่างหาก เมื่อก่อนเคยกำหนดอายุทำงานที่ได้เงินบำนาญ 30 ปี ได้เมื่ออายุเกษียณ 60 ปี กลายเป็นรัฐบาลขยับเปลี่ยนไปเรื่อย จาก 60 ปี เป็น 65 และ อาจจะเป็น 70 ปีก็เป็นได้ในอนาคต   หลายคนอาจจะไม่ทันคิด แต่นี่คือสัญญาณอันตรายมาก ๆ กว่าจะได้ใช้เงินบำนาญคงตายก่อนแน่ ๆ เรื่องลูก นี่ เห็นด้วยนะคะว่าต้องวางแผนจนถึงเขาเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ยังไม่มีลูกค่ะ กลัวเหมือนกันเพราะอายุมากกันทั้งคู่แล้วหากส่งเสียให้เขาได้เรียนถึงมหาวิทยาลัย ถึงตอนนั้นก็ต้องใช้เงินเก็บแน่ ๆ สามีค่อนข้างตระหนักเรื่องนี้ คุยกันประจำเรื่องนี้ ไม่เคยคาดหวังจากประกันสังคมจากรัฐฯ ต้องเก็บเอง โชคดีที่ไม่มีหนี้สิน และ ไม่ต้องผ่อนบ้าน หากใช้จ่ายประหยัดก็พอมีเก็บไว้ใช้ยามแก่ ขอบคุณพี่ไก่ ที่เอามาเล่าให้ฟัง ถึงจะอ่านแล้วเศร้าแต่เป็นเรื่องที่เตือนใจและเป็นประโยชน์อย่างมาก ๆ สำหรับการใช้ชีวิตอย่างเตรียมพร้อม จากคุณ : Rosa Rossa - [ 8 มิ.ย. 48 13:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เสียใจด้วยค่ะพี่ไก่ เรื่องเพื่อน ขอให้คุณดอนน่าผ่านทุกอย่างไปด้วยดีนะคะ จากคุณ : Angel N. - [ 8 มิ.ย. 48 15:03:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 พี่ไก่พูดถึง retirement plan ใช่ใน 401K หรือเปล่าคะ แปลกใจว่าถ้าเป็นเงินสะสมแบบนั้นทำไมเราไม่ได้ เพราะอย่างของแฟนปอมเขามีระบุว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ 401K ถ้าหากเกิดว่าเจ้าของแอคเคาน์เสียชีวิต รู้แต่ว่าถ้า social security คู่สมรสอาจจะไม่ได้ ถ้าหากว่าใครคนนึงคนใดตายก่อน ถ้าจะเอาเงินของคนตาย คนที่อยู่ก็ต้องสละเงินในส่วนของตัวเองที่ได้ นี่กำลังคิดกันอยู่เรื่องประกันชีวิตที่นอกเหนือจากประกันสุขภาพค่ะ เพราะห่วงลูก ยังไงๆถ้าเป็นอะไรไปประกันชีวิตก็ยังได้เงินแน่ๆ จากคุณ : ปอมปอมเกิร์ล - [ 8 มิ.ย. 48 16:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อยู่อเมริกาสุขสบายตอนหนุ่มสาว...แต่ถ้าแก่เจ็บป่วยนี่อยู่ยุโรปดีสุดๆ... จากคุณ : p_bee - [ 8 มิ.ย. 48 17:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33 งั้นก็คอนเฟิร์ม เป็นอย่างที่แจงกลัวจริงๆ ขอบคุณมากค่ะพี่ไก่ ต้องไปหาฟอร์มมา อ่านๆดูบ้างแล้วค่ะ living will/will จากคุณ : ปรารถนา - [ 8 มิ.ย. 48 19:53:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยคนนะคะ หวังว่าวันนึง เค้าคงดีขึ้น ให้กำลังใจจากใจจริงนะคะ จากคุณ : เก๋ (ยัยเจี๋ยมเจี้ยม) - [ 8 มิ.ย. 48 21:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านไปก็หดหู่ใจไปด้วย ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวเพื่อนพี่ำไก่ด้วยนะคะ วันก่อนเจ็บมือนิดเดียวตกใจแทบแย่ กลัวต้องได้ไปโรงพยาบาลหาหมอ เรื่อง Will เคยคุยกับสามีเหมือนกันค่ะว่าจะพากันทำ คุยกันอยู่เรื่อยๆแต่ยังไม่ได้ทำเลย อุอุ.. ส่วนถ้าตายนี้ ความคิดตรงกันทั้งสองคนกับสามีเลยว่าเผาร่างไปซะให้หมดสิ้น เผาแล้วก็เอากระดูกไปโรยเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ไป... ค่าโรงพยาบาล ขนาดทารกเพิ่งคลอดก็โดนชาร์ตค่าห้องด้วย ขนาดไม่ได้ค้างคืนนะคะ หุ.หุ..(หรือเค้าชาร์ตทุกที่ในโลกคะ) จากคุณ : ปูขาเก เซมารู - [ 8 มิ.ย. 48 22:43:13 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ของ federal government ไม่ได้เป็น 401(k) ค่ะปอม เป็นคล้ายๆระบบเงินบำนาญของไทยมั้งคะ พี่เดาเอานะคะ ของพี่ในฐานะเป็น state employee ก็คล้ายๆอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ คือเราดึงเอามาไม่ได้ หรือถ้าเราเป็นอะไรไป ญาติก็ดึงเอามาไม่ได้จนกว่าจะถึงอายุ 60 ปีหรือ 62 เหมือน draw เงิน social ของญาติที่เสียชีวิตไปแล้วน่ะค่ะ พูดถึงเรื่องนี้สงสัยพี่ต้องไปเช็คของพี่ซะแล้วว่าของพี่จะเริ่ม draw มาได้เมื่อไหร่ถ้าพี่เป็นอะไรไป แจงคะ ลูกชายของเพื่อนของสามีพี่เป็นทนาย พี่กับแฟนเป็นลูกค้าคนเเรกของเขาเลยค่ะ ตอนนั้นเขาเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เพิ่งได้งานที่สำนักงานทนายความเเห่งนึง พี่กับเเฟนให้เขา draw living will ให้ เป็นงานชิ้นแรกของเขาเลยค่ะ ตอนนั้นเขาคิด $ 150 ค่ะ ทุกวันนี้รายได้เขาปีละเกือบล้านแล้วค่ะ เขาเป็น corporate lawyer ทนายความด้านนี้รวยพอๆกับลูกค้าเลยแหละค่ะ เคยแหย่เขาว่าเดี๋ยวนี้ให้เขาทำ living will ราคา $ 150 เขาคงเมินเเล้วนะ ขอบคุณทุกๆคนนะคะที่มาร่วมคุยด้วย เช้าวันที่รู้ว่าเพื่อนตาย แล้วภรรยาของเขาเหมือนคนหลงทางแบบนั้นนี่คิดถึงน้องๆเพื่อนๆห้องนี้ก่อนที่ไหนหมดเลยค่ะ คือมีความรู้สึกว่าเราคล้ายๆอยู่เรือลำเดียวกัน บางเรื่องเราคิดไปไม่ถึง พอมาเห็นด้วยตัวเองแบบนี้ก็เลยทำให้ได้คิด แล้วก็คิดว่าเอามาเล่าน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆเพื่อนๆที่นี่บ้าง อีกอย่างที่อยากเเนะนำให้ทำคือทำวีดีโอสมบัติที่มีอยู่ (ซึ่งของตัวเองก็ไม่ได้มากมายอะไรนะคะ) แล้วเอาไปเก็บไว้ที่ safe deposit box ที่ธนาคาร จะได้รู้ว่าเรามีอะไรบ้าง safe deposit box นี่ก็มีอยู่นานเเล้ว เเต่ไม่เคยสนใจเลยนะคะว่ามันเปิดได้ยังไง เเละกุญแจเก็บอยู่ที่ไหน ด้วยความชะล่าใจไงคะเพราะคิดว่าปล่อยให้คุณสามีท่านรับผิดชอบเรื่องทำนองนี้ทั้งหมดน่ะดีเเล้ว ตอนนี้ถามเขาเเล้วค่ะว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไม่งั้นเกิดคุณเธอเป็นอะไรกระทันหัน ของสำคัญที่มีอยู่ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนบ้างเเล้วจะไปเอาออกมายังไงนี่สิคะ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 48 01:03:57 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 8 มิ.ย. 48 22:54:44 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะ คุณกุลธิดา เสียใจด้วยนะคะ เพื่อนรักจากไปอย่างนี้ เค้าไปสบายแล้วค่ะ เหลือแต่เราคนที่อยู่นั่นแหละที่เป็นทุกข์  เสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียด้วยค่ะ กระทู้นี้มีประโยชน์มากเลยค่ะ ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าจริงๆ ยิ่งคนที่มีลูกแล้ว ยิ่งต้องคิดใหญ่เลย ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : sandpainter - [ 9 มิ.ย. 48 03:04:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เสียใจด้วยนะคะ เรื่องบิลค่ารักษาพยาบาลและระบบการรักษานี่ขิมรู้ซึ้งแก่ใจมากค่ะ เพราะเจอกับตัวเองมาแล้ว มีเพื่อนขิมคนนึงพ่อเค้าเป็นโรคไตจนต้องผ่าตัดเปลี่ยนไต เค้ารู้ว่าจะต้องใช้เงินเยอะมากๆ ขิมไม่ทราบว่าเค้าทำเรื่องยังไง แต่ว่าเค้ายกทุกอย่างให้ลูกชายหมดเลยค่ะ แล้วก็เคลมว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นค่ารักษาต่างๆในการผ่าตัดเปลี่ยนไต และค่ายาหลังจากนั้น ซึ่งต้องกินตลอดชีวิตและก็แพงด้วย เค้าเลยไม่ต้องออกเองเลย เพื่อนบอกว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ครอบครัวเค้าคงล้มละลาย พ่อเค้าอยู่มาได้ประมาณ 2 ปีหลังเปลี่ยนไตก็เสียชีวิตไป เรื่องวางแผนอนาคต เมื่ออาทิตย์ก่อนมีเพื่อนชวนให้เป็นตัวแทนบริษัท primerica ขายประกันชีวิต mortgage loan และ mutual fund แถมเพื่อนทำ financial analysis ให้ด้วย ในนั้นมีคำถามว่าตอนนี้ใครต้องพึ่งรายรับจากใครมั้ย มีหนี้เท่าไหร่ เกษียณแล้วอยากมีรายรับเดือนเท่าไหร่ กะจะเกษียณเมื่ออายุเท่าไหร่ ถ้าใครคนนึงตายกะประมาณว่าค่าทำศพจะเท่าไหร่......ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในสมองเลยค่ะ มาอ่านเจอในกระทู้นี้แล้ว ก็เพิ่งคิดได้ว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเตรียมจริงๆไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็ประมาทไม่ได้ ยิ่งถ้ามีลูกคงต้องคิดเยอะกว่านี้อีกค่ะ จากคุณ : ...kiki... - [ 9 มิ.ย. 48 06:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พี่ไก่ ขอบคุณค่ะที่เอาเรื่องนี้มาคุยกัน บางเรื่องเราไม่เึคยเตรียม ไม่เคยคิด คิดแต่ว่ามันเรื่องไกลตัวเอาไว้ก่อนก็ได้ คนจะอยู่จะไป ปุ๊บปั๊บจริงๆค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วก็มาคิดเรื่องของตัวเอง เอ้อ ไม่รู้จะเป็นยังไง คงต้องเริ่มๆคิดบ้่างแล้วล่ะคะ ตัวเองเพิ่งไปสร้างหนี้ก้อนใหญ่ไว้ด้วย คิดเหมือนกันถ้าเป็นไรไปก็ให้ยึดบ้านไปเลย เพราะไม่มีทายาทมารับช่วงต่อ ก่อนหน้านี้มีเพื่อน ส่งหลักฐานโอนเงินมาให้เก็บไว้ บอกว่า just in case ตอนเราฟังทีแรกก็ตกใจ มีไรหรือเปล่าเนี่ย แต่ความจริงก็เป็นเรื่องการเตรียบตัวไว้ล่วงหน้า จากคุณ : pixp - [ 9 มิ.ย. 48 23:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อยู่ตัวคนเดียวก็น่ากังวลไปอีกเเบบนะคะทราย เคยอยู่คนเดียวตอนสมัยเรียนหนังสือเหมือนกันค่ะ เป็นสิบปีเลยตอนนั้น เคยคิดกลัวเหมือนกันค่ะว่าถ้าเราเป็นอะไรไป เราจะทำยังไง เล่าต่ออีกนิด คือไปสอบถามเรื่อง next of kin ของคนที่ทำงานกับ federal government เเบบอัลเลนมาค่ะ คือดีที่ปอมยกเรื่องเกี่ยวกับ 401(k) ขึ้นมา ก็เลยคิดได้ถึงเรื่องทำนองนั้น ของ fed. government employee ไม่มี 401(k) มี retirement plan ซึ่งปรากฎว่าเงินบำนาญในลักษณะนั้นเป็นของคนทำงานคนนั้น ถ้าคนๆนั้นตายไป ญาติจะได้เพียงเงินจาก social security จะไม่ได้เงินใน retirement ของคนๆนั้น ทำใมถึงเป็นเเบบนั้นก็งงเหมือนกัน ในกรณีนี้ลูกสองคนของอัลเลน ลูก collect เงิน social security ของพ่อได้เลย ไปเช็คมาเขาบอกว่าได้เดือนละ $ 700 กว่าเท่านั้นเองค่ะ ก็ยังดี เเต่เงิน retirement ของอัลเลน ทั้งลูกทั้งเมีย ไม่ได้เลยซักอีเเปะเดียว มี federal employee อีกลักษณะนึง ที่เรียกว่า civil service เเบบนั้นในส่วนเงินบำนาญของคนๆนั้น ถ้าคนๆนั้นตายไป next of kin จะได้เงินบำนาญของคนนั้นส่วนนึง ไม่มากค่ะ ขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่อยู่กินกันด้วย เเล้วได้ตามเปอร์เซ็นต์ เล่าให้ฟังเผื่อใครเข้าข่ายสองกรณีนี้นะคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 10 มิ.ย. 48 00:21:37 ]

ความคิดเห็นที่ 41 พี่ไก่คะเสียใจด้วยค่ะ *ที่ส่งไปอ่ะหนูเองค่ะ* ค่าหมอที่อเมริกาแพงก็ไอ้ประกันเนี่ยแหล่ะ อย่างแฟนหนูที่เคยเล่าให้พี่อ่ะค่ะ ทำได้เท่าไหร่ก็ต้องจ่ายประกันปีๆ นึงเป็นแสนเหรียญ สุดท้ายคนไข้ก็ต้องรับไอ้ส่วนนี้ไป อันที่จริงการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยน่ะดี แต่ก็เพราะมีอะไรนิดหน่อยยอมความกันไม่ได้ ต้องฟ้อง มันเหมือนลูกโซ่นะ ถ้าหมอไม่ต้องจ่ายค่าประกันสูง ๆ คนไข้ก็คงไม่ต้องรับผิดชอบค่ารักษาแพงๆ หรอก พี่คะ สิทธิคู่สมรสตามสามีในการเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลของอินเดียน*ฟรี*อ่ะค่ะ หนูยังไม่ได้ตอนนี้ก็มีประกันสุขภาพ แต่เท่าที่ทราบมาเค้าจะแก้กฎในเร็ววันให้คู่สมรสด้วย สิทธิที่ว่าคือคนที่มีเชื้อสายสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีวิต รวมถึงการส่งต่อเคสด้วยอ่ะค่ะ เรื่องการวางแผนการใช้เงินเนี่ยสำคัญ ที่หนูทำตอนนี้ก็พวกประกันชีวิต พอมีลูกมันก็มีห่วงจริง ๆ ค่ะ จากคุณ : sri123 - [ 10 มิ.ย. 48 00:44:50 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาแสดงความเสียใจด้วยค่ะ ขอบคุณพี่ไก่ที่เข้ามาเล่าด้วยค่ะ เข้ามาอ่านแล้วได้ประโยชน์หลายอย่างเลยค่ะ เรื่องระบบ รพบ ของที่นี่เห็นด้วยกับพี่ไก่ และหลายๆ คนค่ะ  มีลูกจ้างที่ทำงานของแฟนขอลาไปผ่าตัด (ศัลยกรรม) แต่ไปถึงอังกฤษ (ไม่รู้ของที่นู่นถูกกว่าหรือเพราะอะไร ไปไกลถึงนู่นเลย) พูดถึงเรื่องการวางแผนแล้ว หลังจากที่อ่านของพี่ๆ ทำให้มานึกถึงของตัวเอง  ตอนก่อนหน้านี้คิตก็ได้ทำ  403 (b) saving plans ค่ะ  ระบุชื่อแฟนไว้เป็นคนรับผลประโยชน์เหมือนกัน แต่พอมาอ่านของพี่ไก่ เดี๋ยวต้องไปดูให้ละเอียดอีกที พูดถึงเรื่อง Living Will/Will ตอนแรกคิตไม่ได้นึกถึงเลยค่ะพี่ไก่  ไม่คิดจะทำด้วย แค่คิดกันเองว่า หากใครเป็นอะไรไปก็แค่เผา ไม่ต้องทำพิธีอะไร แล้วให้อีกคนดูแลจัดการ  ตอนนี้ที่ทำก็มีแค่ประกันชีวิต กับซื้อ Savings Bond และซื้อทองเก็บไว้ (คิตคิดว่าซื้อทองก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะค่าเงินมีขึ้นมีลง แต่ทองมีแต่จะขึ้น .... แต่ซื้อทอง ซื้อที่บ้านเราเนื้อดีกว่าที่นี่ ลายเยอะกว่าด้วยค่ะ .. นอกเรื่องหัวข้ออีกแล้ว ขอโทษพี่ไก่ด้วยค่ะ) อ่านๆ ของพี่ไก่แล้วมาเจอ safe deposit box  อีก ตอนนี้ยังไม่ได้เอาอะไรไปใส่เลยค่ะ ปล่อยว่าง ไม่ได้ไปซักที บางทีคิดว่าเก็บไว้อยู่กับตัว โล่งใจกว่าด้วยค่ะ แต่คงไม่ปลอดภัย (พึ่งคิดจะเปิด เพราะธนาคารเปิดให้ใช้ไม่คิดตังค์อ่ะค่ะ แหะๆ)   เดี๋ยวขอใช้ไอเดียของพี่ไก่ เรื่องวีดีโอสมบัตินะคะ (มีกับเขาไม่กี่อย่างเองค่ะ ฮะๆ) จริงๆ แล้ว ทั้งหมดทั้งมวล ตัวเองก็เหมือนกับพี่ๆ (ที่มีลูก) คือ ไม่เคยคิดจะวางแผน จนมามีลูก ถึงได้มานั่งคิดนี่แหล่ะค่ะ (นี่มีแค่คนเดียว ห่วงไปหมดทุกอย่าง .... โอย แฟนเขาอยากมีอีกคน ต้องเป็นดับเบิ้ลซุปเปอร์ห่วงแน่ๆ  .. บ่นๆๆ) เข้ามาแก้คำค่ะ ปล พี่ไก่สบายดีนะคะ ไม่ได้เมลล์ไปหาพี่ไก่นานมากๆ แล้ว แต่ยังคิดถึงพี่ไก่อยู่เสมอค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 48 07:15:33 จากคุณ : Kitty_PoPo - [ 10 มิ.ย. 48 04:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ทุกคนที่ถือวีซ่าเข้าอังกฤษเกิน 6 เดือน มีสิทธิ์จะขอ social security ซึ่งจะได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลฟรี รวมทั้งทำฟันด้วย โดยจ่ายค่าลงทะเบียนครั้งเดียวตลอดชีพ มีสิทธิ์เลือกหมอประจำตัว ไม่ชอบหน้ากัน เปลี่ยนหมอได้ ผู้ป่วยนอก ไม่เสียค่าหมอ ค่ายา คิดเป็นอย่างๆ  ถือใบสั่งยาไปรับยาที่ร้าน Boots ที่อยู่ใกล้บ้าน หมอมักให้ยาขวด หรือหลอดดโตๆไปเลย เพราะจะได้ไม่ต้องนัดกลับไปหาบ่อย แต่ถ้าซื้อยากินเอง จะแพงมากกว่า จากคุณ : prettypetite - [ 13 มิ.ย. 48 20:52:08 ]