ความคิดเห็นที่ 1 ข้อความจาก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก  (ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อผู้เขียน) แต่ขอคารวะในการเขียนแบบตรงไปตรงมา... เครื่องดื่มภูมิปัญญาไทย : วิบากกรรม "ไวน์ไทย"(2) "วิบากกรรมไวน์ไทย" อาจจะเป็นเหมือน “คู่กรรม” ที่มีการนำมาสร้างเป็นละครมากที่สุด วิบากกรรมไวน์ไทยยังไม่มีใครนำมาสร้างเป็นหนัง แต่เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องราวเข้มข้นไม่แพ้กัน พระเอกก็มี ผู้ร้ายก็มาก นางเอกไม่ค่อยสวย ตัวประกอบบทเยอะแต่ค่าตัวน้อย ตอนที่แล้วมีผู้อ่านหลายท่านถามชื่อไวน์ที่ผมเขียนไป ผมบอกว่าชื่อ “ชาโต เดอ ไฟเออ" (Chateau de Fire) คือถ้าดื่มแล้วร้อนๆ ทั้งคนดื่ม และคนทำนั่นแหละใช่เลย ถ้าจะให้ทันสมัยก็ต้องบอกว่าเป็นไวน์ “อ" ที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้บริหารพรรคชื่อ “ด" เคยถูกหิ้วไปเปิดที่สิงคโปร์หรือฮ่องกง จะมีใครออกมาแถลงข่าวมั้ยเนี่ย ! ปฏิเสธไม่ได้ว่าไวน์ไทยส่วนหนึ่ง มีการซื้อน้ำองุ่นจากต่างประเทศมาผสมกับองุ่นที่ปลูกในเมืองไทย ซึ่งก็ไม่ผิดหรือผิดก็ไม่ร้ายแรง (ภาษาคนกลัวเมียเรียกว่าบกพร่องโดยสุจริต) เพราะกฎหมายที่จะควบคุมเรื่องนี้ยังไม่รัดกุม มีรูให้ลอดได้อีกหลายช่อง ผู้ที่มีหน้าที่ก็มัวแต่ไล่รีดเลือดปู และล่ารางวัลนำจับ แทนที่จะพัฒนากฎหมายพวกนี้ให้ทันสมัย แต่ที่ร้ายแรงก็คือ การไม่ใช้องุ่นที่ปลูกในเมืองไทยเลย หรือใช้ในปริมาณที่น้อยมาก แล้วบอกว่าเป็น Product of Thailand เพราะถ้าใช้คำนี้เมื่อใด เกิดมีการไล่เลียงกันแล้วไม่มีความชัดเจน ก็ควรหันไปสั่งไวน์มาขายเองจะดีกว่า ไวน์ไทยปัจจุบันกำลังได้รับการจับตามองจากผู้เชี่ยวชาญไวน์ทั่วโลก และเหมือนจะเป็นสันดานของกูรูไวน์พวกนี้ที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อน้ำไวน์ในขวดดีพวกนี้จะต้องรู้ไปถึงรากฝอยของต้นองุ่น ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งฝรั่งใส่กางเกงขาสั้นที่เดินท่อมๆ อยู่ในไร่องุ่นของท่าน ชื่อของเขาจะมี MW ต่อท้าย แถมมีข้อเขียนอยู่ในนิตยสารไวน์ทั่วโลก สมมติเมื่อไวน์ของท่านระบุข้างขวดว่า Merlot Cabernet Sauvignon แต่เมื่อไปดูที่ไร่องุ่นมีไม่กี่ต้น หรือมีแต่ต้นไม่ลูก ที่สำคัญอายุยังน้อย เมื่อเทียบกับรสชาติของไวน์แล้วยังไงก็ยากจะเชื่อว่าใช่ แล้วจะตอบคำถามชาวโลกเมรัยได้อย่างไร ? ถึงวันนั้นรักษา “ชิบ” ให้ดีก็แล้วกัน ที่ต้องเขียนเรื่องนี้เพราะช่วงความถี่ของ เสียงลือ เสียงเล่าอ้างต่างๆ ในทางลบกระชั้นและเขม็งเกลียวเหลือเกิน และแน่นอนกระทบถึงความน่าเชื่อถือของไวน์ไทย ที่หลายคนพยายามช่วยกันปลุกปั้น ขณะที่บางรายพยายามปลุกปล้ำกระทำชำเราให้ไวน์ไทยมีราคี ผมเป็นคนที่เชียร์ไวน์ไทยมาโดยตลอด เพราะอยากจะให้ไวน์ไทยโกอินเตอร์ บ่อยครั้งที่เดินทางไปเทสต์ไวน์ในต่างประเทศ ชาวต่างชาติที่เป็นกรรมการด้วยกันถามว่าเมืองไทยมีไวน์หรือเปล่า ? รสชาติเป็นอย่างไร ? บางครั้งก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเหมือนกัน พวกท่านเป็นเจ้าของตังค์จะทำอะไรก็ได้ ขณะที่ผมเป็นผู้บริโภค เป็น "หมาเฝ้าบ้าน" ขณะที่เจ้าของบ้านกำลังดื่มด่ำกับรสชาติไวน์อยู่ในบ้าน ผมยังต้องทำหน้าที่เฝ้าบ้าน แต่เพราะผมเป็นหมาที่ดื่มไวน์เป็นเห็นอะไรที่ผิดสังเกต คงจะปล่อยไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่จะทำให้ ประเทศไทย เสียหาย .............................. จากคุณ : WIWANDA - [ 25 ม.ค. 49 14:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ฉันเองก็รู้สึกเช่นกันค่ะ  อยากเห็นไวน์ไทยประสบความสำเร็จ  เพราะนั่นจะหมายถึงเม็ดเงินที่มหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศอย่างไม่มีใครคาดคิด  แต่นั่นหมายถึงว่า ภาครัฐจะต้องช่วยบุกเบิกเรื่องเทคโนโลยี่อย่างจริงจัง เพราะนี่คืองานระดับชาติ..ที่ภาครัฐต้องเป็นเสาหลักให้กับผู้ประกอบการ ตรงข้อความนี้...ที่ว่า "ปฏิเสธไม่ได้ว่าไวน์ไทยส่วนหนึ่ง มีการซื้อน้ำองุ่นจากต่างประเทศมาผสมกับองุ่นที่ปลูกในเมืองไทย ซึ่งก็ไม่ผิดหรือผิดก็ไม่ร้ายแรง (ภาษาคนกลัวเมียเรียกว่าบกพร่องโดยสุจริต) เพราะกฎหมายที่จะควบคุมเรื่องนี้ยังไม่รัดกุม มีรูให้ลอดได้อีกหลายช่อง ผู้ที่มีหน้าที่ก็มัวแต่ไล่รีดเลือดปู และล่ารางวัลนำจับ แทนที่จะพัฒนากฎหมายพวกนี้ให้ทันสมัย แต่ที่ร้ายแรงก็คือ การไม่ใช้องุ่นที่ปลูกในเมืองไทยเลย หรือใช้ในปริมาณที่น้อยมาก แล้วบอกว่าเป็น Product of Thailand เพราะถ้าใช้คำนี้เมื่อใด เกิดมีการไล่เลียงกันแล้วไม่มีความชัดเจน ก็ควรหันไปสั่งไวน์มาขายเองจะดีกว่า" ผู้เขียนคง หมายถึง เหล้าองุ่น..ตรงที่ว่า "มีการซื้อน้ำองุ่นจากต่างประเทศมาผสมกับองุ่นที่ปลูกในเมืองไทย"   อันนี้..สามารถตรวจสอบได้ง่ายมาก เนื่องจากสถาบันไวน์ได้มีอัตราตายตัวในการผลิต..ว่า.. องุ่นหนักหนึ่งตัน..จะสามารถบีบน้ำองุ่นได้ประมาณ 140-150 แกลลอน ซึ่งไวน์หนึ่งลังจะใช้ น้ำองุ่น 2.50 แกลลอลโดยประมาณ ในอัตรา 750 มิลลิมิเตอร์ต่อขวด และถ้าจะให้แน่ๆแบบเป๊ะๆ คือ ห้าขวดต่อแกลลอน  ลองคำนวนดูนะคะ ว่า..จะเอามาขายได้กี่ขวด กี่ลัง ถ้าผลผลิตองุ่นมีเท่าไหร่ อัตราการขายก็มีเท่านั้น... แต่ถ้ามีไร่หลวมๆ  แล้วมีไวน์ออกมาขายวางทั่วประเทศ ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด แต่ที่ว่า..."การไม่ใช้องุ่นที่ปลูกในเมืองไทยเลย หรือใช้ในปริมาณที่น้อยมาก" อันนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจาก องุ่นที่จะมาใช้หมักไวน์นั้น รอการเดินทางระยะไกลจากต่างประเทศไม่ได้ เนื่องจาก การสุกงอมนั้นจะสร้างน้ำตาล (หน่วยวัดเรียกว่า Brix ) ที่ต้องได้ปริมาตร 22.5-24 Brix เท่านั้น เกินกว่านั้น นับว่าเสียรสไปเลยค่ะ อันนี้คือส่วนสำคัญที่ ผู้ปรุงไวน์ หรือที่เราเรียกว่า  winemaker จะกินไม่ได้ นอนไม่หลับตลอดเดือนกันยายน เพราะต้องคอยวัดน้ำตาลในองุ่นแทบทุกชั่วโมง พร้อมปั๊บ..เตรียมบีบ และหมักได้เลย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 25 ม.ค. 49 14:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อมาที่ว่า "ไวน์ไทยปัจจุบันกำลังได้รับการจับตามองจากผู้เชี่ยวชาญไวน์ทั่วโลก และเหมือนจะเป็นสันดานของกูรูไวน์พวกนี้ที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อน้ำไวน์ในขวดดีพวกนี้จะต้องรู้ไปถึงรากฝอยของต้นองุ่น ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งฝรั่งใส่กางเกงขาสั้นที่เดินท่อมๆ อยู่ในไร่องุ่นของท่าน ชื่อของเขาจะมี MW ต่อท้าย แถมมีข้อเขียนอยู่ในนิตยสารไวน์ทั่วโลก สมมติเมื่อไวน์ของท่านระบุข้างขวดว่า Merlot Cabernet Sauvignon แต่เมื่อไปดูที่ไร่องุ่นมีไม่กี่ต้น หรือมีแต่ต้นไม่ลูก ที่สำคัญอายุยังน้อย เมื่อเทียบกับรสชาติของไวน์แล้วยังไงก็ยากจะเชื่อว่าใช่ แล้วจะตอบคำถามชาวโลกเมรัยได้อย่างไร ? ถึงวันนั้นรักษา “ชิบ” ให้ดีก็แล้วกัน " อันนี้จริง..เพราะถ้ายิ่งโหมโฆษณา  ย่อมเป็นยิ่งจับตาของใครต่อใคร  ไม่ต้องเป็นถึง กูรูไวน์ หรอกค่ะ แค่ฉัน..ก็ยังอยากทราบใจสั่นริกๆ ว่า..ที่ขวดเขียนว่า..Merlot, Cabernet Sauvignon นั้น ใช่องุ่นนั้นจริงๆหรือเปล่า.. เพราะ องุ่นที่ว่านี้ คือพันธ์ของยุโรปที่มีชื่อทาง DNA ว่า Vinifera ที่ต้องมีที่มาที่ไป..จะอ้างหรือหลอกกันไม่ได้ (เพราะดังที่เรียนให้ทราบว่าเขาสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอได้)  และ ถ้าใช้ว่า เมอร์โลต์ หรือ คาแบร์เนต์ โซวิยอง นั่นหมายถึง จะต้ององุ่นพันธ์ตามชื่อนั้น อย่างน้อยต้อง 75 %  อนุญาตให้ใช้องุ่นอื่นให้มาผสมเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรสชาติได้เพียง 25 % และ ถ้าเป็น MW หรือ Master of Wine จริงๆ แค่ดูใบองุ่นก็จะทราบได้ค่ะ ว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่ต้องดูลูกองุ่นด้วยซ้ำ บางครั้งอ่านตามคำโฆษณาในหน้าเวบ เจอคำว่า..ทำมาจากองุ่นชื่อ POK-DUM ฟังแล้วจั๊กกะจี้ดีพิลึก เข้าใจว่า คงหมายถึงองุ่น "เปลือกดำ" (ถูกหรือผิดไม่ทราบ) อันนี้ กูรูฝรั่ง คงงงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้ว่า องุ่นพันธ์ที่ว่านี้ คือ สาย DNA ไหน  เพราะพันธ์องุ่นทุกพันธ์ที่นำมาทำไวน์นั้นสามารถตรวจสอบบรรพบุรุษได้ และสามารถตรวจสอบได้เช่นกันว่ามีการผสมข้ามพันธ์มาเป็นลูกครึ่ง ลูกค่อน หรือที่เรียกว่า พันธ์กระเทย ( Hybrids) หรือไม่... อันนี้คร่าวๆให้ฟัง  ดูซิ..ว่าจะมีคนอ่านกี่คน.. และตาสื่อศิลป..จะมาอ่านหรือเปล่าน๊าาา...????? จากคุณ : WIWANDA - [ 25 ม.ค. 49 14:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็จะรอ อ่านคนหนึ่งครับ ป้าวิ เขียนไปเถอะ ให้มีข้อมูล เชิงลึก ให้เด็กๆ มาค้นคว้าอ่าน เวลา ทำรายงาน ตัวผมเอง เสียดายที่ไม่ใช่คนกินแอลกฮออล์ สูบบุหรี่ ตอนทำงานร้านอาหารไทย ลูกค้าฝรั่งมัก กินไวน์เหลือ เด็กๆ ในร้าน เอามาเทกิน กันอร่อยเลย จากคุณ : หนุ่มcit - [ 25 ม.ค. 49 15:13:56 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มาปูเสื่อจองที่นั่ง จากคุณ : Canossa - [ 25 ม.ค. 49 15:19:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามมาอ่านครับ ว่าแต่จะไปเก็บรวมไว้กับ กระทู้ไวน์ ที่ web คุณหมอ ha ha yee หรือเปล่าครับ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 25 ม.ค. 49 17:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาอีกแล้ววววว จากคุณ : จันทร์กลางหาว - [ 25 ม.ค. 49 17:55:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 49 23:24:11 จากคุณ : Natt_ac121 - [ 25 ม.ค. 49 20:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาลงชื่อรออ่านด้วยคนค่ะ จากคุณ : grappa - [ 25 ม.ค. 49 22:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มามาววววววววววววววววววววววว เอิก.. จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 25 ม.ค. 49 22:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Please keep thsi kratoo to Khun ha ha yee website ka จากคุณ : horseshoes - [ 25 ม.ค. 49 22:52:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และเรื่องของไวนระดับ กร็อง ครู คลาสเซ่ { Grand Cru Classe}นั้น จะต้องขอเล่าว่า  ของปลอมนั้นมีออกขายมากมายในตลาด ไม่ต่างอะไรกับกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง หรือ ผลิตภัณฑ์ กุชชี่ เพราะการปลอมนั้นง่ายแสนง่าย ลงทุนด้วยต้นทุนต่ำ แต่กำไรสูงลิบลับ  แและคนปลอมก็ฉลาดเหลือหลาย เพราะรู้ถึงจุดอ่อนในวงการะรกิจด้านนี้ดีว่า หนึ่ง  คนที่มีกำลังซื้อไวน์ขวดละเป็นหมื่นเป็นแสนบาทนั้น  คือพวกที่ไม่ทราบถึงข้อแตกต่างระหว่าง ไวน์ดีมีคุณภาพ ราคาสมเหตุผล รสชาติเลิศ ไม่เป็นสองรองใคร (หากแต่ ไม่ได้อยู่ในระดับการจัดชั้น) กับ ไวน์ที่เขาว่าดี ต้องยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ พุดง่ายๆคือ สักแต่ว่ามีเงิน และ ซื้อเพราะสภาพสถานะทางสังคม สอง...คือ  ของอยู่ในขวด ใครเล่าจะบอกได้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเคยได้ลองไวน์ปลอมๆนี้  (โดยที่ไม่บอกว่าปลอม) ทุกคนต่างติติงไปว่า..อาจเป็นเพราะการเก็บรักษาไม่ดีพอ หรือ การจัดส่งในระหว่างเดินทาง ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ไม่มีใครสักคนที่จะฟันธงลงไปว่า ของปลอม เพราะ ทางโจรนั้นไม่โง่พอที่จะใช้ไวน์ห่วยๆมาบรรจุขวด ให้ผิดสังเกตุ และอีกประการหนึ่งคือ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครกล้ากระโตกกระตาก เพราะมันหมายถึงชื่อเสียงของไวน์ที่จะต้องมาพังพินาศ ขาดความเชื่อถือในตลาดสูง ต่อไปใครจะกล้า ซื้อ  ฉะนั้น..จึงเป็นที่ทราบกันว่า  เฉยไว้เป็นดีที่สุด ชาวฝรั่งเศสนั้น เขาเห็นเป็นเรื่องขำ แถมสมน้ำหน้าคนซื้อซะอีกด้วย  เขาว่า.. "If they can't tell the difference, and they are not  French, then it is not our problem." และ"ของปลอม"ที่ว่านี้....ศูนย์กลางขายกันเกร่อ คือ ที่อเมริกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง  นี่เองจ้าาา....!!! จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 06:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 และการฉีกหน้าประกาศเรื่องการจับไวน์ปลอมๆ หรือ พวกอีแอบทั้งหลายนั้น เขาจะทำกันปีละครั้งที่  แวงเน็กซ์โป {Vinexpo} งานมหกรรมไวน์ประจำปีที่จัดขึ้นที่ บอร์คโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส  อย่างเมื่อปี 1997  ฝ่ายสันติบาลควบคุมไวน์ได้แถลงว่าได้เข้าจับกุม แหล่งทำไวน์เบอร์กันดีปลอมในเยอรมันได้ ในล๊อตที่ยิ่งใหญ่มหาศาล คือ 126,000 ขวด  สาเหตุคือ ขวดได้เขียนว่า เป็นไวน์(ขาว) ชาปลีส์   ( Chalis ไวน์ขาวชั้นดีที่ทำมาจากองุ่นในเบอร์กันดี)  หากแต่..ไวน์ในขวดนั้น เป็นไวน์ที่ทำมา จากองุ่นตระกูลอื่นๆ และแหล่งเยอรมันนั้น เอเย่นต์ใหญ่คือ นาย  Jurgen Muller ซึ่งแพ้คดี ต้องถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปีพอสมควร อ้อ..เมื่อพูดถึงไวน์ ชาปลีส์..ตัวนี้ คนไทยอาจจะคุ้นๆหู  เพราะจะเห็นอยู่ตามขวดไวน์ขาวจากอเมริกา ราคาไม่แพง และคงสงสัยว่า  ไวน์ราคาขนาดประหยยัดนี้ จะปลอม กันไปทำไม.. เรื่องนี้คือ สงครามข้อขัดแย้งในวงการไวน์ฝรั่งเศส-อเมริกา มาช้านาน.. เนื่องจาก คำว่าไวน์  Chablis  ของฝรั่งเศสนั้น คือของดีมีราคา จากพื้นที่ทำไวน์ที่มีค่าราวกับ ทองคำ  คือ ทำจากองุ่น ชาดอนเนย์ ที่ปลูกที่ แขวง โบโกญจน์  Bourgogne   เขตเมือง Chablis แต่..อเมริกานำมาตั้งชื่อซี้ซั้ว อีกทั้ง ดันเอาไปเป็นชื่อของไวน์ขาวจากองุ่นลูกร้อยพ่อพีนแม่ หมักขายเป็นตุ่ม  บรรจุขายเป็นกล่อง และตัวตั้งตัวตีนี้คือ บริษัท Gallo (มีขายในเมืองไทย) ไม่ใช่เฉพาะ ไวน์ขาว ชาปลีส์ ที่ แกลโล เอามาปู้ยี่ปู้ยำ   ไวน์ดังอื่นๆของฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆในยุโรป เช่น เบอร์กันดี{Burgundy}  โบโจเลล์ {Beaujolais}   เกียนติ {Ghianti}    หรือ แม้กระทั่ง แชมเปญ{ Champagnne} ต่างล้วนโดนนำชื่อมาใช้อย่างไม่มีความเคารพกันถ้วนหน้า  ตรงนี้ นั้น ถือว่าโทษผิดอุกฉกรรจ์ทางการค้าทีเดียว ฝรั่งเศสและยุโรปส่วนอื่นๆต่างได้ทำการแยกไวน์ตามมณฑลไว้อย่างชัดเจน เพราะชื่อนั้น ได้แสดงให้ผู้บริโภคได้ทราบเป็นอย่างดีว่า เป็นไวน์จากที่ไหน ทำมาจากองุ่น สายพันธ์ใด และ ที่สำคัญคือ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดเป็นกฏหมายที่มีโทษฝ่าฝืนที่ชัดเจน แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 49 23:26:26 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 49 14:03:13 จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 06:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มีเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้มาเล่าให้ฟัง...เป็นเรื่องขำ ตระกูลไวน์ชั้นดีของโลกเนี่ยนะคะ มันมีเหมือนสาแหรกตระกูล ที่มีแยกออกไปหลายค่าย..หลายพื้นที่กำเนิด ทีนี้..ก็หนึ่งในไวน์ชั้นสาม   ชื่อว่า ชาโต ปาล์มแมร์ Chateau Palmer  เคยเล่าถึงพวกเขาไว้แล้วในเรื่องไวน์และสงคราม ที่ว่าช่วยซ่อนครอบครัวยิวให้พ้นจากนาซี..อันเดียวกันนี้ละค่ะ ไวน์ ช. ปาล์แมร์ นี้ ถูกสั่งซื้อโดยมหาเศรษฐีฮ่องกง ชื่อว่า..นาย หลุยส์ แซ่อึ้ง { Louis Ng } เจ้าของคาสิโนที่มาเก๊าและโรงแรม Lisboa โดยการเหมาทั้งล๊อตไปจากตัวแทนในอังกฤษในปี 1997  ไม่มากไม่มายหรอกค่ะ 50 ลังเอง.. คิดเป็นเงินไทยก็ตก ยี่สิบห้าล้านบาท เพราะเป็น ช. ปาล์แมร์ ปี 1961 ขวดละพันกว่าเหรียญ ลังละ 12 ขวด ก็เป็น หมื่นสองอัฟ 50 ลัง ก็เอาห้าสิบคูณ..เข้าไป  ขนาดไม่ใช่ชั้นหนึ่งนะเนี่ย โหย..นับว่าเป็นรายใหญ่ที่สุดในการซื้อ(เฉพาะบุคคล) แถมยังเป็นหน้ากระเหรี่ยงเข้าไปอีก ฝรั่ง(เศส) ตื่นตูม เหรอหราเลยค่ะ และเมื่อสองปีที่ผ่านมา...นายหลุยส์ได้เข้าไปตรวจดูไวน์ที่เก็บงำไว้ พบว่า..ระดับปริมาตรหายไปจากต้นคอขวดจนสังเกตเห็นได้ชัด มันน่าตกใจมาก เพราะ ราคาไม่ใช่น้อยๆ และสิ่งที่เขาได้เลือกมานั้น จัดว่า เป็นของดีที่มีค่าควรเมือง และสามารถเก็บให้มีอายุยืนยาวไปชั่วคน แต่ไฉน.. การติดต่อกับบริษัทแม่..จึงต้องกระทำด่วน.. ช.ปาล์แมร์ จึงต้องเอาใจลูกค้าระดับนี้อย่างสุดๆ โดยการส่งผู้เชี่ยวชาญมาทั้งโขยง  เข้ามาตรวจสอบหาสิ่งผิดปรกติ พบว่า..นายหลุยส์ได้เก็บไวน์ทั้งหมดในห้องเย็นของโรงแรมลิสบัว ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ 54 องศา {F} ซึ่งมันเย็นเกินไปสำหรับไวน์ดีๆเนื้อแน่นขนาดนี้  (ควรจะ 58-65) ความเย็นทำให้จุกไม้ก๊อกแห้ง มีช่องให้เกิดการระเหย..อันเป็นสาเหตุ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจึงต้องเริ่มกรรมวิธีการถ่ายเทขวดใหม่ที่เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก นั่นคือ ใช้ไซลิงค์ค่อยๆสูบไวน์ขึ้นมาทีละนิดอย่างไม่ให้ชอบช้ำ ไม่ให้กระทบกับอากาศ มาฉีดใส่ขวดใหม่ และทำการปิดจุกใหม่ ด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อนมากมาย.. สรุปว่า..508 ขวดของไวน์ที่เหลือทั้งหมด (ที่ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่ารสชาติยังคงเดิม..มีเสียไป แปดขวด) ได้รับการบรรจุและรักษาได้อย่างทันท่วงที ทาง ช. ปาล์แมร์ได้ทำฉลากสัญญลักษณ์ให้ใหม่ มีข้อความต่อท้ายให้ว่า.." Rebouche' en 2005" (หมายถึงการถือกำเนิดใหม่) นายหลุยส์รู้สึกพอใจและดีใจกับการฟื้นคืนชีวิตไวน์ใหม่ในครั้งนี้มาก.. และที่สำคัญคือ เขารู้จักพูดที่ทำให้เขาได้ดูดีในสายตาของชาวทำไวน์ นั่นคือ..ประโยคที่ว่า " For the time, I was concerned about the future. Now, after the recorking, this wine is like a baby reborn." จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 12:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แต่กระนั้น เบื้องหลัง เบื้องลึก นายหลุยส์นี่ถูกนินทาจาก เหล่า บรรดา เกจิ กูรู และเซียนไวน์ แบบหูดับตับระเบิด ว่า "หนอย มีเงินขนาดนี้ แต่เจือกไม่รู้จักสร้างเซลล่าร์เก็บไวน์ส่วนตัว ดันเอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นแช่ไก่ ..เบื๊อกเอ๊ยยย.." เพราะข่าววงในแจ้งมาว่า  ในห้องเย็นแช่ไก่ที่ว่านี้.. พอเหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ของ ช. ปาล์มแมร์โผล่เข้าไป ทุกคนต้องตกตะลึงพรึงเพริด ที่พบว่า.. เหล่าบรรดาไวน์ชั้นดีต่างๆของโลกนับพันขวด กองรวมอยู่ ที่นั่น ฉันเคยถามพรรคพวกที่อยู่ในวงการระดับนั้นว่า "เชื่อได้อย่างไร ว่า..ของพวกนั้นจะเป็นของแท้ทั้งหมด เพราะ เรากำลังพูดถึงฮ่องกงนะเนี่ย" กูรูท่านั้นตอบว่า.. "ช่างมันปะไร จะแท้หรือจะเทียม แต่ว่า ต่อไปนี้ ไม่ว่านายหลุยส์จะซื้อไวน์อะไร  ก็ต้องวิ่งเข้าหาบริษัทแม่แบบสายตรงเลย..เพราะติดใจในบริการ และได้มองเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่า การทำงานของมือโปรไวน์นั้นเป็นอย่างไร" จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 13:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ฝอยซะเพลิน ลืมเล่าเรื่องของ บ. แกลโล ต่อ..ว่า หลังจากที่ทำหูทวนลม ไม่รุ ไม่ชี้ ในเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ เรื่องชื่อไวน์แล้ว..ยังคงเดินหน้า เอาไวน์บรรจุลงไหขายต่อไป ที่ต้องเรียกว่า ไห เพราะแกลโล ถนัดขายไวน์เป็นแกลลอน ขวดใหญ่ยักษ์ชนิดที่ต้องมีหูไว้ให้หิ้ว.. ในที่สุด ญี่ปุ่น ทนดูต่อไปไม่ได้ สั่งเลิกซื้อเข้าประเทศเลยเชียว ทั้ง ไวน์ขาว ชาปลีส์ และ ไวน์แดงระดับล่าง ที่มาตั้งชื่อ  Hearty Burgundy  ทั้งๆที่ไวน์สองชนิดนี้ ขายดีมากในญี่ปุ่นมานานนับสิบปี สาเหตุ..อันนี้ต้องให้เครดิตคนญี่ปุ่นนะคะเพราะว่า ทางเขาได้ถือสัญญาสุภาพบุรุษกับสมาพันธ์ไวน์ยุโรปที่ภาคีกับ ภาคพื้นเอเซีย ( ปี 1995 ตอนนั้นมีญี่ปุ่น กับ ออสเตรเลีย สองประเทศที่แอคทีฟในเรื่องไวน์) ว่าจะไม่สนับสนุน และส่งเสริม ผู้ที่กระทำผิดกฏข้อบังคับของสมาพันธ์ไวน์ จากนั้นก็ตามด้วย ห้างร้าน สโตร์ และ ชาวไวน์นิยม ที่ช่วยกันบอยคอตไวน์แกลโลกันอย่างจริงจัง.. จนต้องเลิกใช้ชื่อไปเลย.. (อาจจะเอาไปขายที่เมืองไทยก็ได้ ไม่แน่นะ) ทางรัฐบาลอเมริกัน ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ The Bureau of Alcohol, Tobacco and Firearms ซึ่งมีหน้าที่ดูและและตรวจตราป้ายฉลากไวน์ให้เข้าที่เข้าทาง ต่างก็ทำเฉย..เอาหูไปนาเอาตาไปไร่  ยังปล่อยให้ชาวไวน์ยุโรเปี้ยนตะโกนด่าแย้วๆ ..แต่ก็ไม่กระดิกตัวทำอะไรสักอย่างลงไป.. แต่ทีคราวของตัว..โดนเข้าบ้าง คือ โดนเมืองจีน ปลอมแปลง เลียนแบบ ผลิตภัณฑ์ของเมกันทุกอย่าง ตั้งแต่ ซีดี เสื้อผ้า รองเท้า แบรนด์เนม จนเลยเถิดมาถึงซอฟแวร์ วินโดวส์ 95 ทีนี้ ดันร้องแรกแหกกระเชอ ขอประเทศโน้นประเทศนี้ ให้ความร่วมมือ ต่อต้าน ไม่ซื้อสินค้าแปลกปลอมขึ้นมาทีเดียว จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 14:33:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แอบมาลงชื่อก่อนค่ะป้าขา เดี๋ยวค่อยมาอ่านพรุ่งนี้นะคะ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 49 16:44:37 จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 26 ม.ค. 49 16:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีค่ะคุณป้า สนใจเรื่องไวน์ค่ะ ขอมาติดตามอ่านนะคะ จากคุณ : brasserie 1802 - [ 26 ม.ค. 49 17:15:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เอ้า..ลืมอธิบายไป ใน คคห.ที่ 16 ที่เขียนว่า.. "จากนั้นก็ตามด้วย ห้างร้าน สโตร์ และ ชาวไวน์นิยม ที่ช่วยกันบอยคอตไวน์แกลโลกันอย่างจริงจัง.." คนอ่านบางคนอาจสงสัยว่า ทำไมจึงใช้ ห้างร้าน สโตร์ มันไม่เหมือนกันหรือไร ? คือที่อเมริกานี้นะคะ จะจำแนกไว้เสร็จ ให้คนได้เข้าใจประเภทร้าน กล่าวคือ ห้าง..หมายถึง  Department  Store ที่ข้างในจะมีซูเปอร์มาร์เก็ต และแผนกขายเหล้า และ ไวน์ ที่จัดวางสวยงาม บางที่มีการให้เช่าที่เก็บไวน์(แพงๆ) และบริการดูแลให้ด้วย                     ร้าน...หมายถึง Wine shop อันนี้คือ ร้ายขายไวน์นานาชนิดโดยเฉพาะ  และส่วนใหญ่จะมีแผนก  Deli ด้วย หมายถึง ขายเนยแข็ง คาเวียร์ มะกอกดอง รวมถึงของท่านเล่นๆ แกล้มไวน์จากทั่วโลก (ในไวน์ช็อปนี้ จะไม่มีเหล้าขาย เพราะใช้ใบอนุญาตจดทะเบียนการค้าประเภทไวน์เท่านั้น) สโตร์  หมายถึง   Liquor store ที่เป็นร้านขายเหล้า ไวน์ เบียร์ น้ำอัดลม บุหรี่ คล้ายๆกับ 7/11 แต่จะใหญ่มาก มีน้ำเมาจากทั่วโลกมาขายรวมอยู่ที่นี่  บางร้านขายเบียร์สิงห์ด้วย จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 23:21:26 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อรุณสวัสดิ์ ค่ะ  เพิ่งตื่นขึ้นมาก้รีบมาเปิดหน้าจอดู ว่ามีใครมาอ่านมั่ง.. สวัสดีค่ะ คุณ หนุ่มcit  แหม เรานี่เหมือนกันเลยค่ะ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานเบียร์ ไม่ทานเหล้า แต่..ฉันต้องชิมไวน์ค่ะ แต่ก้แค่ชิม คือ ไม่เกิน 4-6 ออนซ์ เพื่อให้ทราบว่า โอเค หรือไม่อย่างไร แล้วก็ต้องเอามาบันทึกไว้ค่ะ อันไหน ชอบเป็นพิเศษ ก็จะมาร์คเอาไว้เพื่อไปหาซื้อมาเก็บไว้แจกให้เพื่อนฝูงได้ลองมั่ง.. คุณ Canossa   สบายดีหรือคะ? คุณRonachai   จ๋า ช่วยไปจี้ซิ ว่าตาสื่อหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย?? ขอบคุณ คุณจันทร์กลางหาว   คุณ Natt_ac121   คุณgrappa ที่ตามอ่านกันมาเสมอเลยนะคะ กระทู้ของดิฉันมักไม่ขาดคุณว่านน้ำ  คุณ horseshoes  คุณหมาน้อยพุงกาง   และเพราะ คุณหมาน้อยฯคนนี้นี่ละค่ะ ที่ทำให้รู้สึกว่าควรที่จะตั้งกระทู้ใหม่ได้แล้ว เพราะ เธอทวง... ขอต้อนรับ คุณ brasserie 1802  ทำร้านอาหารหรือเปล่าคะ? จากคุณ : WIWANDA - [ 26 ม.ค. 49 23:47:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ป้าหวานทราบเรื่องไวน์เมืองจีนป่าวครับ ผมดูทีวีเมืองจีน เห็นเขาคุยว่าเป็นผู้ผลิตระดับบิ้ก จำได้ไหม ผมเคยแนะป้าหวานให้เข้าไปทำตลาดที่นั่น โดยอาศัยโทนี่เป็นตัวลุย จะทำได้ไหม ถ้าทำได้ ผมจะลองคุยกะเจ้าสัวดู เพราะแกไปทำเหมืองถ่านหินในจีน บ่นว่าหนาวชิกไห.... จากคุณ : เอ๋อมาแป๊บๆ - [ 27 ม.ค. 49 00:15:16 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จริงๆไวน์ไทยก็ซื้อน้ำองุ่นจากเมืองนอกมาใช้ในการผสมเพื่อผลิตไวน์ไทยจริงๆแหละครับ ที่เห็นแน่นอนก็ La fleur ของ village farm ไวน์ไทยที่แพงที่สุดนี่แหละครับ เขาเอา condensed cab sav มาจากฝรั่งเศส มาผสมกะชีราสที่ปลูกในเมืองไทย ส่วนข้อเขียนข้างบนเป็นของคอลัมนิสต์เรื่องไวน์ชื่อ คุณ ธวัชชัย เทพพิทักษ์ครับ เคยอ่านเรื่องเดียวกันนี้จาก @taste ในเว็บ bangkokbiznews.com จากคุณ : d19 (D19) - [ 27 ม.ค. 49 08:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 49 23:24:42 จากคุณ : เด็กเซี่ยงไฮ้ (Natt_ac121) - [ 27 ม.ค. 49 13:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีเอ๋อฯ  เดี๋ยวจะหลังไมค์ไปนะ สวัสดีค่ะ คุณ  d19  ขอขอบคุณที่เล่าเรื่อง น้ำองุ่นสกัดข้น cab sau  ซึ่งนับว่าเป็นการย้อมแมวอย่างน่าอาย ทันทีที่คุณใช้คำว่า  "condensed" ฉันก็ถึงบางอ้อ.. เขาหมายถึงตัวนี้ค่ะ  ดูตามภาพ   มีขายเป็นกระป๋อง ราคาสี่ซ้าห้าสิบเหรียญต่อลัง ลังละสองกระป๋อง  ไม่ใช่ของฝรั่งเศส แต่เป็นของอเมริกา ที่ขายให้กับพวกมือสมัครเล่น หัดทำไวน์เองกินที่บ้าน และ..เป็นการห้ามนำไป"จำหน่าย" เป็นการค้า   มีทุกรสเชียวค่ะ จะเอาไวน์ชนิดไหน สั่งซื้อได้ เอามาผสมเอง และ..ที่สำคัญ..มันไม่ใช่น้ำองุ่นแท้ๆ หากแต่เป็น ส่วนผสมขององุ่นผงและผลิตภัณฑ์เคมีอื่นๆ... โอย...อยากจะเป็นลม....!!! จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ม.ค. 49 13:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 นำข้อความสรรพคุณของเขามาให้อ่าน.. CALIFORNIA CABERNET SAUVIGNON KIT Description   Making your own wine is satisfying and easy.  As long as you ferment great juice, keep everything sanitary, and give it enough time to age (3 months or more for whites, 6 months or more for reds), you will get great wine. Here at William’s, we have developed our William’s California Wine Kits with this philosophy in mind. Our Kits include 192 ounces of pure California varietal grape concentrate, condensed at low temperatures from Central Valley wine grapes picked at their ripe peak in the late Summer and early Fall. To complement the varietal juice, specially selected dry wine yeast, oak chips, and nutrient are also included as needed. Unlike many wine kits featuring added sugar, this 192 ounces of pure concentrate is all that is needed (except for the yeast and addtives) to produce 5 gallons (24 bottles) of varietal wine. Cabernet Sauvignon is one of the most popular California varieties, and is ideal for the true red wine lover than can age their wine for 3 years or more. This grape produces a full and rich red wine, with more boldness and dry tannin flavors than Merlot. You can easily age this one for 5 years and have it continually improve. CALIFORNIA CABERNET SAUVIGNON KIT จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ม.ค. 49 13:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีค่ะ คุณ เด็กเซี่ยงไฮ้ (Natt_ac121) ไวน์ในจีนยังมีระยะที่เดินอีกไกลนัก..เหมือนกับเมืองไทย ละค่ะ แต่จีนจะมีภาษีดีกว่าเรา เพราะพื้นที่และอุณหภูมิอากาศสามารถเลือกได้จะให้เหมาะสมกับ พื้นที่ทำไวน์ของส่วนไหนในโลก ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการสำรวจ ชั้นดิน ผิวดิน แหล่งน้ำ จนถึงขั้นการทดลองปลูกองุ่นที่เหมาะสม จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาเกษตรพืชและเถาองุ่น ที่เรียกว่า Viticulture ที่จะต้องทำงานประสานกับฝ่าย สำรวจธรณีการปลูกองุ่นโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Enology หรือศัพท์เทคนิคจะเขียนว่า Oenology ทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมใหญ่ เพื่อที่จะฟันธง ได้ว่า..พื้นที่ตรงไหนเหมาะกับอะไร จะทำได้หรือไม่ได้ และถ้าได้..เมื่อประสบผลสำเร็จในการทดลองแล้ว พื้นที่จะถูกประกาศออกไปโดยมีประกาศนียบัตรตีตรารับรองว่า เป็น  Terroir อ่านว่า แทร์ฮวาร์ เป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึง พื้นที่ที่เหมาะในการทำเกษตรองุ่น ที่พร้อมไปด้วยอากาศยามเช้า อุณหภูมิเท่านั้นเท่านี้ ยามสายแดดสาดถึงตรงนั้นตรงนี้ ยามบ่ายรับลมจากช่องเขาลูกโน้นลูกนี้.. องุ่นออกมาสุดยอด.. ทีนี้จะเป็นไวน์จาก แทร์ฮวาร์ ชานตุง หรือ แทร์ฮวาร์ เสินเจิ้น แต่นั่นหมายความถึงการเริ่มต้นเท่านั้น..เพราะส่วนที่จะสานต่อคือ เทคนิค know how ที่จำเป็นจะต้องอิงมันสมองต่างชาติให้เข้ามาช่วยประคับประคองจนกว่าจะเดินเองได้ ลองมีเจ้าพ่อนาปา โรเบิร์ต มอนดาวี หรือ เจ้าแม่รอธส์ไชด์ บารอนเนส ฟิลิปปินส์  เดอ รอธส์ไชลด์  ไปร่วมลงทุนด้วยละก้อ.. รับรองว่า..ฝรั่งแห่กันไปซื้อที่ทำไร่กันเอิกเกริก !! ส่วนรีวิวเรื่องคุณภาพไวน์จีนตอนนี้..ฟีดแบ๊คยังอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานค่ะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ม.ค. 49 14:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไหนคุยถึงเรื่องแทร์ฮวาร์ หรือ พื้นที่แล้ว..ก็จะคุยต่อไปเลยว่า มันสำคัญมากค่ะ นับว่าเป็นหัวใจเลยก็ได้ เมื่อครั้งที่ นาปา แวลลี่ย์ ได้เริ่มจัดสรรว่าเป็นเขตโน้นเขตนี้ และ ชื่อนาปาได้ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการสร้างสรรไวน์ออกมาสู่ตลาดได้อย่างมีคุณภาพยอดเยี่ยม แซงหน้าฝรั่งเศสเจ้าตำรับไปแล้วนั้น พื้นที่ในเขตของนาปา ได้พุ่งขึ้นราวทองคำ การแบ่งสรรจัดส่วนเขตนั้น มีกรมที่ดูแลอยู่ ชื่อว่า.. American Viticulture Areas  หรือ  AVA ที่ลอกเลียน กฏเกณฑ์มาจากการแบ่งแทร์ฮวาร์ของฝรั่งเศสเป๊ะๆ ชนิดไม่มีผิดเพี้ยน   ทีนี้..พอทุกอย่างเริ่มเป็นเงินเป็นทองให้เห็นกันจะจะเข้า.. (ขอยกตัวอย่างว่า ในปี 1996 อุตสาหกรรมไวน์อเมริกาทำเงินถึง หนึ่งพันแปดร้อยล้าน เหรียญ  เฉพาะของบริษัท มอนดาวี ที่คลุมไปทั่วพื้นที่นาปา และ ส่วนเหนือ บริษัทเดียวก็ฟันไป แปดร้อยกว่าล้าน) การทำงานจึงเข้มงวดและเคร่งครัดขึ้น..กล่าวคือ ดำเนินการต่อการใช้ชื่อกำกวม ส่อเจตนาให้คนเข้าใจพื้นที่ของไวน์ผิดๆ นั้น ...เป็นเรื่องใหญ่ จะเล่าให้ฟัง.. คือว่า..จู่ๆมีบริษัทไวน์บริษัทหนึ่ง ชื่อว่า Bronco มีไร่ไวน์ อยู่นู้น..เกือบจะถึงเมืองหลวง Sacramento อยู่แล้ว เหนือไปจนพ้นเขต นาปาแทร์ฮวาร์ แต่ดันออกไวน์มาในนามว่า  Rutherford  อันเป็นชื่อเดียวกับตำบลหนึ่งใน นาปา ทำให้คนเข้าใจว่า ไวน์นี้คือ ของดีจากพื้นที่ดัง แถมราคาอยู่ในระดับย่อมเยา.. ก็เลยต้องเข้าทำการจับกุมโดยละม่อมหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ว่า..สต๊อคกว่าแสนขวดนั้น  ห้ามจำหน่าย จนกว่าจะสู้คดีให้เสร็จ  โดยใช้เวลาเกือบสองปี ซึ่งก็แพ้ไปตามระเบียบ เสียค่าปรับ และต้องเขียนฉลากใหม่ให้ชัดเจนว่า..Rutherford  from Central Vallay (Central Vallay  คือตำแหน่งที่ถูกต้องทางภูมิศาสตร์ของที่มาของไร่องุ่นที่นำมาทำไวน์นี้) แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 49 15:57:01 จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ม.ค. 49 15:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 งานของ AVA หรือเปรียบได้กับเป็น  ไวน์ CIA นั้น ไม่ใช่แค่นั่งโต๊ะ กระดิกเท้าอ่านฉลากไวน์อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ บทบู๊ของพวกเขาก็มีเยอะ เรื่องจับทุจริตองุ่นนี่แหละ อ่านไปจะขำไป แต่ได้ความรู้ด้วยนะ คราวนี้ คือ บริษัทไวน์  Franzia รู้สึกว่าจะมีขายที่เมืองไทย เขาจะทำไวน์กล่องขายไปทั่วโลก เป็นบริษัทใหญ่โต ที่ใช้การยัดใส้แบบน่าเกลียด..กล่าวคือ ใช้องุ่นราคาถูกมาปลอมปน.. ไวน์ที่ชื่ออะไรก็ตาม จะต้องใช้องุ่นตามชื่อนั้น กว่า 75 % ตามที่ได้เล่ามาแล้วว่าเป็นกฏหมาย อีกทั้งมีการตกแต่งเอกสาร โดยการทำการจัดซื้อองุ่นจาก"นอมินี่"บริษัทปลอมๆขึ้นมา เพื่อยามที่ถูกจับได้จะได้อ้างว่า ไอ้ปื๊ด..มันทำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..ก็ไม่รอด บุกเข้าจับได้ขณะที่รถบรรทุกกำลังนำองุ่นไปเข้าเครื่องบดเลยเชียว และรถน่ะ ไม่ใช่คันเดียว เพราะเขามากันเป็นขบวนคาราวาน ราคาไวน์นะคะ ที่เรากินๆอยู่นี่ ตัวกำหนดราคา คือ ราคาขององุ่นที่ถือว่าเป็นต้นทุนใหญ่ อันมีราคาตามเผ่าพันธ์ แตกต่างกันดังนี้.. Cabernet Sauvignon 380-400 (เหรียญ สรอ.) Zinfandel         350-375 หมายถึง อัตราต่อหนึ่งตัน ส่วนองุ่นอื่นๆ อย่าง  Carigane  หรือ Grenache  ได้ 200 ก็บุญโข งานนี้  Franzia รับไปอ่วม.. จากคุณ : WIWANDA - [ 27 ม.ค. 49 16:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 I have got one book from a usedbook shop ka. It is The Noble Grapes and the Great Wines of France by Andre L. Simon. I have no any idea with wines but Its story is so amazing.Wine history lead me to read much more history that related to Wine. Wonderful ka. จากคุณ : horseshoes - [ 27 ม.ค. 49 20:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ Natt_ac121 ที่รัก ลืมบอกไปว่า ถ้าไปงานเอ๊กซโปที่จีน ช่วยถ่ายรูปและมาเล่าให้ฟังกันหน่อยนะคะ คุณ horseshoes คะ คุณเป็นคนที่น่ารักมาก ชอบใจคุณจัง เพราะเราอาจมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง คือ ชอบอ่านหนังสือ จะเป็นเรื่อง ไวน์ หรือ เรื่องประวัติศาสตร์ อ่านได้โลดดดด และที่สำคัญ ไม่ชอบซื้อหนังสือราคาหน้าปก นอกจากอยากได้มาบูชาจริงๆ การเดินร้านหนังสือมือสอง คือ กิจวัตรประจำวันเลยค่ะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ม.ค. 49 06:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มารายงานตัวค่ะป้าขา แหม!!!ที่หนูทำไป (ทวง) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะคะ แหะๆๆ หนูทำเผื่อคนอื่นน่ะค่ะ เค้าจะได้มีเรื่องดีๆอ่านกันอีกงัยคะ ของหนูน่ะแค่ผลพลอยได้เองค่ะป้าขา จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 28 ม.ค. 49 11:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 32 หายไปไหนกันหมดไม่ทราบคะ ไปฉลองตรุษจีนกันที่ไหนเอ่ย....คนเขียนเลยพลอยอู้ไปด้วยเลย กำลังลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเขียนแบบย่นย่อ หรือ มหากาพย์ ดีเนี่ย.. แต่ตอนนี้ขอเข้าเรื่องซะที  เรื่องเส้นทางการเติบโต(แบบมมหัศจรรย์)ของไวน์ในอเมริกาดังที่ได้เกริ่นไปแล้วตั้งแต่ต้น.. ขอย้อนไปตั้งแต่ปี 1808 คือปีที่หนุ่มนักการเมืองไฟแรง ที่มีตำแหน่งเป็นถึง รัฐมนตรีกลาโหม นามว่า Thomas Jefferson  ประกาศกร้าวว่า "เรา...จะต้องทำไวน์ออกมาให้ได้ดี..ไม่น้อยหน้าของยุโรปอย่างแน่นอน"   เขาคนนี้ได้เป็นคนที่ฝักใฝ่สนใจ ลุ่มหลงเสน่ห์ไวน์ตั้งแต่ครั้งที่ได้ไปราชการที่ฝรั่งเศส จากนั้นมา เขาได้ทุ่มเทสติปัญญา  ศึกษาข้อมูลเบื้องลึกจนเข้าขั้นเกจิ   จนต่อมา..เมื่อเขาได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (คนที่สาม และดำรงตำแหน่งถึงสองสมัย) นั่นหมายความว่า  ทำเนียบขาวได้เริ่มมีการสร้างเซลล่าร์เก็บไวน์ของดีมีสกุล  รวมไปถึง แชมเปญชั้นดี ที่นำออกมาใช้รับรองแขกเหรื่ออย่างไม่มีขาด เพราะท่านปธน.  ท่านว่า...."Good wine ..is a daily neccessity" รสนิยมนั้นได้ถ่ายทอดลงมาถึงท่าน ปธน. คนต่อๆไปด้วย อย่าง James Medison  และ James Monroe ก็ยังต้องขอคำแนะนำในเรื่องการใช้ไวน์ในงานพิธี และการเลือกสต๊อคไวน์ชั้นเลิศของโลกจากท่านเจฟเฟอร์สัน เรื่องซื้อมาตุนน่ะ..มันเป็นเรื่องหมูๆ...แต่เมื่อถึงการเริ่มลงมือที่จะทำตามที่ประกาศไว้เข้าจริงๆ..ท่านปธน...ก็เริ่มจะถึงคราวใบ้รับประทาน เพราะ ในอดีตกาลที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ อเมริกายังผลิตไวน์ได้ในคุณภาพที่ต่ำต้อยเรี่ยดิน เข้าข่ายว่า ยัง"แหลกไม่ล่าย" ว่างั้นเถอะ.. มันไม่สามารถเผยอหน้าไปเทียบกับไวน์นำเข้าได้เลย   และ...เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะตลอดชีวิตของท่าน เจฟเฟอร์สัน..ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นความรุ่งเรืองของไวน์อเมริกาตามที่ท่านฝัน... เพราะ กว่าจะถึงวันนั้น..มันก็คือเวลาเกือบสองร้อยปี..ที่..ไวน์อเมริกาได้ประสบความสำเร็จจนขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าเทียบบ่าเคียงไหล่กับไวน์ฝรั่งเศสดังที่ท่านเคยได้ประกาศเอาไว้.. และ..วันนั้น เวลานั้น. จังหวะทองที่ว่านี่...คือ ปี 1975-1976 แค่หมาดๆมานี่เอง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 30 ม.ค. 49 06:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ซินเจี่ยอยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ อั่งเปาตั่วๆไก๊ ค่ะป้า ยังอยู่ค่ะป้า เห็นป้าไม่มาต่อทู้ หนูก็นึกว่าป้าฉลองตรุษจีนเหมือนกันน่ะค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 30 ม.ค. 49 15:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 Sawasdee ka, Please go on as มหากาพย์ ka..That would be good for me ka...moreover It must be the time that I will start read American history. Warmest wishes จากคุณ : horseshoes - [ 30 ม.ค. 49 20:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แอบอ่านอยู่เงียบๆครับ เพิ่งได้ดูเรื่อง Sideways ที่กระทาชายสองหนุ่มกับวิกฤตวัยกลางคน ตะเวนชิมไวน์ตาม vineyard ในแคลิฟอร์เนีย  หนังเฉยๆครับ แต่ทึ่งในศาสตร์ของไวน์มากล่ะครับ  เออ.. ทำไมตระกลูยิวรอธส์ไชลด์ ที่มีอิทธิพลแผ่ขยายทางการเงินในยุโรป จึงมาเกี่ยวกับไวน์ได้ล่ะครับ หรือเป็นธรรมเนียมว่าตระกูลขุนนางต้องทำไวน์ไว้ประดับบารมี   เทพเจ้าไวน์ (  เทพแห่งความสำราญ ) บัคคุส - โรมัน ... ไดโอนีซอส - กรีก ในวาติกัน จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 11:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มารายงานตัวครับ ถึงมาช้าแต่ก็มาแล้วน่ะครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 31 ม.ค. 49 13:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะ มือโพสต์รูปขวัญใจกระทู้ป้า....คุณ sofatboy และ คุณ กริชครับผม มิได้ค่ะ..ตระกูล Rothschild เป็นตระกูลนายทุน นายแบ้งค์ ร่ำรวยมาจากการเซ็งลี้หลังจากการตกสะเก็ดของเศรษฐกิจยุโรปที่มีสงครามเจ็ดปี ที่เปิดฉากการรบกัน อีรุงตุงนังหลายเวที ความจริงนั้นเริ่มมาจากในอเมริกานี่เอง โดยท่านนายพล ยอร์จ วอชิงตัน(ตอนหลังคือท่านปธน.คนแรก ของ สหรัฐฯ) เข้าโจมตีหน่วยของฝรั่งเศส (1754) กลางดึกและฆ่าทุกคนตายเรียบรวมทั้งตัวทูตด้วย และมันได้เกิดการก่อศึกลามปามไปในยุโรป เรียกว่า รบกันเละ จะไม่เละได้อย่างไร..เพราะ สองข้างนั้น..ล้วนแต่บิ๊กๆ Great Britain, Prussia, Hanover กับ France, Austria, Russia, Sweden  (ไปหาอ่านเอานะคะ มันยาว เดี๋ยวจะนอกเรื่องไวน์ไป) นาย Mayer Amschel Rothschild (1744-1812) ต้นตระกูลนั้น ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้บริหารเงินให้กับเจ้านายของเยอรมันที่ร่ำรวยเสียเปล่า แต่ไม่มีปัญญาหมุนเงิน จึงต้องมาอาศัยความสามารถของชาวยิว.. และในที่สุด เขาก็สามารถพลิกผันกองเงินนั้นได้กว่าเจ็ดหมื่นล้าน..(พูดเล่งงง) เท่าไหร่ก็ไม่รู้ละ แต่ที่แน่ๆคือ เขาได้กลายมาเป็นมหาเศรษฐีด้วยวัยเพียงสามสิบเศษ.. และเรื่องไวน์นั้น..เป็นเรื่องรอง..เพราะนั่นคือการเข้าทำกิจการที่ยกระดับตัวเองให้ขึ้นมาเทียบหน้าเทียมตา หรือ จัดเข้าสู่วงการไฮโซ..เนื่องจากปมด้อยของความเป็นยิวที่เคยถูกรังคัดรังแค จำกัดสิทธิต่างในอดีต.. (เขาได้รับอนุญาตให้สวมวิกอย่างผู้ดี..แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงแต่งวิกด้วยสเปรย์แป้งผุ่น หรือ เสื้อคลุมที่หรูหราของเขาต้องมีแถบสีเหลืองห้อยเป็นสัญญลักษณ์ยิว ยามที่เดินผ่านพวกเจ้านาย หรือ ไฮโซตัวจริง ก็ต้องถอดหมวก และ คำนับให้ รวมทั้งการที่ต้องจ่ายภาษี"ยิว" ต่างหาก) มีต่อ... จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 14:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไร่ไวน์(ชั้นเลิศ) ในสมัยนั้น คือการเข้าครองวัฒนธรรม และเป็นการแสดง"อำนาจ" เหนือคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นชั้นนาย ไฮโซ ระดับไหน ก็ต้องพากันหันมายอมรับพวกเขาอย่างปราศจากข้อแม้.. รอธส์ไชลด์ รู้ดีว่า..เงินหาเมื่อไหร่ก็ได้  แต่พื้นที่ทองคำของไร่ไวน์นั้น หาไม่ได้อีกแล้ว.. ดังนั้น เขาจึงต้องสรรหามาเป็นสมบัติเพื่อจรรโลงชื่อเสียงต่อไปให้ก้องโลก ขอเรียนให้ทราบว่า ไม่ว่ารอธส์ไชลด์จะอยู่ที่ใดในโลก หรือถือสัญชาติใด แต่..ความเข้มข้นในความเป็นยิวของพวกเขามิได้จางหายไปไหนเลย Baron Edmund de Rothschild หนึ่งในเจ้าของ Chateau Lafite ได้ทุ่มทุนมหาศาลจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งของโลกจากฝรั่งเศส ไปยังเมือง  Eretz ประเทศ  Israel  เพื่อไปช่วยเกษตรกรชาวยิวให้ทำการเพาะปลูกองุ่นทำไวน์ ที่เขต Zichron Ya’akov อยู่ติดกับตอนใต้ของเมือง Tel Aviv เพราะเขามีความมั่นใจ ว่า..ถ้าอิสราเอลได้ทำสำเร็จ นั่นหมายถึงเศรษฐกิจภาคเกษตรจะกระเตื้องขึ้นมาทันตาเห็น ข่าววงในเล่ากันมาว่า..งานนี้..ท่านบารอนทุ่มสุดตัว ฉิบ..เท่าไหร่ไม่ว่า..ขอให้สำเร็จ นักวิชาการที่ส่งไป..นั้นไม่ใช่แค่คนสองคน ส่งไปทีละเป็นชุด ชุดละหลายสิบ..อีกทั้งการไปตั้งสถานีแล็บที่สุดยอดไฮเทคอีก อีกหน่อยเราคงได้มีโอกาสชิมไวน์อิสราเอลกันมั่งละ เอาไว้ว่างๆจะแปลหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน แล้วจะรู้ว่า ไวน์นั้น..ไม่ใช่เรื่องสำคัญของผู้คนในตระกูลนี้แต่ดั้งเดิม มันเป็นแค่การลงทุนอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีไวน์ตระกูลดังในครอบครอง.. ใครจะมารู้จักหรือพูดถึง Rothschild  ด้วยศรัทธา และชื่นชม ปานฉะนี้.. ทั้งๆที่ ความจริงแล้ว พวกเขาคือ ยิวไชล๊อค อย่างในพระราชนิพนธ์(แปล) เวนิชวาณิช นั่นแหละค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 14:54:42 ]

ความคิดเห็นที่ 39 หะแหม  หาว่าเราจะไม่มาอ่าน ก็รู้ ๆ อยู่ว่าเรื่องไวน์นะ  อึ่งอย่างผมซ่อนหางได้ทันเสมอ ขออย่างเดียวอย่าว่าเรื่องเก็บไวน์ไว้ในตู้เย็นเลย เพราะไปดูราคาตู้ไวน์มาแล้ว  อย่างถูกก็เฉียด 2 หมื่นละค่ะ ขืนซื้อมาแบบนั้น คงต้องไปเร่หาไวน์แบบหมื่นอัพมาใส่ให้เป็นศรีตู้อีก ก็เลยตัดใจเอาว่า เก็บหมู่เก็บไก่ออกจากตู้แล้วเอาไวน์ขวดละ 500 ไปใส่ไว้แทนแล้วกัน เฮ้อ ปีนี้ดวงไม่ค่อยดี แฟนหนีเมียทิ้งแล้วยังมาเจอทั้งเจ๊ทั้งป๋าเฉ่งเอาอีก เรื่องไม้กอล์ฟก็ทีแล้ว ป่าชำเลืองถุงทีไรก็เขม่นผมทุกที  เห็นถามอยู่คำเดียวว่าตอนนี้เจ้าของร้านขายไม้เขาปิดร้านฉลองเสร็จหรือยัง ที่ขายชุดนี้ให้ผมได้นั่นแหละ นี่ก็อีกแล้ว  โธ่  ไม่เห็นใจเด็กเทพบ้างเลยว่าเรื่องไวน์นี่ บ้านเราหาอ่านแบบเป็นเรื่องเป็นราวได้ที่ไหนกัน อย่างมากก็ประมาณว่า รสออกสไปรซี่ ดื่มแล้วสดชื่นดี  ป๊ะ นะสิ ไวน์กระจอก เปรี้ยวอิกอ๋าย ยังบอกว่าสดชื่นอีก  ที่บ้านมันคงขายไม่ถึงร้อยบาท มาเจอภาษีงี.งี่ บ้านเรา เลยกลายเป็น 500 อัพ หรือบอกว่า หมตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นลูกพรุน (แมม  เป็นพรื๊อหว่า เหมือนลูกตอไม้) วันนั้นแวบหนีงานไปนั่งดร๊ง เป่ากะสาวไหนหรอก กะไอ้ซี้ติ่งนั่นแหละ แถว ๆ สถานีรถไฟบางซื่อ  ร้านมีระดับนะคร๊าาาาบ ไม่ใช่ไก่ย่างรางรถไฟที่ไหน พอดื่มได้ที่ก็ต้องไปฉี่นิดหน่อย  ช่วงนั้นเดินผ่านโต๊ะอาเสี่ยกำลังหลีสาว ๆ ให้หนุ่ม ๆ รูปหล่อ อย่างเราอิจฉาว่ามันไปหามาจากไหนวะ ฉับพลันนั้นเอง ด้วยสายตาซอกแซก ก้มลงมองต่ำ เพราะเห็นอะไรสะท้อนแสงเข้าตาแวบ ๆ นึกว่ามาสอดเอาตอนเสี่ยเขากำลังจะสวมแหวนเพชรเจ็ดการัตที่แอบจิ๊กมาจากซ้อใหญ่ให้น้องนางหน้าแฉล้ม ที่ไหนได้ เจี็ยก เป็นก้อนน้ำแข็งสะท้อนแวบ ๆ ขึ้นมาจากแก้วไวน์ในมือเสี่ยเองค่ะคุณพี่ขา  แถมเขย่ากรุ๊งกริ๊งแก้เขินอีกต่างหาก นี่ขนาดเปิดตามสูตร เอาขวดไวน์แช่ในถังเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะเนี่ย เฮ้อ เจ๊ คิดว่าผมไม่ใช่เสี่ยคนนั้น ก็น่าจะภูมิใจน้องคนนี้ได้แล้วนา จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 31 ม.ค. 49 15:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แหม..พูดถึงเรื่องนี้เลยต้องต่อให้ยาวไปอีกหน่อย ในเรื่องของการค้า.. เนื่องจากว่า ปัจจุบัน คนได้หันมาสนใจเรื่องไวน์กันมาก เลยทำให้ดูเหมือนไวน์ชั้นหนึ่ง(ของโลก) เริ่มกลายเป็นของที่คนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสได้แตะต้อง เพราะ ไร่หนึ่งผลิตได้วินเทจละสามหมื่นกว่าลัง  ( กร็อง ครู มีอยู่ห้าชนิด เอาห้าคูณ ตามด้วย สิบสองคูณทับไปอีก) แล้วประชากรที่นิยมบริโภคที่มีอยู่ทั่วโลกนั่น ไม่รู้ว่ากี่ล้านคน จะไปเพียงพออะไรที่ไหนกัน (ดังที่บอกว่า..ของปลอมถึงได้ผุดขึ้นยังดอกเห็ดนั่นไง) มันก็เหลือเป็นแค่ความฝันไป.. หากแต่..ชาวเจ้าพ่อ เจ้าแม่กร็อง ครู เริ่มรู้สึกสะดุดใจนิดๆแล้ว เพราะไม่กี่ปีมานี้ ไวน์แคลิฟอร์เนีย ไวน์ออสเตรเลีย ต่างทำเงินกันมหาศาล เกินหน้ากร็อง ครู ไปไม่รู้ว่ากี่เท่าตัว จะมานั่งกอดเกียรติยศอยู่ได้อย่างไรกัน.. ดังนั้น รอธส์ไชลด์ จึงออกไวน์ราคาเด่ะๆ ออกมาในนามของ  Baron Phillippe de Rothschild ที่มีทั้ง vin de pays d'oc ให้ชาวบ้านที่มีรสนิยสูง แต่รายได้น้อยได้ทดลองของดีจากฝรั่งเศส ที่มาจากฝีมือของ ไวน์เมคเกอร์เกียรติประวัติอันยาวไกลมาการันตี.. อันนี้..คือ Syrah 2000 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 15:49:15 จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 15:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อันนี้ คือ Pauillac ( ไวน์บอร์คโดซ์ ชนิด ปุยยัค) ราคาขนาดกลาง ที่พอสรรหาซื้อมาแกล้มอาหารเย็นได้บ่อยๆ จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 15:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อันนี้ คือ Medoc เป็น บอร์คโดซ์ อีกเช่นกัน ข้างบนนั้นของ ปี 1998 ตัวนี้ ของปี 2002 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 15:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ทุกขวด จะมี cap ที่มีตราของ รอธส์ไชลด์ ของจริงแบบขลังๆให้คนเปิดได้มือสั่นเล่น.. สวยงามค่ะ ..เราสต๊อคไว้ทั้งหมดนับร้อยๆลัง.. (เก็บไว้ขายมั่ง กินมั่ง แจกน้องๆมั่ง อิอิอิอิ......) แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 16:00:10 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 15:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 กลับมาเล่าเรื่องของท่านประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สัน ต่อ.. ว่า..ท่านได้ลงมือปฏิบัติการ ทำไร่องุ่นทำไวน์ที่บ้านที่มลรัฐเวอร์จิเนีย แต่ท่านก็จ้างคนสวนทำนะ ไม่ได้ถลกขากางเกงมาลุยเอง เพราะมีความมุ่งมั่นต่อความคิดที่ว่า "No nation is drunken where wine is cheap" และท่านได้แสดงความคิดต่อไปว่า "บ้านเมืองเรามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดินที่สมบูรณ์ (เหมือนอย่างในฝรั่งเศส) อากาศและอุณภูมิที่เหมาะสม (เหมือนอย่างในบอร์คโดซ์ และ เบอร์กันดี) แล้วทำไมเราจะทำไวน์ดีๆไม่ได้" ท่านพูดได้..เพราะไปกินไปนอนในไร่องุ่นที่นั่นมานานหลายปีพอสมควร..แต่..การทำไร่ไวน์ของท่านนั้นมันช่างล้มเหลวได้แทบทุกปี จนคนสวนต่างพากันถอดใจ เพราะยามที่ปลูกองุ่นพันธ์พื้นเมือง มันอยู่รอดก็จริง แต่ก็ทำไวน์ออกมาเลวร้ายจนต้องเททิ้ง ยามที่เปลี่ยนเอาพันธ์ยูโรเปี้ยนมา มันก็ช่างอ่อนแอ ถนิมสร้อย ไม่ทันโตก็พากันเฉาตายไปก่อน.. ในที่สุด..ท่านปธน. ก็ยอมแพ้..เลิกทำไน่องุ่น ซื้อไวน์นอก กินต่อไป.. จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 16:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 45 มาถึงนี้แล้วต้องเล่าถึง นาย Nicholas  Longworth (1782-1863) บุคคลสำคัญที่ได้รับการสถาปนาให้เป็น ผู้ให้กำเนิดไวน์ธุรกิจอเมริกาคนแรก.. เพราะถ้าไม่มีเขาคนนี้ ไวน์อเมริกาคงไม่มีโอกาสได้เริ่มต้น เนื่องจากว่า เผ่าพันธ์ของเถาและตระกูลขององุ่นนั้น อเมริกากับยุโรปได้ผิดแผกแตกต่างกัน เป็นคนละสปีซี่ ของยุโรป คือ Vitis Vinifera (Cabernet, Merlot, Chardonnay ฯลฯ)   ส่วนอเมริกานั้น ส่วนใหญ่คือ Vitis Labrusca, Rotundifolia, Riparia, Aestivalis and Cordifolia ฯลฯ อง่นในอเมริกานั้นมีขึ้นทั่วไปราวกับบักหุ่งของบ้านเรา แต่ในยุโรป องุ่นนั้นมาจากการเพาะปลูกแบบเป็นที่เป็นทาง เป็นไร่ และถ้าไม่มีการดูแลเอาใจใส่ก็ไปไม่รอด ในอเมริกานั้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 มา ไม่มีใครปลูกองุ่นเป็นการค้าขาย เพราะมองไม่เห็นกำรี้กำไรว่าจะงอกเงยได้อย่างไร (อ้อ..นอกจาก Dr. Welch ที่ทำน้ำองุ่นขายเฉยๆ แกไม่คิดจะนำมาหมักให้เกิดแอลกอฮอล เพราะ ตัวเองเป็นนักต่อต้านการดื่มของมึนเมาหรือที่เรียกว่า มหาจำล..เอ๊ย..ไม่ใช่ เป็น พวกแทมเพอแร้นซ์ (Temperance) น่ะ) หรือ ไม่ทำไวน์..ก็เอามาตากแห้ง ให้กลายเป็นลูกเกด ก็ไม่เวิร์คอีก เพราะองุ่นพันธ์ทั้งหมดของอเมริกาที่ว่ามานี่ ล้วนแล้วแต่ไม่เอาไหนทั้งสิ้น.. เมื่อครั้งมีผู้กล้า ลองนำมาทำไวน์..มันก็ออกมาจนมีคนจดเป็นหลักฐานไว้ว่า..เหม็นเหมือนสาบหมาจิ้งจอก (จากข้อบันทึกของท Robert Beverly, 1705, "History and Present State of Virginia) จนกลายมาเป็นการล้อเลียนชื่อพันธ์องุ่นที่น่าสงสารเหล่านี้กันว่า "fox grapes" เหล่าพวกชาวยุโรปอพยพ(มาอยู่ในอเมริกา)ต่างไม่สิ้นความพยายาม  จัดนำพันธ์นอกเข้ามาจากฝรั่งเศสถึง หมื่นกิ่ง ในปี 1619 โดย ท่านลอร์ด เดลาแวร์   แต่ไม่นาน ทั้งหมื่นกิ่งนั่นก็ถึงแก่กรรมโดยพร้อมเพรียงกัน ท่านลอร์ด บัลติมอร์ พยายามเพาะพันธ์ด้วยเนื้อที่กว่า 300 เอเคอร์ ในปี 1622   ผลคือ..สิ้นชีพแต่วัยเยาว์...องุ่นนะ..ไม่ใช่ท่านลอร์ด นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสอพยพ สแปนิชอพยพ ต่างก็กระเสือกกระสนพยายามปลูกอย่างไม่มีวันเลิกรา แต่..ทุกอย่างก็จบเหมือนกัน คือ โศกนาฏกรรมขององุ่น.. แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 02:50:16 จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 18:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ชาวเวอร์จิเนียนนั้น..รู้สึกจะมีกระแสกดดันในความพยายามมากกว่าพวกอื่นๆ เพราะ ท่านโทม้ส เจฟเฟอร์สันเป็นหัวหอกคนสำคัญนำขบวนการอยู่ แต่ก็ยังไม่ไปถึงไหน..เพราะในตอนนั้นไม่มีคนที่เข้าใจในเรื่องของแบคทีเรีย และ ชีววิทยาดีพอ องุ่นอเมริกันนั้นทนทานนักกับเชื้อรา หรือ จุดด่างดำที่เกิดจากแบคทีเรีย แต่..คุณภาพเลวร้ายอย่างที่ว่า.. แต่..องุ่นนอกของดีมีราคา..ใจเสาะ รับไม่ได้ พากันตายร่วงยกไร่ จนกระทั่ง..ปี 1780 ที่มีฝรั่งเศสอพยพคนหนึ่ง นามว่า Legaux  หัวใส..ปลูกองุ่น 18,000 เถา ที่ไร่ที่มลรัฐ Pennsylvania ที่โมเมเอาว่า องุ่นที่เขาปลูกนั้น มีนามว่า The Cape เพราะเขาเชื่อว่า ต้นตระกูลมาจาก อาฟริกาใต้ พอต่อมา..นายเลอโกซ์มีปัญหาเรื่องการเงิน จึงตัดกิ่งองุ่นที่ว่านั่น ขายให้กับ นาย จอห์น ดูโฟร์ ชาวสวิสอพยพ ที่มีไร่องุ่นของตัวเองอยู่ที่  Vevay,Indiana  และได้ลองทำไวน์จากองุ่นนี้ ซึ่งออกมาแล้ว รสชาติใช้ได้ดี นายดูโฟร์ถึงกับส่งตัวอย่างไปให้ท่าน ปธน. เจฟเฟอร์สันลองชิม.. หลังจากลองแล้ว..ท่านก็ถึงกับตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า สั่งการลงมาว่า.."จงเร่งรีบพัฒนาองุ่นนี้เข้าเถอะ สหายเอ๋ย เรากำลังจะถึงสู๋ความสำเร็จในไม่ช้าไม่นานนี้แหละ " ปรากฏว่า..ไอ้เจ้าพันธ์องุ่นที่ว่านั่น ไม่ใช่ เดอะ ค้ง เดอะ เคป อะไรที่ไหน แต่มันเป้นพันธ์พื้นเมืองที่ชื่อว่า  Alexander (ปัจจุบัน ได้สูญพันธ์ไปแล้ว) และ เจ้าองุ่นพันธ์นี้ มันคือ พันธ์กระเทย ที่หมายถึงว่า มันได้มีการผสมข้ามพันธ์ไปอีท่าไหนก็ไม่รู้กับองุ่นนอก ที่ใครต่อใครพากันขยันนำเข้ามาฝังนั่นเอง (คือ Labrusca + European Vitis Vinifera) นั่นหมายถึง Labrusca ทำให้มันแข็งแกร่ง ทนทานต่อโรคภัยใข้เจ็บ.. และส่วนที่เป็น Vitis Vinifera ทำให้มันมีรสชาติออกมานุ่มนวล.. เพียงแต่ตอนนั้น..ยังไม่มีใครได้รู้เรื่องของการผสมข้ามพันธ์ (hybridization) จนมีลูกหลานออกมาเป็น กระเทย หรือ องุ่นลูกครึ่ง จน 50 ปี และ กว่าจะรู้จักตรวจหา DNA กันได้ก็ร่วมร้อยปีให้หลัง แต่ไวน์เจ้ากรรมนั่น เก็บไว้ไม่ได้นาน สีเริ่มจางลง รสชาติออกเปรี้ยวตามมา... ต่อมาก็มีทนายความนักการเมืองหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำไร่ไวน์ เป็นชาวโอไฮโอ นามว่า..  Nicholas Longworth ที่เข้าอยู่มาใน  Cincinnati   ได้ซื้อกิ่งองุ่นจากไร่ ที่  Vavay  มาทำเป็นกิจการในปี 1813 และคิดเริ่มทำจริงจังในปี 1820 และไวน์ที่เขาผลิตออกมาจากองุ่น อเล็กซานเดอร์นั่น จึงจำเป็นต้องเติมน้ำตาล และบรั่นดี ที่มีกรรมวิธีเดียวกับ Madiera (เหล้าหวาน หรือ Port ) หากแต่..มันเป็นสิ่งเลียนแบบที่ไม่มีคุณภาพเอาเสียเลย..แม้แต่นิโคลัสเองก็ยอมรับว่า เขาเองยังกินไม่ลง..และเขาไม่ต้องการทำเหล้า 20 ดีกรี หรือ 40 ปรู๊ฟ เพราะมันผิดความประสงค์ในการต้องการทำไวน์ที่มี แอลกอฮอล เพียง 12 ดีกรี หรือ 24 ปรู๊ฟ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 18:58:01 จากคุณ : WIWANDA - [ 31 ม.ค. 49 18:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 47 Nicholas  Longworth จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 19:21:23 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพการทำเหล้าองุ่นของ Nicholas  Longworth จาก  Harper’s Weekly  24 กรกฎาคม 1858 (  Collection of the Public Library of Cincinnati and Hamilton County ) แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 19:52:34 จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 19:39:06 ]

ความคิดเห็นที่ 49 .. จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 19:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ... จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 19:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 51 องุ่นพ้นธ์ Vitis Vinifera จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 19:43:55 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณอาครับ ... (แอบกระซิบ )ท่าทางนายนิโคลัส  คงไม่ได้เกิด 1869 -1931 ล่ะครับ ... ดูในเน็ต อีตานี่เริ่มทำไร่องุ่นเมื่อปี 1813  แต่อีกคนเป็นลูกหลานที่ชื่อเหมือนกัน อยู่ในสภาคองเกรสครับ แฮะ แฮะ .. มารู้ตอนจะแปะรูปครับว่าทำไมดูแล้วไม่ตรงกับหนังสือพิมพ์เก่าครับ จากคุณ : sofatboy - [ 31 ม.ค. 49 20:06:22 ]

ความคิดเห็นที่ 53 *___* (bookmark) จากคุณ : horseshoes - [ 31 ม.ค. 49 20:51:49 ]

ความคิดเห็นที่ 54 จริงๆแล้ว มูตองรุ่นถูกไม่ได้มีแค่รุ่น Baron Phillippe de Rothschild เท่านั้นยังมีรุ่นถูกสุดคือ Mouton Cardet ซึ่งเขาก็พยายามเข้าถึงนักดื่มทุกกลุ่มโดยแบ่งตามกำลังทรัพย์นั่นแหละครับ ลองดูเพนโฟล์ไวน์ออสเตรเลียดูก็ได้ครับ ใครมีตังค์เท่าไรเขาก็มีรุ่นที่เหมาะสมขายได้หมดนั่นแหละครับ เช่น 300-400 เหรียญ ก็ Penfolds Grange 150 เหรียญ ก็ Bin 707 กับ RWT 100 เหรียญ ก็ Magill Estate 70 เหรียญ ก็ St Henri 30-40 เหรียญ ก็ Bin389 กับ 407 เมืองไทยคงจะคุ้นกันดีนะครับ ถูกลงไปอีกก็ Bin ที่เลขร้อยกว่าๆแล้วก็ thomas hyland กับ rawson retreat ส่วน พวก Bin 2 ที่เมืองไทยชอบใช้เลี้ยงวันแต่งงาน แบบว่าขอให้เป็นเพนโฟลด์ก็พอนั้น ที่ออสเตรเลียนี่แทบจะไม่เห็นขายเลยนะครับ จากคุณ : d19 (D19) - [ 31 ม.ค. 49 21:46:46 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โห!!! คุณsofatboy จอมขมังรูปมาแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ ทีนี้เราก็จะได้ทั้งอ่านเรื่องจากป้า และดูรูปจากคุณsofatboyแล้ว ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆดีใจจริงๆค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะทั้งป้าวิและคุณsofatboyค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 31 ม.ค. 49 21:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สวัสดีค่ะป้าวิ จะมาบอกว่าเพิ่งไปอ่านเรื่องเชลยจบ เกิดอยากอ่านแบบเต็มๆ เลยไป search ใน google หาคำว่า Edith Hahn เลยเจอหนังสือ The Nazi Officer's Wife เข้า ไปซื้อมาแล้วค่ะ อ่านไปได้หลายตอนแล้ว ถึงทราบว่าป้าวิเล่นแปลมาให้ทั้งเล่มเลย โอ้โห ลงทุนลงแรงมากค่ะ ต้องตามมากระทู้นี้มาขอบคุณค่ะ ที่แปลเป็นไทยนี่ขายให้สำนักพิมพ์ในเมืองไทยได้เลยนะคะเนี่ย จะได้มีคนอ่านอีกเยอะเลย ไม่เสียแรงแปล ขอบคุณมากค่ะ ส่วนเรื่องไวน์ ขอแบบมหากาพย์เลยค่ะ นานไม่ว่า จะตามอ่านมันข้ามปีเหมือนเรื่องเชลยเลยค่ะ : ) ขอบคุณค่ะ จากคุณ : มิมิมิมิมิ - [ 1 ก.พ. 49 00:43:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ค่ะ..คุณ มิมิมิมิ ส่วนใหญ่ถ้าอ่านเรื่องไหนชอบเกี่ยวกับนาซี ก็จะแปลมาให้ และขยายในส่วนที่คนเขียนเขาทิ้งไว้ความที่คนอื่นๆน่าจะเข้าใจกันตามสถานะการณ์ แต่.. คนในส่วนอื่นของโลกๆอาจจะไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้อยู่ร่วมในบรรยากาศนั้นๆ เป็นการลงแรงจริงๆค่ะ แต่เมื่อเทียบกับหนังสือสองสามเล่มที่นำมาแปลในเรื่องของ ฮิตเล่อร์ แล้ว..นับว่าไม่เท่าไหร่ เพราะ ฮิตเล่อร์นั่น รวมแล้ว พันกว่าหน้าค่ะ.. ความจริงสำหรับเรื่องเชลยยาวมาสิบตอน เพราะแปลเรื่องอื่นๆมาผสมด้วย ให้มองเห็นถึงเชลย จากหลายประเทศ หลายเวที มีส่วนของชาย และ หญิง.. เรื่องแบบนี้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมอ่านละมังคะ เพราะมันเครียด และ หดหู่ไป คนไทยชอบอะไรที่มีสีสัน อ่านแล้วเป็นความสุข นอกจากจะถูกก๊อป เอาไปพิมพ์ ละก้อไม่แน่.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 02:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณหลาน sofatboy มากค่ะ เมื่อคืนนั่งพิมพ์ตอนตีสี่ เบลอไปหน่อย ไปแก้ให้แล้วว่า เป็น 1782-1863 และนิโคลัส ซีเนียร์นั้น ยังเล่าไม่จบ..ประวัติทางการเมืองของเขาที่จะนำมากล่าวที(แต่อีกคนหนึ่ง คนหลังนั่นก็สวยหรู เป็นถึงลูกเขยประธานาธิบดีด้วยนะ..) จะขอเล่าถึงในฐานะของการที่เขาเป็นไพโอเนียร์ในเรื่องไวน์ก่อน แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 12:32:37 จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 02:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 59 มาทักทายคุณ d19 ค่ะ และขอขยายข้อความใน คคห.ที่54 ด้วย คืองี้ค่ะ Mouton Cadet  (มูตอง คาเดต์)นั้น เป็นไวน์ที่เกิดขึ้นมาด้วยสถานะความจำเป็นของเศรษฐกิจ ของชาวไวน์ฝรั่งเศสเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  เคยเล่าไว้แล้วในเรื่อง ไวน์ ไวน์ ที่บ้านเมืองต้องสูญเสียสภาพพื้นที่การเกษตร เนื่องจาก ต้องใช้เวลานานกว่าจะเก็บเศษวัตถุระเบิดให้ออกไปจากพื้นที่ได้ และ ครอบครัวของรอธส์ไชลด์ที่นาซีถือว่าเป็นชาวยิวนั้นต้องพบกับชะตากรรม ถูกส่งออกไปค่ายนรกบ้าง หนีออกไปนอกประเทศบ้าง แม้แต่ ภริยาของท่านบารอน ฟีลิป เดอ รอธส์ไชลด์ที่นึกว่าจะรอด เพราะเป็นชาวฝรั่งเศสแท้ๆ ไม่ใช่ยิว จึงไม่คิดที่จะหนีไปไหน ในเมื่อฝรั่งเศสได้ขึ้นตรงกับนาซีเป็นอย่างดี ปรากฏว่า ก่อนที่บ้านเมืองจะ liberate เพียงไม่กี่วัน.. ทหารนาซีเข้าไปฆ่าเธอต่อหน้าลูกสาวที่ ปัจจุบัน คือ บารอนเนส ฟีลีปปิน ถึงในแฟลตที่พักกลางกรุงปารีส.. ดังนั้น การที่จะช่วยกระเตื้องเศรษฐกิจฟื้นฟูประเทศในการส่งออกไวน์นั้น รอธส์ไชลด์จึงจำเป็นต้องออกไวน์ราคาถูกส่งออกไปขายทั่วโลก คือ มูตอง คาเดต์ ตัวนี้   ที่จัดทำขึ้นมาเหมือนกับรายการ"ยำไวน์" คือ ซื้อองุ่นจาก กสิกรทุกพื้นที่ในบอร์คโดซ์ เข้ามารวมกัน เพื่อช่วยสร้างเม็ดเงินให้ทุกคนอยู่รอด โดยที่รอธส์ไชลด์ ยอมใช้ชื่อเสียงของตัวเองให้มาปรากฏอยู่ที่ฉลากเพื่อเป็นการสร้างเครดิตในการขาย เพราะไม่งั้นแล้ว..ไปไม่รอดค่ะ ชาวกสิกรไวน์ของฝรั่งเศส ไม่เคยรวมตัวเพื่อทำการส่งออก ในอดีต ..แค่ขายในฝรั่งเศสและยุโรปให้กับเจ้าประจำ ก็ขายไม่ทันแล้ว แต่พอมีสงคราม ทุกอย่างเปลี๋ยนไป.. มีต่อ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 08:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อผ่านมาจนถึงบัดนี้ ไวน์ มูตอง คาเดต์ คือ สัญญลักษณ์  ของไวน์ฝรั่งเศสที่พอกินได้ ราคาถูก ไม่มีแคแรคเตอร์ที่ชัดเจน และขอย้ำว่า คุณภาพก็สมราคานั่นแหละค่ะ ดังนั้น..เมื่อในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มมาสนใจไวน์ขึ้นมาก พอเข้าใจถึงพันธ์องุ่น และ การหมัก (ที่จะอธิบายในตอนต่อๆไป) อีกทั้งพื้นที่ หรือที่เรียกว่า แทร์ฮวาร์ นั้น ไวน์ มูตอง คาเดต์ นั้น ด้อยค่าไปถนัดใจ.. เดี๋ยวนี้ ในท้องตลาดแคลิฟอร์เนียแทบไม่มีตั้งวางขายให้เห็นเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้ง..ชั้นวางขายไวน์นำเข้าตามห้างร้าน ไวน์ฝรั่งเศสบางตาไปอย่างเห็นได้ชัด ที่เข้ามายืนแทรกเบียด คือ ไวน์ ออสเตรเลีย, อิตาลี,ชิลี, สเปน เลยทำให้ รอธส์ไชลด์ต้องแอบไปเปลี่ยนฉลากปิดขวดใหม่ เอาหัวแพะขึ้นมาให้เห็นเป็นสำคัญ หากแต่ราคายัง โคตะระถูกเหมือนเดิม.. มีต่อ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 09:13:29 จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 08:35:20 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ส่งซ้ำค่ะ..เลยต้องลบออก.. แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 09:09:29 จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 09:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แต่ตอนนี้ รอธส์ไชลด์กำลังเรียกชื่อเสียงคืนจากตลาดกลางและตลาดล่าง โดยการออกไวน์ที่มีแคแรคเตอร์ อย่างชัดเจน ในราคาที่เรียกว่า affordable และเพื่อสนองนโยบายชาวอเมริกัน ตามที่ท่านเจฟเฟอร์สันว่าไว้..ดังที่ว่า "Good wine ..is a daily neccessity" ในนามของ Baron Phillippe de Rothschild ที่มีการเขียนกำกับชัดเจนว่า..เป็นองุ่นจากที่ไหน Pauillac  หรือ Medoc อีกทั้งพยายามผลักดัน Saint-EMilion ออกมาให้ทุกคนได้รู้จัก และได้ลิ้มรสด้วย ทั้งๆที่มณฑล ซัง-เตมีญอง มีขนาดเล็กแค่เก้าหมู่บ้านเอง ในลอตแรกที่ออกมานี้ ทำขนาด 375 ml ด้วยค่ะ (ดังในภาพ) และ ในไวน์ชุดนี้ มองเห็นได้ชัดว่า..ที่ฉลากมีการเขียนชื่อ Rothschild ให้เห็นเด่นชัดถึงสามแห่ง หัวฉลาก.. Baron Phillippe de Rothschild ใต้ชื่อชนิดของไวน์ ก้กำบอีกว่า Baron Phillippe เป็นลายเส้น.. ปลายฉลาก ก็เขียนอีกเต็มยศ.. Baron Phillippe de Rothschild อีกทั้งขั้นตอนอธิบายที่มาที่ไปของสรรพคุณชัดเจนมาก.. ไม่เหมือนกับ มูตอง คาเดต์ ที่เขียนสั้นๆ และว่า.. ...the wine united several fine appellations of the Bordeaux region, expressing all its richness and diversity in an elegant bouquet of flowours.... ( หมายเหตุ ในฉลากสะกดไว้แบบนั้นจริง..flowours เข้าใจว่า เป็นการลอกการเขียนของ บารอนเนส ลงมา เพราะเธอลงชื่อเธอกำกับไว้ข้างล่าง จึงไม่มีการที่จะต้องแก้ คนอ่านต้องเข้าใจกันเอาเองว่า หมายถึง flowers ) นี่หมายถึงสงครามของการแย่งตลาดกลางของไวน์ กำลังจะเริ่มต้นแล้ว..เราผู้บริโภค..กำไรค่ะ.. แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 09:16:29 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 49 09:11:19 จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 09:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 63 อ่านไป จิบไป... เพลินดีค่ะ จากคุณ : PatPDX - [ 1 ก.พ. 49 09:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ตามมาอ่านต่อครับ อย่างว่าแหละครับต้องจิบไปด้วยถึงจะได้อารมณ์ เมื่อคืนอ่านเรื่อง ไวน์ ไวน์ของคุณวิเจ็ดตอนรวดเลยครับ จากคุณ : d19 (D19) - [ 1 ก.พ. 49 10:22:33 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แต่ในสมัยนั้น ไวน์ยังไม่ได้เป้นที่นิยมอย่างแพร่หลายในโลกใหม่อย่างอเมริกา เพราะผู้คนยังยึดติดกับเหล้าดีกรีแรงๆ เช่น วิสกี้  หรือ เหล้ารัม ถ้าจะต้องให้กระเดือกไวน์กันจริงๆแล้ว ก็ต้องเป็นไวน์ผสมบรั่นดี และเหล่าบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ ก็คือ เกษตรกร ที่ทำมาหากินกันในไร่ ดังนั้น อเมริกาได้ประสบกับปัญหาของการ"ติดเหล้า"ของผู้คนส่วนใหญ่ที่ใครๆก็ต่างพากันไม่รู้ตัว เพราะดื่มแล้วสบาย หายเหนื่อย มันจึงเข้าข่ายของยากลางบ้าน..ที่ใช้กันอย่างไม่มีขีดจำกัด เด็กเล็กร้องโยเย แม่ก็เอาน้ำอุ่นผสมเชอรี่บรั่นดี หรือ แอปเปิ้ลบรั่นดี ยัดใส่ปาก เดี๋ยวเดียวก็หลับปุ๋ย โรคภัยใข้เจ็บไม่มีมาเบียดเบียน อีกทั้งส่วนรื่นเริง หรือมโหรสพก็ไม่มีให้บันเทิงใจ  ส่วนใหญ่ที่ทำได้ก็คือ จับวงเล่นแบนโจ กินเหล้า เฮฮา.. เหล้ายาไม่ต้องไปหาที่ไหน ต้มกลั่นกันเอง จาก ข้าวโพดบ้าง บาร์ลี่บ้าง.. แล้วแต่ว่าใครอพยพมาจากไหนก็เอาวิชาที่ติดตัวมาผสม มาหมักมาต้มกันเอง.. ทุกอย่างสามารถทำเป็นเหล้าได้ทั้งนั้น..แม้กระทั่ง ผลไม้อย่าง พีช หรือ แพร์ นี่คือส่วนหนึ่ง ที่นิโคลัส อยากจะให้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงในด้านดี  เพราะเขาคือคนที่มีความรู้ เป็นถึงทนายความ ร่ำรวยมาจากการซื้อขายที่ดิน และ เขาต้องการสร้างชุมชนเกษตรกรองุ่น ที่อยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพืชพันธ์ที่มีอยู่ในท้องที่..นั่นคือ องุ่นพันธ์ คาตาว์บา (Catawba) ซึ่งสามารถทำไวน์ออกมาได้พอใช้ แต่ขายไม่ออก เพราะผู้คนไม่สนใจในเครื่องดื่มแอลกอฮอลต่ำ เขาก็ไม่ลดละ พยายามหาวิธีใหม่ๆ โดยการทำไวน์ขาวอมชมพู(ที่ทำจากองุ่นแดง แต่ว่า เทกากทิ้งก่อนที่จะเข้าหมัก) หรือที่สมัยนี้เรียกว่า White Zinfandel  ปรากฏว่า  เริ่มเป็นที่สนใจของชาวเยอรมันอพยพ เพราะมันมีรสชาติใกล้เคียงกับไวน์ของเยอรมัน ต่อมาไวน์ชนิดนี้จึงเริ่มมีการค้าขายได้ ทำกำรี้กำไรให้ได้เรื่อยๆ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 12:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 66 นิโคลัสมิได้หาหยุดยั้งไม่ เขาเริ่มขยายไร่ออกไปเรื่อยๆ เปลี่ยนลองทดลองพันธ์องุ่นใหม่ๆ อย่างพันธ์ Isabella เผื่อจะแจ๊กพ็อต ในช่วงของปี 1830's ด้วยความมุ่งมั่นว่า อีกหน่อย ชาวแยงกี้ทั้งหลายคงต้องเลิกดื่มเหล้ากันแบบหัวราน้ำ และหันมาดื่มไวน์แทน.. แต่พอตกปี 1842 เขาได้พบกัยอุบัติเหตชนิดหนึ่งโดยบังเอิญ....กล่าวคือ ไวน์ที่กำลังหมักอยู่นั้น เกิดเผลอเรอไปอย่างไรไม่ทราบ  ทำให้มีฟองซ่า.รสชาติดีและ ไม่เหม็นสาบเหมือนอย่างที่เคยเป็น นั่นคือการเกิดของไวน์ซ่า หรือที่เรียกว่า Sparkling wine (แชมเปญก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่นั่นคือการหมักอย่างจงใจ ขั้นตอนเป็นระเบียบซับซ้อน) แค่ นิโคลัส..ไม่มีความรู้ในเรื่องไวน์ซ่าแต่อย่างใด.. ดังนั้น ด้วยอำนาจเงินที่มีอยู่ เขาสามารถสั่ง มือโปร จากแคว้นแชมเปญ ฝรั่งเศส เข้ามาสอนอย่างทันใจ.. ไวน์เมคเกอร์ของฝรั่งเศสนั้น ก็เริ่มกรรมวิธีสอนการทำแชมเปญ ในวิธีที่ยากยิ่ง คือ methode champenois  ที่ต้องใช้เวลานานและค่าใช้จ่ายสูงลิบ กล่าวคือ วิธีของเมธอด ชอมปะนัวส์ นั้น..คือการที่ปล่อยให้น้ำองุ่นหมักบรรจุลงขวด เติมน้ำตาลและ ยีสต์ลงไปแล้ว ปิดจุกแบบธรรมดา ปล่อยให้เกิดการหมักในขวดอีกครั้ง  ทิ้งไว้หนึ่งถึงสามปี การหมักในขวดครั้งนี้เมื่อถึงเวลา ยีสต์และกากในน้ำองุ่นจะต้องถูกปลดปล่อยออกไป ดังนั้น กรรมวิธีจึงต้องนำขวดไปเรียงบนชั้นที่มีลักษณะเป็นรูปตัว A ในลักษณะหัวขวดทะแยงสู่ดิน (ตรงนี้เราเรียกว่า riddling ) เพื่อเศษกากที่ว่านั้นจะได้ไหลมารวมอยู่ที่จุก หรือที่คอขวด และไม่ใช่ว่าขึ้นหิ้งขึ้นชั้นแล้วจะจบ มิได้ค่ะ ..คนงานจะต้องคอยหมุนขวดเพื่อให้มีการไหลเวียนกระตุ้นชีวิตซ่า..ของแชมเปญให้ทั่วถึง.. ตอนที่จะปล่อยกากออก เราเรียกว่า  disgorgement  คือ จะแช่เย็นในช่วงของคอขวดตรงนั้นให้เป็นน้ำแข็ง และทำการเปิดจุกออก ฟองอากาศจากก้นขวดจะดันส่วนกากพุ่งออกมา ไวน์เมคเกอร์จะทำการเติมแชมเปญลงไปให้เต็มตามอัตราแล้วจึงทำการปิดจุกด้วยไม้ก๊อกที่รัดด้วยลวด (ที่เห็นมันพองๆน่ะ  มันมาพองเองที่หลัง) นี่คือ methode champenois ที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้านฝรั่งเศสแท้ๆ แต่ตามตำนานเขาว่า  คนที่ค้นพบคือ บาดหลวง  Dom Perignon  ที่  Moet Chandon นำมาใช้เป็นชื่อแชมเปญนั่นแหละ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 12:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เห็นคุณ d19 กะคุณ PatPDX เขามีความสุขจังนะคะ อ่านไปจิบไป  แหม.. เรื่องไวน์ออสเตรเลียเนี่ยนะคะ เขาทำเป็นมาตรฐานดีมาก สมดังกับที่เป็นตัวกลางศูนย์เอเซียในการจดลิขสิทธิต่างๆ ไวน์ของเขาจะกำหนดราคาไปตามองุ่นที่ปลูกได้ในพื้นที่เป๊ะๆ องุ่นจากทำเลถูก ก็ราคาย่อมเยา.. จากทำเลดี ก็ราคาดี..ไม่มีตุกติกในเรื่องการใช้ชื่อให้ผู้คนสับสน นับว่ายุติธรรมดี ส่วนไวน์แคลิฟอร์เนียนั้นมีทั้ง politic, tactic, tuk-tik (ตุกติก) ครบหมด ต้องตามเกมส์ให้ทัน.. ขอยกตัวอย่างว่า..ไวน์ยี่ห้อหนึ่ง ใน Napa นี่แหละ ไม่ต้องเอ่ยชื่อนะ ไปหาเอาเองได้ ว่าราคาเริ่มต้นนั้น ขวดละพันเหรียญอัฟ และ ไม่ขายให้กับลูกค้าแปลกหน้า นอกจากเจ้าประจำเท่านั้น กว่าจะซื้อได้ ต้องสั่งจองก่อนล่วงหน้าเป็นปี ขำม๊ะ.. ขำซิคะ..เพราะนี่คือ politic ชั้นแรก กล่าวคือเป็นการจับจุดกระเตื้องค่าของราคาที่ดินในละแวก  เนื่องจากเนื้อที่ตรงนั้นได้ถือว่า เป็น prime area  ของ  viniculture และเป็นการโค-สะ-นา ให้โลกรู้ว่า ไวน์นาปานั้น ตอนนี้ราคาแพงกระฉูดไปกว่า ชาโต เปตรุส หรือ โรมาเน กองติ ไม่ใช่อุจจาระ อุจจาระ แบบเมื่อก่อนแย้วววว... สอง Tactic คือ ผู้บริโภคแบบเงินหนา ตามัว นั้น ไม่มีโอกาสได้ทันคิด เห็นว่าแพงก็วิ่งหากันมาซื้อกินให้โก้ อีกทั้งยังช่วยกระพือชื่อเสียงให้อีกต่างหาก ปีนี้..ในงานเทศกาล ของ Master of Food and Wine บัตรราคาใบละหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญที่ ฉันเคยต้องไป.. ปีนี้ ไม่ไปค่ะ เพราะเขาจะนำไวน์นี้มาเปิดให้ลอง (ซึ่งปรกติทุกปีจะใช้ ไวน์ชั้นกร็องครูหมด) เลยคิดว่า ปล่อยให้พวกพี่ยุ่นไปกันเถอะ..เงินขนาดนี้ ไปซื้อ โอปัส วัน มาเก็บไว้ได้หลายขวด เพราะคุณภาพเท่ากัน หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ.. เพราะเรารู้ทันกันค่ะ..ไร่ไวน์นี้ มีเนื้อที่น้อยนิดเดียว เลียนแบบ โรมาเน กองติ...มาเป๊ะๆ กล่าวคือ ผลผลิตน้อย ราคาก็ต้องแพงขึ้นมาตามตัว.. เจ้าของคือเศรษฐีที่ดิน ที่ไม่ต้องการเงิน นอกจากชื่อเสียงแบบรวบรัด เร็วทันใจ องุ่นปลูกเอง ทำไวน์เอง ไวน์ของเขาก็ดี ไวน์เมคเกอร์ก็มีชื่อเสียง..เพียงแต่แค่ระดับ Stag's Leap หรือ Dominus (ด้วยเอ้า..) ทีนี้กฏหมายของแคลิฟอร์เนีย เขาว่า..ราคาไวน์นั้น ต้องกำหนดด้วยราคาขององุ่นที่ซื้อ.. เชื่อไหมคะ..ว่า เขาตั้งราคาองุ่นในไร่ของเขาที่เอามาทำไวน์นั้น คือ ตันละ $ 4,000.00 (อันนี้คือ ความลับของวงใน) อยากรู้ว่าไวน์ชื่ออะไร ลองไปหาข้อเขียนเก่าๆของฉันอ่านดูละกัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 13:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เหมือนกับคุณอาเปิดสอน course ไวน์ เลยครับ ชอบมากครับ ภาพการทำ แชมเปญ ( มาจาก gloria ferrer ) จากคุณ : sofatboy - [ 1 ก.พ. 49 15:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 69 Baron Phillippe de Rothschild  &   Baronesse Philippine de Rothschild จากคุณ : sofatboy - [ 1 ก.พ. 49 15:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พอถึงปี 1850's  นิโคลัสได้ขายไวน์ได้ถึง 100,000 ขวด มีการโฆษณากันเอิกเกริก มีคำชมเชยจากเหล่าผู้มีชื่อเสียงต่างถึงแชมเปญ"อุบัติเหต"ในครั้งนี้.. ดังนั้น ภายในปี 1859 ไร่องุ่นของเขาขยายออกไปอีกถึง 2000 เอเคอร์ ซึ่งผลิตไวน์ได้ถึง 600,000 แกลลอน ที่ทำมาจากองุ่นพันธ์ คาตาว์บา (ชื่อนี้เป็นภาษาอินเดียนแดงนะคะ) แต่แชมเปญที่ว่านั่น ลดการผลิตลงเนื่องจากต้นทุนสูงเกินเหตุ เขาได้รับการสดุดีจากวงการค้าของ Cincinatti ให้เป็น ผู้บุกเบิก ให้กำเนิดก่อตั้งธุรกิจไวน์ของอเมริกาเป็นคนแรก แต่หนทางของเขาเริ่มตีบตัน..เพราะกระแสการเมืองอเมริกาได้เปลี่ยนทิศทางไป เนื่องจาก ผู้คนเริ่มหันมาต่อต้านแอลกอฮอล ไม่ว่า บริโภคหรือธุรกิจ กระแสของการต่อต้านนั้นได้เริ่มคุกรุ่นมาตั้งแต่ ปี 1840s จนถึง 1850's ในปี 1851  รัฐ Maine ได้ผ่านกฏหมายงดค้า งดดื่ม สุราแบบเด็ดขาด และในสี่ปีต่อมา อีกสิบสองรัฐได้ตามหลังมาติดๆ ส่วนในรัฐ Ohio ยังอยู่ในระหว่างถกเถียงตลอดทั้งปี 1853 ซึ่งนิโคลัสได้พยายามป้องกันธุรกิจสุดฤทธิ์ ตอนนี้จะมีช่องว่างชะลอทิ้งไปอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะ สงคราม Civil War กำลังกรุ่นขึ้นมา.. นิโคลัสจึงค่อยหายใจโล่งไปหน่อย..แต่.. โชคร้ายก็มาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ปี 1860 ไร่องุ่นของเขาที่กว้างใหญ่ไพศาลของเขา องุ่น คาตาว์บา..เกิดมีอาการระบาดของเชื้อราจุดดำอย่างไม่มีสาเหตุโดยทั่วถึงกัน ต่อมา..ทั้งหมดก็แห้งเฉาไปกันหมด นิโคลัสได้ถึงแก่กรรมในปี 1863  นั่นหมายถึงการดับสิ้นของไร่องุ่นที่เขาสร้างมากับมือด้วย เนื่องจาก สงครามได้ระเบิดขึ้นมา ผู้คนหมดความสนใจในเรื่องการเกษตร..อีกทั้งปัญหาทางด้านแรงงาน สุดท้าย..ปี 1870  โรงผลิตไวน์ของเขาได้ถูกขายไปให้กับบริษัทผลิตเบียร์ จากคุณ : WIWANDA - [ 1 ก.พ. 49 16:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 71 รายงานตัวค่ะ ข้างบนเค้าอ่านไปจิบไวน์ไปอย่างมีฟามสุก อิฉันแพ้แอลกอฮอล์(ทุกชนิดรวมถึงน้ำหอม) ก็เลยนั่งเด็ดองุ่น (ลาจากที่ไหว้เจ้าไว้) ใส่ปากไปพรางๆ แต่องุ่นพันธุ์ไหน ตระกูลใด ไม่ทราบที่มาค่ะ หวานดี แต่เสียอย่างเดียว เม็ดเท่าปลายก้อย ครั้นจะจับทั้งพวงใส่ปากรูดเม็ดออก ก็กลัวกิ่งก้านจะบาดปากซ้า เลยต้องนั่งปริทีละเม็ด  ^ ^ ชอบรูปของคุณ Sofaboy มาก (เรื่องของคุณป้าวิฯ ไม่ต้องพูดถึงนะ เกินบรรยายค่ะ) จากคุณ : จันทร์กลางหาว - [ 1 ก.พ. 49 19:02:14 ]

ความคิดเห็นที่ 72 สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณ wiwanda ที่เขียนเรื่องดี ๆ ให้อ่าน แล้วก็คุณ sofaboy ที่จัดรูปประกอบด้วยค่ะ ^_^ จากคุณ : bimbo girl - [ 1 ก.พ. 49 22:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 73 แหม ผม refresh กระทู้นี้ทุกชั่วโมงเลยนะครับเนี้ยะ จากคุณ : กริชครับผม - [ 2 ก.พ. 49 01:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ตอกบัตรค่ะป้า วันนี้หนูมาช้าไปหน่อยค่ะ ยังตามอ่านอยู่นะคะ ไม่รู้จะช่วยป้ายังงัย ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 2 ก.พ. 49 11:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 75 วันนี้..ลูกชายมาจากเมืองไทยค่ะ ไปผ่าตัดหัวเข่ามา เรียบร้อยดี เดินเหินสะดวก หมอไทยของเรานี่เก่งจริงๆ ต้องขอชมเชย.. ใครเป็นอะไร พอนั่งเครื่องบินได้ก็ไปรักษาบ้านเราเถอะค่ะ แต่แหม..คิดแล้วก็เจ็บใจนะ ไอ้เรารึ..อยากได้โน่นได้นี่ แต่เกรงใจ เห็นว่ายังเป็นผู้ป่วย..ไม่อยากให้ต้องหอบ ต้องแบกอะไรมามากมาย..กลับมาตัวเปล่าๆนั่นแหละ แต่ที่ไหนได้..ดันเดินปร๋อ แถมยังไปเที่ยวมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำซะอีก.. รู้งี้..!!! คุยถึงเรื่อง แชมเปญ แล้ว ต้องขอเล่าต่อสักนิด ในเรื่อง "ชื่อนั้น..สำคัญไฉน" ก็เห็นๆอยู่ว่า คำว่า..methode champenois  นั้นแปลตรงๆให้หรู ก็ว่า ทฤษฏี(ทำ) ของชาวแชมเปญ ชื่อไวน์ซ่านั้น จึงชื่อว่า  Champagne ที่ทำมาจากองุ่นที่ปลูกในมณฑลแชมเปญ ที่นำมาใช้อยู่หลายชนิดด้วยกัน แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน ที่มีออกมาสามรส คือ Demi-sec  หมายถึง ฝาดอ่อนๆ (อมหวานนิดๆ) Sec   หมายถึง ฝาดกว่าฝาดธรรมดา Brut  หมายถึง  ฝาดสุดๆ การใช้องุ่นนั้นก็หลากหลาย..ใช้องุ่นแดงอย่าง.. pinot meunier, and pinot noir ผสมกับองุ่นขาว chardonnay ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่การทำนั้น เขารีดน้ำองุ่นออกและทิ้งกากทันที น้ำองุ่นออกมาจึงเป็นสีขาว เพราะไม่ได้ทันสัมผัสกับเปลือก แต่ถ้าเห็นแชมเปญสีชมพู นั้นหมายถึง เขาจงใจ เค้นสีจากเปลือกลงมาเติมแต่ง เรียกว่า Champagne Rose หรือ Pink Champagne อันเป็นที่รู้กันว่า รสชาติจอออกมาในแนว หวาน หอม.. และถ้าของดีมีราคาขึ้นมาแพงกว่าคนอื่น..ที่ขวดจะเขียนกำกับไว้ว่า Blanc de Blanc (บลอง เดอ บลอง หมายถึง ขาว จาก ขาว) นั้น หมายถึง เป็นแชมเปญขาวที่ทำมาจากองุ่นขาวล้วนๆ ( คือ องุ่น ชาดอนเนย์ 100 %) ทีนี้ถึงเรื่องชื่อ..ฝรั่งเศสเท่านั้น ที่มีสิทธิใช้คำว่า แชมเปญ กับไวน์ซ่าผลผลิตโอท็อปของมณฑลแชมเปญของเขาเท่านั้น  คนอื่นอย่างมาเจ๋อใช้.. อย่างที่ครั้งหนึ่ง สมัยหลายสิบปีก่อน ที่อเมริกายังเตาะแตะในเรื่องการทำไวน์ ใครต่อใครต่างใช้คำว่า  Champagne แปะป้ายที่ขวดหรากับไวน์ซ่าของตัวกันใหญ่ โดยไม่ได้รับรู้อะไรสักนิด ...ว่า ชาวแชมเปญนั้นเขาเดือดดาลกันเท่าใด.. มีต่อ.. แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 06:07:52 จากคุณ : WIWANDA - [ 2 ก.พ. 49 14:12:15 ]

ความคิดเห็นที่ 76 จนในที่สุด รัฐบาลฝรั่งเศสทนไม่ไหว จึงต้องมาสอนมวยให้ว่า..ของแบบนี้ เขาเคารพกันโดยวัฒนธรรม ที่ใครต่อใครก็สามารถทำไวน์ซ่าได้ แต่ต้องไปหาชื่อมาใช้กันเอง จะมาเที่ยวลอกเลียนแบบนี้ ไม่อายเขาหรืออย่างไร ประเทศตัวเองก็ออกใหญ่โต..ไปดูอย่าง อิตาลีซิ..เขาเรียกว่า Asti (อัสติ) หรือ ไปดูที่เยอรมันซิ เขาเรียกว่า..Sekt (เซคท์) แล้วตัวเองล่ะ เป็นไง สมองกลวงหรือไง ถึงคิดหาตั้งชื่อเองไม่ได้.. ได้ฟังเท่านั้น..เหล่านักบุกเบิกไวน์มือใหม่ของอเมริกาทั้งหลาย รีบนั่งประชุมจนหัวแทบจะชนกัน.. อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี..และมาลงตัวที่.. Sparkling wine  อันนี้ก็ไม่ได้คิดเองนะ เอามาจากการเรียกไวน์ซ่าของฝรั่งเศสที่ผลิตในแคว้นอื่นๆ (เพราะใช้คำว่าแชมเปญไม่ได้) และนั่นคือที่มาของการเปลี่ยนระบบเรียกชื่อไวน์ของอเมริกาทั้งหมด ที่ใช้พันธ์ขององุ่นเป็นเครื่องหมายทางการค้า ที่ผิดไปจากฝรั่งเศส ที่ใช้ชื่อของเขตแคว้นของการทำไวน์อันเป็นสำคัญ   ตัวอย่างคือ ถ้าอเมริกา เขียนว่า..Merlot  นั่นหมายถึง ไวน์ในขวด คือ เมอร์โลต์ 75 % ต่อมาค่อยมาดูเขตกำกับข้างล่างลงมา ว่า..มาจากไหน  Napa หรือ Sonoma หรือ Monterey ส่วน ไวน์ฝรั่งเศส ก็ บอกมาเลย โต้งๆว่า.. Bordeaux  นั่นหมายถึง ถิ่นฐานที่ผลิต คือ ในบอร์คโดซ์ ที่มีการปลูกองุ่น  Cab/ Sau , Merlot , Cab/Franc เป็นสำคัญ ยังไงก็ไม่มีองุ่นจาก Rhone หรือ Pok-Dum มาเจือให้เสียสง่าราศี หรือ พวกที่มักจะดูว่ามาจากไร่ไหน ดังหรือไม่ดังก่อน นั้น จะเป็นคนอยู่สองประเภท..ถ้าไม่ใช่พวกไวน์เกจิ ก็..พวกไวน์กาแดะ..!!! แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 49 14:47:31 จากคุณ : WIWANDA - [ 2 ก.พ. 49 14:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 77 พี่วิวันดาขา  ทำไมไม่ยอมหลับยอมนอนคะ  เวลาบ่ายสองของหนู มิใช่ ตีสองของพี่เหรอคะ  หรือนอนตื่นแล้ว..  ถ้าป็นเช่นนั้น  ก็คงเป็นสัญญานเตือนให้รู้ว่าเริ่มเข้าสู่วัย "นอนน้อย"แล้วนะคะ อิ อิ อิ ไวน์ซ่า  หรือ Chanpagne  ที่พี่เขียนในโพสต์ข้างบนนี้  หมายความว่า  ถ้าเอ่ยถึง Champagne  ก็คือไวน์ซ่าของฝรั่งเศสใช่ไหมค่ะ   และถ้ามีใครพูดถึง Sparkling wine  ก็คือไวน์ที่มาจากอเมริกาใช่ไหมคะ และถ้าเป็นของอิตาลี หรือเยอรมัน  ก็คงเรียกชื่อเหมือนที่พี่วิบอกไว้นะคะ แต่จากที่เคยเห็นเวลาใครฉลองความสำเร็จ เขามักจะพูดว่า เปิดแชมเปญฉลองกันหน่อย  ไม่เห็นเคยได้ยินว่า  เปิด Sparkling wine ฉลองเลยนะคะ  จริงๆแล้ว  มันคือแบบเดียวกันใช่ไหมค่ะ เวลาดู ทีวี เมื่อทีม แมนยูเค้าได้แชมป์  ก็จะมีการเขย่าไอ้เจ้าขวดเขียวๆนี่แหละค่ะ   สักพักเดียว ก็มีเสียงดังป๊อก  แล้วเจ้าน้ำสีขาวๆก็พุ่งออกไปไกลเป็นกิโล   กว่าจะไหลลงแก้วให้ดื่มฉลองกันได้  มิหมดขวดพอดีเหรอคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 2 ก.พ. 49 17:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คือแชมเปญมันแพงกว่า sparkling นะครับ เลยมักจะใช้ฉลองในโอกาสพิเศษนะครับ ทีนี้ถ้าบอกว่าเปิดสปาร์คกลิ้งฉลองมันก็ดูไม่หรูนะครับ เป็นคำเรียกติดปากเหมือนมาม่า แทนที่จะเรียก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนถ้าจะเรียกแชมเปญได้นั้นต้องมาจากแคว้นแชมเปญหรือบางคนก็อ่านว่าชองปาญของฝรั่งเศสเท่านั้นครับ แคว้นอื่นไม่มีสิทธิ์ ตอนนี้ถ้าจำไม่ผิด แชมเปญเฮาส์ส่วนใหญ่ถูกซื้อโดยบริษัทที่ผลิตหลุยวิตองส์ ชื่อย่อว่า LVMH LV ก็รู้ๆอยู่ ว่าคือหลุยส์วิตอง M คือ Moet ชื่อแชมเปญที่คนไทยรู้จักดี H คือ Hennessy เหล้านั่นแหละครับ อยากรู้ว่าขายของมึนเมายี่ห้อไหนบ้างก็อปมาให้ดูแล้วกัน มีทั้งฝรั่งเศส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ Vins & Spiritueux www.moet.com www.veuve-clicquot.com www.clicquotinc.com www.krug.com www.champagnemercier.fr www.glenmorangie.com www.ruinart.com www.chateau-yquem.fr www.chandon.com www.terrazasdelosandes.com www.cloudybay.co.nz www.capementelle.com.au www.hennessy.com www.hennessy-finedecognac.com www.purewhite.com www.mountadam.com www.jwswines.co.jp www.wineandco.com จากคุณ : d19 (D19) - [ 2 ก.พ. 49 22:01:21 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ง่า อยากอ่านเรื่องรัสเซียมากกว่าอีกค่า หนังสือแปลไม่ซื้ออ่านหรอก หึ รออ่านป้าวิเขียนสนุกกว่าเย้ออออ เรื่องไวน์อ่านถึง คคห. 13 ละ ขอผ่านก่อนดีกว่าค่ะ แหะๆ จากคุณ : piggy colon - [ 2 ก.พ. 49 23:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณ คุณ d19 ค่ะที่ช่วยเข้ามาตอบให้ ชอบมาก จะได้ทุ่นแรงไปหน่อย...และจะได้ช่วยกันคุยขยายเรื่องไวน์ไปอีก พิมพ์คนเดียว เล่าคนเดียว..ไม่หนุกนะ บอกก่อน.. อยากเล่าให้คุณฟังค่ะ  เรื่องการรีวิวไวน์ไทย ที่มีโผล่ขึ้นไปใน http://www.finewinediary.com/diary/nov00.php ครั้งแรก และครั้งเดียว..ว่า.. Chatemp Rouge 2541 1997 (Siam Winery) My first Thai wine, and probably my first wine harvested by boat (the rows of vines are separated by water channels). For the record 70% Pok Dum (I'm not sure what this is, but I might order it as a starter), 20% Muscat de Hamburg and Lambrusco, 10% Syrah and Grenache Noir. Colour looks oddly orange. Lacks just about everything other than curiosity value.   อ่านแค่นี้..ก็สะท้านแล้วค่ะ นี่เห็นว่าไปออกบูธที่งาน vinexpo  ที่ บอร์คโดซ์ ปีที่ผ่านมานี้ด้วย ถึงอยากได้เขียนเรื่องนี้ไงคะ..ว่า  ว่าการเตรียมพ้อมในเรื่องนี้นั้น ต้องใช้เวลายาวนาน..ถ้ายังไม่แน่จริง..จะมีแต่ผลเสีย กู้ชื่อเสียงกลับคืนยาก ส่วน คุณ ใส้หมูจ๋า... สนใจหน่อยน่า  อีกหน่อยจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง หลานที่บ้านนะคะ เขาฟังเราคุยเรื่องไวน์ตั้งแต่ไหนแต่ไร จนซึมซับไปแบบไม่รู้ตัว  ได้ชิม ได้รู้เรื่อง ได้ช่วยในการ สัมผัสและจัดสั่งซื้อ พอเขากลับไปเมืองไทย  มีเจ้านายที่กำลัง"คลั่ง" ไวน์ แบบ "สะเปะสะปะ"  พอฟังหลานอธิบายให้ฟัง ตอนนี้ เลยกลายเป็นที่ปรึกษา และ เป็นเกลอ กันไปเรียบร้อย.. จริงค่ะ การอ่านให้เข้าใจนั้น เป็นเรื่องยากถ้าไม่คุ้นมาก่อน และยิ่งไม่มีทางได้สัมผัสด้วยนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อ พยายามเลือกเอาแต่ส่วนที่สนใจละกันนะคะ แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 06:05:29 จากคุณ : WIWANDA - [ 3 ก.พ. 49 00:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เห็นข้างบนพูดถึงเรื่อง แชมเปญ  เลยเอาอันดับของแชมเปญที่จัดอันดับโดยนิตยสาร forbes มาให้ดูครับ ... จัดอันดับจากความแพงนะครับ 1. Krug, Clos du Mesnil 1995  $750 ปลูกในไร่ไวน์ที่มีพื้นที่เพียง 4.5 เอเคอร์ มีแต่องุ่นขาว chardonnay  จึงอันเป็นที่รู้กันว่า Blanc de Blanc  / ขาวจากขาว ผลิตเพียง 12,624 ขวดเท่านั้น 2.Bollinger Blanc de Noirs Vieilles Vignes Francaises 1997  $400 ผลิตจากองุ่นดำ Pinot  แต่ แชมเปญมีสีเหลืองทอง มีเพียง 40 หีบที่ส่งไปขายในอเมริกา 3.Dom Perignon Rose 1995  $350   มีพรายฟองสีชมพู อบอวนไปด้วยกลิ่นของสตอเบอร์รี่และครีม ... ยกมาแค่ 3 อันเป็นตัวอย่างครับ เห็นราคาแล้วกลืนน้ำลาย แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 11:04:46 จากคุณ : sofatboy - [ 3 ก.พ. 49 11:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 82 Krug, Clos du Mesnil 1995 จากคุณ : sofatboy - [ 3 ก.พ. 49 11:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แอบขำ "..พวกไวน์กาแดะ..!!! " ของป้าวิค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 3 ก.พ. 49 11:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 84 มาช่วยต่อกระทู้ให้ยาวขึ้นครับ ก็คงช่วงแบ่งเบาภาระการตอบของคุณวิได้บ้างนะครับ ว่าแต่คุณวิจะขึ้นกระทู้ตอนที่สองเมื่อไรดีครับ Krug ที่คุณ sofatboy เอารูปมาให้น้ำลายไหลก็เป็นของกลุ่ม LVMH เหมือนกัน ช่วงนี้คุยเรื่องแชมเปญพอดีเพิ่งอ่านบทความเพิ่งลงวันนี้เกี่ยวกับแชมเปญพอดีครับ ตามไปอ่านกันเลยครับ http://www.bangkokbiznews.com/jud/taste/20060201/news.php?news=column_19787902.html ส่วนบทความนี้อยู่ในเว็บของ Jancis Robinson ที่เป็น master of wine คนนึงครับ In Thailand, the country that inspired the term New Latitude Wines, there are now no fewer than five wineries turning grapes into wine. One of the most ambitious, and one that uses exclusively Thai-grown grapes, is the Siam Winery, founded as recently as 1996 by the man who invented the energy drink Red Bull, Khun Chalerm Yoovidya. Perhaps to atone for inflicting Red Bull on the world's nervous systems, he is now trying to develop Thailand's wine culture. The grapes, Malaga Blanc for white wines and the local dark- skinned Pok Dum with Shiraz and Black Muscat, are bought from farmers in the Chao Prayha Delta, an hour south west of Bangkok, where the vineyards effectively float on the river water. Plantings have apparently increased from 8,000 to 12,000 acres of floating vines since 1996 and, while the name they have chosen for their international brand, Monsoon Valley, is not guaranteed to inspire traditional wine lovers with confidence, they are very clear in their objective of promoting the wines specifically to partner Thai food in restaurants around the world. They are also developing experimental vineyards further north on higher ground in the Tap Gwang District, near Khao Yai, which is also the name of the wine subsidiary of the brewers of Thailand's leading beer Singha. The historic Chinese wine company Changyu recently announced it is planning a joint venture winery with its Thai importers, while Chateau de Loei has been producing red and white table wines in north east Thailand for a decade now. The latitude range of all these Thai vineyards is well under 18 degrees north of the equator. ที่น่าสนใจก็คือประเด็นตรงต้นกระทู้แหละครับ เรื่องไวน์ในเมืองไทยไฉนไปเอาองุ่นนอกมาทำ ในบทความของที่อยู่ในเว็บคุณแจนซิสนี้ มี phase นี้อยู่ครับ"one that uses exclusively Thai-grown grapes" ผมว่าเดี๋ยวนี้ MW เขาคงรู้แหละว่าไวน์บ้านเราส่วนนึงใช้ condensed cab sav ในการผลิต แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 19:15:56 แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 16:47:34 จากคุณ : d19 (D19) - [ 3 ก.พ. 49 16:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ขอยกยอดไปคุยต่อที่กระทู้ใหม่นะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ก.พ. 49 14:09:15 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอแสดงความนับถืออย่างจริงใจครับ ได้อ่านแล้วสนุกมาก รู้สึกเหมือนได้ฟังเพื่อนเก่าเล่าเรื่องไวน์ให้ฟัง จากคุณ : วิโรจ ลี้ตระกูล - [ วันวาเลนไทน์ 17:21:06 A:125.24.10.95 X: ]

ความคิดเห็นที่ 87 ด่วนขายตู้แช่ไวน์(สินค้านำเข้า) ราคาโปรโมชั่น(ถูกมาก) ด่วนขายตู้แช่ไวน์ราคาพิเศษ ถูกมากๆ แทบไม่น่าเชื่อเพียง 4,900/ 5,800 บาท สินค้าใหม่ มีมาตรฐาน ISO 9001, CEและอื่นๆอีกกมากมาย กินไฟน้อยเพียงวันละ 2 บาท/24 ชั่วโมง อุณหภูมิ 10 – 18 °C สามารถแช่ไวน์ได้ 18 ขวด เหมาะที่จะเก็บไว้ในห้องทำงาน หรือห้องพักผ่อนส่วนตัว ด่วน..สินค้ามีจำนวนจำกัดเพียง 100 ตู้เท่านั้น จองก่อนได้ก่อน **พิเศษ** หากสั่งตั้งแต่ 10 ตู้ขึ้นไป จัดส่งให้พร้อมส่วนลดพิเศษมากๆราคาถูกลงอีก สนใจติดต่อ คุณเอ๋ 02 717 1367 หรือ 06 607 6991 จากคุณ : aey - [ 16 ก.พ. 49 13:51:56 A:61.91.100.228 X: ]