ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องทำใบขับขี่น้องจืดไม่แน่ใจ รอผู้รู้มาตอบแล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องซื้อรถนี่ไม่ยากค่ะ แล้วก็ไม่ต้องใช้ใบขับขี่ด้วย เรื่องค่าใช้จ่ายนี่ นอกจากค่าน้ำมันแล้ว ก็จะมี M.O.T. คือ การตรวจสภาพรถประจำปีค่ะ ถ้ารถเราไม่มีปัญหา ก็จะตกราวๆไม่เกิน 40 ปอนด์ค่ะ แต่ถ้ามีปัญหา ก็จะมีค่าซ่อมเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ก็มีค่าประกัน ซึ่งค่าประกันจะแพงจะถูกก็ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบอ่ะค่ะ ตอนนี้น้องจืดก็จะขายรถอยู่เหมือนกัน Honda Accord รุ่นปี 90 เกียร์ Auto ค่ะ ถ้า Puchi สนใจก็หลังไมค์มาได้นะคะ จากคุณ : น้องจืด (sonicon9) - [ วันอาสาฬหบูชา 01:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทำใบขับขี่ต้องไปเข้าคอร์สเรียนค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ - ภาษี - ค่าจอดรถ (resident permit) - Congestion Charge (london) - ประกัน (อาจจะถึง 800-2000 ปอนด์) ฯลฯ จากคุณ : shory - [ วันอาสาฬหบูชา 01:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Relevant information. http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H3579292/H3579292.html จากคุณ : genf - [ วันอาสาฬหบูชา 02:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากมีรถ ก็ -ค่า insurance 700-800ปอนด์ ต่อปี (ขึ้นอยู่กับสภาพรถด้วย) -ค่า Road Tax ประมาณ 110 ปอนด์ ต่อปี ************ ดูรถถูกๆมือสอง ได้ที่นี่เลยค่ะ ราคามีตั้งแต่ 2000ปอนด์ขึ้นไป รายละเอียด อ.ว.ท.ม  ดูได้จาก Details รถ มีเบอร์ติดต่อเรียบร้อยค่ะ www.autotrader.co.uk ใบขับขี่สากลจากประเทศไทยสามารถใช้ได้กับที่ ยูเค แต่แค่ปีเดียว หลังจากนั้นต้องทำใหม่ที่นี่อ่ะ ... จากคุณ : Massy - [ วันอาสาฬหบูชา 16:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายให้ถ่องแท้ก่อนนะครับ ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นจะใช้หรือเดินทางบ่อย ผมแนะนำว่าใช้บริการส่วนอื่นน่าประหยัด มีรถที่อังกฤษ ค่าใช้จ่าจิปาถะ ราคารถมือสองนั้น คุณเจ้าของกระทู้หาได้ตั้งแต่ราคา 50 ปอนด์ (พูดจริง) ไปถึงหลักหมื่นครับ รายจ่ายก่อนที่จะยังไม่ได้ขับรถก็คือค่าเรียนขับขี่ รู้สึกว่าจะชั่วโมงละสิบห้าปอนด์เป็นอย่างต่ำนะครับ เรียนอย่างน้อยๆ ก็สิบชั่วโมงขึ้นไป(ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นวิธีการหาเงินของคนสอน) หรือหากคุณมั่นใจก็ไปสอบเลยก็ได้ การสอบมีสองขั้นตอน ตอนแรก ภาคทฤษฏี กฏเกณฑ์ (เยอะแยะมากๆ และต้องแม่น ) ถ้าสอบตกก็สามารถยื่นสมัครสอบอีกต่อๆ ๆ ๆ ไปก็ได้ และเสียเงินทุกครั้งทุกครับ ผมเห็นเด็กคนอังกฤษตกกันเยอะน่าดูตรงนี้ ...มีหลายคนมาบ่นให้ฟังในเชิงสงสัยว่านั่นเป็นวิธีหาเงินของรัฐฯ (มีช่วงหนึ่งของการสอบที่ผู้สอบต้อง ทดสอบ "ปฏิกิริยา" กับเครื่องคอมฯ คือต้อง "กดปุ่ม" หรือ "แตะ" อะไรบางอย่างนี่แหละให้ทันกับโปรแกรมที่เขาตั้งไว้ ถ้าแตะช้า หรือเร็วไป ก็เป็นอันว่ามีสิทธิ์ "ตก" สูง หมายเหตุ-------อันนี้ผมฟังเขาเล่าให้ฟังนะ ตอนผมสอบเมื่อสิบกว่าปีก่อนนู้น เขายังไม่ได้ใช้การสอบวิธีนี้ เมื่อคุณสอบผ่านภาคทฤษฏีแล้ว ก็สามารถไปยื่นสอบภาคปฏิบัติต่อได้เลย หรือจะไปทีหลังก็ได้ แต่ไม่เกินหนึ่งปีล่วงไป สอบภาคทฤษฏีนี่ก็โหดไม่หยอก คนที่คุมสอบจะนั่งไปด้วยกับเรา เขาจะจ้องหรือแกล้งจ้องดูเราตลอด เวลาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ถอยหลังเดินหน้า เข้าเกียร์สูงเกียร์ต่ำช่วงไหน?? โอ้ย!! จิปาถะที่เขาจะจับผิด( Am I being too negative on the issue?? Hope not อิ อิ อิ) จากคุณ : คนอุดรฯ - [ วันอาสาฬหบูชา 17:29:45 A:193.195.73.66 X: TicketID:031873 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยังจ๊ะ...ยัง แม้จะสอบผ่านและได้ใบขับขี่แล้ว น้องเจ้าของกระทู้ยังไม่ได้ขับรถทันทีทันใดหรอกนะ (เว้นไว้เสียแต่ว่า น้องถอย "ป้ายแดง"ออกมารอล่วงก่อนแล้ว ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่ารวยจัด ลูกรัฐมนตรีหรือเปล่าเรา??? ล้อเล่นน่า) น้องต้องเดินเรื่องทำประกันรถของตัวเองซะก่อน ติ๊งต่างว่า น้องได้รถมือสองระดับปานกลางมา อ้อสิ่งแรกที่ต้องเช็คก่อนซื้อรถ ก็คือดูอายุของ M.O.T ของรถคันนั้นว่ามันจะหมดตอนไหน? หากจะหมดในอีกสองอาทิตย์หรือสองเดือนข้างหน้า....น้องต้องพูดเสียงดังฟังชัดว่า No ...แล้วสะบัดก้นหนีเลย แม้จะปักใจและชอบรถคันนั้นขนาดไหน เรื่องอะไรจะไปซื้อรถที่จะหมดอายุการเช็คสภาพอีกไม่กี่วันข้างหน้ามาขับ?? อย่างน้อยๆ ควรซื้อรถที่มีอายุการเช็คสภาพรถมาไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกเดือน เพราะค่าเช็คสภาพรถแพงทีเดียว ขี้หมูขี้dog ก็ต้องจ่ายไปก่อนสามสิบปอนด์ค่าเบิกทาง อิ อิ อิ ...แต่หากเขาตรวจเจออะไรที่ "บกพร่อง" เยอะ ค่าตรวจเช็คสภาพมีสิทธิ์แพงกว่าราคารถได้เฉยเลย เชื่อไหม?? สามปีทีแล้วผมเอารถไปตรวจ(เป็นกฏหมายของเขาว่าต้องเอารถไปตรวจเช็คทุกๆ ปี) เครื่องยนต์กลไกอะไรผมผ่านหมด มาfail อยู่ที่ป้ายเลขทะเบียนรถ ไอ้เจ้าหมอที่ตรวจสภาพมันบอกว่า ป้ายมันตัวเลขทะเบียนมันเลือนๆ ....แหะ แหะ แหะ ผมร้องกรี๊ดสนั่นเลย จากคุณ : คนอุดรฯ - [ วันอาสาฬหบูชา 17:42:03 A:193.195.73.66 X: TicketID:031873 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ที่นี้มาว่าเรื่องประกัน ไม่ขอกล่าวลึกในรายละเอียดละกัน เอาเป็นว่าค่าประกันต่อปีนั้น อาจจะเริ่มตั้งแต่หลัก 750 ปอนด์ ถึงหลักพัน อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง หนึ่ง "รถ" (เขาจะฟันธงไปเลยว่า รถยี่ห้อนี้ เครื่องยนต์รุ่นนี้ ราคาประกันต่อปีเท่าไหร่ ดีนะนี่ที่เขาไม่ฟันธงเรื่องสีรถไปด้วย อิ อิ อิ) เขาจัดรถไว้เป็นสองระดับ หากเป็นรถประเภท import ราคาประกันสูงขึ้นมานิด (อันนี้ผมได้ยินเพื่อนที่ทำงานเป็นนายหน้าประกันรถเล่าให้ฟังนะ) สอง "ประเภทของการประกัน" อันนี้เขาจะมีรายละเอียดมาให้อ่าน น้องเจ้าของกระทู้ก็เลือกเอา สาม "คนขับ" อันนี้แหละเป็นตัวชี้ว่าค่าประกันจะสูงไม่สูง แหะ แหะ แหะ อันนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คนขับสวยหรือไม่สวยนะครับ.....แต่ขึ้นอยู่ที่ความ "จ๊าบ" ของคนขับครับ ถ้าคนขับวัยจ๊าบ อายุสักสิบแปดถึงยี่สิบกว่าๆ นี่ ถึงคนทั่วไปเขาชื่นชมในวัยใสบริษัทสุทธิ์ แหะ แหะ แหะ บริษัทประกันภัยเขาไม่ไว้ใจความจ๊าบตรงนี้ครับ เกิดบุ่มบ่ามเป็นวัยรุ่นใจร้อนขับรถปร๊วดปร๊าดไปชนนั่นที ชนนู่นที บริษัทประกันภัยต้องตามไปจ่ายพัลวันแน่ๆ อย่ากระนั้นเลย ทางทีดีที่สุดก็คือต้องตั้งราคาค่าประกันภัยสำหรับคนวัยจ๊าบพวกนี้ให้สูง แปดร้อยปอนด์ขึ้นไปขอรับ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ วันอาสาฬหบูชา 17:53:54 A:193.195.73.66 X: TicketID:031873 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นไหมๆ?? นี่ขนาดยังไม่ได้ขับรถนะนี่ ค่าใช้จ่ายก็บานเบอะแล้ว เมื่อได้รถมาแล้ว ที่นี้ก็มาค่าน้ำมันและการดูแล ตอนนี้เห็นที่เมืองไทยเขาบ่นกันจังว่าน้ำมันแพง !! บ่นกันไปได้!! วิธีแก้ง่ายนิดเดียว ก็คือร้องเพลงลูกทุ่งที่เขาร้องไว้เมื่อหลายยี่สิบปีก่อนดิ๊ ...........น้ำมันขาดแคลนคุยกับแฟนก็ต้องดับไฟ ถึงตอนดับไฟไม่รู้อะไร??...... พูดเล่นครับ.... ราคาน้ำมันที่อังกฤษตอนนี้ราคาต่อลิตรเกือบจะปาเข้าหลักปอนด์หนึ่งแล้วครับ ผมไม่ค่อยได้ใช้รถหรอก ส่วนมาก็จอดทิ้งไว้ที่บ้านเฉยๆ เวลาไปทำงานก็ปั่นจักรยานเอา น้ำมันมันแพงขอรับ.....ขนาดตอนคุยกับแฟนผมก็ยังดับไฟเลย อิ อิ อิ สรุป ไตร่ตรองให้ถ่องแถ้เรื่องค่าใช้จ่าย และความจำเป็นที่จะต้องใช้รถในอังกฤษครับ แต่ถ้าน้องเจ้าของกระทู้มาจากครอบครัวมีอันจะกินแล้วก็ไม่มีปัญหา(ส่วนมากที่มาเรียนหนังสือนี่ก็มีอันจะกินล่ะนะ และส่วนมากก็รู้จักประหยัด) บอกตรงๆ ขับรถที่อังกฤษนี่ผมโดยส่วนต้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจยังไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะคำนึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่เล่ามาให้ฟังเกินไป.... แม้จะพอมีวาสนาได้ขับรถทำในยุโรปก็เถอะ.....แต่ก็สู้ขับ E-Tan (อีแต๋น) ยี่ห้อคูโบต้า (ใช้มือปั่นเวลาสตาร์ทเครื่อง)ก็ไม่ได้.....อิ อิ อิ ได้รถใหม่แล้ว ขับไปโฉบเล่นแถวบ้านผมมั่งนะครับ ??? โชคดีครับ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ วันอาสาฬหบูชา 18:11:21 A:193.195.73.66 X: TicketID:031873 ]

ความคิดเห็นที่ 9 A crystal clear message from 'คนอุดรฯ'. Buying a car in UK is very easy as long as you have cash in hand. But DO beware, you have to know exactly what you are buying. Insurance: Car insurance premium can be a real killer. It can really put you off buying your dream car. Many many moons ago when I was still living there one of my colleagues told me that he knew of a rich boy, a high flyer who was around 24 years old and lived in London. He had to pay 1,000 GBP (one thousand) a day on insurance premium so that he could drive his Porsche to work. He was a bit of a bad lad with the driving so the insurance firms all over London refused to insure him but the firm who did insure him imposed an extortion premium. Till these days I still don't know if the story was true. A Guide to Car Insurance http://www.motorinsurance.co.uk/guide/ Car buying guide. http://driving.timesonline.co.uk/section/0,,13189,00.html?CMP=KNC-IX7429721604 http://www.carpages.co.uk/guide/?switched=on&echo=10738174 จากคุณ : genf - [ วันอาสาฬหบูชา 20:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 รถญี่ปุ่นค่าประกันแพงกว่ารถยุโรปนะครับ อายุกับเพศของคนขับก็มีผล ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่าซื้อดีกว่าครับ ถ้าอยู่โซน1 ใช้รถสักสองปีค่าที่จอดอาจจะมากกว่า ราคารถก็ได้ จากคุณ : DoraeMa - [ วันอาสาฬหบูชา 22:24:09 ]