ความคิดเห็นที่ 1 เอ่อ มะรู้ครับ จากคุณ : natthaset - [ 30 ม.ค. 49 18:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สุวรรณบุปผา.... อิตถีลิงค์ ใช้กับผู้หญิง มั้ง จากคุณ : ฮาๆครับอย่าคิดมาก (mon-mine) - [ 30 ม.ค. 49 19:17:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รู้สึกว่าจะมาจากภาษาจีนครับไม่แน่ใจว่ากวางตุ้งหรือไหหลำ รอคนรู้ภาษาจีนมาช่วยตอบที จากคุณ : Cyber Sage - [ 30 ม.ค. 49 19:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สุวรรณมาลี.. จากคุณ : kanomping - [ 30 ม.ค. 49 20:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นางสุวรรณมาลี เป็นธิดาท่าวสิลราชเจ้าเมืองผลึก เดิมเป็นคู่หมั้นของอุศเรน โอรสเจ้าเมืองลงกา กำหนดจะอภิเษก อยู่แล้ว แต่นางสุวรรณมาลีเกิดนิมิตฝันว่ามีดวงแก้วอยู่กลางเกาะ ซึ่งนางเหาะไปหยิบเอามาได้ พอตื่นขึ้นดวงแก้ว กลับหายไป ทำให้นางคร่ำครวญหาจนล้มเจ็บ พระบิดา จึงพาออกท่องเที่ยวทะเล แต่ถูกคลื่นพัดพาเข้าฝั่ง เกาะแก้วพิศดาร ได้พบกับพระอภัยมณีและสินสมุทร เกิดความผูกพันรักใคร่ โดยเฉพาะกับสินสมุทรนางมี ความรักอย่างลึกซึ้งเหมือนอย่างลูก เมื่ออุศเรนมา ตาม สินสมุทรจึงไม่ยอมให้นางไป ทำให้เกิดเป็นชนวนสงคราม ระหว่างเมืองผลึกกับเมืองลงกาอย่าง ยืดเยื้อ รูปร่างผิวพรรณของนางสุวรรณมาลีก็เหมือนกับนางในวรรณคดีทั่วไป คือเป็นนางกษัตริย์ งดงาม มาก ดังที่ศรีสุวรรณเห็นนางครั้งแรกยังคิดในใจว่า พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์  ชำเลืองลักแลชม้ายดูสายสมร   ทั้งคมขำสำอางอย่างกินนร เสงี่ยมอันงามพร้อมไม่ผอมพี   ดูเหมือนสาวราวสักยี่สิบถ้วน ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี   แต่ลูกยาอายุได้แปดปี  นางจะมีลูกเต้าแต่เท่าไร         อุปนิสัยของนางสุวรรณมาลีเป็นคนค่อนข้างเจ้าอารมณ์และตามใจตัว นอกจากนี้ยังหึงหวง สามี เป็นอย่างยิ่ง นางละเวงถึงกับเรียกนางสุวรรณมาลีว่า มเหเสือ หรือ มเหสีขึ้หึงเหมือนหนึ่งเสือ เชื่อกันว่า อุปนิสัยของนางสุวรรณมาลีนี้สุนทรภู่จำลองมาจากแม่จัน ภรรยาของท่านเองที่ต้องเลิกกันไป เพราะความหึง อย่างไรก็ตาม หลังจากขับเคี่ยวกับนางละเวงอย่างหนัก เมื่อได้ฟังเทศน์ของพระโยคี เกาะแก้วพิสดารแล้ว นางสุวรรณมาลีกับนางละเวงก็ปรองดองกัน ไม่ขุ่นข้องหมองใจกันอีก แม้ตอนท้ายเรื่อง พระอภัยมณีไปบวช นางทั้งสองก็ติดตามไปบวชด้วยดีที่เขาสิงคุตร จากคุณ : natthaset - [ 30 ม.ค. 49 20:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ครับ.. แล้วตกลงมันเกี่ยวอะไรกับคำว่าดอกทองที่ใช้ด่าคนล่ะครับ? จากคุณ : iahtaro - [ 30 ม.ค. 49 21:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ม่ายรู้เหมือนกันครับ เหนคนข้างบนพูด คนข้างล่างเลยหามาให้อ่าน งงเหมือนกาน จากคุณ : natthaset - [ 30 ม.ค. 49 22:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จาก http://lang4fun.blogspot.com/2004_11_01_lang4fun_archive.html ภาษาไทยกลาง: ดอกทอง เกรงผู้อ่านจะเอียนกลิ่นปลาแดกซะก่อน ขอสลับด้วยภาษาไทยกลางบ้าง วันนี้ขอเสนอคำว่า "ดอกทอง" ซึ่งพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้ว่า: ดอกทอง น. หญิงใจง่ายในทางประเวณี (เป็นคำด่า). แต่คำนี้ ชวนให้สงสัย ว่าทำไมถึงกลายเป็นคำด่า ทั้งๆ ที่แต่ละคำที่มาประสมกันก็มีความหมายดี และนาง "สุวรรณมาลี" ในเรื่องพระอภัยมณี ก็ไม่ได้เป็นหญิงเช่นว่า หลังจากนึกตามประสบการณ์ทางภาษาของตัวเอง ก็สรุปว่า คำนี้น่าจะมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "หลกท่ง" ซึ่งเป็นคำด่าที่มีความหมายตามตัวอักษรที่แสบสัน แปลว่า "แดงเหมือนเหล็กเผาไฟ" ใช้กับหญิงที่มักมากในกามารมณ์ ที่ใช้คำว่า "ความหมายตามตัวอักษร" ก็เพราะว่า คนจีนแต้จิ๋วนั้น ชอบใช้คำพูดโผงผาง บางครั้ง การใช้คำด่ากับลูกหลาน ก็เป็นการแสดงความเอ็นดู เหมือนในหนังจีนจะได้ยินคำว่า "เด็กโง่" อยู่เรื่อย คำว่า "หลกท่ง" นี้ ก็อาจจะใช้ตอนที่เห็นลูกสาวหรือหลานสาวแสดงกิริยาม้าดีดกะโหลก แล้วรู้สึกมันเขี้ยว อยากอบรม ดังนั้น ลูกหลานจีนจะคุ้นกับคำด่าประเภทนี้ และคำอื่นๆ อีกมากมาย (ไว้มีโอกาสค่อยเล่าทีหลัง) โดยไม่รู้สึกว่าถูกปรามาสตามนั้นจริงแต่อย่างใด เข้าใจว่า คนไทยจะยืมคำ "หลกท่ง" นี้มาจากคนจีนแต้จิ๋ว โดยถ่ายสำเนียงกลับเพราะคิดว่าคนจีนพูดไม่ชัด น่าจะหมายถึงคำว่า "ดอกทอง" มากกว่า เลยใช้ "ดอกทอง" ด่าผู้หญิงเรื่อยมา ซึ่งก็มีทั้งด่าแบบเอ็นดูตามแบบคนจีน และด่าแบบเอาจริงเอาจัง อนึ่ง ถ้าแปลคำว่า "ดอกทอง" กลับเป็นภาษาจีนคำต่อคำว่า "กิมฮวย" (金花) ก็ไม่ได้มีความหมายเป็นคำด่า แต่หมายถึง "ดอกไม้สีทอง หรือ ดอกไม้ทองคำ" เหมือนกัน ดังนั้น คำ "ดอกทอง" นี้จึงอยู่ในเฉพาะบริบทสังคมไทย-จีนแต้จิ๋วเท่านั้นจริงๆ จากคุณ : Knight - [ 30 ม.ค. 49 22:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ดอกทองที่เป็นคำเรียกผู้หญิงสำส่อน ทำตัวเป็นดอกไม้บานฉ่ำ หรือเรียกง่ายๆ ว่าชอบเปลี่ยนคู่นอน ถ้ามือสมัครเล่นเรียกว่าคุณดอก (เฉยๆ) ถ้าเปลี่ยนบ่อยจนดังทั้งซอยหรือผู้ชายแย่งกันเชยชมก็เรียกว่า Golden Flower ส่วนชื่อนางสุวรรณมาลีไม่เกี่ยวกับคำด่าเพราะนางไม่ได้สำส่อน มีท่านผู้รู้เคยกล่าวไว้ที่นี่นานแล้ว จากคุณ : crystal - [ 30 ม.ค. 49 22:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอ..."หลกท่ง" นี่คงไม่ได้ด่าแบบเอ็นดู หรือด่าตอนลูกสาวหรือหลานสาวแสดงกิริยาม้าดีดกะโหลกมั้งคะ เพราะอาม่านานนนนนนนจะหลุดคำนี้ออกมาซะที ซึ่งมักจะเป็นตอนแกโกรธมาก ๆ แต่ไม่เคยใช้กับลูกกับหลานนะคะ เราว่ามันค่อนข้างรุนแรงเหมือนดอกทองนั่นแหละคะ จากคุณ : หลิงน้อย - [ 31 ม.ค. 49 05:27:42 A:62.190.232.56 X: TicketID:112921 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเคยเห็นเขาถกกันในนี้แหละ นานมาแล้ว ไม่ได้เซฟไว้ จำได้เลาๆว่ามาจากภาษาจีนนี่แหละ สำเนียงก็คล้ายที่ #8 ว่า เห็นเขาอธิบายที่มาว่ามาจากชื่อตำบลหนึ่งซึ่งเป็นย่านโสเภณีในเมืองจีน ดังนั้นผู้หญิงคนไหนถูกเรียกว่าเป็นผู้หญิงย่านนั้นก็คงไม่ใช่คำชมแน่นอน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 31 ม.ค. 49 08:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยืนยันความคิดห็นที่ 10 ครับ หลกท่ง เป็นคำแรงครับ ไม่ได้ใช้เพื่อสั่งสอนลูกหลานในลักษณะที่ความคิดเห็นที่ 8 บอก แต่เป็นคำด่าที่แรงทีเดียว ส่วนที่มาของคำว่า ดอกทอง ผมคิดว่า น่าจะประมาณที่ความคิดเห็นที่ 8 ว่ามา หลกท่ง (จีน) ---- ออกเสียงเพี้ยนไปเป็น ----> ดอกทอง (ไทย) จากคุณ : ลูกคนจีน - [ 31 ม.ค. 49 09:13:28 A:141.157.88.136 X: TicketID:072648 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ใช่แล้วครับ "หลกท่ง" คำนี้แหละครับเพี้ยนมาเป็นดอกทองในภาษาไทย เป็นคำที่เกิดในยุคเดียวกับคำว่า กะหรี่หรือกะหลี่ ที่มาจากคำว่า "โชกลี" = เด็กหญิงสาว ที่แขกอินเดียในกองทัพอังกฤษเอามาใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จากคุณ : Cyber Sage - [ 31 ม.ค. 49 09:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก็ยืนยันอีกคนว่า หลกท่ง เป็นคำด่าที่หยาบและรุนแรง ถ้าผู้ใหญ่พูดกับลูกหลานก็ต้องเป็นเพราะติดปาก แรงแค่ไหน? พจนานุกรมภาษาแต้จิ๋วให้ความหมายดังนี้ bitch, shake pussy, hit a pussy, smack a pussy ลองแปลไทยดูเองก็แล้วกัน คำตระกูลเดียวกันนี้ได้แก่ ลกจี ซึ่งพจนานุกรมแต้จิ๋วก็ให้ความหมายไว้ตรงกันกับหลกท่งนี่แหละ ลองแยกแปลศัพท์ทีละคำดู พจนานุกรมเดียวกันนี้ ให้ความหมาย ลก ว่า hit, smash, shake in container จี นั้นไม่ได้ให้ความหมายไว้ แต่เป็นที่รู้กันว่า แปลว่า pussy ส่วน ท่ง หาความหมายไม่เจอครับ ที่น่าสนใจคือ ทั้ง หลกท่ง และ ลกจี ไม่มีตัวอักษรจีนกำกับ ซึ่งหมายถึงว่านี่เป็นภาษาพูดที่ไม่มีตัวเขียน ซึ่งมีเหตุผลเป็นไปได้ 2 อย่างคือ 1.คำเหล่านี้เป็นภาษาพูดของคนแต้จิ๋วแท้ จีนกลางไม่มีตัวอักษร 2.คำเหล่านี้เป็นภาษาอื่น(เช่นภาษาไทย) แต้จิ๋วในไทยเรียกทับศัพท์ไป ตอนแรกผมก็คิดว่าข้อ 2 ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะปรากฎใน dic แต้จิ๋วที่ผู้จัดทำไม่ใช่คนไทย แต่ลองค้นดูพบว่ามีคำว่า ตั่กลัก ซึ่งเป็นคำแต้จิ๋วที่รับมาจากคำว่า ตลาด ซึ่งคำนี้จีนแต้จิ๋วที่อื่นไม่ใช้กัน แสดงว่า dic นี้เก็บคำศัพท์ของคนแต้จิ๋วที่อื่นๆไว้ด้วย จึงยังสรุปไม่ได้ว่าคำนี้เป็นคำแต้จิ๋วแท้หรือไม่ จะลองสอบถามเขาดูอีกทีครับว่าเขาใช้คำนี้กันหรือไม่? ถ้าใครข้องใจอยากลองใช้ dic อังกฤษ-แต้จิ๋วนี้ ก็ที่นี่เลยครับ http://www.gaginang.org/dictionary/form.php แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 11:13:38 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 11:13:06 จากคุณ : CrazyHOrse - [ 31 ม.ค. 49 11:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเป็นคนแต้จิ๋วเหมือนกันครับเลยเข้ามาดู ผมก็เชื่อว่าน่าจะมาจากคำว่า "หลกท่ง" เหมือนกัน ความคิดเห็นข้างบนอธิบายกันดีมากครับ จากคุณ : bite25 - [ 31 ม.ค. 49 12:15:40 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เริ่มมาจากซ่องยายแฟง สมัย ร.๕ ครับ คือผู้หญิงที่ทำอาชีพนี้   ชอบใส่ผ้าถุงที่มีลายดอกเป็นทองครับ เขาเลยเรียกว่า "ผู้หญิงดอกทอง" ยายแฟงยังเอาเงินที่ได้จากการค้าน้ำกาม ไปบริจาคสร้างวัด แรกๆเรียกกันว่า  วัดใหม่ยายแฟง ตอนหลัง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดคณิกาผล อยู่ตรงข้ามกับโรงพักพลับพลาไชย และใกล้ๆศาลเจ้าไต้ฮงกง (ปอเต๊กตึ้ง) ครับ ยายแฟงเคยถามสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดระฆังว่า สร้างวัดจะได้บุญเท่าไร  สมเด็จวัดระฆังตอบว่า "ได้บุญเท่ากับสลึงเฟื้อง" จากคุณ : endophine - [ 31 ม.ค. 49 12:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตามพี่เอ็นโดมาอ่านครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 31 ม.ค. 49 12:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 18 งั้นถามต่อว่าเมื่อก่อนสถานที่อย่างซ่องเค้าแขวนโคมแดง หรือโคมเขียว จากคุณ : กุหลาบจามูร์ - [ 31 ม.ค. 49 13:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 19 นึกว่าเป็นคำผวน  เสียอีก ดอกทอง______ ดองถอก แต่คำนี้น่ามีมาก่อนร.๕ นะครับ  เพราะในพจนานุกรมฉบับ มติชนยกตัวอย่างคำนี้จาก มโนห์ราครั้งกรุงเก่า  ซึ่งก็คง ต้องย้อนไปช่วงอยุธยาโน่นแหละมั้งครับ จากคุณ : โอเล่ (trufa) - [ 31 ม.ค. 49 16:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สัพะ พะจะนะ พาสา ไท   ชอง - บาตีส  ปาเลอกัว  พ.ศ. ๒๓๙๗   หน้า  ๑๑๙ ดอก ทอง          Courtisan (term of reproach to women) อี่ ดอก ทอง      Courtisan       Brothel คำภีร์สรรพพจนานุโยค  แสมูเอ็ล์ สมิท   พ.ศ. ๒๔๔๒ หน้า ๕๕๖ whoreson   n.  ลูกชายของหญิงชั่วโลนลามก;   ลูกeดอกทอง;  เปนคำด่าประมาทเขา จากคุณ : แสนอักษร - [ 31 ม.ค. 49 19:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เคยได้ยินมาว่า ดอกทอง เป็นชื่อว่านชนิดหนึ่ง ว่านดอกทองนี้ เมื่อผู้หญิงได้สูดดมเข้าไปจะเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างแรง จนต้องเข้าหาผู้ชาย ดังนั้นถ้าบ้านไหนที่มีลูกสาว จะไม่ปลูกว่านชนิดนี้ คนสมัยก่อนจึงใช้คำว่าดอกทองเป็นคำด่าผู้หญิงที่ทำตัวสำส่อน จากคุณ : ตาเบบูย่า - [ 31 ม.ค. 49 20:52:57 A:203.155.122.89 X: TicketID:104665 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องดอกทองเหรอ ประวัติมันมีมาดังนี้ เคยอ่านจากหนังสือเก่า จะให้ไปค้นตอนนี้คงจะค้นไม่ไหว บางกอกเมื่อสมับรัชกาลที่ห้า สถานที่เริงรมย์สนุกสนานอยู่ที่สำเพ็ง เปรียบเสมือนเอาพัฒพงษ์ ซอยคาวบอย โรงอาบอบนวดของคุณชูวิช พับ โรงน้ำชา คาราโอเกะ มาอยู่รวมกันหมด ไม่ได้เป็นที่ขายส่งผ้าอย่างสมัยนี้ ที่สำเพ็งมีสำนักนางโลมอยู่หลายแห่ง สำนักที่มีชื่อขึ้นหน้าขึ้นตา มีต้นทองกวาว(Butea monosperma)ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ข้างหน้า ต้นทองกวาวมีดอกสีแดง เป็นต้นไม้ใหญ่ สองข้างทางในภาคเหนือและภาคอิสานจะเห็นมีอยู่ทั่วไป ในหน้าแล้งคือหน้านี้ จะทิ้งใบหมด มีแต่ดอกสีแดงเต็มต้น ชื่อสามัญภาษาอังกฤษเขาจึงเรียกว่า flame of the forest ทองกวาวผสมพันธ์ด้วยนก นกจะชอบไปกินเกษร ถ้าขับรถผ่านไปจะเห็นนกฝูงใหญ่ตอมอยู่ ทองกวาว ภาษาชาวบ้านเรียกสั้น ๆ เขาเรียกว่าต้นดอกทอง ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เป็นชื่อที่น่ารัก คนไม่ได้คิดอะไร ที่ต้นทองกวาว จะกลายเป็นชื่อไม่ดีเพราะไปขึ้นอยู่ที่หน้าสำนักนางโลมที่สำเพ็งดังกล่าวมาแล้ว พวกหนุ่ม ๆสมัยโบราณเวลาจะนัดกันก็บอกว่าไปเที่ยวบ้านดอกทองกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ออกขุนนาง มีขุนนางมาเฝ้าน้อยกว่าปกติ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระดำรัสว่า พวกที่ไม่มาเฝ้าคงจะตื่นไม่ไหวเพราะเมื่อคืนไปเที่ยวบ้านดอกทอง ตั้งแต่นั้นมาคำว่าบ้านดอกทองก็เลยติดปากขุนนางข้าเฝ้า ลามมาถึงคนธรรมดา กลายเป็นนางดอกทอง eดอกทอง บ้าง ฝรั่งที่เรียนภาษาไทยมักจะไม่เข้าใจว่า miss golden flower ทำไมถึงได้กลายเป็นคำเหยียดหยามดูถูกดูหมื่นไป คำที่คู่กับนางดอกทองคือ นางสำเพ็ง หรือ eสำเพ็ง แต่ไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ ตอนนี้คนลืมกันไปหมดแล้ว สมัยนี้ถ้าบอกว่าสาวพัฒพงษ์คนก็อาจเข้าใจ ถ้าฝรั่งมาถามเรื่อง miss golden flower ก็ช่วยบอกไปตามนี้ด้วย นี่คือประวัติที่มาของคำว่า นางดอกทอง eดอกทอง มีอีกสองคำที่ความหมายคล้าย ๆ กันนี้ คือโบสถ์พราหมณ์ กับบ้านหมอหยก ไม่เก่าเท่าและไม่ฮิตเท่า ดอกทอง จากคุณ : Nicky - [ 31 ม.ค. 49 21:03:07 A:61.91.84.165 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โห ตำนานเพียบ  จะเชื่ออันไหนดีเนี่ย จากคุณ : ลูกเตะวายุกระซิบ - [ 1 ก.พ. 49 10:18:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยกะ คห 21 คับ เกี่ยวกับว่านดอกทอง ที่มีกลิ่นฉุน แรง เมื่อสูดดมแล้วทำให้เกิด ราคะ... คำด่านี้ คงมีมานานก่อน เรื่องพระอภัยมณี หรือ ร. 5 แน่นอนคับ อยากให้ลองไปอ่าน ละครนอกเรื่อง มโนราห์ ซึ่ง แต่ในสมัยปลายอยุธยา... มีบทด่ากัน ระหว่าง นางมโนราห์ กับแม่ มีคำว่าดอกทองด้วย ซึ่งน่าจะใช้เป็นคำ บริภาษมานานแล้วคับ จากคุณ : buaravong - [ 1 ก.พ. 49 14:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อันนี้เปรียบเทียบกัน ตัวเงินตัวทอง ซึ่งเป็นสัตว์ที่คนไทยรังเกียจ เมื่อมันแก่แล้ว มันจะมีสีทอง เป็นดอก ๆ ตามลำตัว คือ ดอกทอง นั่นแหละ จึงเปรียบผู้หญิงที่ทำตัว เอี้ย ๆ ว่า นังดอกทอง ก็คือทำตัวแบบที่คนรังเกียจนั่นเอง จากคุณ : บานเช้า - [ 2 ก.พ. 49 20:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 น่าสนใจดีครับ จากคุณ : ลิด้า - [ 3 ก.พ. 49 02:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มีข้อมูลบางอย่างมาให้ดูกัน ในกฎหมายตรา 3 ดวง พระไอยการลักษณะวิวาทตี/ด่ากัน มาตรา 36 มีคำด่าที่ปรากฏด้งต่อไปนี้ ไอ้อี่....ขี้ตรุ/เม่า   ขี้ขโมย/ช่อ  ขี้ฉกลัก/ลวงคนขาย  ขี้โซ่ตรวน/ขื่อขี้คา  ขี้ถอง/ทุบ   ขี้ตบ/คุก/เค้า   ขี้ประจบคนเสีย/ขายคนกินทังโคด  ขี้ครอก/ข้า/ถ้อย   ไอ้อี่คน...เสีย/กระยาจก/อัประหลัก  คนบ้า/ใบ้   ไอ้อี่..สับปลัก อี่มักชู้/ผัว   มืงทำชู้เหนือผัวku   อี่แสนหกแสนขี้จาบ  อี่ดอกทอง/เยดซ้อน ดูคำด้าบรรทัดล่างสุดซิ  มีคำด่าคำนี้มาตั้งแต่อย่างน้อยก็ในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วแหละ อาจจะเก่าไปถึงสมัยอยุธยาด้วยซ้ำไป ไม่อยากเถียงกะคนอื่นว่า คำนี้มาจากภาษาอะไร แต่จะบอกว่าคำด่านี้มันเก่ามาก บางทีการที่เราเอาความรู้ปัจจุบันไปอธิบายอดีต อาจผิดหรือถูกก็ได้ ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน.... จากคุณ : กานต์กะอันดา - [ 4 ก.พ. 49 19:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เคยเห็นมโนราห์สำนวนเก่ามาแล้ว ได้ตามอ่าน กฎหมายตราสามดวง เล่ม ๓  ที่ องค์การค้าคุรุสภา พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เล่มสาม  หน้า ๒๐๑ พระไอยการลักษณวิวาท  มาตรา ๓๖     ที่คุณ กานต์กะอันดาแนะนำ แจ่มแจ้ง คุยกันหลายคนอย่างนี้  ที่ไม่รู้อะไรตั้งเยอะ  ก็ได้รู้ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 49 10:37:10 แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 49 10:36:34 จากคุณ : แสนอักษร - [ 5 ก.พ. 49 10:35:57 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในอักขราภิธานศรับท์ บอกว่าเปนคำผวนเนาะ มีคำว่า eดอกกระทือ อยู่อีกคำ จากคุณ : นู๋เองง่ะ - [ 7 ก.พ. 49 22:23:33 ]