CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    **เรื่องเล่าแทกซี่นิวยอร์ก**(ความหลังของคนไกลบ้าน-those were the days )

    อยากโผเข้าหาอ้อมกอด -the way we were



    เคยไหมครับ …..
    ขณะคุณได้ยินเพลงรักหวาน หรือเพลงเศร้าๆ เพลงเกี่ยวกับพลัดพรากจากรัก
    ที่เนื้อร้องใช้คำเพราะและกินใจมาก ทั้งทำนองเพลงก็ไพเราะเข้าไปอีก
    คุณเลยปล่อยตัวเอง ให้ผ่านเข้าไปซึมซับรับเอาว่า เนื้อร้องนั้นกล่าวถึงตัวคุณนั่นเอง
    ยิ่งคุณที่มีความรักความหลัง มีความฝังใจกับอดีต ทั้งสุขใสและแสนเศร้า
    เพลงที่ได้ฟังนั้น ก็ยิ่งจะพลอยพาให้คุณรู้สึกหวามไหว หรือใจหาย
    คนที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนกับความรู้สึก อาจถึงต้องน้ำตาซึมเบ้า
    หรืออาจถึงเป็นน้ำตาไหลอาบแก้ม ตาช้ำก็คงมี

    ความหลังฝังใจนี่ หากคนเราแก่ตัวขึ้น น่าจะมีกันทุกคนนะครับ
    ไม่ว่าความหลังในวัยเด็กเล็กอยู่ วัยที่เรียกว่า วัยบริสุทธิ์มากๆ
    ไม่มีพิษภัยใดอื่นมาสั่งสมในสมอง
    วัยเรียนที่เริ่มรับรู้ทั้งเรื่องการเรียน และเพื่อนพ้อง
    รวมทั้งการเริ่มรับเอาศิลปด้านบันเทิงหรือแฟชั่น
    จากตะวันตกที่คนในวัยเดียวกันนั้น เข้าใจ
    ยอมรับและสื่อกันได้
    วัยหนุ่มวัยสาว ที่เริ่มรู้สึกกับความสวยความงาม
    ความฝันที่ตัวเองอยากได้ อยากเป็น
    ความสนใจในเพศตรงข้าม เริ่มรู้จักสิ่งที่ตนเองตั้งใจเรียกว่า ความรัก
    ทั้งจากการได้รับรู้เอาจากการอ่านนวนิยายหรือจากการดูภาพยนต์
    บางคนนี่เอาเรื่องราวในนิยาย หรือภาพยนต์นั้น เป็นขวัญใจประจำตัวเองไปก็มี
    อยากเป็นเหมือนพระเอก นางเอก ในเรื่องที่ตัวเองได้อ่าน ได้ดูมา

    มีมากครับคนที่ผมได้พบเจอและคุยกันได้นานกับเรื่องความหลังนี่ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย
    เราก็เอามาเล่าสู่กันฟัง มีบ้าง บางครั้งเราคิด อยากกลับไปหา ไปเป็น
    ในสิ่งที่เคยมี เคยเป็น เคยไป ในอดีต ครั้งหนึ่ง
    แม้ว่า เราไม่อาจหมุนโลกให้กลับไปหาอดีตนั้นได้
    แต่ ช่วงที่ความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น แค่ได้ระลึกถึง มันก็อาจถือเอาว่า
    มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แม้ต้องมีบ้างเหมือนกัน ที่อาจแฝงมากับความเศร้า ความอาลัยใจหาย
    ผมเคยเขียนกลอนบทหนึ่ง
    " เมื่อความสุขมาย้ำ ความช้ำก็มาเยือน"
    ก็เหมือนเอาอดีตที่คิดเอาว่า เป็นความสุข ของชีวิตช่วงหนึ่ง มาจดมาจำมาย้ำมาตอก
    ท่อนจบของกลอนนี้ คือ
    " มีบทลาทำไมในบทรัก"
    น้องผู้หญิงคนหนึ่งมาอ่านเจอ เธอล้อผมอำผมเสียจนเขินเลย
    บอกด้วยว่าจะตัดกลอนที่เขียนนั้นไปให้ภรรยาผมอ่าน
    ผมว่าไม่ต้องไปทำแบบนั้นหรอก
    ผมจะบอกเรื่องนี้ให้ภรรยาผมฟังเองอีกครั้ง วันนี้แหละ
    .................................................................................................................................................................................

    " จากกันไปนานหลายปี ไม่มีข่าวและวี่แวว
    คิดว่าลืมฉันเสียแล้ว ยังนึกเสียดายดวงแก้ว ที่หลุดลอยไกล

    แต่วันนี้โลกหมุนกลับ จันทร์ที่ลับหวนคืนฟ้าใหม่
    ไฟรักจวนเจียนมอดหมดใจ ก็คุขึ้นมาใหม่ จุดที่ปลายใจเบาๆ

    อยากโผเข้าหาอ้อมกอด อยากอ้อนออดถามความเก่า
    คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า เธอยังเหมือนชายคนเก่าอยู่ หรือเปล่าหนอ

    แต่พอนึกขึ้นมาได้ ใจเหี่ยวหายเหมือนใบไม้ห่อ
    สงสารคนที่บ้านจะรอ ได้แต่แอบพ้อเธอให้รอนานเกินไป

    ...........เพลงชื่อ "นานเกินรอ" ไม่แน่ใจคนแต่ง ทวีพงษ์ มณีนิล หรือเปล่า ................


    ผมได้กลับไปเที่ยวไปเยี่ยมบ้านที่ปักษ์ใต้เมื่อปีที่แล้ว
    ไม่ได้ไปพร้อมกันกับภรรยาผม เพราะเหตุจากเรื่องการงาน
    ที่การลาหยุดพักร้อน ไม่สามารถกำหนดให้ตรงกันได้
    การกลับมาหาบ้านเกิดถิ่นเก่าของผมครั้งนี้ ผมมีโอกาสได้อยู่บ้านมากจริงๆ
    มากกว่าครั้งก่อนที่มา ไม่มีเดินทางไปไหนมาไหนนอกเขตจังหวัดหลายวันหลายคืน
    ผมได้พบเจอเพื่อนเก่า เมื่อแต่ครั้งวัยเรียนมัธยม
    ได้รำลึกความหลังกันในงานศิษย์เก่า
    ของโรงเรียนประจำจังหวัด
    วันนั้นใครๆก็นึกถึงเรื่องวีรกรรมหัวโจกก่อนเก่า
    วัยเ่ล่าวัยเรียนของผม เอามาจำมาอำมายำกันเป็นที่สนุกสนานมาก

    เฮ้อ ....Those were the days...my friends

    ผมไม่ได้คิด ไม่ได้กะว่าผมจะได้กลับมาบ้านเกิดถิ่นเก่านี้อีกนานเท่าไร เมื่อผมได้กลับไปใช้ชีวิตไกลบ้าน
    ที่นิวยอร์กหลังจากนี้
    สิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำมากๆตอนนั้น คืออยากได้ไปเยือน
    เยี่ยม หรือถามข่าวถึงใครคนหนึ่ง
    ซึ่งผมไม่ได้เจอะเจอมาเกินยี่สิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะมีชีวิตสุขทุกข์อย่างไร ผมคิดถึงเธอครับ
    ผมชวนเพื่อนผมสองคนให้ขับรถพาไปที่ตำบลหนึ่ง อำเภอหนึ่งของจังหวัดพังงา
    ไปสืบหาสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สมัยวัยหนุ่มผมเคยมาใช้ชีวิตที่นั่น
    ไม่ง่ายเลยครับ กับการหาที่ๆก่อนนี้เคยเป็นเหมืองแร่ดีบุก เป็นป่าดง และสวนยางพารา
    ถนนทางเข้าที่เคยเป็นดินลูกรัง ก็ยังเป็นลูกรังสภาพเดิม แต่เปลี่ยนสองข้างทางให้เป็นป่าหญ้าสูงและรกทึบ
    มีบ่อหลุมบนถนน เพราะขาดการบำรุง
    ที่เคยเป็นบ้านพักนายหัว หรือ อ้อฟฟิส กองขี้แร่สีดำสูงท่วมหัว โรงรถ ร้านกาแฟ
    กลายเป็นป่ารกร้าง ด้วยหญ้าคาหญ้ากก
    ไม่เหลืออะไรให้ผมจำได้เลย
    ผมต้องพยายามหลับตานึกภาพ ร้านกาแฟ หรือโรงโกปี้
    ที่คุณน้าอาจินต์ก็เคยเขียนถึงในเหมืองที่ท่านใช้เป็น'มหาลัย
    ลุงแดงเจ้าของร้านกาแฟ คงไม่น่าจะอยู่อายุยืนได้ถึงวันนี้
    ลุงแดงคนดังของตำบลนี้ ที่ชาวบ้านรู้จักและนับถือ
    และ นุ้ย ลูกสาวลุงแดง ไปอยู่ไหนละตอนนี้

    มีลุงแก่ๆชาวบ้านผ่านมาพอดี พอถามไถ่กันได้
    เลยได้รู้ว่า ลุงแดง ตายไปนานสิบกว่าปีแล้ว
    ทั้งเหมืองแร่ก็เลิกกิจการไปเกือบยี่สิบปี เพราะหมดแร่ที่จะขุดได้อีก
    คนงานเก่าๆแก่ๆ น้าไข่ น้ามุ่ย และน้าๆลุงๆคนอื่นก็แยกย้ายกันไปทำมาหากินที่อื่น

    ถึงตอนสำคัญกับที่ผมถาม แล้วได้คำตอบที่ว่า
    " อีนุ้ย ได้ผัวรวยมีลูกสองคนแล้ว ย้ายไปอยู่ที่ท้ายเหมืองนานแล้ว"

    เฮ้อ The way we were

    เรื่องความรักครั้งแรกของผมนี่ ผมเคยเล่าให้เพื่อนๆสนิท รวมทั้งภรรยาผมฟัง
    มีหลายคนขำและหัวเราะในความเปิ่นเชย บ้านนอกของผมมาก บางคนว่าเหมือนหนังไทยเลยนะนี่
    แต่ผมไม่เคยอายนะ เรื่องแบบนี้ เรื่องความรัก ความรู้สึกที่ดีๆต่อกัน
    ก็ชีวิตผมเด็กภูธร มันจะให้เหมือนเด็กกรุงเทพได้อย่างไรละ
    การพบกัน รู้จักกันของหญิงชายสองคนในถิ่นไกลความเจริญ
    ไม่เคยได้พูดจากันแบบเกี้ยวพาราสี แต่รับรู้กันได้ด้วยการสังเกต ดวงตา ท่าทาง
    มีบ้างกับบทปั้นปึ่ง มึนชา มีแววตัดพ้อที่อ่านได้จากสายตา
    มีสีหน้าที่บอกห่วงหวง เมื่อจะจากกันแม้แค่วันสองวัน
    เห็นได้กับอาการร่ารื่น เมื่อมีโอกาสได้ไปไหนด้วยกัน แม้จะไปกันท่ามกลางหมู่คน
    ผมไม่เคยคิดดูถูกหนังไทย หนังกลางแปลง ดนตรีลูกทุ่ง งานวัด
    เพราะนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งกับชีวิตผมในช่วงนั้น

    นี่หากไม่มีอุปสรรคอันใดมากั้นกางระหว่างเรา
    ผมกับนุ้ย ก็คงอาจได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ที่นั่น
    นิวยอร์กก็คงเป็นแค่วันที่ผมเข้ามาในตลาด เพื่อดูหนังฝรั่งสักเรื่องที่มีฉากนิวยอร์ก

    เฮ้อ thanks for the memories

    วันที่ผมกับนุ้ยต้องจากกัน หุหุ อย่าขำนะ
    ผมเอาธนบัตรใบละร้อยมาฉีกให้ขาดเป็นสองท่อน
    ให้นุ้ยเก็บไว้ท่อนหนึ่ง ผมเก็บไว้อีกท่อน
    เขียนวันที่ด้วยว่า 11กรกฎาคม 25??

    ลูกสาวเพื่อนผมที่เกิดเมกา ฟังแล้วไม่หัวเราะนะ แต่แกว่า
    " IT'S CUTE ..VERY ROMANTIC"

    การจากลาของคนวัยแรกหนุ่มสาวบ้านนอกสองคนสมัยผม
    ทำได้มากสุดก็แค่หลบลุงแดงพ่อของนุ้ย ไปจับสองมือบีบกันแน่น
    ใต้ชายคาหลังบ้านที่มีต้นกล้วยปลูกเต็ม
    วันนั้นตอนเย็นๆฝนตกด้วย สายฝนพรำผ่านหลังคาจาก
    ลมสบัดสะเก็ดฝนให้พอเปียกหน้าตาผมเผ้า
    เรายืนบนดินสีมอซอ ที่น้ำฝนไหลผ่าน ฉ่ำแฉะ
    ไม่ต้องกล่าวคำพูดอะไรกันเลย
    ผมพูดอะไรไม่ออกด้วย คอแห้งไปหมด
    ใจหายมากๆ นุ้ยก็น้ำตาไหลพราก น่าสงสารนัก
    และผมก็ได้กอดผู้หญิงครั้งแรก วันนี้เอง แต่ไม่มีมากไปกว่านั้น

    เมื่อจากมา เราก็ยังแอบติดต่อกันทางจดหมาย
    มีบ้างที่ผมเขียนกลอนไปลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
    แล้วตัดส่งให้เธออ่าน ก็กลอนรักกลอนเศร้า ที่คนรุ่นนั้นชอบเขียนกันนะ
    อ้อ ช่วงนั้น เพลง"ดวงใจ "ของสวลี ก็กำลังฮิทอยู่
    นุ้ยจดเนื้อเพลงส่งมาให้ผมด้วย
    "ดวงใจ ทุกคนมีสิทธ์จะรักกันได้
    ถึงอยู่ห่างไกล ก็ยังส่งใจไปถึง......"

    เธอปักผ้าเช็ดหน้า ส่งให้ผม จารึกสีชมพูด้วยคำว่า
    "รอ.เธอ "
    ผมมาคิดๆตอนหลัง ก็ว่าเธอ เล่นคำเก่งนะ รอ.มีจุดนะครับ
    คงหมายถึง รอ รัก หรือ รอ คอย ไม่ต้องบอกคำรักตรงๆเหมือนหนังไทยก็ได้

    เฮ้อ memories are made of these
    ....................................................................................................................................................
    ผมบอกให้เพื่อนผมขับรถไปตามที่ลุงแก่ๆชาวบ้านคนนั้นบอกไว้
    และถามคนถามทางไปเรื่อย ๆ
    จนในที่สุด ผมก็ได้พบเธอ นุ้ย
    เราสองคน เมื่อแรกเห็น ก็เขินๆกันเหมือนกันนะครับ
    เธอตื่นเต้นมาก เราต่างก็เกือบจำหน้ากันไม่ได้
    ต้องตั้งสติพักหนึ่งก่อน
    พอผมถามไปว่า นุ้ยจำเราได้หรือเปล่า
    เธอถึงเรียกชื่อผมได้ถูก
    เราก็ได้คุยกันถามข่าวคราว
    เธอว่าเธอรู้จากเพื่อนผมว่า ผมไปอยู่กรุงเทพ
    แล้วได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด ก่อนไปอยู่นิวยอร์ก
    ส่วนเธอก็แต่งงานกับคนในตระกูลมีชื่อของอำเภอหนึ่ง
    มีลูกสองคนเป็นชายทั้งคู่ กำลังเรียนมหาวิทยาลัย
    ผมเห็นเธอก็ดูท่า มีความสุขดี เค้าหน้าสวยซื่อยังปรากฎให้เห็น ผมยังจำใบหน้าเธอเมื่อครั้งก่อนนั้นได้ดี

    คืนนั้นเธอชวนเพื่อนหญิงอีกสามคนไปเลี้ยงผมกับเพื่อน
    ที่ร้านอาหาร คาราโอเกะ ในอำเภอนั้น
    เพื่อนเธอคนหนึ่งร้องเพลงเพราะมาก เสียงใสเหมือนนักร้องอาชีพทีเดียวละ
    เราทั้งหมดก็กินไป ฟังเพลงไป
    ผมกับนุ้ยก็คุยกัน แต่ก็ดูห่างเหิน เขินกิริยา
    ไม่ได้กล่าวอะไรที่เป็นอดีตกันเลย
    เวลากับความเป็นจริง อาจช่วยทำให้คนเรา
    ลืมเรื่องหลังๆเก่าๆได้กระมัง
    เพื่อจะทำใจให้ยอมรับกับสภาพใหม่นั้นได้

    เพื่อนเธอคนนั้นขึ้นไปร้องเพลงอีกแล้วครับ
    เพลงที่เธอร้องนี้ เนื้อร้องและทำนองเพราะมาก
    จนผมต้องหามาฟังและเก็บไว้เป็นเพลงโปรดประจำตัว ภายหลัง

    เพลง นานเกินรอ ที่ผมกล่าวไว้แต่ตอนต้นไงครับ
    เพราะเนื้อร้องของเพลงหรืออะไรไม่รู้ ทำให้ผมแอบสังเกตนุ้ย
    ผมเห็นที่ดวงตาเธอมีน้ำใสๆสะท้อนแสงไฟเป็นประกายฉ่ำ
    เธอนั่งนิ่ง เงียบ หูฟังเพลงไป

    พอถึงท่อนเพลงที่ร้องว่า........

                   "อยากโผเข้าหาอ้อมกอด
                         อยากอ้อนออดถามความเก่า
                              คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า ............"

    แม้ใจผมที่ว่า ไม่มีอะไรค้างคาใจอยู่กับอดีต
    แต่เมื่อผมเห็นน้ำตาเธอ ที่เริ่มรินแล้ว

    ผมก็แค่ได้แต่คิด

                  " ผมอยากให้เธอโผเข้าหาอ้อมกอดผมจังเลย"

    ................................................................

    ดึกคืนนั้น เมื่อนั่งรถกลับกันมา
    ผมต้องแกล้งทำหลับ ไม่อยากพูดคุยกับใคร
    ออกตัวว่าง่วงและมึนหัวมาก
    แต่ในสมองช่วงนั้น
    ภาพเก่าๆมันผุดขึ้นมา ฉากแล้วฉากเล่า

    ยอมให้ผมสักวันเถอะ
    ผมจะเอาหัวใจไปรื้อฟื้นความหลัง

    เฮ้อ memories maybe beautiful and...:-),
    what's too painful to remember
    we simply choose to forget
    ...the way we were....

    แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 48 12:21:42

    จากคุณ : smartupid - [ 15 ส.ค. 48 09:24:30 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป