ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องสัมภาษณ์งานนี่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง บริษัทเล็กๆจะไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่ ถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆก้จะเป็นทางการมากขึ้นตามลำดับ ส่วนคำถามที่เขาจะถามก็มีหลากหลายมากร้อยแปดพันเก้า  ทางที่ดีคุณควรจะไปหาหนังสือที่แนะนำเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานอ่านดูเป็นไอเดีย จะได้เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าให้พร้อม เรื่องสัมภาษณ์งานคุณพธูไทยเคยให้คำแนะนำไว้ดีมาก ลองไปหากระทู้เก่าๆของคุณพธูไทยอ่านดูนะคะ สำหรับคำถามที่ตัวเองเคยผ่านๆมาก็มีตั้งแต่ ทำไมถึงคิดว่างานนี้เหมาะกับคุณ คิดว่าจะทำงานนี้ไปนานแค่ไหน  เป้าหมายชีวิตใน 5 - 10 ปีข้างหน้าคืออะไร  ข้อดีข้อด้อยของคุณคืออะไร (บริษัทใหญ่ๆมักจะชอบถามคำถามนี้) ทำไมถึงจะออกจากงานที่ทำอยู่ (ถ้ากำลังทำงานอื่นอยู่)  เจ้านายในอุดมคติของคุณมีลักษณะอย่างไร ฯลฯ ผู้สัมภาษณ์มักจะเปิดโอกาสให้คุณถามคำถามที่คุณอยากทราบด้วยก่อนที่จะจบการสัมภาษณ์ ก็ลองๆนึกไว้แล้วกันว่าคุณอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง อย่างเช่น บทบาทหน้าที่ของตำแหน่งที่คุณสมัครนั้นครอบคลุมอะไรแค่ไหน  ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เป็นอย่างไร ฯลฯ ขอให้โชคดีกับการสัมภาษณ์งานนะคะ จากคุณ : Northernlife - [ 7 ธ.ค. 48 02:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มีความเห็นเหมือนคุณ Northernlife  ค่ะ เพียงแต่ขอเพิ่มเติมจากที่ทำๆหรือเคยผ่านๆมานิดนึงน่ะค่ะ คือที่มักจะถูกถามว่า คุณคิดว่าคุณจะใช้เวลาในการเรียนรู้งานนานซักเท่าไหร่ และเมื่อคุณเรียนรู้งานหมดแล้ว เป้าหมายชีวิตใน ด้านการงานของคุณในบริษัทนี้คืออะไร......ฯลฯ การวางตัวก็ทำตัวให้สบายให้มากที่สุด บริษัทใหญ่ๆในประเทศที่ดิฉันอยู่ จะให้เราเรียกร้องคนเดือนเอง หากเราเรียกสูงมาก เค้าก็จะถามว่าทำใมเราถึงเรียกเท่านี้ (คำถามนี้จะเป็นการสัมภาษณ์ครั้งที่สองมากกว่าและจากฝ่าย HR ไม่ใช่จากหัวหน้าเราโดยตรง) ส่วนคำถามที่เราอยากทราบ ดิฉันจะทำ list ไว้เลย กันลืม เช่น ถามบรรยากาศระหว่างเพื่อนร่วมงาน ขอดูตัวว่าที่เพื่อนร่วมงาน......ฯลฯ ขอให้โชคดีกับการสัมภาษณ์งานนะคะ จากคุณ : IT-Thai - [ 7 ธ.ค. 48 05:56:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อกี้เขียนเยอะเลย... หายหมดเลยไปกดโดนอะไรไม่รู้ จะเขียนใหม่ หัวไม่แล่นแล้ว ง่วง... ใช้คำว่าสอบสัมภาษณ์ อ่านแล้วเหมือนกับว่าสอบเข้าโรงเรียนเลย สัมภาษณ์เฉยๆ พอค่ะ เราจะได้ไม่กลัวหรือเกร็งมากนัก ถ้าตื่นเต้นเกินไป เวลาไปเจอคนสัมภาษณ์เราจะเสียคะแนนความมั่นใจนะคะ จริงๆ แล้วเคยบอกเอาไว้ที่กระทู้ล่างๆ เรื่องการหางาน ว่า คิดเสียว่า การหางานคือการไปติตต่อคนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แล้วก็ทำความรู้จักกัน ในที่นี้อย่างที่คุณเรียกว่า สัมภาษณ์ ดังนั้นถ้าเขาเรียกเราไปสัมภาษณ์ แสดงว่าเขาอยากรู้จักเรา อยากเห็นเรา จากนั้นเขาก็ค่อยเอาข้อมูลไปดูต่อว่า จะดำเนินการต่อไปกับคนนี้อย่างไร สานต่อความสัมพันธ์ เรียกสัมภาษณ์ต่อ หรือว่า ปล่อยไปดีกว่า เราควรไปสัมภาษณ์งานด้วย esprit แบบนี้ คือว่า เราไปรู้จักเขา แต่ว่าการไปรู้จักคนๆ นี้ หรือกลุ่มคนกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อเรา เพราะอาจจะนำไปสู่การได้งานที่เราอยากทำ ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวไปอย่างดี ซึ่งจริงๆ การเตรียมตัวนี้ต้องทำตั้งแต่เริ่มมีความคิดเข้ามาในหัวว่าอยากทำงาน มีคำถามหลายคำถามที่คนหางานจะต้องตอบให้ได้ก่อนจะเริ่มสมัครงานใดๆ และคำถามเหล่านี้มักจะถูกถามโดยคนที่เราพานพบระหว่างการหางาน หรือระหวางการสัมภาษณ์ อย่างที่คุณหนม Northenlife บอกเอาไว้ว่า ลองไปหาตัวอย่างคำถามได้จากหนังสือทั่วๆ ไป เกี่ยวกับการสมัครงาน แต่ที่สำคัญไม่ควรจะจำคำตอบที่เขาให้เป็นแนวเอาไว้ คำตอบต้องเป็นของเรา unique ไม่เหมือนใคร ต้องตอบแบบให้เราเป็นที่สนใจ ขณะเดียวกันต้องเป็นความจริง ไม่กุเรื่องขึ้นมา การกุเรื่องอาจจะได้ผลบ้าง แต่ถ้าไม่ได้ผล และถูกจับได้ เราอาจจะตายแหง่กไปเลย โอกาสได้งานดีๆ ในอนาคตจะยาก ส่วนตัวเห็นว่า ประการที่สำคัญอันดับหนึ่ง คือการซื่อสัตย์ต่อตัวเองก่อน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้ว่าตัวเองเคยทำอะไรมา รู้ว่าเราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้อย่างไร รู้เป้าหมายของตัวเองในระดับหนึ่ง เหล่านี้ดิฉันเรียกว่า ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง บอกอย่างนี้ เพราะว่า จะเสียดายทุกๆ ครั้ง ที่ได้ยินว่า คนที่เรียนจบดีๆ หรือเคยทำงานสูงๆ มาที่เมืองไทย แล้วมายอมลดตัวเองเพื่อทำงานที่ด้อยกว่าที่เราเคยทำ ด้วยเพียงเหตุผลแค่ว่า ภาษาเราไม่ดี หรือว่าเราเป็นคนต่างชาติ หางานดีๆ ไม่ได้หรอก ขอบอกว่าไม่เป็นความจริง เพียงแต่ต้องใช้เวลามากกว่าปกติ รวมไปถึงต้องใช้ effort ค่อนข้างมาก และต้องมีการวิคราะห์สถานการณ์ที่ดีด้วย หากเราอยากได้งานดีๆ บางทีต้องรู้จักการถอยหลังไปตั้งหลักก่อนด้วย คือเป็นกลยุทธิ์ทั้งนั้น แต่ถ้าเป้าหมายคือ งานอะไรก็ได้ ขอให้ได้ทำ อย่างนี้ก็จะอีกแบบ กลับมาที่คำถามของคุณ บางส่วนคุณหนมตอบไปแล้ว ดิฉันก็ซื้อมา 1 เล่มเมื่อตอนเริ่มหางานเลยนะ แต่ว่าดิฉันไม่ได้ใช้คำถามที่เขียนในหนังสือที่ซื้อมาในการเตรียมตัวเลย คือว่าการ approche ของดิฉันนั้นจะตรงข้ามกับที่ส่วนใหญ่ทำน่ะค่ะ เอาไว้จะทยอยเขียน ที่เขียนไว้กระทู้ข้างล่างยังไม่ได้ไปต่อเลยค่ะ หัวไม่แล่น "วางตัวอย่างไร" บางคนบอกว่า ให้ทำแบบที่เราเป็น ขอตอบว่า ไม่ได้ค่ะ ตรงนี้ต้องเตรียมตัวค่ะ ซึ่งก็แล้วแต่ว่างานที่คุณสมัครคืออะไรด้วยเช่นกัน เช่น งานขาย ไม่ใช่ว่า เขาจะชอบคนช่างพูดคย ช่างจ้อ นะ แต่ว่าบุคลิกที่เขาต้องการ คือ การ a l'aise หมายถึง การรู้สึกไม่ต้องฝืนมาก ซึ่งจริงๆ เป็นการฝืน แต่ฝืนแบบธรรมชาติ เช่น ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยิ้ม จ้องตาคนพูด ถามทวนหากไม่เข้าใจ เพื่อพยายามจับหาความต้องการหรือวัตถุประสงค์ของคนถาม แล้วก็การเป็นผู้ฟังที่ดี ทำนองนี้น่ะค่ะ สำหรับงานขาย แต่ถ้างานแบบเลขาฯ ที่ไม่ใช่เลขาฯ ระดับสูง อย่างนี้โดยเบื้องต้นก็ความสามารถด้านการใช้คอมพ์ต่างๆ รับคำสั่งและทำตามที่เจ้านายบอกมา และไม่ต้องรับผิดชอบโดยการตัดสินใจ ถ้าเลขาฯ ระดับสูง ต้องรวดเร็ว ฉับไว ตัดสินใจได้ดี ติดต่อผู้คน ภาษาแบบไม่มีที่ติ ไหวพริบปฏิพาณ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า คล้ายๆ ผุ้ช่วยหัวหน้าแบบมือขวาเลย อย่างนี้การวางตัวของ 2 ตำแหน่งนี้จะไม่เหมือนกัน และการสัมภาษณ์ก็ไม่เหมือนกัน เงินเดือนก็ไม่เหมือนกัน อีกอย่างที่คนหางานต้องมี คือความรู้สึกว่า "อยากทำงาน" ความรู้สึกว่า "ฉันทำได้ และฉันจะสู้เพื่อให้ได้งานที่อยากทำนั้นมา ไม่ว่าจะด้วยความยากลำบากแค่ไหน" แต่ไม่ได้หมายความว่าต้อง aggressive ระหว่างสัมภาษณ์ เพราะความรู้สึกที่ว่าจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อ เราพร้อม ถ้าหางานมาแบบอย่างหนักหน่วง เหมือนกับว่า ระหว่างหางานนั้นคือเราทำงานแบบไม่ได้เงินเดือน เราจะรู้ตัวเอง (ไม่มีใครมารู้ให้เรา) ว่า เราถึงจุดที่เราพร้อมแล้วหรือยัง และเมื่อวันนั้นมาถึง คนที่สัมภาษณ์เราที่เขามีประสบการณ์การเลือกสรรคนเนี่ย เขาก็จะรู้ด้วยว่าเราพร้อม อีกอย่างเป็นคำศัพท์ที่น่าสนใจคือ พยายามบอกผุ้สัมภาษณ์ว่า เราเป็นคนที่ "operational" วิธีการบอกไม่จำเป็นต้องพูดคำศัพท์ออกไปก็ได้ แต่บอกโดยการยกตัวอย่างจากสิ่งที่เราเคยทำมา และถ้าสัมพันธ์กับตำแหน่งงานที่สมัครจะดีเป็นอย่างยิ่ง ง่วงกระทันหัน ไปก่อน คิดไม่ออกแล้ว เอาไว้ไปเขียนเรื่องหางานใหม่ คือเขียนเล่าประสบการณ์น่ะ ดิฉันสนุกที่ได้เขียน แต่ว่าไม่รู้คนอื่นสนุกไหม แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 06:24:28 จากคุณ : พธูไทย - [ 7 ธ.ค. 48 06:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณมาก ๆ คะพี่หนม  คุณ ไอ ที ไทย และคุณพธูไทย  ดีมาก ๆ เลยคะสำหรับคำแนะนำ    มีคำถามอยากจะทราบอีกว่า..   1.งานแต่ละงานหรือหน้าที่ ลักษณะการสัมภาษณ์ไม่เหมือนกันใช่ไหมค่ะ 2.การสัมภาษณ์ ถ้าหัวหน้าที่เราจะต้องทำงานด้วยต้องการรับเราเข้าทำงาน แบบนี้ฝ่าย HR จะยอมรับเราเข้าทำงานด้วยหรือเปล่าค่ะ 3.ถ้าต้องพรีเซ็นต์ตัวเอง ควรที่จะบอกเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานที่เราเคยทำมาก่อนทั้งหมดหรือบอกแค่งานที่น่าจะมีความสัมพันธ์กับงานที่เราสมัคร 3.ควรนำรายงานจากเจ้านายเก่า(good report) มาเป็นส่วนประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ 4.ควรนำผลงานต่าง ๆ ที่เราทำไว้มาประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ 5.ระหว่างที่ถูกสัมภาษณ์ควรที่จะนำสมุดจดเข้าไปด้วยได้ไหมค่ะ  คือเผื่อว่าเราจะจดคำถามที่เราอยากจะถาม หรือจดรายละเอียดต่าง ๆ ของงานตอนที่ถูกสัมภาษณ์  ควรหรือเปล่าค่ะ      ถามมากไปหรือเปล่าเนี้ย ..คือตื่นเต้นมาก ๆ ค่ะที่ถูกเรียกสัมภาษณ์  งานนี้เป็นงานที่มีความหวังมาก ๆ และอยากได้งานนี้มาก ๆ เลยต้องการอยากจะปรึกษาพี่ ๆ ที่มีประสบการณ์  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 07:16:41 แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 07:15:11 จากคุณ : nookky - [ 7 ธ.ค. 48 07:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านความเห็นของคุณพธูไทยแล้วเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ โดยเฉพาะตรงที่บอกถึงเรื่องการยกตัวอย่างจากงานที่เราเคยทำมา แล้วเอามาโยงกับตำแหน่งงานที่เราสมัครไป ว่างานที่เราเคยทำมีลักษณะสอดคล้องกันกับงานใหม่นี้อย่างไรบ้าง หรือถ้าไม่สอดคล้องเสียทีเดียวนั้น มันบ่งชี้ถึงความสามารถของเราที่จะนำมาประยุกต์กับงานนี้ได้อย่างไรบ้าง อีกอย่างหนึ่งที่เห็นด้วยกับคุณพธูคือการตอบคำถามแต่ละคำถามจะต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด อย่าไปลอกคำถามจากหนังสือหรือตัวอย่างตามเว็บมาเป็นดุ้นๆ ยกตัวอย่างของตัวเองที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้ ผู้สัมภาษณ์ถามดิฉันว่าคิดว่าจะทำงานนี้ไปนานแค่ไหน และใน 5 ปีข้างหน้าคิดว่าตัวเองจะอยู่ตรงไหน  ดิฉันตอบเขาว่าเรื่องทำงานไปนานแค่ไหนนั้นคงขึ้นอยู่กับว่าสนุกกับงานมากแค่ไหน และงานมีความท้าทายมากแค่ไหน แต่เท่าที่ดูจากลักษณะของงานก็คิดว่าคงจะสนุกกับงานแน่นอน เพราะเป็นงานที่ต้องพบปะผู้คน และในขณะเดียวกันได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ด้วย  ส่วนอีก 5 ปีข้างหน้าก็อยากเห็นตัวเองก้าวหน้าขึ้นไปจากตำแหน่งที่ทำ เขาก็ให้ขยายความต่อว่าก้าวหน้าในระดับไหน ดิฉันตอบแบบติดตลกว่า "ถ้าเกิดวันนึงคุณเบื่องานของคุณขึ้นมา ดิฉันขอสวมตำแหน่งนี้ (director) แทนคุณก็แล้วกัน"  เขาขำก๊ากเลยค่ะ ดิฉันไม่ได้งานชิ้นนี้หรอกนะคะ เหตุผลที่ไม่ได้ก็เพราะว่าไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เขาต้องการ (ซึ่งรู้ตั้งแต่ตอนสมัครแล้ว แต่ก็อยากลองเชิงดู เผื่อฟลุ้ค)  แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากการสมัครงานครั้งนี้ก็คือประสบการณ์และความประทับใจที่ผู้สัมภาษณ์มีให้เรา (อันนี้เขาอีเมลล์มาบอกตอนหลัง) สัมภาษณ์เสร็จแล้วก็อย่าลืมส่งจดหมายไปขอบคุณผู้สัมภาษณ์ที่เขาให้โอกาสกับเราด้วย (ภายใน 48 ชั่วโมงจะเป็นการดีที่สุด) แล้วถ้าคุณไม่ได้งานนี้ก็อย่าท้อนะคะ อีเมลล์กลับไปขอคำแนะนำจากเขาตรงๆว่ามีอะไรบ้างที่คุณควรปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรซูเม่หรือการสัมภาษณ์ เพื่อคุณจะได้ใช้เป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ครั้งต่อๆไป  และถ้าเป็นไปได้ ลองถามต่อไปด้วยว่าเขาพอจะแนะนำบริษัทหรือองค์กรอื่นๆที่น่าจะมีตำแหน่งงานในลักษณะนี้ที่คุณสนใจบ้างอีกไหม จากคุณ : Northernlife - [ 7 ธ.ค. 48 07:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กดส่งไปแล้วเพิ่งมาเห็นว่าคุณ nookky เข้ามาตอบพอดี ขอตอบเพิ่มเติมเท่าที่รู้ดังนี้นะคะ 1. งานแต่ละงานหรือหน้าที่ ลักษณะการสัมภาษณ์ไม่เหมือนกันใช่ไหมค่ะ คิดว่าขึ้นอยู่กับงานและคนสัมภาษณ์เองด้วยค่ะ คือถ้ามีคนสมัครหลายๆคนเขาก็คงสัมภาษณ์แบบเป็นงานเป็นการหน่อย แต่ถ้ามีเราเพียงคนเดียว (คือเป็นการได้งานแบบปากต่อปาก ไม่มีการประกาศรับสมัครงานอย่างเป็นทางการ) มักจะเป็นการคุยกันมากกว่า เพราะว่าเขารู้ประวัติของเราจากเรซูเม่ที่เราส่งไปแล้ว  เขาก็จะคุยให้เราฟังว่าลักษณะงานเป็นอย่างไร ขอบเขตแค่ไหน จากนั้นก็จะเป็นข้อตกลงกันเรื่องเงินเดือนหรือการเริ่มงานซะมากกว่า ในกรณีนี้เขาต้องการคนอยู่แล้ว กรณีที่เราจะได้งานนั้นมีสูงอยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยที่เราจะตกลงกับเขาเท่านั้น ถ้าเป็นงานที่มีการประกาศรับสมัคร จะมีขั้นตอนที่แน่นอนเป็นทางการกว่านั้น อย่างงานที่เล่าไปข้างต้น ตอนสัมภาษณ์เขาก็ให้ยกตัวอย่างสถานการณ์ว่าถ้าเราต้องไปติดต่อคนภายนอก ลักษณะการ approach ของเราจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือทางจดหมายก็ตาม  หรือให้เสนอความคิดว่าในกรณีที่เราต้องโปรโมทงานขององค์กรในพื้นที่ๆหนึ่งนั้น เราจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง เป็นต้น 2.การสัมภาษณ์ ถ้าหัวหน้าที่เราจะต้องทำงานด้วยต้องการรับเราเข้าทำงาน แบบนี้ฝ่าย HR จะยอมรับเราเข้าทำงานด้วยหรือเปล่าค่ะ เท่าที่ทราบมา ฝ่ายบุคคลมีหน้าที่แค่สกรีนผู้สมัครส่งไปให้คนสัมภาษณ์ซึ่งมักจะเป็นหัวหน้างานของเราโดยตรงนะคะ  ถ้าคนที่เขาสัมภาษณ์เราต้องการรับเราเข้าทำงาน แสดงว่าคุณได้งานนั้นแล้ว 100 เปอร์เซนต์ค่ะ  เพราะฉะนั้นถ้าผ่านด่านการสกรีนคนของฝ่ายบุคคลไปสัมภาษณ์ได้ ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ  (เขาถึงว่ากันว่าไม่ควรส่งใบสมัครไปยังฝ่ายบุคคลไงคะ เพราะโอกาสที่ใบสมัครของคุณจะถูกหย่อนลงถังนั้นมีสูงมาก ทั้งๆที่บางครั้งประวัติการทำงานของคุณจะเป็นที่สนใจของผู้สัมภาษณ์ซึ่งมักจะเป็นเจ้านายโดยตรงของคุณก็ตาม) 3.ควรนำรายงานจากเจ้านายเก่า(good report) มาเป็นส่วนประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ อันนี้ส่วนตัวไม่เคยทำนะคะ  คือไม่เคยยื่นรีพอร์ทจากเจ้านายเก่าให้คนสัมภาษณ์ดูน่ะ  แต่ถ้าเขาต้องการ references เขาจะขอเบอร์หรืออีเมลล์ติดต่อไปเองค่ะ (อันนี้ควรพิมพ์เตรียมไว้ต่างหาก แล้วอย่าลืมโทรไปบอกคนที่เราใช้เป็น references ให้เขารู้ตัวล่วงหน้าด้วย 4.ควรนำผลงานต่าง ๆ ที่เราทำไว้มาประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ ถ้ามีก็ดีนะคะ  แต่ส่วนตัวก็ไม่เคยทำอีกเหมือนกัน เพราะงานที่ทำอยู่นี่มันเป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรมน่ะ (คือว่าไม่ใช่อย่างงานศิลป์หรืองานออกแบบที่เรามักจะมีผลงานเก่าๆเก็บไว้น่ะ) 5.ระหว่างที่ถูกสัมภาษณ์ควรที่จะนำสมุดจดเข้าไปด้วยได้ไหมค่ะ  คือเผื่อว่าเราจะจดคำถามที่เราอยากจะถาม หรือจดรายละเอียดต่าง ๆ ของงานตอนที่ถูกสัมภาษณ์ เรื่องรายละเอียดต่างๆของงานนี่คงไม่ต้องถึงกับจดหรอกนะคะ เพราะพอเราได้งานแล้วเขาก็จะต้อง brief ให้เราฟังอีกทีอยู่ดี  ส่วนคำถามที่เราอยากจะถามนั้น ขอแนะนำว่าให้พิมพ์เตรียมไว้ล่วงหน้าเลย แล้วท่องจำให้ขึ้นใจว่าจะถามอะไรเขาบ้าง แต่ถ้ากลัวว่าจะลืมแล้วจะเอากระดาษแผ่นนั้นติดตัวเข้าไปด้วยก็คงไม่เป็นไรมั้งคะ โชคดีค่ะ เอาใจช่วยขอให้ได้งานนี้สมใจหวังนะคะ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 11:00:49 จากคุณ : Northernlife - [ 7 ธ.ค. 48 07:58:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1 ใช่ค่ะ งานแต่ละงานหรือหน้าที่ ลักษณะการสัมภาษณ์ไม่เหมือนกันค่ะ รวมทั้งขึ้นอยู่กับคนสัมภาษณ์ด้วย ตัวเองไม่เคยเกร็ง คิดว่าได้ก็คงดี ถ้าไม่ ก็มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์ให้เรียนรู้เพิ่มขึ้น พอคิดแบบนี้ อะไรๆก็ดูง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ 2 ถ้าหัวหน้าที่เราจะต้องทำงานด้วยต้องการรับเราเข้าทำงาน HR จะตกลงกับเราเรื่องเงินเดือนเท่านั้นมากกว่าค่ะ  เพราะเราจะทำงานกับหัวหน้าเรา ไม่ใช่กับ HR ถึงแม้คำถามของ HR โดยส่วนตัวแล้ว จะยากมากๆก็ตาม 3 ตามปกติจะบอกเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานที่เราเคยทำมาก่อนทั้งหมดค่ะ 4 ผลงานต่าง ๆ ใบรับรองการผ่านงานทั้งหมดนี่ ทางบริษัทที่เคยสมัคร ขอก่อนที่จะนัดสัมภาษณ์น่ะค่ะ 5 เอ เรื่องสมุดจดนี่ขอผ่านค่ะ ไม่ทราบจริงๆตัวเองไม่เคยใช้  เพียงแต่ต้องตั้งใจฟัง ไม่เข้าใจอะไรก็ถาม เคลียร์เดี๋ยวนั้นเลย ก่อนที่คนสัมภาษณ์จะสัมภาษณ์ต่อไป คำตอบนี้จากประสบการณ์แบบ learning by doing น่ะค่ะ ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้ไปหาอ่านอะไร จากใหนเลย ก็จึงไม่เป็นทางการอะไรนักน่ะค่ะ โชคดีนะคะ เอาใจช่วยค่ะ จากคุณ : IT-Thai - [ 7 ธ.ค. 48 08:42:14 ]

ความคิดเห็นที่ 8 วันนี้เพิ่งจะสอบสัมภาษณ์มาสด ๆ ร้อน ๆ เลยคะ สัมภาษณ์สำหรับ accounting 2 for state job ถามเค้าตลอดเลยเวลาเราไม่เข้าใจก็เลยคิดว่าไม่ได้ชัวร์ แต่ก็เป็นประสบการณ์สำหรับครั้งต่อไป จากคุณ : ลูกน้อยกลอยใจ - [ 7 ธ.ค. 48 13:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 1.งานแต่ละงานหรือหน้าที่ ลักษณะการสัมภาษณ์ไม่เหมือนกันใช่ไหมค่ะ ไม่เหมือนแน่นอนค่ะ เพราะว่าถ้าเป็นคนละคนกัน ยังไงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์นี้แตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ การที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องพยายามทำความรู้จักกันให้มากที่สุดในระดับหนึ่ง และที่สำคัญสำหรับเราในฐานะผุ้ถูกสัมภาษณ์คือ ต้องพยายาม convince ให้ได้ แบบว่าอันนี้เป็นวิธีการที่ต้องฝึกนะ ใครบอกว่าทำไม่ได้ ต้องทำให้ได้ ได้สัมภาษณ์บ่อยๆ ก็จะเป็นเอง ถ้าไม่เป็นต้องพยายามออกไปหาสถานการณ์ให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ ถูกสัมภาษณ์ เช่น คนที่เริ่มหางานเลย อาจจะเอาซีวีให้เพื่อนสนิทของแฟนที่เจอกัน แต่ไม่เคยคุยกันนอกเหนือไปจากเวลาที่มีสามีเราอยู่ด้วย อย่างนี้เราก็อาจจะขอนัดบอกว่า เป็นการขอคำแนะนำใน professional orientation บอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าเราต้องการให้เขาคอมเมนท์เราขณะที่เรากำลังพูด และให้เขาดูซีวีของเรา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะว่าคุณจะได้มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นที่เราอาจจะไม่เคยคิดเตรียมตัวตอบมาก่อนเลย จากคนที่เรารู้จัก (แต่เราไม่เคยถามความคิดเห็นเลยเรื่องการหางาน) แล้วเราเอาคำถามนั้นมาปรับใช้ จดเอาไว้ เขียนคำตอบเอาไว้ด้วย อ่านให้ขึ้นใจ เพราะเมื่อไรที่เจอคำถามแบบนี้ เราจะมีคำตอบออกมาแบบธรรมชาติมาก คล้ายกับเรากำลังนั่งอยู่ในสถานการณ์เลย จริงๆ นะ ไม่เชื่อลองดู 2.การสัมภาษณ์ ถ้าหัวหน้าที่เราจะต้องทำงานด้วยต้องการรับเราเข้าทำงาน แบบนี้ฝ่าย HR จะยอมรับเราเข้าทำงานด้วยหรือเปล่าค่ะ โอกาสสูงมากๆ เป็นวิธีการหนึ่งด้วยในการหางาน คือการพยายามติดต่อไปที่คนที่เราอยากทำงานด้วย หมายถึงถ้าเรา identify ได้ว่าใคร เราก็ต้องหาทางทำความรู้จักกับเขาให้ได้ แต่ถ้าเรารู้แน่ๆ ว่าเขาอาจจะมีตำแหน่งว่าง (รู้มาจากเพื่อนอีกที ฯลฯ) เราก็เขียนจดหมายสมัครไปเลย พร้อมขอนัดด้วย แต่ตรงนี้ต้องทำแบบมีกลยุทธิ์ เพราะถ้าเขาไม่รู้จักเรามาก่อนเลย แล้วส่งซีวีไปทันที เขาส่งต่อไป HR แล้วอาจจะมีคำตอบมาว่า ไม่มีตำแหน่ง แล้วเราก็หมดโอกาสไปเจอหัวหน้าคนนั้นไปเลย (ตรงนี้ดิฉันมีประสบการณ์เยอะมาก เรื่องการติดต่อคน) ถามอย่างนี้แสดงว่าคุณน่าจะมีโอกาสได้งานนะ วันนี้ที่ไปต่างจังหวัด เจอบริษัทหนึ่ง ก็ได้พูดคุยกัน ถามว่าผู้ช่วยของไดเรคเตอร์ที่ทำหน้าที่การตลาดนั้น มาเจอกัน ทำงานด้วยกันได้อย่างไร ปรากฎว่า เจอแบบ relation รู้จักกันเห็นหน้ากันมาตั้งแต่ผู้ช่วยยังเป็นนักเรียน ในที่สุดเขาก็รับเข้ามาทำงานด้วยเลย ในขณะที่มีอีกรายจำได้แม่น ขอนัดกับไดเรคเตอร์บริษัท distributor ใหญ่แห่งหนึ่ง กว่าจะได้เจอนะ 1 ปีแน่ะค่ะ ดูสิคะ ดิฉันอดทนมากเลย โทรตามทุกๆ 1 เดือนครึ่งค่ะ ปรากฎว่า ที่ไม่ได้เจอเสียที เพราะว่าเขาเปลี่ยนผู้ช่วยไปแล้ว 4 คนค่ะ ไดเรคเตอร์คนนี้เป็นคน exigent มาก ใครทำงานแล้วไม่เวิร์ค เอาออกเลยค่ะ และคนที่มาเจอคนล่าสุดที่ดิฉันได้สัมผัสเอง ก็รู้สึกว่า คนนี้แหละทำงานเป็น ถ้าเป็นเรา เราก็จะอยากได้คนนี้มาทำงานด้วย รวดเร็ว คล่อง บริการอย่างดี ไม่รำคาญที่เราตามจิก ตามถาม ในที่สุดดิฉันได้เจอไดเรคเตอร์คนนี้ จนถึงวันนี้เขามาเป็นลูกค้าของดิฉันแล้วค่ะ (2 ปีครึ่งต่อมา) 3.ถ้าต้องพรีเซ็นต์ตัวเอง ควรที่จะบอกเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานที่เราเคยทำมาก่อนทั้งหมดหรือบอกแค่งานที่น่าจะมีความสัมพันธ์กับงานที่เราสมัคร ส่วนใหญ่นะ คำถามแรกเลยคือ "ไหนลองบอกเราเกี่ยวกับตัวเธอมาสิ" ถามสั้นๆ แบบนี้ ก็เป็นเราที่จะต้องตอบ เราก็เน้นว่า ตอบในแนวประสบการณ์อาชีพนะ ถ้ามีบางส่วนที่สัมผัสกับชีวิตส่วนตัวก็บอกไป เช่น หลังจากทำงานมา... ปี เจอสามี แล้วตัดสินใจแต่งงาน และก็ย้ายมาที่นี่ ไม่ต้องพูดมาก แค่เป็นจุดเปลี่ยนของโครงการชีวิตของเรา แล้วก็พูดเล่าแต่ประสบการณ์การทำงานเท่านั้น ทั้งหมดห้ามใช้เวลาเกิน 5 นาที (ถ้าพูดเร็วๆ ห้ามเกิน 2 นาที) อันนี้ต้องฝึกเลย เขียนเอาไว้ในกระดาษ พูดให้สามีฟัง แล้วไปลองพูดให้พ่อแม่สามีฟัง ขอความคิดเห็น หรือบางทีพูดไป เขาจะถามเราเอง ว่าตรงไหนไม่ชัดเจนหรือมีความไม่สอดคล้องกับแผนการชีวิต คือการ presentation นี้ ต้องทำให้คนสัมภาษณ์เห็นว่า เราเป็นคนที่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร การทำอาชีพอะไรมาก่อน เรามีเหตุผล มีแรงจูงใจ หรือแม้กระทั่งมีเป้าหมายว่า งานนั้นๆ จะนำเราไปสู่อะไร และถ้ามีจุดเปลี่ยน เราก็ต้องบอกให้ได้ว่า เราต้องถอยหลังเพราะอะไร จะเพื่อการศึกษาลักษณะสังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงสังคมงานด้วย และคิดว่าตอนนี้พร้อมแล้วที่จะทำงาน ให้ประโยคเด็ดเลยนะว่า "ดิฉันคิดว่าสิ่งที่ดิฉันได้เคยทำมาในอดีต ความสามารถเหล่านี้ transfer มาใช้กับตำแหน่งที่ประกาศนี้ได้ เพราะว่า.... แล้วก็บอกเลยเป็นจุดๆ ไป ว่าเราทำอะไร ตรงกับ mission ที่เขาระบุมาอย่างไร สรุปคือ นับตั้งแต่เราเดินเข้าสถานที่สัมภาษณ์ปุ๊บ เราเข้าสู่ฉากการสัมภาษณ์ทันที ทุกๆ คนมองเราอยู่ การสัมภาษณ์ไม่จำกัดแค่เฉพาะการพูดคุยเท่านั้น ดังนั้น พอเขาให้เราพูด เราต้องเตรียมพร้อมทันที รู้ว่าเราจะพูดอะไรทันที 4.ควรนำรายงานจากเจ้านายเก่า(good report) มาเป็นส่วนประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ ควรมีติดกระเป๋าเอาไว้ แต่ไม่ต้องเอามาวางบนโต๊ะ ถ้าเขาถาม เราก็บอกว่าเราเตรียมมาด้วย แต่ไม่ต้องถามเขาว่าจะดูไหม ขอบอกว่าการสัมภาษณ์เป็นการรู้จักเราตัวเป็นๆ ไม่ใช่มาขอดูว่าเรามีอะไรมาบ้าง ในสถานการณ์การสัมภาษณ์ บางทียาวนาน 25 นาที และบางทีนานถึง 1 ชม. บางทียาวนานแบบครึ่งวันเลย มีการไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน (อย่างนี้จะต้องมีข้อระวังเยอะมาก ห้ามปล่อยตัวตามสบายเด็ดขาด เพราะเขามองดูเราทุกย่างก้าว จริงๆ... เช่น ถ้าเขาถามว่า จะดื่มไวน์ไหม ต้องบอกว่า ไม่ดื่ม) บางสถานการณ์ที่เจอ อย่างตอนนี้ดิฉันได้งานแล้ว แต่จะมีงานลักษณะที่ปรึกษาที่บริษัทยังติดต่อดิฉันมาเพื่อทำความรู้จัก มีบริษัทนึงให้คนมาทำความรู้จักดิฉันถึง 5 คนแล้วค่ะ อย่างนี้จะเป็นรูปแบบที่ไม่เป็นทางการเลย แต่อะไรๆ ก็ต้องเตรียมว่า professional นะ ห้ามทำเป็นว่า รู้จักกัน รู้จักกัน ไม่เป็นไร คือรู้จักกันนี่แหละ ตัวดีเลย เพราะบางทีเราไม่ระวัง ถ้าเราทำดีมากตลอด แล้วมาเสียแค่เรื่องเดียว แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา เราจะตายทันที เช่น การพูดคุยเล่นๆ เรื่องที่ทำงานเดิม หัวหน้าเป็นไงบ้าง เช่น ชวนคุณกินกาแฟ ให้คุณผ่อนคลายแล้วถามอะไรแบบนี้ บางคนลืมตัวนะ บอกข้อด้อยของหัวหน้าเก่าตัวเอง แบบนี้เขาไม่เอาเลยนะ บางทีบอกว่าจะเซ็นต์สัญญากันพรุ่งนี้แล้ว อาจได้โทรศัพท์มาบอกว่า ขอโทษด้วย งบประมาณถูกตัดกระทันหัน อะไรทำนองนี้ เรื่องข้างบนนี้เรื่องจริงที่เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันที่เคยทำหน้าที่รับคนเข้ามาทำงานด้วย จะใช้วิธีนี้ ทำเป็นชวนคุยแล้วหลอกถามโน่นถามนี่ เขาว่าได้ผลมากๆ ในการดูคน เพราะว่า ระหว่างการสัมภาษณ์แค่ครึ่งชม. หรือ 1 ชม. นี่ มันไม่พอ 5.ควรนำผลงานต่าง ๆ ที่เราทำไว้มาประกอบในการสัมภาษณ์หรือไม่ค่ะ เตรียมเอาไว้ ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่ต้องโชว์ แต่อันนี้คิดว่าแล้วแต่สถานการณ์ด้วยเหมือนกัน ถ้ากำลังคุยเรื่องที่สอดคล้อง แล้วเราต้องอธิบายด้วยผลงานที่เคยทำแบบรูปภาพหรือกราฟผลงาน ก็อาจจะต้องเอามาแสดงให้เห็น บางทีจากวิธีการพูดคุย คนสัมภาษณ์เขาจะรู้นะ ว่าใครเป็นอย่างไร อย่างที่บอก บางทีว่ากุเรื่องขึ้นมา ถ้าทำได้ไม่ธรรมชาติ แล้วถูกต้อนจนมุมจะแย่ อะไรที่ไม่เคยทำ ต้องบอกว่าไม่เคยทำ แต่คิดว่าทำได้ เพราะอะไร....ก็ว่าไป อย่างนี้ดีกว่า เพราะเป็นคำตอบที่แสดงให้เห็นว่า เรารู้ว่าข้อด้อยของเราคืออะไร แต่เรามีข้อเด่นคือเราเคยทำงานที่เคยต้องมีหน้าที่คล้ายๆ อยางนี้ ถ้าเป็นดิฉันจะพูดทำนองว่า "ดิฉันเข้าใจว่าเป็นการยากสำหรับคุณที่จะรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ แต่ว่าหลายๆ อย่างต้องเรียนรู้ และดิฉันเชื่อว่าคนที่มาที่ตำแหน่งที่ประกาศนี้ หลายๆ คนก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่เขาทำได้ แล้วทำไมดิฉันจะทำไม่ได้ถ้าคุณให้โอกาสดิฉัน ทำไมไม่ลองให้โอกาสดิฉันสัก 3 เดือน แล้วประเมินดูว่าดิฉันจะสามารถผลิตผลงานให้คุณ และร่วมงานกับคุณได้ดีแค่ไหน" อันนี้พูดถ้าเราประเมินสถานการณ์แล้วว่า คนสัมภาษณ์สนใจเรานะ แต่ว่าอาจจะยังกลัวว่าจะเลือกผิดคนอยู่ เราต้องทำให้เขามั่นใจ หรือหาทางออกหรือทางเลือกให้เขาด้วย อย่าทำให้เขาจนมุมจนต้องบอกเราว่า "ผมต้องการคนที่ประสบการณ์แล้วจะเหมาะกว่า" 6.ระหว่างที่ถูกสัมภาษณ์ควรที่จะนำสมุดจดเข้าไปด้วยได้ไหมค่ะ  คือเผื่อว่าเราจะจดคำถามที่เราอยากจะถาม หรือจดรายละเอียดต่าง ๆ ของงานตอนที่ถูกสัมภาษณ์  ควรหรือเปล่าค่ะ ควรจดแบบหัวข้อนะ อะไรที่เป็นจุดสำคัญ คำถามอะไรที่เราตอบไม่ได้ ฯลฯ แล้วเรากลับมาประเมินตัวเอง ถ้ามีอะไรจะเขียนเกี่ยวกับ impression ของเราต่อเขาแล้วไม่กล้าเขียนทันที รอให้เดินออกจากที่นั้น แล้วควักสมุดออกมาแล้วเอามาเขียนๆ เอาไว้ แล้วไปเดินเล่น ผ่อนคลายหัวสมอง เย็นนั้นเอาโน้ตออกมาดู เพื่อ 1. เอาสิ่งที่ได้สัมภาษณ์มานั้น มาสรุปเป็นข้อๆ ที่สำคัญ คำถามที่เราตอบได้ไม่ดี ก็พยายามตอบให้กระจ่างขึ้น แล้วเขียนจดหมาย หรือเขียนอีเมล์ไป -เพื่อขอบคุณคนที่สัมภาษณ์เรา -เพื่อเพิ่มเติมข้อมูลที่เราตอบได้ไม่ดีนัก (ตรงนี้ต้องระวังอย่าเขียนเยอะ) -เพื่อย้ำสิ่งที่เราต้องการยืนยัน (ถ้าไม่มีอะไรยืนยันไม่ต้องเขียน 2. และที่สำคัญการจดบันทึก ถือเป็นการประเมินตัวเอง (เหมือนเล่นกีฬา ไม่ว่าแพ้หรือชนะ เราต้องมาดูว่าเราทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน ส่วนผลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ประเมินตัวเองเพื่อที่จะได้เอาไปปรับปรุงให้ครั้งต่อไปดีขึ้น ถ้าเราล้มเหลวครั้งนี้ ก็บอกตัวเองว่าเป็นบทเรียน ครั้งหน้าจะไม่ทำซ้ำอีก อะไรทำนองนี้ 3. คำถามที่เราตอบไม่ได้ ต้องจดเลย หรือคำถามที่เรากระอักกระอ่วนจะตอบยังไงดี จึงจะทำให้เราอยู่ในสถาการณ์ที่เป็นบวกต่อตัวเอง แล้วเอามานั่งคิดและเขียน ท่องจำ แล้วลองพูดให้เป็นธรรมชาติดู พอต้องสัมภาษณ์ครั้งใหม่ เรารู้ว่า เราเตรียมตัวดีขึ้นแล้ว ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าเป็นเกมส์อย่างหนึ่ง แต่คิดว่าคุณเจ้าของกระทู้ท่าจะได้งานแน่ เหมือนว่ามีการติดต่อเจ้านายตรงเลย อย่างนี้โอกาสค่อนข้างสูงมากๆ แต่ไม่ 100 เปอร์เซนต์นะ เพราะบางทีมีพลิกล็อคเช่น อาจจะเป็นรอปีหน้าละกันนะ หรือไม่ก็เหตุผลอื่นๆ แต่ถ้าเขามั่นใจในตัวเรานะ เขาจะรีบรับเราเลย บางทีเขากลัวเราไปเจอคนอื่น อย่างตอนนี้ดิฉันโดนไดเรคเตอร์ถามอยู่ 2 ครั้งภายใน 3 อาทิตย์ว่า มีเรื่องอะไรต้องติดต่อกับบริษัทหนึ่งซึ่งเคยติดต่อกันมาก่อนในช่วงหางานแต่เขาไม่รับดิฉันทันที บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อมาใหม่ปีหน้า แต่พอรู้ว่าดิฉันทำกับที่นี่ ก็ติดต่อมาทันที จะขอนัดไปทานข้าวแล้วจะคุยเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ ทั้งๆ ที่ดิฉันต้องติดต่อในฐานะที่เขาเป็นลูกค้าของดิฉันเท่านั้น ที่บอกมาข้างต้น เป็นผลที่เกิดจากกลยุทธิ์แบบสร้าง connection ที่ดิฉันยังไม่ได้เขียนเสียที แล้วจะมาเขียนแน่ๆ ให้เรียบเรียงในหัวให้ดีๆ หน่อย เพราะว่าเป็นวิธีการที่สนุก (แต่คนจะทำต้องพร้อมมากๆ และเชื่อในวิธีการนี้ ห้ามท้อเด็ดขาด) จากคุณ : พธูไทย - [ 8 ธ.ค. 48 03:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มาเขียนเติม เลยเห็นว่าที่เขียนไปข้างบนนี่ยาวมากๆ เลยนะ ยิ่งเขียนยิ่งมัน ยังกับกินถั่วเคลือบช็อคโกแลตคุณวิภาวีที่เพิ่งทำไป แต่มันติดเป็นก้อนตังเม น้ำตาลติดฟันมากๆ เลย ว่าจะทำใหม่พรุ่งนี้ เข้าเรื่องอีกนิด จะเพิ่มจากความคิดเห็นจากบทสัมภาษณ์คนที่ทำหน้าที่ในการเลือกสรรคน (ไม่ว่าจะเป็น HR หรือไม่) เขาบอกว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว เวลาเขาตัดสินใจเลือกใครนี่นะ ซีวีที่เห็นอยู่นั้นมันแค่เป็นเอกสารชิ้นหนึ่งเท่านั้น ประสบการณ์ที่เคยทำ เคยเรียนอะไรมาบ้าง ก็เป็นแค่ส่วนทำให้ข้อมูลเข้มขึ้น แต่พอถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกคน เขาใช้สัญชาตญาณค่ะ เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องคนนี้ ถ้าพูดภาษาบ้านๆ คือ ถูกชะตากันน่ะ บางคนไม่ถูกชะตาแค่เห็นหน้า เห็นบุคลิกก็ไม่ชอบ หรือยิ่งไม่กว่านั้น บางคนไม่ชอบขนาดที่ว่า แค่รู้ว่าเธอเกิดมา ฉันก็ไม่ชอบเธอแล้ว มันเป็นเสียอย่างนี้ จึงบอกว่าคนที่หางานอยู่นั้น ในช่วงการหางานนั้นมีอะไรให้เรียนรู้เยอะมากๆ ทำอย่างไรเราจึงจะทำลายป้อมปราการที่ตั้งไว้กับเราได้ภายในเวลาที่เจอกันสั้นๆ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เทคนิคการหางานแบบสร้าง connection จึงมีความสัมคัญมากๆ และเป็นวิธีการที่เวิร์คสุดๆ (อย่างน้อย...สำหรับดิฉัน) เพิ่มเติมที่คุณหนมด้วยว่า ไดเรคเตอร์ที่คุณไปสัมภาษณ์ด้วยนั้น ควรจะติดต่อไปทุกๆ 1 เดือนครึ่งนะคะ ให้ข่าวเขาให้รู้ว่าเราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว และพอถึงเวลาที่พร้อมจะหางานอีกที (เข้าใจว่าใกล้คลอดแล้ว) คุณก็ลองถามว่า ไม่ทราบว่ามีใครที่เขารู้จักที่อยู่ใกล้ๆ กับที่คุณหนมอยู่ ที่เขาจะแนะนำให้คุณไปติดต่อได้หรือไม่ หรือบริษัทหรือองค์กรที่เขารู้จักที่น่าจะมีความสนใจคนที่มีความสามารถแบบคุณ แล้วก็ไปติดต่อขอพบเลย เริ่มการเปิด connectio แบบเป็นทางการทันที แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 48 04:19:27 จากคุณ : พธูไทย - [ 8 ธ.ค. 48 04:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆค่ะคุณพธู   ก็กะไว้เหมือนกันว่าจะส่งข่าวให้เขาทราบหลังคลอด แล้วติดตามเรื่อง connections ที่ไดเร็คเตอร์คนนี้แนะนำมาต่อไปค่ะ แต่ตอนนี้ขอพักยกเตรียมตัวเลี้ยงลูกสัก 2-3 เดือนก่อนค่ะ จากคุณ : Northernlife - [ 8 ธ.ค. 48 04:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ คุณพธู เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ๆ ขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ดิฉันกลัวอยู่อย่างเดียวตอนนี้คือเรื่องภาษาอังกฤษ กลัวจะตื่นเต้นแล้วพูดไม่ออก รู้สึกว่าจะมีเราอยู่คนเดียวที่เค้านัดสัมภาษณ์ แล้วนัดสัมภาษณ์กับหัวหน้างานก่อนฝ่ายบุคคล  อันนี้เราควรจะต้องทำให้ดีที่สุดเพราะเป็นโอกาสของเราแล้ว ตื่นเต้นมาก นั่งคิด  นอนคิดทั้งวัน เกี่ยวกับคำพูด และประโยคต่าง ๆ ที่ควรจะพูด  ก่อนถึงวันสัมภาษณ์จะเข้ามาอ่านคำตอบขอบพี่ ๆ ที่ให้ความเห็นไว้เรื่อย ๆ ไว้เป็นข้อคิด  ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ รู้สึกว่าเรามีความมั่นใจมากขึ้น แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 48 10:56:42 จากคุณ : nookky - [ 8 ธ.ค. 48 09:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดิฉันกลัวอยู่อย่างเดียวตอนนี้คือเรื่องภาษาอังกฤษ กลัวจะตื่นเต้นแล้วพูดไม่ออก คนที่เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษเอง ที่ต้องสัมภาษณ์งาน เขาก็ตื่นเต้นนะ อย่าคิดว่าคนของประเทศของเขาเองไม่ต้องเตรียมตัวในการหางานหรือสมัครงาน หรือสัมภาษณ์ คนที่ไม่เตรียมตัวหรือเตรียมพร้อม ไม่เข้าใจศาสตร์การหางาน หรือการติดต่อคน เขาเหล่านั้นไม่ได้เหนือไปกว่าเราเลยค่ะ ถ้าเรามีข้อด้อยเรื่องภาษา เราก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการที่จะมา convince คนที่จะรับเราว่า ข้อเด่นอื่นคืออะไร เอาง่ายๆ ถ้าเป็นบริษัทที่ต้องทำอะไรกับเมืองไทย หรือประเทศทางเอเชีย เราก็บอกว่า ฉันพูดภาษาไทยได้ ติดต่อประสานได้ดี หรือไม่ความเป็นคนเอเชีย เป็นจุดเด่นที่ทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมหรือวิธีปฏิบัติ จะช่วยให้การติดต่อธุรกิจเป็นไปได้ง่ายขึ้น อะไรทำนองนี้ ก็ต้องไปหาเหตุผลอะไรมาประกอบที่คุณคิดว่าสอดคล้องกับตำแหน่งงาน ที่สำคัญไม่ต้องบอกเขาว่า คุณมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ ห้ามบอก คือไม่ต้องเสียเวลาตรงนี้เลย ถ้าภาษาเราไม่ดี คนที่คุยเขารู้เขาได้ยินอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเน้นให้เขาเสียเวลาอีก และเราก็เสียเวลาด้วย เพราะแทนที่จะเอาเวลาที่มีในระหว่างการสัมภาษณ์ไปใช้ในการพยายามนำเสนอสิ่งที่เราอยากเสนอ กลับเป็นการลดความมั่นใจด้วยการย้ำข้อด้อย โดยเฉพาะเป็นข้อด้อยที่มันเด่นชัด ไม่ต้องพูดก็เห็นอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งเขาอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญของ perfect English มากไปกว่า intelligible English ก็ได้ (เขียนถูกไหมไม่รู้ แต่จะเขียนละ) แต่เราอาจจะพูดระหว่างบทสนทนา ตอนที่เริ่มผ่อนคลายกันทั้งคู่ แล้วเขาถามเกี่ยวกับทำนองว่า มาอยู่ต่างประเทศอย่างนี้ยากไหม ลำบากไหม ต้องปรับตัวอย่างไร เราก็ต้องตอบให้มันเป็นบวกกับตัวเองว่า "มันก็ยากอยู่ แต่คนเราต้องปรับตัว และเรียนรู้ สำหรับเรา เราใช้เวลานานเท่าไรในการปรับตัว การ integration เข้าสู่สังคมที่แตกต่างและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องปรับปรุงตลอดเวลาคือ เรื่องของภาษา ที่เราก็พยายามเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเราชอบการพัฒนาตนเอง ฯลฯ อะไรทำนองนี้" หลักการคือ think positive เพราะเรา positive จากภายใน เวลาเราแสดงออกมาภายนอก มันก็ positive ด้วย ซึ่งอย่างนี้คนที่เขาคุยกับเรา เขาก็ positive ตาม มันเป็นผลของการเหนี่ยวนำ เขาเรียกว่า การโน้มน้าว (ใช่ไหมไม่รู้ ดิฉันบรรยายไปเรื่อย) ถ้าเรา negative เราแพ้ตั้งแต่ยังไม่เดินออกจากบ้านเลยค่ะ แล้วสรุปว่า คุณนุ้กกี้เคยเจอคนที่จะสัมภาษณ์เราแล้วหรือยังเนี่ย รู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ถ้าไม่เคยเจอนะ ต้องเตรียมตัวดีๆ เลย เพราะถ้าเขาให้ผลการประเมินว่า ไม่ผ่าน อย่างนี้ก็ไม่ต้องไปคิดว่าจะผ่านที่ระดับ HR There is no second chance to make a first impression. เขาถึงบอกว่ามี first impression นี่สำคัญมาก มีครั้งเดียวและครั้งแรกเท่านั้น จึงทำให้ต้องเตรียมตัว ดิฉันเคยพลาดมาก่อนค่ะ ผลของการพลาดถึงขนาดก่อให้เกิด bad impression เลย ผลนี้มันหนักหนาสากัญนะคะ (เขียนสากัญไม่ถูก ...หรือว่าเขียนถูก) เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ ดิฉันเคยนึกว่า สบายๆ ไปเจอกัน แต่เขาไม่สบายๆ สิคะ สำหรับเขามันเสียเวลาของเขาค่ะ ถามอะไร ตอบไม่ได้ ยิ้ม เอ่อ อ่าๆ หมดเวลาไปแล้ว 15 นาที เข้าไปอยู่ในออฟฟิซของเขาทั้งหมด 1 ชั่วโมงได้มั้ง กลับไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย จำได้ตอบว่า งานที่คุณพูดมาน่ะ ดิฉันเคยทำมาแล้ว บอกได้แค่นี้ แต่บอกในรายละเอียดไม่ได้ คือคงจะบอกได้ ถ้าให้เวลานึกเยอะกว่านี้ อะไรกัน นี่ถามปุ๊บให้ตอบเลย ตอนนั้นก็คิดอีกว่า อ้าว มันเขียนเอาไว้ในซีวีน่ะ ไม่ได้อ่านหรือยังไง ต้องให้ฉันพูดอีกทำไม เสร็จเลยค่ะ กับบริษัทนี้ยังคง contact กันอยู่ เขาบอกดิฉันแบบสรุปว่า "จะเข้ามาทำที่นี่นะ ใช้เวลานานนะ คุณต้อง faire des epreuves ก่อน" หมายถึงว่า เราต้องแสดงให้เขาเห็นก่อนว่าเราสามารถ ที่เขียนในซีวีน่ะ เขาไม่เชื่อหรอก สำหรับเขาแล้วคนที่มีซีวีแบบนี้ แล้วมีพฤติกรรมการแสดงออก การแสดงความคิดเห็นแบบนี้หรือ ทำไมดูแล้วไม่ professionnal เลย งานที่จะทำกับเขา ที่เราเสนอไปนี่ ต้องไปเป็นตัวแทน ต้องติดต่อผู้คน แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้น อย่างนี้เขารับไม่ได้ คือ ถ้าไม่พร้อม อย่ามาดีกว่า ว่าแล้วเขาบอกว่าจะไปสืบเกี่ยวกับตัวเรา จากรายการคนที่ให้มา แล้วเมื่อไรจะไปสืบก็ไม่รู้ เพราะเขาก็เห็นและรู้สึกไปแล้วว่า คนๆ นี้ไม่น่าสนใจเลย ทำให้เขาเสียเวลา บทเรียนนี้แพงมาก และมีคุณค่ามาก เพราะดิฉันเรียนรู้ทันทีเลยว่า เราทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องนึกถึงใจเขาด้วย ว่าถ้าเราเป็นเขา คนที่มีความรับผิดชอบ แล้วต้องเลือกคนมาทำงานด้วย เราจะเอาแบบไหน เอาแบบคนเก่ง (ซีวีสูง คะแนนดี เป็นนักวิชาการ) แต่ไม่มีลักษณะความพร้อมด้านการเข้าสังคม ตอบคำถามไม่ได้ คิดว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักเราอยู่แล้ว จากซีวีที่ส่งไป (ถ้าคิดแบบนี้ egoist มาก) จากความล้มเหลวครั้งนั้น ดิฉันถอยหลังทันทีค่ะ คิดเอาไว้เลย ถ้าเราไม่พร้อมอย่าเพิ่งลงสนาม เพราะยังไงก็แพ้แน่นอน ข้อด้อย ข้อเด่นของตัวเอง เคยทำอะไรมา ยังไม่รู้เลย จะทำอะไรต่อไปยังไม่รู้เลย แล้วอย่างนี้จะไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้อย่างไร ดิฉันปรึกษาคนหลายคนมาก (ถือเป็นการทำความรู้จักคนไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้สมัครงานนะ) พอเล่าเหตุการณ์ให้ใครๆ ฟัง บางคนไม่มีความคิดเห็น บางคนบอกว่า ไม่เป็นไร เอาใหม่ครั้งหน้า และมีคนที่บอกดิฉันว่า "เธอติดต่อกลับไปใหม่เมื่อเธอพร้อมนะ เขารู้จักเธอแล้วนี่ เธอมีที่อยู่ของเขาหมด เธอบอกกับเขาตรงๆ เลยว่า เมื่อตอนนั้นเธอไม่พร้อมเลย เธอรู้ว่าเป็นข้อด้อยและเธอได้พยายามปรับปรุง และเรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 1 ปีนี้ ถ้าเขาให้โอกาสเธอ เธอจะทำให้เขาไม่ผิดหวัง บอกไปตรงๆ เลย เพราะคนที่เป็นผู้ใหญ่ ทำงานเป็น เขารู้ว่า การทำงานต้องมีการผิดพลาด แต่ที่สำคัญต้องรู้วิเคราะห์ว่า ผิดพลาดที่ตรงไหน จะปรับปรุงอย่างไร" และถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเราผิดพลาดตรงไหน และไม่รู้จะปรับปรุงอย่างไร แม้กระทั่งจากการสัมภาษณ์ที่ถือว่าเป็นการ Pre-start อย่างนี้ก็ไม่ต้องไปคิดว่า เราจะทำงานของเขา เขาคงไม่พร้อมจะให้เรารับผิดชอบงานที่สำคัญของเขาแน่นอน เดี๋ยวจะไปดูสิว่า เอกสารเกี่ยวกับคำถามมีอะไรบ้าง เพื่อคุณเอาไปลองดู แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 48 18:16:05 จากคุณ : พธูไทย - [ 8 ธ.ค. 48 17:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 14 หาเจอแล้ว เป็นเวอร์ชั่นฝรั่งเศสนะ เพื่อนที่ทำงาน HR ส่งมาให้ตอบ ก่อนจะเริ่มไปติดต่อผู้คน เดี๋ยวค่อยแปลเป็นอังกฤษแบบทุลักทุเลในช่องต่อไป Passe professionnel - Parlez-moi de votre exprrience professionnelle ? - Quels postes avez-vous occupes jusqu’a present ? - Quels ont ete vos employeurs precedents ? - Pourquoi avez-vous quitte votre dernier emploi ? - Pourquoi voulez-vous quitter votre employeur ? - Parmi tout ce que vous avez fait, ou avez-vous le mieux reussi ? Qu’avez-vous le plus aime ? Pourquoi ? Motifs de la candidature - Qu’est-ce qui vous attire dans cet emploi ? - Pourquoi etes-vous attire par notre societe ? - Qu’est-ce qui vous a interesse dans l’annonce que nous avons fait paraetre ? - Pourquoi souhaitez-vous travailler dans une moyenne / grande entreprise ? - Que pensez-vous pouvoir nous apporter ? - Que connaissez-vous de notre societe ? - Depuis combien de temps recherchez-vous du travail ? Projets de carriere - Quels sont vos objectifs professionnels a court / moyen / long terme ? - Qu’est-ce qui vous permet de penser que vous reussirez dans l’emploi que nous proposons ? - Comment vous representez-vous le poste que nous proposons ? La personnalite - Quelles sont vos principales qualites ? Vos principaux defauts ? - Decrivez-vous ? - Quelles sont les experiences qui ont le plus contribue a la formation de votre personnalite ? - Aimez-vous les responsabilites ? - Prenez-vous des responsabilites ? - Avez-vous deja dirige des hommes ? Comportement au travail - Comment reagissez-vous face a la hierarchie ? - Aimez-vous travailler en groupe ? Pourquoi ? - Comment vous integrez-vous dans une equipe ? - Comment organisez-vous votre travail ? Contraintes - Acceptez-vous de vous deplacer ? - Quand etes-vous disponible ? - Etes-vous proprietaire de votre logement ? - Avez-vous un permis de conduire ? Avez-vous une voiture ? - Avez-vous contacte d’autres entreprises ? Avez-vous d’autres offres ? Formation - Quelle est votre formation ? - Avez-vous suivi des stages de formation ? - Parlez-vous des langues etrangeres ? Quel est votre niveau ? Salaire - Quel etait le montant de votre salaire anterieur ? - Que desirez-vous gagner chez nous ? Quelles sont vos pretentions de salaire ? Situation familiale - Etes-vous marie, celibataire, veuf, divorce ? - Avez-vous des projets pour vos enfants ? Lesquels ? - Avez-vous parle a votre conjoint de votre candidature ? Qu’en pense-t-il ? Interets extraprofessionnels - Quelles sont vos activites extraprofessionnelles ? แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 48 00:17:33 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 48 03:20:14 จากคุณ : พธูไทย - [ 9 ธ.ค. 48 02:07:12 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อันนี้พยายามแปลเป็นอังกฤษ ช่วยๆ อ่านให้รู้เรื่องหน่อยละกัน Past professional experience - Tell me about your professional experience ? - What positions have you occupied until now? - What were your previous employers? - Why did you leave your last job? - Why do you want to leave your employer? - Among all that you have done, what do you think to be the best success? What have you liked the most ? Why? Motivation for the candidature - What are you interested in this job (position)? - Why are you attracted by our company? - What are you interested in the announcement that we published? - Why do you wish to work in an average / large -sized company? - What do you think you are able to do for us? - What do you know about our company? - How long have you been looking for a job? Career projects - What are your professional objectives in a short / medium / long term? - Why do you think that you will succeed in the job (mission) we proposed? - How do you see yourself in this position? Personality - What are your main qualities? Your main drawbacks? - How do you describe yourself? - What are the experiences that contributed the most to your personality? - Do you like the responsibilities? - Do you take responsibilities? - Have you already led a team ? Behavior in the work - How do you react in front of the hierarchy? - Do you like working in group? Why? - How do you integrate yourself into a team? - How do you organize your work? Constraint - Do you accept mobilility? - When are you available? - Do you own your apartment? - Do you have a driving licence? Do you have a car? - Did you contact other companies? Do you have other offers? Training - What is your education (training)? - Have you followed training courses? - Do you speak foreign languages? What is your level? Salary - What was the amount of your previous salary? - What do you wish to gain at our company? What are your salary expectations? Family situation - Are you married, single, widow, divorce? - Do you have any project for your children? What? - Have you talked to your spouse of your candidature? What does he think ? Extraprofessional interests - What are your extraprofessional activities? ติดไว้ตอนกลางคืน เพิ่งมาดูตอนเช้า ปรากฎแปลผิด (นั่น นึกแล้ว) เลยมาแก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 48 22:49:43 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 48 15:13:34 จากคุณ : พธูไทย - [ 9 ธ.ค. 48 02:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หลายคำถามต้องตอบด้วยการยกตัวอย่าง ดังนั้นจะเห็นว่าทางที่ดีนะ เขียนคำตอบของคุณใส่ในกระดาษ (พิมพ์ใส่คอมพ์) เตรียมตอนนี้แล้วจะได้ใช้ไปอีกนาน เปลี่ยนงานครั้งหน้าก็จะได้ใช้ด้วย โดยอาจจะมีการประเมินตัวเองเพิ่มเติม มีความเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ฯลฯ คำถามเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา รู้อยู่แล้ว แต่ว่าต้องท่องให้ขึ้นใจ จนสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ต้องนึกนาน และต้องพูดแบบธรรมชาติด้วย ตั้งแต่ดิฉันทำได้นะ มาถึงตอนนี้ก็ยังใช้ในการทำงานเลย เพราะด้วยหน้าที่บังคับว่าต้องเจอคนเยอะมาก จะถูกถามคำถามซ้ำๆ เหล่านี้ด้วย คือมันเป็นคำถามที่ทำให้คนเขารู้จักเราน่ะ อย่าไปมองว่านี่คือการสอบนะ มันเป็นคำถามมีเครื่องหมายคำถามด้วย แต่ไม่ใช่การสอบ แต่เป็นคำถามที่ช่วยให้การสนทนาเป็นไปได้ราบรื่น เหมือนมีเรื่องที่จะใช้คุยกันในช่วงเวลา 30 นาที - 1 ชั่วโมง ที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่รู้จัก นึกออกไหม บางทีถ้าไม่เตรียมตัวนะ เหมือนกับเราเจอเพื่อนใหม่ แล้วเราไม่อยากไปคุย แล้วเหตุผลของเรา เราบอกว่า ไม่รู้จะคุยอะไร นี่เลย คำถามเหล่านี้แหละ ใช้คุยได้ จากคุณ : พธูไทย - [ 9 ธ.ค. 48 02:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไหนๆ ก็ไหนๆ คิดไปถึงเรื่องเอกสารที่เคยอ่าน เขียนนัก HR เหมือนกัน จะเอามาเติมต่อหลังกลับจากที่ทำงานบ่ายนี้ รื้อๆ ในโฟลเดอร์ที่เก็บ scanned document เกี่ยวกับการหางานเอาไว้ทุกชิ้น บางเรื่องไม่ได้อ่าน แต่ดูชื่อหัวข้อแล้วน่าสนใจ เก็บเอาไว้อ่านยามมีเวลา นึกถึงเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เขาเปรียบเอาไว้ว่าเป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์ ธาตุทั้งสี่เป็นองค์ประกอบหลักภายในตัวเรา คนเขียนก็เขียนได้น่าอ่านมาก (นั่งอ่านตอนกินกาแฟเมื่อกี้) คือเป็นหลักการสนทนา มากกว่าจะเป็นหลักสัมภาษณ์ เพราะมันใช้ได้ในทุกสถานการณ์ของการสนทนา แล้วจะเอามาสรุปๆ ให้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ อ้อ เวลาสัมภาษณ์เราเตรียมตัวไปตอบคำถาม อย่าลืมเตรียมคำถามไปถามด้วย แล้วจะไปหามา มีแน่ๆ แต่ไม่รู้เก็บในโฟลเดอร์ไหน เขียนๆ เอาไว้เสียเลยตรงนี้ เป็นเรื่องการสัมภาษณ์ ไม่งั้นได้แต่คิดๆ และดิฉันเขียนตามอารมณ์และนึกอะไรได้ก็เขียน จากคุณ : พธูไทย - [ 9 ธ.ค. 48 15:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาอ่านด้วยค่ะ เตรียมตัวจะหางานเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีความรู้สึกแรงกล้าเท่าไร เพราะใจหนึ่งก็ห่วงลูก ว่าจะลองๆดูหน่อยว่า เราจะได้งานมั้ย ขอบคุณคุณพธู พี่หนม แล้วก็เจ้าของกระทู้ค่ะ จากคุณ : ปอมปอมเกิร์ล - [ 9 ธ.ค. 48 19:42:09 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขออนุญาตลอกคำถามเก็บไว้นะคะ (เผื่อไว้ใช้เตรียมตัวในอนาคต) คำแนะนำต่างๆเป็นประโยชน์ดีมากๆเลยค่ะ จากคุณ : ตรีนุช3903 - [ 9 ธ.ค. 48 20:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 20 หาไม่เจอค่ะ คำถามที่ใช้ถามคนสัมภาษณ์ ทำไมถึงติดอยู่ในใจว่ามีแน่ๆ คือใช้เป็นแนวทางตอนแรกๆ ที่เริ่มออกไปพบคนสร้างความสัมพันธ์ (บางทีก็สัมภาษณ์) พอตอนหลังๆ นี่ คำถามจะมีขึ้นมาเองอัตโนมัติ ว่าเราอยากรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเขา ซึ่งก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้คำถามที่เตรียมเอาไว้เลย ที่สำคัญถ้าเราทำการบ้านเอาไว้ดี เช่นเสริชว่าบริษัทนั้นๆ ทำอะไร มีผลประกอบอย่างไร โพลีซีการส่งออก วิธีการคัดสรรคน ลักษณะบริษัท ขนาดเท่าไร เล็ก ใหญ่ อย่างไร คนงานเท่าไร ฯลฯ คำถามเหล่านี้มันออกมาเอง ถ้าเรามีความสนใจที่จะเรียนรู้คนที่ถามเรา หรือบริษัทของเขา บางทีคำถามมันออกมาเองตามเนื้อหาของการสนทนา เช่น กรณีคนสมัครทำงานนวด บางทีคุยไปคุยมา เกิดเขาเกริ่นว่า ตอนนี้กำลังจะเปิดสาขาที่แถวๆ .... ซึ่งเรารู้จักเขตนั้นอยู่ เราก็คุยไปเรื่องนั้นได้ (ไม่ต้องยาวมาก) เราอาจถามเขาว่า อยู่ใกล้ห้างนั้น ห้างนี้หรือไม่? คือเป็นการพูดคุยน่ะ ไม่ใช่ว่า ถามแล้วตอบ ตอบเสร็จจบ ต้องพยายามทำให้การสัมภาษณ์มีความเป็นธรรมชาติกันทั้งคู่ ไม่เครียดนัก จะว่าเราเครียดในการไปสัมภาษณ์ คนที่จะสัมภาษณ์เรา เขาก็เครียดนะ ถ้าลักษณะที่ทำงานเป็นบริษัทขนาดเล็ก คนสัมภาษณ์ไม่ใช่ HR มืออาชีพ บางทีคนสัมภาษณ์สั่นแบบทำให้เห็นเลยนะคะ อันนี้เรื่องจริงที่ดิฉันเคยไปเจอมา เป็นการสัมภาษณ์แบบครึ่งวัน จัดให้ดิฉันเจอผู้ร่วมงานในอนาคตทั้งหมด คนละครึ่งชม. แต่ละคน สไตล์แตกต่างกันเลย พอมาถึงคนสุดท้าย ดูออกเลยว่า คงไม่เคยสัมภาษณ์ใครแน่ๆ หรือไม่บุคลิกเป็นแบบขี้อาย เพราะแทนที่เขาจะสัมภาษณ์ กลับเป็นดิฉันสัมภาษณ์เอง ดังนั้นจำเป็นด้วยที่จะต้องเตรียมคำถามไปบ้างจำนวนหนึ่ง หากว่ายังไม่ชินกับการตั้งคำถามลักษณะ improvised จะหยุดมาเขียนเรื่องการสัมภาษณ์เอาไว้แค่นี้ เพราะว่าไม่มีเวลานั่งนานๆ ถ้าเขียนอะไรค้างเอาไว้ เดี๋ยวเขียนต่อไม่จบ เรื่องดินน้ำลมไฟ นั้น ต้องมานั่งคิดและสรุป แต่ไม่มีเวลาจะคิดเลยตอนนี้ เพราะต้องเตรียมคริสต์มาส แล้วก็เรื่องครอบครัวที่ต้องดูแล ลูกด้วย แล้วก็ต้องคิดเรื่องของขวัญอะไรพวกนี้ด้วย ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องที่ต้อง structure มากๆ เดี๋ยวเอาไว้หลังปีใหม่เลยทีเดียว จะมาเขียนตั้งกระทู้ใหม่ เกี่ยวกับการสร้าง connection ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่ได้ทำมา เอาไว้คุยกันใหม่นะคะทุกๆ ท่าน ทั้งคนตั้งกระทู้และผู้มาร่วมแจมทุกท่าน จากคุณ : พธูไทย - [ 11 ธ.ค. 48 21:45:53 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอขอบคุณพี่พธูไทยมาก ๆ ค่ะ  เดี๋ยวจะไปตั้งกระทู้ใหม่เกี่ยวกับวันที่ไปสอบสัมภาษณ์http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H3945486/H3945486.html จากคุณ : nookky - [ 11 ธ.ค. 48 23:28:00 ]