ความคิดเห็นที่ 1 เท่านั้นไม่พอนะคะ บางคนยังสามารถเทียบอากาศ หรือ atmosphere ออกมาอย่างเป๊ะๆได้อีก เพื่อประกอบการวินิจฉัย.. ขอยกตัวอย่างเป็น บอร์คโดซ์  (อีกแล้ว) ว่า..วันนี้เป็นอย่างนี้ More Current Conditions Feels Like: 23°   Dewpoint: 21° Barometer: 30.33 in and steady    Wind: N 2 mph Humidity: 91%    Sunrise: 8:18 am Visibility: 2.36 mi   Sunset: 6:16 pm อันนี้ของ  Napa Valley More Current Conditions Feels Like: 37°   Dewpoint: 39° Barometer: 30.20 in and falling    Wind: N 8 mph Humidity: 89%    Sunrise: 7:11 am Visibility: 10 mi   Sunset: 5:35 pm อันนี้ของ เชียงใหม่..ไทยแลนด์ More Current Conditions Feels Like: 88°   Dewpoint: 64° Barometer: 29.88 in and falling    Wind: SSW 7 mph Humidity: 48%    Sunrise: 6:57 am Visibility: 5.59 mi   Sunset: 6:20 pm และนี่ของ นครราชสีมา..ถิ่นฐานของเขาใหญ่โดยรวม More Current Conditions Feels Like: 85°   Dewpoint: 62° Barometer: 29.34 in and steady    Wind: E 2 mph Humidity: 49%    Sunrise: 6:40 am Visibility: 4.97 mi   Sunset: 6:12 pm ฉะนั้น เราจะเห็นข้อต่างได้ชัด ในเรื่องของ Humidity เพียงแต่ เดือนนี้คือเดือนที่องุ่นไทยถึงแก่เวลาตัดนำมาทำไวน์  ในขณะที่เมืองอื่นๆเขายังเป็นกิ่งอยู่เลย.. ฉะนั้น..ถ้าทางยุโรปมันต่างกันนัก เราก็หันมาดูทางด้านนี้ได้เลย.. ใช่ว่าเราจะสิ้นความหวังไม่  เพราะที่ไร่องุ่นที่ทำไวน์  Perth  ออสเตรเลียก็มีดีๆหลายไร่..เขายังทำได้ อากาศเป็นดังนี้.. Feels Like: 91°   Dewpoint: 55° Barometer: 29.88 in and falling    Wind: SW 20 mph Humidity: 29%    Sunrise: 5:45 am Visibility: 6.21 mi   Sunset: 7:15 pm ใกล้เคียงกันมาก..ในด้านอากาศ  จะเหลือแต่ที่ต้องทำการวิจัยให้หนัก คือเรื่องดินและน้ำ..พืชพันธ์องุ่นและประเมินความเป็นไปได้ในด้านอื่นๆ ที่อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย ขึ้นอยู่กับว่า ภาครัฐจะสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน   น่าเสียดายที่คนของรัฐเห็นเรื่องการเกษตรเป็นเรื่อง"ด้อยค่า"  ฉลาดคิดแต่ในเรื่องของการรวยแบบทางลัด เช่น สร้างไนท์ซาฟารียังงี้..ศูนย์การค้าที่ใหย่โตมโหฬารยังงี้ ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำยังอยู่ในอันดับ $ 5 ต่อวัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 5 ก.พ. 49 15:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านสนุกไปเลยครับ อยู่ในประเทศแห่งไวน์ แต่ก็แทบไม่มีความรู้เลย มากี่สุดเท่าที่เคยทำ คือ เปิดปฏิทิน ดูว่าไวน์ภูมิภาคไหน ปีไหนดาวเยอะ แล้วซื้อมากิน อย่างแพงไม่เกิน 10 ยูโร อย่างปกติ 5 - 6 ยูโร แค่นั้นเอง แถมมีปัญญาซื้อไม่ต่ำกว่าปี 2000 ด้วย กลับเมืองไทยเห็นไวน์แบบสามยูโรที่นี่ขายห้าหกร้อย ไวนสิบยูโรขายเป็นพันๆ แล้วสยอง ว่าจะต้องหาความรู้ใส่หัวเสียบ้างแล้ว ไม่งั้นเสียโอกาสในชีวิต แล้วจะติดตามอ่านครับ จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ก.พ. 49 16:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาต่อบุญชิต ฟักมีพลีส อิ อิ เอ๊ะ พี่นัดกับผมรึเปล่าเนี่ย??? จากคุณ : Ace striker - [ 6 ก.พ. 49 10:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แหะ แหะ ผมไม่รู้เรื่องไวน์นะครับ แต่จริงๆ องุ่นเป็นพืชที่ปลูกกันแพร่หลายในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งฟากยุโรป เอเซียไมเนอร์ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ อันที่จริง ด้วยละติจูดของยุโรป มันควรจะมีแต่ทุ่งน้ำแข็งครับ อย่างอังกฤษทั้งประเทศ ฝรั่งเศสเกือบทั้งหมด ยกเว้นด้านติดกับเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลางทั้งหมด ไม่งั้นลองลากเส้นไปทางตะวันตกดูครับ ภาคกลางของอังกฤษอากาศอุ่นจนปลูกข้าวสาลีได้ แต่ในละติจูดเดียวกัน ในแคนนาดา หมีขั้วโลกกำลังวิ่งเล่นบนลานน้ำแข็งอยู่ ที่ยุโรปอุ่น เนื่องจากมีกระแสน้ำอุ่นคอยหล่อเลี้ยงครับ จากคุณ : ... (digimontamer) - [ 6 ก.พ. 49 12:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่รู้เรื่องไวน์เหมือนกันค่ะ แต่ตามมาอ่านเพราะป้าวิเขียนค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 6 ก.พ. 49 21:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอสวัสดีคุณบุญชิตแฟนเก่าที่ไม่เจอกันนานก่อนค่ะ สบายดีหรือคะ..? ส่วนตา Ace striker นั่นคุยกันหลังไมค์บ่อยๆ ยัยหมาน้อยฯนั่นก็ขยันมาป้วนเปี้ยนอย่างนี้ละค่ะ เธอน่ารัก น่าเอ็นดู น่านซิ..คุณ digimontamer ค่ะ ยังรอให้คนตามมาสงสัยต่อ ว่าแล้วทำไมเมืองร้อนที่ว่านี่เขาถึงปลูกองุ่นกันได้ดี คำตอบคือ เส้นรุ้ง เส้นแวงอย่างเดียวไม่ใช่ตัวกำหนดที่เด็ดขาดค่ะ  ต้องดูสภาพแวดล้อมอื่นๆด้วย นั่นคือ เขตร้อนดังว่าในออสเตรเลียนั้น มันดันอยู่คิดกับมหาสมุทรแปซิฟิค ในแนวขนานยาวเฟื้อย และพื้นที่ปลูกองุ่นของเขานั้น มีมากมายเลือกทำเลได้ทั้งทวีปที่มีภูมิอากาศต่างๆกันไป และเทียบได้กับพื้นที่ดีทั้งหมดของโลก ไม่ว่าจะเป็น เมดิเตอเรเนียน  บอร์คโดซ์ หรือ โรห์น ยิ่งในส่วนของเขตรัฐ  Victoria ที่อยู่ทางติ่งขวา(ของคนดู)ด้านใต้ ไล่ลงมาถึง Tasmania นั้น..ภูมิอากาศเป็นเลิศศศศศ........เหมาะแก่การปลูกองุ่นทำไวน์ได้แทบทุกชิด แม้กระทั่ง  sparking wine นับตั้งแต่ 1970's  มาถึงปัจจุบัน ออสเตรเลียได้รุดหน้าในเชิงเทคโนโลยีการเกษตรชนิดติดจรวด.. เขามีมหาวิทยาลัยที่มีคณะเกษตรพืชองุ่นโดยเฉพาะ อีกทั้งคณะอุตสาหกรรมผลิตไวน์ พร้อมที่จะผลิต winemaker ออกสู่พื้นที่เพื่อการพัฒนาตลาดให้ก้าวไกล เพราะรายได้ของการส่งออกนั้น มากมายมหาศาลนัก ถ้าอยากทราบว่าจะมากมายอย่างไร ตามมาค่ะ... จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ก.พ. 49 23:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จากข้อมูลของสถาบันการบัญชีชื่อดัง ได้เปิดเผยตัวเลขของกำไรไวน์แต่ละขวด (ตามความเป็นจริง เพราะมันคืองายงานที่มอบให้รัฐบาล) ว่า.. ไวน์คาลิฟอร์เนียที่แพงที่สุด  (ราคาขอสงวน แต่ขอย้ำว่าแพงที่สุด)  และราคาองุ่นที่กล่าวมานี้ หมายถึง ตันละหลักพันๆขึ้นไป.. เขาแยกว่ามีค่าใช้จ่ายในการผลิตดังนี้ grape                        6.00 bottle                          0.50 cork                            0.25 foil                              0.12 label                            0.25 Bottling, corking            0.25 รวมแล้วคือ                 $  7.37 ทีนี้มาดูไวน์ราคาที่ถูกที่สุด....ว่า ต่างกันตรงไหน grape                     0.50 bottle                     0.20 cork                       0.08 foil                         0.00 label                      0.02 bottling & corking    0.17 รวมแล้วคือ               0.97 รับรองว่าอ่านต่อไปถึงราคากำหนดขาย แล้วท่านๆคอไวน์ ที่จ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสน  จะสะอึกออกมาเป็นโลหิต เย็นๆค่ำๆ..จะกลับมาเขียนต่อเล่าต่อค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 04:33:55 จากคุณ : WIWANDA - [ 6 ก.พ. 49 23:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบเจ้าของกระทู้ สบายดีแต่ไม่ค่อยมีสตางค์ครับ แฮ่ๆ อย่างผม Mouton Cardet ปี 2002 ขวดละเก้ายูโรก็หรูแล้ว แต่ไม่กล้ากินยี่ห้อเดียวกันนี้ที่เมืองไทย ... เงินขนาดนั้นเอาไปซื้อแบล๊กดีกว่า ถามหน่อยว่า ทำไมราคาไวน์ฝรั่งเศสในประเทศไทยถึงแพงนัก แพงขึ้นกว่า 2-3 เท่า ในขณะที่สุราชนิดอื่นกลับสูสีกัน เช่น ราคาเหล้าแบล๊ก ที่ฝรั่งเศสก็ขวดละพันนิดๆ ถ้าเป็นเพราะภาษี ทำไมถึงคิดต่างกันละครับ จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 7 ก.พ. 49 02:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านแล้วก็หงุดหงิดกับธุรกิจไวน์ในบ้านเรานะครับ ที่แน่ๆ ถูกต้องแล้วครับที่รัฐบาลไม่เคยสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้อย่างจริงจัง อาจจะด้วยคิดว่ามันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพียงน้อยนิด กระจ้อยร่อย ก็เลยกลายเป็นว่า ธุรกิจไวน์ไทย เป็นธุรกิจประเภท งานอดิเรกของไฮโซ ที่อยากจะมี VINYARD เอาไว้พาเพื่อนฝูงไปปาร์ตี้กัน แถมไวน์บ้านเราถ้าเทียบคุณภาพแล้ว ต้องบอกว่าแพงโคตร หากนำรสชาติมาเปรียบกับไวน์ต่างด้าวในราคาเท่ากัน ทั้งที่ทำในบ้านเรา แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น คงต้องยกให้เป็นผลงานของ กรมสรรพสามิต เพราะท่านทำงานแบบตรงเปี๊ยะ ประเภทนั่งนับปริมาณบรรจุในหม้อกลั่นกันเลยทีเดียว อาจจะไม่สนว่าไวน์มันจะต้องมีปริมาณลดลง จากการผ่านการหมักบ่ม การกรอง การชิม ฯ ราคานำเข้าถังไม้โอ๊คที่แพงซะ ค่าขวด ค่าจุกค๊อก  เพราะฉนั้นเราคงพูดไม่เต็มปากเท่าไหร่ว่าไวน์นอกมันแพง เฉพาะแค่ค่าขนส่ง เดินทางข้ามน้ำมา แถมต้องมาค้างสต๊อก อาจขายไม่หมด อีก ก็ถือเป็นต้นทุนความเสี่ยง บวกค่าเบี้ยใบ้รายทาง ที่จะต้องเซ่นสรวง ก็เจ๊าๆกันไป ถ้าผมอยากดื่มไวน์ราคาพอสมควร ก็ฝากพรรคพวกที่เป็นนักบิน แวะ King power หิ้วมาฝากทีละ 2 ขวด ก็โอเคแล้วละครับ ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่เวอร์มาก จากคุณ : oldmanhandsome - [ 7 ก.พ. 49 13:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องภาษีไวน์ต้องถาม ดร.สุรเกียรติเขาครับ  เมื่อสมัยที่ พณฯ บรรหารนั่งเมืองนั้น ปรากฎว่าไวน์ในไทยบูมกันมาก คนหันมาดื่มกันเยอะ อาจจะเพราะกระแสสุขภาพเริ่มก่อตัว หรือ เพราะคนรวยจากขายที่ดินพยายามอัพเกรดเป็นรวยแบบมีวัฒนธรรมก็ไม่ทราบได้ (เอ้อ จริง ๆ ทราบครับว่า เพราะช่วงนั้นเขาบุฟเฟ่ต์คาร์บิเนตกันเอิกเกริก ขนาดเอาที่หนองคลองบึงมาเล่นแร่ปแรธาตุเป็นเงินทุนมหาศาลที่ตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องก็เข้าข่ายว่าต้องไปรูดปรื๊ด ๆ ในตารางนั่นแหละ) ไวน์เลยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า  แต่ราคายังเตี้ยติดดิน  ไวน์ระดับ vine de table ที่อิตัลไทยเอามาขาย ยังแค่ขวดละร้อยเดียว แถมยังมี พีอาร์ใจกล้า เอาใส่ตระกร้ามาสวัสดีนักข่าวปีใหม่เสียอีก  คงคิดว่านักข่าวกินแกลบแกล้มเหล้าขาวมั๊ง ตอนนั้นเพรโฟลด์ บิน 707 ที่ว่าแน่ ๆ ยังแค่ขวดละ 2 พันเท่านั้นแหละ  เจ้าหมูตอน มูตอง ก็หาได้ที่ 5 พันกว่า ๆถ้าไม่ใช่ปีดีฉลากสวยอะไรนักนะ ไวน์ออสเตรเลียตอนนั้นต่ำกว่า 500 นิดหน่อยก็ยังแจ๋วอยู่ หลาย ๆ ตัวซื้อยกลังก็ไม่ผิดหวัง   มูตอง กาเด้ ของฝรั่งเศสที่ตอนนีร้พันเจ็ดเข้าไปแล้วนั้น ตอนนั้นแค่เกิน 500 กว่านิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่แล้วเมื่อรัฐบาลกำลังหมดท่า ภาษีก็โดนแทะซะจนไม่เหลือสตังค์ แม้ว่าเขาจะเตือนแล้วเตือนอีกว่าจะล้มเหมือนอาร์เจนตินากับบราซิลนะ ก็ไม่มีใครฟัง แต่ดันไปแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อแก้ปัญหาแบบแก้เขินแทน แล้วยังงี้ไวน์จะเหลือเรอะ ตอนนั้นที่โดนไปพร้อม ๆ กันก็คือหินอ่อนกับเรือยอชท์ครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตลาดหินอ่อนกะเรือยอช์ทมันเป็นยังไงกันบ้าง เพราะไม่เคยมีทั้ง 2 อย่าง แต่ไวน์กระเจิงครับ  ตลาดพังยับ เพราะไอ้ที่เคยซื้อได้ราคานี้กลับซื้อบ่ได้เสียแล้ว เพนโฟลด์ บิน 707 หายไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเลย  หาได้เฉพาะในโรงแรมเท่านั้น มองเตส อัลฟ่า ของชิลี ทะยานจากขวดละ 1 พัน กลายเป็นเกือบ 3 พันบาท  ไวน์ราคาต่ำกว่า 500 หายเกลี้ยงไปหมด เพราะต้องปรับฐานใหม่ ส่วนที่เกิน 500 ก็อัพเกรดกลายเป็นพันกว่ากันถ้วนหน้า ผลก็คือตลาดหดอย่างรวดเร็ว เพราะคนกินยังไม่ได้ถึงขนาดหลงไหลบูชา ถึงขนาดเปลี่ยนรสนิยมอย่างถาวร เมื่อเป็นดังนั้นก็เข้าทางเหล้าเบียร์ครับพ๊ม  คอทองแดงรายได้น้อยเลยรสนิยมตกกระทันหัน กลับมาฟาดสเปร์ รอยัล เหมือนเดิิมเปี๊ยบ อ้อ อีกเหตุผลนึงคือรัฐอ้างว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการทำไวน์ในประเทศเลยต้องตั้งกำแพงภาษีมากีดกันครับ ผลที่ได้คือ เราก็มีไวน์ไทยที่น่าเชิดชูยกย่องเป็นหน้าเป็นตาเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ประเทศ  อาทิเช่น ชาโต เดอ เลย (ใครลองกินบ้างครับ) กราน มองเต้  เขาใหญ่ ไวน์เนอรี่ วังน้ำเขียวสารพัดรุ่น รวมทั้งไวน์ชาละวันของพี่เสธ. ณ พิจิตรอีกยี่ห้อนึงครับ ส่วนยี่ห้อไหนจะเกรดอะไรไม่ทราบได้จริง ๆ ต้องไปเสี่ยงลองชิมดูเอาครับ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 13:54:54 จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 13:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้คอไวน์ระดับเดินหาได้ตามร้านขายยาทั่วไป ไม่ได้ระดับสุพรีมอย่างคุณพีวิวันดาเขาก็ต้องทำใจครับ  เพราะราคาไวน์ที่เอามาขายกันขวดละพันอัพอะไรนั่น จริง ๆ แล้วมันเป็นราคาที่บวกสารพัดเข้าไปหนักหนา คุณภาพไม่ได้ตามราคาหรอกครับ   ที่ประเภทมีอาการลงแดง แรงน้อย สตังค์ก็ด้อยเหลือหลาย อยากจะกระดึ๊บแบบดี ๆ แต่บ่มีตังส์ ก็ต้องเพียรค้นหาไอ้ที่แบบถูก ๆ แต่รสชาติพอไปวัดไปวาได้ละครับ  ถึงจะไม่สมบูรณืแบบ ประมาณว่ามีไอ้นี่ แต่ขาดไอ้นั่น หลุดนิดติดหน่อยไปเรื่อย ยังงี้ก็พอแก้อาการลงแดงได้ โดยไม่ต้องหยิบเงินหมื่น (มีที่ไหนเล่า)  เพราะยังงี้เสียภาษีแล้ว ซื้อได้ทุกเที่ยงถึงบ่ายสอง ก็ยังพอหาได้ที่ขวดละ 500 กว่า ๆ หรือต่ำกว่าก็ยังมีครับ แต่พอเห็นราคาต้นทุนที่คุรพี่เอามาเปิดซะอ้าซ่าขนาดนั้น (ไม่รู้ว่าจะเข้าข่ายเป็น "เจ๊แฉ" คนใหม่ เหมือนพวกนางงามเขียนหนังสือบ้านเราได้หรือเปล่า) ไอ้ที่ว่าแพงสุดของอเมริกานะราคาเมืองไทยมันซัดเป็นหมื่น ๆ นะครับ แล้วนี่ต้นทุนมัน 7 เหรียญเอง แล้วไอ้ที่ผมกระดึ๊กขวดละต่ำกว่า 500 บาทไทยเนี่ย ต้นทุนมันมิ 4 ขวด 50 เซนต์รึ โอ้ พระเจ้า   จอร์จ  มันยอดมาก จริง ๆ นะซาร่า จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 13:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 กลับมาแล้วครับ ไปอยู่เมืองเพิร์ธที่คุณวิเพิ่งพาดพิงถึงพอดีนั่นแหละครับ ที่นั่นร้อนกว่าเมืองไทยอีกครับ แดดแรงกว่ามาก ถึงเหงื่อไม่ออกแต่ผิวแทบไหม้เลยครับ ไร่ไวน์ดีๆในเมืองนี้เยอะมากเลยครับ ถ้าลงไปทางใต้ ผมได้ไปตระเวณชิมมาหลายรอบแล้ว ที่แนะนำก็คงเป็น Leeuwin estate, Cape Mentelle, Howard Park, Wignalls, Vasse Fillix จากคุณ : D19 - [ 7 ก.พ. 49 14:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่าลมมีส่วนนะครับ ลมทะเล ลมภูเขานี่แหละ ทำให้อุณหภูมิแถบนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ บางคนเลยเข้าใจว่าเส้นละติจูดเท่านั้นเท่านี้ถึงปลูกไวน์ดี งานนี้จะปลูกไวน์ ถามหาหมอฮวงจุ้ยด้วยดีมั้ยเนี่ย - -? จากคุณ : Ace striker - [ 7 ก.พ. 49 14:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณสื่อศิลป์พูดเรื่องภาษีแล้ว วันนี้จะพาไปดูครับว่าทำไมไวน์ถึงแพง แล้วก็ขอแนะนำว่าเราจะซื้อไวน์ออสเตรเลียยังไงให้ได้ราคาถูกแล้วกันนะครับ ภาษีสำหรับไวน์ในออสเตรเลีย ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่ม(GST) 10% กับภาษีไวน์(WET)14.5% ครับ ถ้าเราซื้อไวน์ถึงสามร้อยเหรียญจะสามารถเคลมภาษีตรงนี้คืนได้ทั้งสองภาษีนั่นแหละครับ ทีนี้ผมซื้อมาหกขวดที่ร้านซึ่งมีดีลว่าถ้าซื้อหกขวดขึ้นไปได้ลด 20% ดังนั้น ผมจะได้ส่วนลดคือ ราคาตั้ง ลด 20%จากร้าน ได้ราคาลดจากร้าน จากนั้นไปคิดภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีไวน์จากราคาที่ลดจากร้านแล้ว ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์จากยอดแรกก็จะตกประมาณ 40% นั่นแหละครับ ทีนี้ก็เป็นความสามารถของคุณแหละครับว่าจะเอาไวน์เข้ามาได้หรือปล่าว ทีนี้ทำไมไวน์บ้านเราถึงแพงใช่ไหมครับ เพราะภาษีนำเข้า 60 % กับภาษีสรรพมิตอีก 60 % คิดจาก มูลค่าไวน์+ค่าขนส่ง+ค่าประกันภัย นอกจากนี้ยังเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% และภาษีเทศบาลอีก 4% ครับ ลองคิดดูแล้วกันว่าไวน์ที่เมืองนอกเช่น Penfolds Bin 389 ที่ออสเตรเลียขวดนึง 1200 บาท ขายที่วิลล่าซุปเปอร์มาเกต ตกขวดนึง 5000 บาทครับ โชคดีที่ผมไม่ใช่นักข่าวนะครับ อิตัลไทยเขาเลยเอาไวน์ขวดละ 1200 ใส่กระเช้ามาให้ผมครับ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 14:18:09 จากคุณ : D19 - [ 7 ก.พ. 49 14:14:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มารายงานตัวในกระทู้ใหม่ครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 7 ก.พ. 49 19:53:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณหลายๆเด้อ ที่มาเล่าเรื่องภาษีไวน์ไทยให้ฟัง เพราะ ตรงนี้ไม่มีความรู้เลย ว่าทำไมมันถึงแพง แต่จำได้เหมือนกันว่า มูตอง คาเดต์ เคยตกขวดละ หกร้อย เจ็ดร้อย ยังคิดเหมือนกันว่าไม่แพง เพราะที่นี่ ขวดละ $5.99 บวกภาษีแล้วก็ $6.42  ประมาณนั้น แต่ถ้าพันเจ็ด..เห็นท่าจะรับประทานไม่ลง.. ทีนี้จะอธิบายให้ฟังว่า องุ่นตันหนึ่งนั้น ทำไวน์ได้ 60 ลัง หรือ 720 ขวด  ถ้าราคา  grape ที่ให้มาข้างต้น คือ $6.00  เท่ากับว่า..เขาคิดราคาองุ่น ตันนั้น 4,320.00 ก็องุ่นจากไร่เขานั่นแหละ (ปลูกในสวนอีเดนมั้ง?) ในขณะที่ราคาซื้อขายองุ่นโดยทั่วๆแล้ว ราคาอยู่ในหลักร้อย ดูตัวอย่างราคาของไวน์ราคาถูกที่ยกมา..ค่าองุ่น..$0.50  หมายถึงองุ่นนั้น ตกตันละ $360.00  อันเป็นราคาที่รับซื้อรับขายจากกสิกรจากไร่ทั่วๆไป ในพื้นที่อื่นๆของ คาลิฟอร์เนีย ไอ้แพงๆที่ว่านั่น คือ เขต นาปา แผ่นดินที่ปูด้วยทองในยามนี้และจะเล่าให้ฟังทีหลังว่าต้นสายปลายเหตุมายังไง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 7 ก.พ. 49 20:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ทีนี้มาดูว่า..ทำไมจากต้นทุนแค่ เจ็ดแปดเหรียญ เขาจึงขายขวดละร้อย หรือ ร้อยอัฟๆๆๆๆ profit                   41.50 {ตรงนี้ mark-up ได้ตามกระแสความนิยม} income taxes        15.50    (โดยประมาณต่อขวด) interest                  1.00 Administration        3.50 Marketing/sales      3.50 product {wine}       7.37  (ยกยอดมาจากข้างบน) รวมเท่ากับ              72.37 นี่คือ ราคาขวดละร้อยเหรียญอัฟ แอนด์ อัฟที่ขายๆอยู่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็น โอปัส เพนโฟลส์ หรือ ดอมินุส.. จะมีการแตกออกมาได้ตามข้อมูลที่ยกมา... จากคุณ : WIWANDA - [ 7 ก.พ. 49 20:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอเรื่องไวน์แพงอีกหน่อยเถอะ หลังจากตลาดไวน์โดนถล่มซะเละด้วยนโยบายยุค 5 สั้นแล้ว ทีนี้พวกที่เหลือก็กระเสือกกระสนกันต่อครับ  นอกจากเสียงติฉินนินทาว่ากระแดะแด..........ก ไวน์แล้ว ยังต้องฝ่าฟันดั้นด้นไปหาไวน์คุรภาพดี ๆ ราคาถูก ๆ กันใหม่อีกรอบ ก็ฝันไปเถอะครับ จะมีที่ไหนกัน เพราะหลังจากนั้นไม่ทันไร ประเทศไทยก็ไชโย เจอวิกฤติเศรษฐกิจ ผู้คนเหี่ยวเฉา  อย่าว่าแต่ไวน์เลย แค่เบียร์ช้าง 4 ขวดร้อยยังต้องกินวันเว้นวันเลย แล้วไวน์มันจะเหลือเหรอ   จะมีก็แต่ที่ขายให้พวกกินบ้านกินเมืองเท่านั้นแหละที่ยังมีปัญญาซื้อ (จะบอกว่ามีใครบางคนที่ซื้อไวน์ชาโต เปรตุส ขวดละ 3 แสนแจกใครก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลแค่ว่า นั่นประชุมใกล้กันแล้วไม่ค่อยจะขัดคอก็กลัวจะไปขัดใจใครเขาเข้า) หลังจากโดนถล่มด้วย ไอเอมเอฟ ทีนี้ไม่เฉพาะแต่ไวน์นะครับ เหล่าบรรดาเกจิทั้งหลายที่ออกมาร่ายทวนแนะนำไวน์รสดีตามคอลัมน์ต่าง ๆ ที่ฮิตติดลมอยู่พักนึงก็สลายโต๋วไปด้วย เพราะบก.แกบอกว่าคนอ่านหมดมู๊ดจะอ่านเรื่องของเศรษฐีวะ หลังจากบ้านเมืองฟื้นตัวขึ้นมาหน่อย ตลาดไวน์ก็เริ่มจะทยอยย้อนกลับ โดยเฉพาะพวกร้านค้าระดับรากหญ้าทั้งหลาย ไม่ใช่ระดับไวน์เซลล่าร์หรู ๆ ที่ต้องมีไดเนอร์การ์ด แพลตตินั่มพกติดตัวถึงจะกล้าเดินเต๊ะจุ๊ยเข้าไปชำเลืองฉลากในร้าน ก่อนหน้านี้ไวน์ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต จะมีฝรั่งเศสกะออสเตรเลียครองครับ โดยมีฝรั่งเศสเป็นเต้น เพราะคนยังเชื่ออยู่ว่าไวน์ดีคือไวน์ฝรั่งเศส ของอื่นล้วนแต่ทำเทียมเลียนแบบ ก็พอหาซื้อได้ในระดับสะดุ้ง ๆ เกินพันนิดหน่อยครับ ส่วนเหล่าออสเตรเลีย ตอนนั้นยังไม่มีสารพัด บิน เข้ามากวนใจ เต็มสูบก็บิน 707 รองลงมา ก็พวก rawson retreat ไปเลย หรือจะพูดกันตรง ๆ ก็คือ คนก็ยังไม่ได้พิศวาสอะไรกับเจ้าเพนโฟลด์นักหรอก เพราะตอนนั้นพวกจาคอร์บ ครีก เขาครองตลาดไวน์ออสเตรเลียในไทยอยู่ แต่เมื่อตลาดเปลี่ยน ก็เป็นอันจบครับ คนกินไวน์ก็เริ่มมองต่ำลงมาหลายเตือ จากฝรั่งเศสเท่านั้น ก็เริ่มหันมาแลออสเตรเลียกันบ้าง โดยเฉพาะเมื่อคุณชายถนัดศรี เกิดไปพูดในรายการครอบจักรวาลว่าเจ้าตัวนั้นชมชอบอยู่กับเพนโฟลด์ บิน 707 เข้าให้ ว่ากันว่า เหล่าแอร์โฮสเตสที่มีไฟลต์ผ่านสิงคโปร์  ออสเตรเลีย ต่างกวาดเจ้า 707 มากำนัลให้คุณชายกันเป็นแถว จนหมดดิวตีฟรีนั่นแหละ ส่วนอีกตัวนึงที่โ่ด่งดังขึ้นมาหลังจากฝ่าวิกฤตมาได้ก็คือเจ้าเพนโฟลด์ บิน 2 ครับ  ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่ดิวตีฟรีตามด่านชายแดนที่เปิดบ่อนนั้น เจ้าตัวนี้ขายดีทีุ่สุด เนื่องจากมันขายแค่ 500 บาทไทยเท่านั้นเอง มีแพคแบบ 4 ขวด ให้คนขับรถข้ามมาซื้อได้เลย แต่ราคาในไทยแบบเสียภาษีล่อซะ 1500 นะครับ ชื่อขอเพนโฟลด์ บิน 2 เลยติดหู ติดตา ติดปาก คนไทยมากขึ้น เดี๋ยวนี้เขาเปรียบเจ้าเพนโฟลด์ บิน 2 ว่า เหมือนกับแบล๊ก เลเบิล ในวงการไวน์นั่นแหละ คือนึกอะไรไม่ออกก็ซัดเจ้านี่ไว้ก่อน  หรือเดินหิ้วไปงานไหนก็ไม่อายใคร เพราะคนส่วนใหญ่รู้จัก ส่วนจะรู้จักแค่ไหนนั่นอีกเรื่องนึงนะ เพราะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่ เขาจับกันได้ ไม่ใช่แถวไหนหรอก นนทบุรีบ้านผมนี่แหละ เป็นเพนโฟลด์ บิน 2 นับสิบ ๆ ลัง  ไม่ใช่คดีหนีภาษีนะครับ แต่เป็นคดีของปลอมล้วน ๆ ว่ากันว่า เป็นฝีมือนักการเมืองแถว ๆ นั้นนั่นแหละ สั่งมาจากแหล่งใหญ่มาขายคนไทยใจชอบของหนีภาษี (เอ๊ะ ว่าตัวเองทำไม) แถมปล่อยง่ายขายคล่อง เพราะคนส่วนใหญ่รู้จัก หิ้วไปฝากผู้หลัผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องได้ จากคุณ : 707 (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 20:49:17 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แต่ถ้าไปดูตลาดเสียภาษีในซุปเปอร์มาร์เก็ต  ไวน์ออสเตรเลียนะเสียแชมปืไปแล้วครับ  เพราะถึงจะมีโชว์เยอะจริง แต่ก้ไม่ใช่ขวัญใจคนยากเสียแล้ว เพราะที่ดี ๆ ก็แพงจัด ส่วนที่ถูก ๆ ก็ขอโทษ ถ่ม ถุย จริง ๆ (หยาบไปไหมเนี่ย) ไม่เชื่อไปลองหาซื้อไวน์ออสเตรเลียที่ราคาประมาณ 300 บาทในห้างชื่อดังที่แปลว่าดอกไม้ขึ้นในน้ำดูเหอะ ใครกินแล้วบอกว่าอร่อย ยอมให้ตื๊บ ไวน์ที่เข้ามาครองหัวใจคนยากแทนที่ไวน์ออสเตรเลียในไทยคือไวน์จากชิลีครับ  เมื่อก่อนหายาก (หรือไม่อยากหาก็ไม่รู้) แต่เดี๋ยวนี้ออกมาสารพัดยี่ห้อ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคา ส่วนที่ห่วยก็ไม่เลวร้ายสักเท่าไร ราคาแค่ 500 กว่าก็พอจะหาซื้อที่ดี ๆ ได้แล้ว หรือต่ำกว่าก็มี ส่วนไวน์ไทยก็ยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องให้สมกับที่ พณฯ ได้ประกาศเจตนาไว้ว่าที่เค้าขึ้นภาษีไวน์เยี่ย ไม่ได้เพื่ออะไรเลยนะ แต่เป็นเพราะเดี๊ยน เอ้ยกระผมต้องการจะปกป้องธุรกิจไวน์ของไทยให้เจริญเติบโต พร้อมทั้งยกระดับเกษตรกรไทยให้ได้มีอาชีพกันนะครับ รู้สึกว่า นอกจากเขาไหญ่ไวน์เนอรี่ที่พอจะโอเคแล้ว ที่เหลือก็เต็มกลืนครับ บอกแบบไม่เกรงใจ ไวน์พี่เสธ. ปีแรกก็พอทำเนา แต่ปีล่าสุดที่เป็นรูปหน้าคนหูกาง ๆ บนฉลากสีน้ำเงินนั้น สุดขีดจริง ๆ ครับ ของวังน้ำเขียวสารพัดรุ่นก็พอไหว เคยไปซื้อหากินในไร่เขา ไม่ถูกกว่าที่ขายข้างนอกหรอกครับ ถ้าไม่ได้อยากไปพักผ่อน ก็อย่าหาเรื่องไปซื้อไวน์ถูกที่นั่นเลย ราคาพอ ๆ กับร้านหน้าบ้านนั่นแหละ ขวดละ 300 500 700 พันกว่า  หลายราคา คุณภาพใช้ได้ ที่แย่คือด้วยราคาเท่านี้ คุณไปหาซื้อของชิลีได้ในคุณภาพที่ดีกว่านะสิครับ เหมือนยี่ห้อที่เขาเอานามสกุลมาตั้งเป็นชื่อรุ่น แล้วใช้องุ่นพันธ์เสปน เจ้า tempaninyo สกดผิดบ้าง เจ๊ อย่าตีนะ ขวดนี้ ถ้าดวงซวยอาจจะต้องซื้อถึงขวดละเกือบพัน แต่ถ้าซื้อตามที่ควรจะซื้อจริง ๆ ไม่เกิน 800 บาท เจ้านี่แหละครับที่ทำให้คนที่เขียนคอลัมน์ที่เจ๊หยิบมาอ้างถึงตอนต้น ตกรอบในรายการแฟนพันธ์แท้ เพราะทายพันธ์องุ่นผิด ถามว่าใช้ได้ไหม ก็แบบเดิมครับ ถ้าอยากจะชิมน้ำไวน์จากองุ่นพันธ์นี้ มีของเสปนขนานแท้และดั้งเดิม รุ่นรีเสริฟ ราคา 600 บาทต่อขวดครับ หรือจะเอาให้สาหัสกว่านั้น ลองไปก้ม ๆ อย่าเงย แถววิลล่า มาร์เก็ต จะเห็นเจ้าไวน์ทีใช้องุ่นพันธ์นี้ ขายขวดละ 300 กว่าบาทไม่พอ ซื้อ 2 ขวด แถมมันไปเลยอีก 1 ขวด นโยบายตั้งกำแพงภาษีเพื่อเกษตรกรไทยได้ผลดีไหมครับท่าน ดร. จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 21:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อต้นทุนเขากำหนดมาว่า เป็นเจ็ดสิบกว่าเหรียญ หรือ แปดร้อยกว่า ต่อลัง.. มาถึงมือ  Wholesaler ต่อด้วย  Retailer อีตานักข่าวสื่อศิลปเอ๋ย...พระเจ้ายอร์จของเธอก็ต้องร้องจ๊ากสสส์  เขาบวกกันกระหน่ำ มันเป็นกำไรซ้ำซ้อน เพราะไวน์ราคาขนาดนี้ เขาซื้อกันเงินสดๆ ไม่มีเครดิต ซื้อแล้ว ซื้อเลย..ขายได้หรือไม่ได้ ก็เรื่องของเอ็ง และงานนี้มันเป็นการกระทำแบบร่วมมือ..เพราะราคาเขาจะไม่หนีถอยไปกว่ากันมากมายนัก ทุกบริษัทจะขายในราคาใกล้เคียง แต่อาจซื้อได้ถูกไปนิดหน่อย ตาม Costco แต่ไวน์ในลักษณะนี้ หมายถึง มีชื่อเสียงแล้ว มาจากไร่เล็กๆที่ ผลิตได้ปีละประมาณว่า สามพันลัง(อย่างน้อย)..หรือ เท่ากับ 36,000 ขวด.. มีแฟนๆขาประจำเป็นลูกค้าเข้าคิวจ่อรอซื้อยาวเหยียด เขาจะส่งให้ Wholesaler/ retailer ไปขายแค่ 25 % หมายถึง 9,000 ขวด คิดดูว่า กำไร ขวดละ 41.50  จะมีรายได้ 373,000 เหรียญ และ ที่เหลือเก็บไว้ขายเองในรายการ waiting list ไม่ต้องจ่ายค่า W/R จะกำไรเท่าไหร่ เอาคร่าวๆนะ ว่ารับอีก 1.7 ล้านเหรียญ ตอนนี้เห็นยัง..ว่าทำไมธุรกิจไวน์มันถึงได้มาแรงนัก ไม่นับรวมว่า ค่าที่ดินในการทำไวน์ได้จนประสบความสำเร็จนั้น ทะยานพุ่งขึ้นราวกับปูด้วยทองคำ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 22:03:12 แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 21:36:05 แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 21:35:51 แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 49 21:34:49 จากคุณ : WIWANDA - [ 7 ก.พ. 49 21:02:34 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วไวน์ราคาถูกที่ว่านี้..คือราคา ระดับ 5-6 เหรียญ ที่ยกมาให้ดูว่า ราคาทุนนั้นตก ขวดละ 0.97 ซึ่งยังต้องมองในด้านอื่นๆอีกหลายด้าน โดยสังเกตว่า ไม่มีค่า foil  เพราะ ในปัจจุบัน หลายไร่กำลังอ้างว่า การใช้สารตะกั่วอาจเป็นพิษต่อร่างกาย จึงเลี่ยงไม่ใช้ ใส่จุกและปิดครั่งมาให้ข้างบนหน่อยนึง ถืออาจมีพลาสติกใสพันมาแทน.. แท้จริงแล้ว..คือการเลี่ยงใช้ foil  ที่ราคาแพง เนื่องจากต้องสั่งทำ ต้องย้อมสี ตกแล้วก็สิบกว่าเซ็นต์ หรือ จุกไม้ก็อก ที่ราคา เกือบสิบเซ็นต์นั้น หลายๆเจ้าได้หันไปใช้จุกไม้ก็อกเทียมที่ทำจากพลาสติค ที่ราคาถูกกว่ากันมาก ตรงนี้..ถ้าเข้าใจแล้ว สามารถประเมินราคาไวน์ได้ก่อนซื้อ เท่ากับว่า ก่อนซื้อไวน์ ดูด้วยว่า ขั้นตอนและราคาต้นทุน นั้น ควรจะสักเท่าใด  สมควรซื้อด้วยราคานั้นหรือไม่.. ทีนี้จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ซะทีได้ยัง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 7 ก.พ. 49 21:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยังเจ๊  ยิ่งมาบอกว่าเขาเปลี่ยนจากฟอยด์มาเป็นจุกปิดครั่งเพื่อลดต้นทุน ไม่ใช่เพื่อรักษาสุขภาพให้เราซะหน่อย ฟังแล้วยิ่งเฮิร์ตใหญ่ เพราะไวน์จากอเมริกานั่นแหละตัวดี เห็นกี่ตัวกี่ตัว (ที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปในไทยนะ) เป็นประเภทนี้ทั้งนั้น แสดงว่ามัน (ใครว่ะ) เอาของจอกจอกมากขายนี่หว่า แถมไอ้ประเภทเอาพลาสติกมาทำจุกนั่นอีก  เดี๋ยวนี้เห็นบ่อย หลังจากเจอไม้ก๊อกแบบหยาบ ๆ แล้ว เดี๋ยวนี้เล่นปากะติ๊กเลย มีแบบสีดำด้วยนะ จะบอกให้ โอ๊ย  นึกภาพแล้วไม่อยากเดาราคาจริงมันเลย ผับผ่า ก็เวลาไปซื้อมันทีไร ใบไม่ต่ำกว่าสีม่วงทั้งนั้นแหละ ถึงต่ำกว่า ก็เหลือทอนมาไม่พอติ๊ปนักร้องหรอก อย่างมากก็เด็กนวดในห้องน้ำเท่านั้นแหละ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 21:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เฮ้ย..ไม่ต้องเสียใจ เพราะในอเมริกา เขาก็ขาย 5-6 เหรียญแล้วไง คนที่นี่แท้ๆยังโดนบวกสารพัด  ไหนจะ sales tax  อีก เพียงแต่เรามีตัวเลือกมากมาย ในการที่จะหาของดีราคาถูก ไปขายเมืองไทย ราคา 10 กว่าเหรียญ (หมายถึงสี่ร้อยกว่าบาท) ก็ทำใจน่า..เพราะตัวเลือกมันน้อยนัก.. ทีนี้ก็ลองส่ายตาหาดูไวน์ฝรั่งเศส( ถูกๆก็มีไม่ใช่เร๊อะ) หรือ ไวน์ชิลีเอาก็แล้วกัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 7 ก.พ. 49 22:10:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มีครับไวน์ฝรั่งเศส แต่ไม่ถูก  วันนั้นไปซื้อกับซี้ติ่ง  มันบอกว่าตั้งกะกินไวน์กะมผมาเห็นว่าแต่ชิลีกะออสเตรเลีย ไม่เห็นเล่นฝรั่งเศสเสียที ก็เลยบอกมันว่า อันว่าไวน์ฝรั่งเศสนั้น หากมิใช่ระดับเลิศหรูอลังการ ซึ่งเกินกว่ากำลังสตังค์ในกระเป๋าพวกเราจะหาญกล้าแล้วไซร้ ก็อย่าได้ไปถวิลหามันเลย  เพราะมันจะกระเดือกบ่ลง สู้เอาเงินหาร 2 ไปซื้อหาไวน์โลกใหม่รสชาติใกล้เคียงดีกว่า แต่ว่าเพื่อไม่ให้เสียชื่อชายชาติตะหานกล้า  วันนั้นก็เลยควักกระเป๋าดังหนับด้วยความเหนียว ซื้อไวน์ฝรั่งเศสระดับ AOC ของ MEDOC ขวดนึง ราคาตั้งพันกว่าบาท เพื่อให้มันลองสักหน่อย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเจ้าเกรดนี้ก็คงงั้น ๆ แหละ แถมยังต้องถกเถียงกับแม่สาวเชียร์ไวน์ที่พยายามบอกให้เราซื้ออีกขวดนึงให้ได้ ไม่ว่าเราจะพยายามบอกคุฯน้องว่าก็ขวดนั้นมัน vine de table นะจ๊ะคุณน้อง  แต่ที่พี่หยิบนี้มันประมาณ AOC นะเฟ้ย มันจะดีไปกว่ากันได้ไง ประมาณว่า ขวดนั้นมันคงให้ค่าแนะนำแพงกว่า ไม่งั้นก็เป็นไวน์ในเครือบริษัทของคุณน้องเขานั้นแหละ หลังจากนั้นก็หิ้วเจ้าเมดอกขวดนั้นเข้าร้านทันใด เออ ถ้าบอกประเภทร้านแล้วห้ามด่านะเจ๊ เจ้าไวน์ AOC จาก MEDOC ขวดนั้น แทนที่จะแวบหายไปพร้อมกับเซอลอยด์เสต๊กในห้องติดแอร์อุณภูมิเย็นเฉียบ  ดันไปคบค้าสมาคมกับเก้งผัดเผ็ด ต้มยำปลาบึก ร้านอาหารป่าเจ้าฮิต กินไปบ่นไป (ว่าทำไมเผ็ดจังวะ) แต่ขอโทษ ถึงจะกินร่วมกับอาหารผิดคู่ไปหน่อย แต่มีระดับนะครับ  เพราะนอกจากจะเอาแก้วไปเอง  รินแบบดู ดม ดื่ม ตามสูตร พร้อมสั่งเด็กในร้านให้เปิดเพลงของพี่เป้าสายัณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็กระดกชิมรสกันแบบมีน้ำเปล่าแกล้มให้ลิ้นเป็นกลาง ไม่ใช้ตัดสินหลังผัดเก้งหนอ ส่วนรสชาติจะเป็นไง อย่าให้พูดเลยครับ  ถ้าไม่เกรงใจกันว่ามันขวดละพันสอง ซี้ติ่งมันคงสั่งเบียร์ช้างไทยไชโยมากระทืบพล่ากุ้งให้ลงกระเพราะแทนไปแล้วละครับ สุดท้ายเลยต้องกลับไปหาน้ำพริกถ้วยเก่า เป็นเจ้าชิลีเหมียนเดิมครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 7 ก.พ. 49 22:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตอนผมกลับเมืองไทย มีทำรายการอาหารฝรั่งเศสเลี้ยงกันในครอบครัว ไปหาไวน์ฝรั่งเศสในร้าน ซื้อไม่ลง ไอ้พวกขวดละสามสี่ยูโร (ที่ปกติเราไม่เคยแลเลยในฝรั่งเศส) พวกล่อกันเข้าไปหลักร้อยปลายๆ พวกที่เราคุ้นชื่อ กินได้ ก็พันกลาง พันปลาย กลับบ้านไปหน้าเหี่ยวๆ พ่อบอกมีคนให้ไวน์ออสเตรเลียมาเอามากินกันก็ได้ไม่เป็นไร เราก็เปิดกินกันแบบไม่รู้ค่า เพราะพ่อว่าไวน์ฟรีนี่นา กินทิ้งกินขว้าง แบบ vin de table บอกว่าถ้าเหลือก็ทิ้งไปละกัน ไวน์เปิดแล้วเก็บไว้ไม่ดี น้องเขยฟาดไปเรียบ สามวันต่อมาไปเดินฟู้ดแลนด์ เจอสลากคุ้นๆ เคยเรียกพ่อมาดูว่านี่ไง ที่เรากระเดือกกันแกล้มสะเต็กวันก่อน มันคือ เพนโฟลด์ บิน 407 ราคาบินไปตั้งสี่พันกว่า เป็นลมกันถ้วนหน้า ปัจจุบันเจ้าขวดที่รอดชีวิตยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีจนทุกวันนี้ จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 7 ก.พ. 49 23:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แวะไปอ่านเรื่องราวของตัวเองมาในห้องกอล์ฟ น้องเขาเอาไปเขียนเล่า ตอนที่เขามาเยี่ยมเยียนที่นี่.. ไหนๆก็ดูเหมือนว่าจะมีเพื่อนใหม่หลายคน บรรดาคอไวน์ด้วยกัน  จะได้รู้จักกันไว้เลย.. ตอนหนึ่ง.. http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S4068781/S4068781.html ตอนสอง... http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S4085537/S4085537.html คุณ  d19 กลับมาถึงกรุงเทพแล้ว หลังจากที่ไปตกระกำลำบากอยู่ที่เพิร์ธ ตระเวณทดลองชิมไวน์จนหน้าเกรียมแดด...... โถ..พ่อคุณ..จะเป็นอะไรมากมั๊ยเนี่ย..??? คุณบุญชิตคะ ..เห็นหรือยังว่า พ่อนี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง.. ชอบชื่อนี้จัง..สวัสดีค่ะ  คุณ oldmanhandsome คุณกริช.. นึกว่าไปไหนแล้วซะอีก.. จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 03:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 27 กลับมาเล่าเรื่องในอดีตกาลต่อ เรื่องธุรกิจไวน์จะแทรกไปเรื่อยพอเป็นกระสายยา หลังจากที่  นิโคลัสได้ถึงแก่อนิจกรรมไป อนาคตของไวน์ เส้นสายโอไฮโอก็ดับวูบลง ขาดผู้นำที่เข้มแข็งไปเสียคน เหล่าเกษตรกรก็หันไปปลูกอย่างอื่นกันแทน องุ่นก็ค่อยๆหายไป แต่ที่รัฐ มิสซูรี ไล่ไปเรื่อยจนถึง นอร์ธ แคโรไลน่า จด นิวยอร์ค ยังมีการปลูกองุ่นทำไวน์อยู่อย่างประปราย เพราะเป็นที่อยู่หนาแน่นของชาวเยอรมันอพยพ  โดยใช้องุ่นพื้นเมือง คือ คาตาว์บา และ เดลาแวร์ มาทำเป็นไวน์ซ่า เรียกกันว่า  New York Champagne   เล่นเอาขายดิบขายดี.. และมีหลักฐานยืนยัน จากข้อเขียนรีวิวของ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส  Jule-Emile Planchon ที่ได้มาเยือนอเมริกา ในปี 1873 ที่ว่า "tre's agre'abla,"  และเขาได้ย้ำว่า ดีกว่าที่คิดไว้มาก.. นับว่า เขตท้องที่รัฐ โอไฮโอ, มิสซูรี, นอร์ธ แคโรไลน่า, นิวยอร์ค ได้สืนสานเจตนารมณ์ของนิโคลัส ลองเวิร์ธ ในการพยุงและส่งเสริมการปลูกองุ่นพันธ์พื้นเมืองเพื่อทำไวน์ให้ผู้บริโภคแทนเหล้าต้มกลั่นดีกรีแรงได้เป็นผลสำเร็จได้ในระดับที่น่าพอใจ อีกทั้งทฤษฏีที่เขาทิ้งเอาไว้ที่ว่า..ถ้าราคาขายตั้งอยู่ด้วยความยุติธรรม  ใครๆก็ต้องซื้อ .. ได้พิสูจน์แล้วว่า มันเป็นความจริง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 04:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอเสริมนิดนึงครับ ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนมี 4 ที่เท่านั้นในโลกนี้ 1. เมดิเตอร์เรเนียน (เออนะ) 2. แคลิฟอร์เนีย 3. ชิลี 4. ชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย แถวเมืองเพิร์ธ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมองุ่นจากแถบนี้เท่านั้นถึงทำไวน์ได้ดีนะครับ จากคุณ : HotChoc - [ 8 ก.พ. 49 06:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สาเหตุที่ประสบความสำเร็จดังที่เล่ามานั้น เพราะว่า.. ภาครัฐ(หลายๆรัฐ)ได้ตื่นตัวในเรื่องกิ่ง และพันธ์องุ่นที่ดีกว่า และที่สมควรว่าจะนำมาปลูกได้เป็นอย่างดีในพื้นที่ใดที่หนึ่งของอเมริกาอันกว้างขวางใหญ่โต.. ทุกรัฐต่างมุ่งหวังจะจรรโลงภาคเกษตรองุ่นนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมโอท็อป งั้นเรามารู้จักคนคนนี้กัน.. เขามีชื่อว่า Agoston Haraszthy ที่ในปัจจุบัน สถาบันไวน์ได้ยกย่องให้เขาเป็น... "The Father of California Viticulture" อกัสตอง เป็นชาวโปล์อพยพเข้ามาอเมริกา หลังจากที่สถานะทางการเมืองระหว่าง โปแลนด์และออสเตรียเริ่มตึงเครียด   จากการที่เขาเป็นคนมีการศึกษา ชาติตระกูลดี ฐานะดี เคยเป็นทหารยศร้อยโทใน Royal Hungarian Guards ในปี  1830. เมื่อมาถึงวอชิงตัน เขาได้ถูกพาตัวไปแนะนำให้รู้จักกับ ท่านประธานาธิบดี  Tyler เพื่อปรึกษาข้อราชการระหว่าง ยูเอสเอ และ ฮังการี ซึ่งการต้อนรับนั้น เขาได้ประทับใจมาก  อีกทั้งการท่องเที่ยวไปทั่วๆ Ohio, Indiana, Illinois,Wisconsin ตลอดจน Iowa และ Kansas ทำให้เขาถึงกับเข้าหุ้นกับเพื่อนชาวอังกฤษ ซื้อที่ดินลุ่มแม่น้ำวิสคอนซินไปกว่าหมื่นเอเคอร์ ที่ผู้ขายให้คือรัฐบาลอเมริกัน จากนั้นเขาก็กลับไปชักชวนญาติพี่น้องพ่อแม่ให้เทหุ้นชินคอร์ป..เอ๊ย..ไม่ใช่ ทรัพย์สินทั้งหลายแหล่ที่มี ยกโขยงย้ายเข้าอเมริกากันเป็นการถาวร โดยการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนใหญ่โตราวกับพระราชวังที่ Sauk City, Wisconsin จากนั้น เขาและครอบครัวได้ก่อตั้งกิจการนานาชนิด  เช่น  มีกิจการขนส่งทางน้ำ(เรือกลไฟ) ห้างร้าน ที่มีทั้งขายของแบบซูเปอร์มาร์เก๊ต และ ห้างสรรพสินค้าที่มีการรับของมาขายจากห้างใน นิวยอร์ค,ลอนดอน และ ปารีส   อีกทั้งการเป็นนายทุนให้กับชาวเยอรมันอพยพในการก่อร่างสร้างตัวทางภาคเกษตร และ ปศุศัตว์ (จนปัจจุบันได้มาร่ำรวยกันหลายคน รวมทั้งนาย Charles Krug เจ้าของ  sparkling wine  "Krug"  แพงๆที่ คุณ  sofatboy  นำรูปมาลงนั่งไง) แม้ว่าการทำมาค้าขายของเขาจะประสบความสำเร็จรุ่งเรืองก็จริง แต่อกัสตองยังมีปัญหา"คาใจ" ติดมาตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในโปแลนด์ นั่นคือ เขาพยายามทำไร่องุ่นทำไวน์ แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้น ในคริสมาสต์ปี 1848 เขาและครอบครัวรวมทั้งสมัครพรรคพวกกว่าหกสิบชีวิตจึงตัดสินใจขายสมบัติทั้งหมด ย้ายมาที่คาลิฟอร์เนีย ด้วยกองคาราวานขบวนใหญ่ กว่าจะถึง San Diego ก็ปาเข้าไป ในเดือน ธันวาคม 1849 โน่น.. ตอนนั้น ซาน ดิเอโก ยังเป็นบ้านนอกคอกนาอยู่  ในส่วนที่เรียกว่า San Diego village นั้นมีประชากรแค่ 650 คน พอมาถึง อกัสตองก็เริ่มทำกิจการครอบคลุมสารพัดชนิดทันทีด้วยกำลังทรัพย์ที่มี..จนกลายเป็นประธานอบต.ไปโดยปริยาย เขาได้รับเลือกให้เป็นนายอำเภอ เมื่อปี 1850 และต่อมา พ่อของเขาได้รับเลือกให้เป็น อธิบดีหน่วยงานที่ดิน น้องชาย(ลูกติดของแม่เลี้ยง)ได้รับเลือกให้เป็น อัยการจังหวัด เรียกว่า ครอบครัวไฮโซพันธ์แท้ จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 06:25:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30 นายอำเภออย่างอกัสตองนับว่าเป็นที่เกรงขามเพราะเขาเข้าลุยอย่างเข้มแข็งในเรื่องของการจัดเก็บภาษีซึ่งตอนนั้นคือปัญหาใหญ่ เนื่องจาก ซาน ดิเอโก เป็นที่ชุมชนของคนหลายเผ่า อย่างอินเดียนแดง และ เม๊กซิกัน เขาได้จัดการเก็บเรียบ แม้กระทั่งเรื่องการก่อจราจลของพวกอินเดียนแดง ที่เขาสามารถจับตัวหัวหน้ามาพิพากษา ตัดสินขั้นเด็ดขาดได้ นับว่าชีวิตทางการงานของเขาได้มีเกียรติประวัติที่ดี   แต่ความฝันในการทำไวน์ดีๆนั้น ยังไม่หายไปไหน เขาได้เดินทางมาสำรวจลาดเลาทางเหนือ และชอบใจกับพื้นที่ใกล้กับ ซาน ฟรานซิสโก..นั่นคือ  Sonoma Valley ที่เขาเห็นว่ามีภูมิประเทศและอากาศใกล้เคียงกับโปแลนด์ จึงได้จัดการซื้อไว้กว่าสองร้อยเอเคอร์ในปี 1852 และย้ายขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังในเรื่องของการเกษตร และตรงที่ที่เขาซื้อ เขาได้ตั้งชื่อมันว่า Szeptaj Estate  และ ต่อมา คือ The Buena Vista Winery (ปัจจุบัน คือ State Park and historical site) ในปี 1861  เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนจากภาครัฐให้เดินทางไปยุโรปเพื่อการศึกษาในความเป็นไปได้ และ ซื้อกิ่งตอนขององุ่นสารพัดพันธ์ รวมทั้งพืช ผลไม้อื่นๆกลับเข้ามาทดลอง (ด้วยทุนทรัพย์ของตัวเอง) ทั้งนี้ทั้งนั้น การไปเยี่ยมเยียน ฝรั่งเศส เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ สเปน  อิตาลี โปรตุเกส กรีซ อียิปต์ เขาได้ซื้อองุ่นกว่าแสนกิ่ง เมื่อกลับมาในปี 1862 เขาและพื่อนๆชาวต่างชาติอพยพได้ช่วยกันทำการเพาะปลูกทดลอง จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ.. อกัสตองเสียชีวิตในการจมน้ำหายไปอย่างไม่มีร่องรอยพบศพ ในปี 1869 ในคำไว้อาลัยจากเพื่อนๆของเขาได้เขียนไว้ว่า.. "Born aristocrat, :-) frontiersman at heart, he was equally at home in the elegant ducal salons of Europe  or the gaudy nouveaux riches of San Francisco... Playing Bach and Beethoven while enforcing the law of the frontier, he was a soldier, law student, author, sheriff, metallurgist, land promoter, steamboater, saw mill operator, wagon train master, politician, lobbyist, humanist, visionary, but most of all.. ."The Father of California Viticulture". [from the House of Hungary, Balboa Park] และจากกิ่งองุ่นของอกัสตองที่ได้นำมานั่นเอง..ที่ได้มาเป็นพ่อแม่พันธ์กลับคืนไปให้กับการปลูกองุ่นทำไวน์ฝรั่งเศสหลังจากเกิดโรคระบาด  Phylloxera  ที่ไร่องุ่นทั้งหมดตายเรียบในปี 1884 I จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 06:28:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สวัสดีค่ะ..คุณ HotChoc ดีใจที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะ..คือว่า ภูมิอากาศที่ว่ามานั้น พื้นที่เขาจะอยู่ติดทะเลค่ะ อย่างชิลีนั้น เทียบได้ราวกับ ฝั่งคาลิฟอร์เนียเลย เพราะยาวลงมาเป็นเส้น อากาศไม่ว่าจะร้อนขนาดไหน ก็ลงเล่นน้ำไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่เพราะกลัวฉลาม แต่น้ำเย็นมาก ตรงนี้ เมื่อยามที่เกิดอากาศร้อนไปกระทบ  จะทำให้เกิดหมอกมาคลุมตามไหล่เขา อันเป็นปรากฏการตามธรรมชาติ ชาวไวน์เรียกว่า  hang time เหมือนกับจะมีไออากาศมาหุ้มองุ่นไม่ไห้รับความร้อนแบบเต็มๆ และไม่ทำให้สุกเร็วไปจนเกินการ อีกทั้งเขาสามารถเลื่อนการปลูก การเก็บ หรือที่เรียกว่า harvest ให้ตรงกันกับสภาพอากาศ คือ ปลูกหลังฝน ต้นหนาว และมาเก็บได้ตอนย่างเข้าต้นร้อน นี่คือการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี ที่เราต้องศึกษาอีกมากมายค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 06:38:41 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอนไปไม่ลำบากหรอกครับ ลำบากตอนหอบกลับนี่แหละ วันนี้เปิดตู้เอาตระกูลนี้มาถ่ายรูปส่งให้ดูครับ มีแต่รุ่นใหญ่ครับ รุ่นหลานๆแบบ Bin2 ไปวิ่งเล่นอยู่เลยไม่ได้มาถ่ายรูปหมู่ด้วย จากคุณ : D19 - [ 8 ก.พ. 49 07:44:39 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แถวเพิร์ธ อากาศร้อนแต่ลงน้ำไม่ได้จริงๆครับ ไม่ใช่น้ำเย็นอย่างเดียวมี ฉลามด้วย ทางเพิร์ธบางเจ้าก็เริ่มปลูกไวน์ซินฟานเดลแบบอเมริกาแล้วเหมือนกันครับ พันธุ์นี้จะต้องการการดูแลเอาใจใส่มากกว่าชีราสกับคาร์เบอร์เน่ที่ผมชอบก็เช่น Cape Mentelle, Peel Estate ส่วนทาง south australia ตอนนี้เริ่มฮิตไวน์สไตล์แคว้นโรนกันครับ เอาชีราสผสมกับวิโอเนียร์ ตระกูลนี้ก็น่าสนใจครับแต่ยังเก็บได้แค่สองตัวเอง เห็นเมืองไทยก็มีคนนำเข้าครับไม่รู้เท่าไร จากคุณ : D19 - [ 8 ก.พ. 49 07:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สวัสดีครับคุณอาวิวันดา มาเป็นชุดเลยนะครับ อ่านประวัติของ Agoston Haraszthy ที่เป็นนายอำเภอคนแรกของซานติเอโก ( 1850 -1851 ) ประวัติยังกับอินเดียน่าโจน  สุดท้ายหาศพไม่เจอเพราะถูกจระเข้รับประทาน วิลล่าของงอกัสตอง จากคุณ : sofatboy - [ 8 ก.พ. 49 10:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Pompeian villa ของ Count Haraszthy จากคุณ : sofatboy - [ 8 ก.พ. 49 10:25:52 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ... จากคุณ : sofatboy - [ 8 ก.พ. 49 10:29:19 ]

ความคิดเห็นที่ 37 โรงบ่มไวน์ Buena Vista Winery [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : sofatboy - [ 8 ก.พ. 49 10:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 38 .. จากคุณ : sofatboy - [ 8 ก.พ. 49 10:41:21 ]

ความคิดเห็นที่ 39 โอย..คุณ  d19 ขา..ของที่มาโชว์น่ะ..สำหรับอิฉันไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ  แต่มีคนแถวๆนี้ มานจาลงแดง..อยู่แล้ววว.. จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 12:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขออนุญาติใช้พื้นที่โฆษนาครับ www.wine.co.th สำหรับท่านที่สนใจไวน์แคลิฟอเนีย ถ้าชอบตัวไหน หลังไมค์มาแล้วจะ quote ราคาใหม่ไปให้ครับ จากคุณ : Natt_ac121 - [ 8 ก.พ. 49 13:20:57 ]

ความคิดเห็นที่ 41 โอย...ผมก็คนนึงล่ะ โดยเฉพาะ Grange กับ RWT ตอนน้องชายบินไปเรียนเสธที่ Australia บอกให้หิ้วมาฝากซัก ขวด 2 ขวด เน้นปี 2002 มันหิ้ว Peter Lehmann Shiraz กับ Cab.ราคา 10.99 เหรียญ มาฝากแทน ดีหน่อยที่ยังได้ปี 2002 ถามได้ความว่า มีกะตังค์เหลือแค่นี้ จะเอาอ๊ะเปล่า ไปดูที่วิลล่า ตั้งไว้ที่ พันห้าฝ่าๆ ก็โอเค รอมันว่างมากินด้วยกัน หนอยมันกลับบอก ไอ้ที่หิ้วมา เอาแช่ไว้ก่อน เปิดที่ค้างตู้อยู่มากินแทนดีกว่า ก็เลยต้องแช่รอท่านไปพลางๆ แต่ขวดมันสวยดี ก็เลยวางประดับตู้ไปเรื่อยๆ คิดว่าคงยังไม่มีวาสนาลิ้มลอง เจ้า 2 ตัวข้างบนนั่น รอแต่จะมีใครเอามาเซ่นสรวง เพราะให้ซื้อกินตามราคาตลาดเมืองไทยละก็....เจ้าอย่าหวัง..ไว้ขายหุ้นน้ำเต้าหู้ได้สัก 7 หมื่นล้านแล้วจะบินไปเหมามาซดแทนน้ำเต้าหู้ ตอนนี้รอไปก่อนด้วยความอยาก จากคุณ : oldmanhandsome - [ 8 ก.พ. 49 13:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ Natt_ac121  ที่รัก แหม จุดใต้ตำตอ หวังว่าคงไม่ทำให้คุณเสียหายทางธุรกิจนะคะ เพราะได้นำข้อมูลมาแฉซะแล้ว.. แต่ขอสนับสนุนว่า ถ้ามีคนอยากจะลอง ขอโหวตให้กับ ฟาร์เนียนเต้..ตัวนี้เลย.. 2000  Far Niente Napa Valley Cabernet Sauvignon ตามราคาที่คุณให้มาก็พอสมน้ำสมเนื้อ  และขอบอกว่า เป็นไวน์ที่เลิศมาก..จัดอยู่ในแถวหน้าของนาปาเลยเชียว.. ตัวต่อไป..ที่น่าสนใจ...นั่นคือ 2000  Pine Ridge Stags Leap District Cabernet Sauvignon   เรื่องราคาไปต่อรองกันเอาเอง ..เพราะคุณ Natt เขาเปิดทางให้แล้ว.. จากคุณ : WIWANDA - [ 8 ก.พ. 49 13:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เอิ๊ก ผมไม่รู้ว่าตัวที่อาจารย์หมายถึงคือ ฟายานเต้ (Far Niente) ส่ผมคิดว่าฟายานเต้ เป็นไวน์ที่อร่อยตัวนึงฮะๆๆๆ แต่เนื่องด้วยความ ฟรุตตี้ และดราย หลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่โดยส่วนตัวผมแนะนำ PalhMeyer ตัว red Blend น่าจะเข้ากะปากคนไทยมากกว่าครับ เพราะออก spicy นีสนึง 2000  Pahlmeyer  Red Table Wine ส่วน ใครสนใจตัวไหน เชิญหลังไมค์เลยคร้าบบบ เอาอาไรมาให้ดูนิดหน่อยฮะ The World's Most Expensive Wines by Price Reds 1. Domaine de la Romanée-Conti Romanée-Conti, Burgundy 2. Château Pétrus, Pomerol 3. Domaine de la Romanée-Conti La Tâche, Burgundy 4. E. Guigal Côte-Rôtie La Turque, Rhône 5. Méo-Camuzet Richebourg, Burgundy 6. Château de Vosne-Romanée La Romanée, Burgundy 7. Diamond Creek Cabernet Sauvignon Napa Valley Lake, Napa Valley (L'Or du Vin mistakenly uses the Volcanic Hill bottling) 8. Château Lafleur, Pomerol 9. Grace Family Vineyards Cabernet Sauvignon, Napa Valley 10.Château Mouton-Rothschild, Pauillac Whites 1. Joseph Drouhin Montrachet Marquis de Laguiche, Burgundy 2. Ramonet Bâtard-Montrachet, Burgundy 3. Louis Latour Chevalier-Montrachet Les Demoiselles, Burgundy 4. Domaine de Chevalier, Pessac-Léognan 5. Bonneau du Martray Corton-Charlemagne, Burgundy 6. Chateau Woltne r Chardonnay Napa Valley Titus Vineyard, Napa Valley 7. Domaine Leflaive Puligny-Montrachet Les Pucelles, Burgundy 8. Laroche Chablis Grand Cru Les Blanchots Réserve de l'Obédiencerie, Chablis 9. Château Grillet, Rhône 10.Ca'del Bosco Chardonnay, Italy ที่อาจารย์ พูดถึงงาน master of wine and food อาไรนั่น ไวน์นาปา ที่ over price สุดๆ หมายถึงตัวนี้ปะครับ?? Diamond Creek Cabernet Sauvignon Napa Valley Lake, Napa Valley (L'Or du Vin mistakenly uses the Volcanic Hill bottling) จากคุณ : Natt_ac121 - [ 8 ก.พ. 49 14:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ Natt_ac121  เจ้าขา... ไวน์ Far Niente มีชื่อมาจากภาษาอิตาลีในคำว่า.. "dolce far niente" แปลว่า..pleasant relaxation in carefree idleness   หมายถึง ทำตามสบายๆ... คำอ่าน..และออกเสียง..อยู่ในนี้ค่ะ http://www.m-w.com/cgi-bin/dictionary?book=Dictionary&va=NIENTE&x=13&y=7 และไวน์ที่พูดถึงในการที่จะเสิร์ฟ Master of Food and Wine ในปีนี้นั้น.. คือตัวนี้ค่ะ.. screaming eagle "Rated 94 - The 1998 Cabernet Sauvignon, which was bottled in late June, has turned out even better that I thought last year. It boasts a saturated ruby/purple color in addition to an expressive bouquet of cassis, minerals, and smoke. This multi-textured, round wine exhibits sweet, well-integrated tannin, a great mid-palate and finish, as well as spectacular purity and palate presence. Consume it now and over the next 15-20 years." - Robert Parker Wine Advocate *3 Pack in Original Wood Crate Unit: $4,000.00ea. ยูนิทหมายถึงสามขวด.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ก.พ. 49 00:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณวิครับ ตัวScreaming Eagle นี่ยอมรับเรื่องความแพงเลยครับ ยังไม่ได้มีโอกาสไขว่คว้ามาชิมเลยครับ ในหนังสือไวน์เขียนไว้ว่าที่แชงกรีล่าสิงคโปร์ขายแก้วละ 25000 บาท เจ้าของคือ Jean Phillips ตัวนี้แหละครับที่ปี 2000 เจ้าของบอกว่าไม่พอใจคุณภาพของไวน์ที่บ่มไว้เลยเททิ้งหมดเลย ปี 97 ได้ 100 คะแนนเต็มด้วย จากคุณ : D19 - [ 9 ก.พ. 49 08:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แก้วละ 25000 ไวน์เทวดาเหรอนั่น โชดดีแหะที่ไม่กินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้ากินก็คงต้องพูดว่า "กลับไปโซ้ย 40 ดีกรีเหมือนเดิมดีกว่า มาวเหมือนกัน" จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 9 ก.พ. 49 08:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อวานมีธุระต้องแวบ ๆ ไปแถวธนิยะ  นอกจากจะเดินดูอะไร ๆ ที่มันเจริญหูเจริญตาแถวนั้นแล้ว ก็ได้แวบเข้าไปในร้านขายไวน์ที่ตึกธนิยะด้วย เลยได้ราคาไวน์ดัง ๆ ของเมกามาฝาก  เห็นมี Dominus Siver Oak Robert Mondavi  แล้วก็ Camus  ราคาไม่ค่อยหนีกันเท่าไร ไล่กันตั้งแต่ 4600 ไปถึง 6 พันบาทนิดหน่อย แต่ไม่ยักมี opus one นะ แต่อย่าถามนะว่าปีไหน เพราะได้แค่ชำเลือง ๆ เท่านั้นแหละ  ก็แหมรัสมีอย่างเรา  เดินเข้าไปเจ้าของร้านยังไม่ทักเลย แต่ก็ดีอย่าง  เพราะไม่งั้นคงได้ยินเสียงเจ๊แกบอกว่า น้อง ๆ ไวน์กระชายดำอยู่หลังร้าน มี 2 ขวดจะเอาไม็ เดี๋ยวเจ๊ลดให้ เออ เนอะวาสนา  เอาก็เอาวะ ลดให้หน่อย แล้วใส่ถุงมิดชิดหน่อยละเจ๊ ทั้ง 2 ขวดนั่นแหละ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 9 ก.พ. 49 11:08:21 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณสื่อศิลป์เดินเข้าไปร้านนั้นไม่เจอพนักงานหน้าคุ้นๆเหรอครับ เจ้าของเคยทำงานที่อิตัลไทยมาก่อน ไม่รู้ใช่คนที่เอาไวน์ขวดละร้อยให้คุณหรือปล่าว จากคุณ : D19 - [ 9 ก.พ. 49 12:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ว๊าย หน้าแตก -.- น้อมรับครับอาจารย์ เฮ้อ Screeming Eagle ไม่เคยลองและไม่คิดจะลอง แพงเป็นบ้า อาจารย์ มันแพงเพราะปั่นหรอฮะ?? ราคาขนาดนี้ ซื้อกรองครู ดีก่า จากคุณ : ดิคดิค (Natt_ac121) - [ 9 ก.พ. 49 12:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แหม.. ไอ้เจ้า screaming eagle เนี่ยนะคะ จะมาวางขายตามร้านไวน์ใหญ่ๆแห่งละสองสามขวดพอเป็นกระสายยา แต่ถ้าจะสั่งซื้อโดยตรงกับไร่ทางเน็ทแล้วละก้อ เขาไม่ขายค่ะ..นอกจากจะต้องลิสต์รายชื่อสมัตรไปเป็นลูกค้าก่อน มีกรอกใบสมัครด้วย..(ตอนนี้ปิดการรับสมัครลูกค้าใหม่แล้ว..) สงสัยว่าเค้ากลัวว่าจะเอาไวน์ของเขาไปซดกับต้มแซ่บกระมัง.. โถ..คุณ d19ขา..ไร่นี้เขาทำไวน์แค่ปีละ 300 ลัง  ใหม่ๆก็ขายขวดละ สามร้อยกว่าเหรียญ พอปี 1992  ดันเกิดฮิตติดดาว แบบว่าได้หกดาวเลยเชียว ท่าวน้านนนแหละ.. ราคาเธอก็พุ่งปรู๊ดติดเพดานอย่างที่เห็นละค่า... ลูกค้าหลั่งไหลมาจากทั่วโลก..แทบจะอ้อนวอนกราบกราน ขอซื้อ ได้ข่าวว่าคิวของปี 2008 มีการจองหมดชนิดวางเงินแล้วด้วย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ก.พ. 49 13:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 51 แหม  ผมก็ไม่กล้าสบตาคุณเธอเขาด้วยนะสิ  เลยไม่รู้ว่าคุ้นหน้าหรือเปล่า เพราะตอนที่ผมเข้าไป คุณเธอพยายามจะขายมูตองให้ลูกค้าขาประจำอยู่คนนึง เห็นเขาบ่น ๆ ด้วยว่าช่วงนี้ไม่ไหว เพราะทานไวน์บ่อยมากจนท้องใส้ปั่นป่วน ต้องขอพักสักหน่อย โอ้พระเจ้า จอร์จ ผมก็เลยกลัวมาก ต้องรีบลงมาซื้อชาเขียวรุ่นนินจา เป็นน้ำชาใส่น้ำต้มถั่วแดง (คิดได้ไงวะเฮียตัน) แบบขวดละ 20 แต่แถมชาเขียวแบบกล่องฟรีอีก 1 กล่อง กลัวท้องไส้มันจะปั่นป่วนนะครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 9 ก.พ. 49 14:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 52 และนี่คือสาเหตที่บอกว่า ถ้าใครสนใจน่าจะซื้อ Far Niente ของคุณแน๊ตเขาเก็บเอาไว้ เนื่องจาก ฟาร์ เนียนเต้ นั้นมาจาก OAKVILLE APPELLATION  ( Napa Valley) เหมือนกัน  โอ๊ควิลล์เป็นเมืองกระติ๊ดนิดเดียว มีไร่ไวน์เล็กๆหลายไร่ แต่ถือว่าเป็นทำเลทอง เพราะแถวนั้นได้มีผลผลิตที่ยอดเยี่ยม.. ตามโพลล์ที่ออกมา..คือ "Excellent Potential" Far Niente Winery Nickel & Nickel (Stelling) Screaming Eagle "Good Potential" Detert Family Vineyards Groth Vineyards & Winery Nickel & Nickel (Sullenger) Stanton Vineyards Tamber Bey Vineyards Vine Cliff Winery แล้วขอโทษนะเคอะ..ว่า ไร่ไวน์ที่ว่านี้ อยู่ใกล้กันขนาดเอาก้อนหินเขวี้ยงถึงกันได้.. แล้ว..ทำไมตัวหนึ่งขวดละ พันกว่า.. เจ้าตัวอื่นๆอยู่ในระดับร้อยนิดๆ.. เอาเถอะ..แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง มันมีเรื่องของการเมืองเข้ามาแทรกด้วยแหละ.. ดูแผนที่นะคะ.. แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 49 14:29:52 จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ก.พ. 49 14:21:10 ]

ความคิดเห็นที่ 53 และที่เขียนๆมาก็ตั้งใจจะสอนน้องน่ะค่ะ อย่างสื่อศิลปเงี้ยะ เพราะถ้าเรารู้จักการแบ่ง  APPELLATION  แล้ว และมาดูเนื้อที่กว้างยาวมากน้อยแค่ไหน จะเข้าใจดีว่า ยิ่งเล็กต้องยิ่งแพง เพราะไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ อย่างไวน์  SC (ย่อเอานะ) นั้น มีเนื้อที่แค่ห้าสิบกว่าเอเคอร์  จะได้ผลผลิตองุ่นเต็มที่ คือ 3.2 ตันต่อหนึ่งเอเคอร์  จะได้องุ่นแค่ 150 ตัน.. และได้บอกมาแล้วว่า..ตันหนึ่ง ทำไวน์ได้ 60 ลัง หรือ 720 ขวด..เอา 150 คูณ มาขายขวดละ 75 เหรียญ (ตี๊ต่างนะ) ในไวน์ราคานี้ ตัวแข่งขันมีเพียบ...รับรองว่าหืดขึ้นคอถ้าจะต้องมากระเย้อกระแย่งแย่งตลาด ไหนจะต้องมากราบกรานโบร๊คเกอร์ให้ไปช่วยจัดจำหน่ายอีก โอย..ขอบอกว่า..งานนี้ไม่หมู ดังนั้นไร่นี้...เขาคัดเลือกองุ่นที่ดีที่สุดเอามาเพียง 10 % ที่จะทำไวน์ให้เลื่องลือไปทั่วโลก เขาจึงใช้นโยบายของ ผลิตภัณฑ์  Hermes ที่ทุกอย่างจะต้องออกมาเนี๊ยบ และต้องขายในราคาที่น่าตกใจ (เพราะ เขาเย็บและตัดอย่างประณีตด้วยฝีมือมนุษย์ ) 10 % จากองุ่นคัดสรรนี้..คือ ไม่ใช่ว่าจะได้ 10-15 ตัน อย่างที่คิด เพราะ ห้าสิบกว่าอเคอร์นั้น ไม่ใช่เป็นพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด  ยังต้องแบ่งไปเป็นโรงหมักและผลิต บรรจุขวดอีก จึงถือได้ว่า..คัดออกมาจริงๆแล้ว จะถึง 8 ตันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะ ปีที่เขาผลิตออมาได้สูงสุด คือ 500 ลัง ส่วนนอกนั้นคือ 300 กว่าลัง เมื่อมีไวน์เมคเกอร์ที่ดี  แทร์วาร์ที่ดี องุ่นชั้นท๊อป.. คะแนนก็จะหลั่งไหลมา อย่างที่เห็น.. แล้วไง..ขวดละพันสาม..ให้ค่าองุ่นตันละสองหมื่นด้วยเอ้า.....ยังไงก็รับเละ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ก.พ. 49 15:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อูววววว เห็นราคาแล้วเพิ่งคุยกับพี่บุญชิตฯว่า เรามาพัฒนาสายพันธุ์ต้นตาลเราให้ดีเหมือนองุ่นดีมั้ย? ไหนๆ องุ่นเราสู้เขาไม่ได้ ก็เอาน้ำตาลเมานี่แหละสู้เลย รับรอง ลื่นปรื๊ดๆ แป๊บเดียวคอพับแน่นๆ เอิ๊ก... จากคุณ : Ace striker - [ 9 ก.พ. 49 16:43:01 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เอาไวน์ภูมิภาคผมมาอวดครับ แต่เรียกว่าอวดไม่ได้ เพราะภูมิภาคโอแวนน์ (Auvergne) ไม่มีชื่อเสียงด้านไวน์เลย ไวน์ของที่นี่ไม่แพง รสชาติก็ ... ไม่ดีเท่าที่ควร เรียกว่าถ้าใครทะลึ่งสั่งเข้าไปขายเพียงเพราะเป็นไวน์ฝรั่งเศส คนซื้อไปกินร้องไห้แน่ๆ ราคาขวดละ 4 ยูโร มีขายตามร้านชำทั่วไป เป็นไวน์ระดับ VDQS ครับ สังเกตว่าสีค่อนข้างใส รสชาติออกเปรี้ยว เหมือนดื่มน้ำองุ่นผสมแอลกอฮอล์ คนโอแวนน์เองยังไม่ค่อยกินเลยง่ะ จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 9 ก.พ. 49 17:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ให้ดูความใส จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 9 ก.พ. 49 17:42:18 ]

ความคิดเห็นที่ 57 โอย!!! เมาแล้วง่ะค่ะป้าวิขา อ้ายหนูก็ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ทุกชนิดด้วยค่ะ แค่อ่านทู้ป้ายังเมาขนาดนี้ ถ้าดื่มเข้าไปจริงๆจะเมาขนาดไหนน้า ยังตามอ่านอยู่นะคะป้าขา มีแว๊บๆหายไปมั่งแต่ก็กลับมาเช็คทู้ตลอดค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 9 ก.พ. 49 21:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นแล้วชักอยากดื่มมั่งแฮะ ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยกินเหล้าหรือเครื่องดื่มอัลกอฮอล์เท่าไหร่ อย่างมากแค่เบียร์แก้วสองแก้วก็พอแล้ว แต่ถ้าไปฉลองก็อาจเยอะหน่อย อิอิ ไม่เคยดื่มไวน์เลย จะลองหามาดื่มดีป่าวครับเนี้ยะ จากคุณ : กริชครับผม - [ 10 ก.พ. 49 01:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ไวน์เมคเกอร์ของ Screaming Eagle มีไร่ไวน์ของตัวเองด้วยครับ ชื่อ La Sirena แปลว่านางเงือกน้อย อยู่แถว CALISTOGA ในแผนที่ของคุณวิ คคห 52 ก็มีครับ ส่วนราคารบกวนให้คนที่โน่นดูให้แล้วกันครับ ถ้าเป็นGamay แบบของคุณบุญชิต รสชาติจะดื่มสบายๆไม่หนักแน่นครับ องุ่นพันธุ์นี้จะแพงถ้ามาจากหมู่บ้านโบโฌเลส์ จะมีไวน์เรียกว่าโบโฌเลส์ นูโว ส่งมาขายทั่วโลกทุกเดือนพยนั่นแหละครับ จากคุณ : D19 - [ 10 ก.พ. 49 04:30:59 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พี่วิฯ มีแผนจะเอาเรื่องนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนหรือยังครับ สนใจจะเอาเข้าไปรวมไว้กับเรื่องเก่าๆมั๊ยครับพี่ จากคุณ : ha ha yee - [ 10 ก.พ. 49 07:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ภาษาซ้ายรุ่นเก่า หรือสานุศิษย์เฮียเหมา เขาต้องพูดว่า "ขอเป็นนักเรียนน้อย" ครับผม เอ้อ แต่ว่าเวลาคุณครูสั่งการบ้าน ก็อย่าลืมส่งแบบฝีกหัดมาให้ลองทำบ้างนะครับ เอิ้กกกกกกกกกกกก เป็นอันตกลงว่า เราจะทุ่มเทพัฒนาสายพันธ์ต้นตาล เพื่อให้น้ำตาลเมาเราเข้าตลาดโลก ผ่านกลไกการตลาดให้เป็นซุปเปอร์โอทอปให้ได้ใช่ไหมครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 10:48:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณ d19 นี่ ถ้าจะเป็นเกลอของอิฉันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เพราะช่างเข้าใจไปหมดว่ากำลังจะเขียนสื่อถึงอะไร (เข้าใจไปเองหรือเปล่าไม่ทราบนะคะ) คือว่า ที่กำลังเขียนและพูดถึง winemaker บ่อยๆนั้น เพราะนี่คือส่วนสำคัญที่สุดในการทำไวน์ก็ว่าได้ ถ้าจะเปรียบว่าองุ่นดีๆเหมือนกับ"หัวใจ" แล้ว.. ไวน์เมคเกอร์ ก็คือ "มันสมอง" ที่จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ Heidi Barrett เป็นดาวรุ่งรุ่นใหม่ไฟแรง เรียนจบมาทางนี้โดยตรงจากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย  (สาขา)เมือง เดวิส หลังจากที่ประสบความสำเร็จให้กับหลายๆไร่ รวมทั้ง ของ SC ด้วยแล้ว..ก็ยังมาทำไร่เอง อย่างที่คุณ d19 เล่ามา อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับการผลิดไวน์ในหลายๆบริษัทอีกด้วย อ้อ..เธอเป็นที่ปรึกษาให้กับ ไร่ Niebaum-Coppola (Rubicon) ที่เจ้าของคือ  Francis Ford Coppola คงรู้จักชื่อเสียงกันแล้วนะคะ ว่าเป็นผู้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์  The Godfather ที่ ผันผายมาซื้อไร่ไวน์เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดไร่ไหนึ่ง นั่นคือ ไร่เนบัม นี้.. ฉันเคยไปเยี่ยมที่ไร่นี้บ่อยๆค่ะ แต่ไม่เคยทราบเลยว่า ด้านหลังมีโรงหนัง และสำนักงานตัดต่อฟิล์มให้กับหนังฮอลลีวูดด้วย จนกระทั่งได้รับความกรุณาจากท่านมุ้ยที่ได้ทรงเชิญให้ไปชม preview ของ "สุริโยไท" ที่นั่น.. จึงได้ทราบว่า ฟรานซิส กับท่านมุ้ยของเรา คือเกลอกันชนิดซี้ย่ำปึ้ก.. เรื่องการเป็นที่ปรึกษาของอาชีพไวน์เมคเกอร์ให้กับใครต่อใครนั้น  อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในอดีต..ตั้งแต่  หลายๆไร่ในนาปา ได้เริ่มทำไวน์แบบเตาะแตะ   ไวน์เมคเกอร์ที่เป็นเสาหลักให้ใครต่อใครนั้น คือ Andre  Tchelistcheff  ชาวรัสเชี่ยนที่อพยพเข้าในอเมริกา เมื่อปี 1938  มารับจ้างทำงานให้กับ  George Latour แห่งไร่  Beaulieu Vineyard แต่จะยังไม่เล่าถึงตรงนี้หรอกนะคะ เพราะมันจะข้ามสมัยไป  เอาไว้รออ่านแล้วกัน.. ที่เลยเถิดมาเล่าก็เพราะว่า คุณ d19 เธอได้ติดตามเรื่องของไวน์เมคเกอร์อย่างที่นักนิยมไวน์(แท้ๆ) สมควรจะต้อง"รู้" ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องรสชาติ.. ส่วนราคาของไวน์ La Sirena ยังพอไหวค่ะ.. อย่าง..La Sirena  Syrah/Shiraz  $42.95 Cabernet Sauvignon, La Sirena 2000   $135.00 สองขวดข้างบนนั้นได้ลองแล้วค่ะ แต่ชอบ 1999 Sangiovese มากกว่า.. สองสามวันอาจจะเข้ามากระท่อนกระแท่นอย่างนี้นะคะ เพราะว่า เมืองที่อยู่นี้มีการแข่งขันกอล์ฟระดับชาติ AT&T  มีเรื่องที่จะต้องทำในด้านธุรกิจเยอะแยะ..ตั้งแต่เช้ายันค่ำเชียว.. หน้าตาของ Heidi Barrett  ไวน์เมคเกอร์มือทอง ที่ได้รับคะแนนเต็มร้อยจากไวน์อัจฉริยะ Robert Parker,Jr. สวยหยด..ม๊ะล่ะ..!! แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 49 17:12:56 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 49 13:01:02 จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 11:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เรียนคุณหมอ ha ha yee ที่เคารพ ขอฝากกระทู้เรื่องไวน์นี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ รักวิวันดาน้อยๆ แต่ขอให้รักนานๆ.. เอิ้กกกกก.... ตาสื่อฯ.. ชั้นว่านะ..ว่า บ้านเราถ้าพัฒนาเรื่องสาโทให้ดีๆละก้อ รับรองว่าอาจตีตลาดสาเกกระจุย.. เอาแบบเสริฟอุ่นๆ ในขวดกระเบื้องสวยๆ ถ้วยตะไลเล็กๆ ทำให้มันเป็นการดื่มแบบสืบสานอารยธรรม โอย..เท่ซะไม่เมียะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 11:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณบุญชิตคะ.. ขอแนะนำให้ลอง ไวน์นี้นะคะ ชื่อว่า Passe-Tout-Grains ไม่แพงมาก และเชื่อว่าคุณจะชอบ เป็นไวน์ที่ใช้องุ่นหลักสองชนิดผสมกัน คือ  Gamay และ Pinot Noir แล้วลองมาเล่าให้ฟังหน่อย ว่า ความรู้สึกต่างกับ Gamay ที่เอามาให้ดูนี้อย่างไร ถือว่าเป็นบทเรียนบทแรกแล้วกัน..นะคะ แล้วก็ขอแนะนำยี่ห้อเลย ไหนๆก็อยู่ตรงนั้นแล้ว.. นี่ค่ะ Name:  Louis Jadot Bourgogne LA SABLIERE Passe Tout Grains AC  Where it's from:  >France >Burgundy   Retail Price:  £100.38   Vintage:  2003 / 04 Bottle Size:  75 cl Bottles Per Case:  12 Style:  Soft & Supple Reds Grapes:  Pinot Description:  This wine should be taken seriously. Both vintages are quite forward and excellant value   Country:  France Region:  Burgundy Producer:  Jadot ราคาที่เห็นนั่น อย่าช็อคก่อนอ่านนะ เพราะ มันคือหนึ่งลัง หมายถึง 12 ขวด.. แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 49 12:56:57 จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 12:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 65 พัฒนาไม่ได้หรอกครับ  เพราะบ้านเราพวกมือถือสากเยอะ เมื่อก่อนนี้ ด้วยการฉ้อฉล โดยการนำเอาปัญหาเรื่องเทคนิกการผลิต  โดยอ้างว่าการทำเหล้าแบบพื้นบ้านเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำแบบไม่ถูกวิธีกินเข้าไปแล้วตาบอด ทำให้รัฐออกกฎห้ามชาวบ้านทำเหล้า แต่ใช้วิธีสัมปทานให้กับนายทุนให้ผูกขาดทำและขายเองโดยจ่ายค่าต๋งให้รัฐแบบจิ๊บ ๆ ส่วนข้าราชการกรมสรรพสามิตรก็ทำหน้าที่เหมือนยามบริษัทที่คอยไปไล่จับชาวบ้านที่เขาทำเหล้าแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับเงินเข้าหลวง แถมแขวนป้ายอาชญากรให้อีกกระทงว่าเป็นผู้ผลิตเหล้าเถื่อน ก็มันเถื่อนเพราะใครละ ภายหลังจากใช้วิธีนี้สร้างความร่ำรวยให้กันเป็นตระกูล ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว  เราก็ค่อย ๆ มาเปิดเสรีเหล้ากัน แต่ก็อย่างที่เห็นแหละ  เอาเด็กหัดใหม่ไปชกกับเฮฟวีเวต  อะไรมันจะเหลือ จริง ๆ มันพัฒนาผิดทาง  เหล้าพื้นบ้านต้องได้รับการชี้แนะว่าคุณต้องพัฒนาลักษณะเฉพาะ และต้องผลิตแบบท้องถิ่น เหมือน ๆ กับที่เจ๊ฯว่า ทำไมไร่องุ่นนิดเดียว แต่ดันผลิตไวน์ได้แสนแพงนั่นแหละ แต่ของเรากลับไม่งั้น ทุกคนฝันอยากจะเป็นเสี่ยเจริญ ณ เขียร์ช้างกันเป็นแถว ก็เลยออแบบการผลิตแแบบอุตสาหกรรม มุ่งมั่นจะขยายไปสู่ตลาดแบบวงกว้างตามสูตรสำเร็จอย่างเดียว งี้ก็พังนะสิ   คล้าย ๆ กับ ส.ขอนแก่น หรือแหนมป่าย่นนั่นแหละ เมื่อก่อนใครไปเชียงใหม่กะขอนแก่น เป็นต้องหิ้วกลับมาเป็นพวง ๆ เป็นของดีของท้องถิ่นที่มีคุณค่าทุกคนถวิลหาจริง ๆ แต่ด้วยระบบการตลาด (ไม่อยากบอกเลยว่าฝีมืออากู๋ผู้โด่งดังนี่แหละ) เอา ส.ขอนแก่น มาทำตลาดแบบแมส  มีจำห่ายทั่วประเทศ  ไม่ต้องไปถึงอีสานให้ลำบาก แค่แวะเซเว่นปากซอยก็มี ซื้อง่าย ขายคล่อง  แต่หมดคุณค่าครับ   ส่วนตอนนี้บ้านเราก็กำลังบ้าคลั่งกับการไล่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในห้องหับให้มิดชิดให้หมด  ทั้งห้ามบริษัทผู้ผลิตเบียร์เข้าตลาด  ห้ามโฆษณาทุกรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง บ้าไปกันใหญ่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำลายสุขภาพ ไม่มีใครเถียงหรอก  แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันมีหลายมิติมากกว่านั้น  ไม่ใช่ทุกคนจะเดินออกไปซื้อเบียร์ช้างมากิน แล้วเตะเมียมันทุกครั้งไป เป็นการมองแบบไม่เป็นระบบอย่างบ้าคลั่งอีกอย่างในสังคมไทยนะครับ ก็ปัญหาสังคมพวกนี้มันเกิดจากรากฐานความกดดันทางเศรษฐกิจ  พวกนักการเมืองแทนที่จะมองให้มันทะลุว่าการปล่อยให้ใครบางคนบางกลุ่มมันผูกขาดความร่ำรวยอยู่ทุกวันนี้ มันทำให้คนรากหญ้ามันเครียด กว่าจะหากินได้แต่ละที  ไม่รู้จะเอาหุ้นที่ไหนไปเสนอขายกันเป็นหมือนเป็นแสนล้าน เหล้าเป็นแค่เครื่องมือในการปลอบประโลมใจเท่านั้นเอง แทนที่จะพัฒนาคน พัฒนาระบบอื่นให้มันดีขึ้น กลับแก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยการดึงเหล้าออกจากมือเอาซะงั้น ความตั้งใจจริง ๆ ของเขาคงอยากให้เป็นชิคาโกในยุคอัลคาโปนมั๊ง ที่มีมาเฟียระดับโลกเกิดและเติบโตได้จากนโยบายเข้มงวดเรื่องเหล้าของรัฐ ไม่รู้ว่ามาเฟียบ่อนการพนันของเรายังมีไม่มากพอหรือไง เอ้อ  เลยเถิดไปนิดนึงนะ ก็นึกว่าอ่านหนังสือพิมพ์แกล้มไวน์แล้วกัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 13:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 66 "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำลายสุขภาพ ไม่มีใครเถียงหรอก  แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันมีหลายมิติมากกว่านั้น  ไม่ใช่ทุกคนจะเดินออกไปซื้อเบียร์ช้างมากิน แล้วเตะเมียมันทุกครั้งไป" ดู๋..ดู  สำนวนนักข่าวนี่มันร้ายเหลือจริงๆ... ก็กำลังจะเขียนต่อถึงเรื่องนี้แหละ คือเรื่องยุค Prohibition (ยุคห้ามขาดสุรา)ของอเมริกา 1920-1933 เพราะมันจะต่อเนื่องกับที่เล่าค้างไว้ในช่วงประวัติศาสตร์พอดี พูดถึงเรื่องโรคห่าองุ่น หรือ Phylloxera ที่เกิดขึ้นบ่อยๆกับองุ่นในอเมริกานั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะโรคนี้เกิดขึ้นกับใบและผล ที่ร่วงหล่นหายไป หากแต่ รากและลำต้นยังอยู่.. แต่พอในปี 1850's ที่เผอิญว่า เชื้อนี้ติดไปกับรองเท้าของกลาสีเรืออเมริกันที่เดินทางไป.. ก็ได้แพร่กระจาย ในช่วงไม่กี่ปี องุ่นทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสได้ตายเรียบไม่เหลือหรอตั้งแต่รากขึ้นไปเลย กว่าจะมาพบกันได้ว่ามันเป้นแมลงตัวเล็กๆสีเหลืองที่ขึ้นยุ่บยับฝังตัวในรากองุ่นก็ไม่รู้จะแก้ไขอะไรได้แล้ว.. นอกจากจะต้องลองเสี่ยงเอากิ่งพันธ์ Vitis Vinifera มาต่อตากับลำต้นขององุ่นอเมริกันดู เพราะในประวัตินั้น ไอ้โรคห่าองุ่นนี้ไม่สามารถทำลายองุ่นอเมริกัน(อย่างชนิดถอนรากถอนโคน)ได้ ดังนั้น นาย ชารลส์ ไรลีย์ แห่ง รัฐมิสซูรี จึงได้ทดลองจนเป็นผลสำเร็จ จากนั้นมา..องุ่นนับล้านๆกิ่งได้ถูกส่งออกไปจากอเมริกา กลับไปฝรั่งเศส ได้ออกดอกออกผลงดงามมาจนถึงทุกวันนี้.. ทางฝรั่งเศสก็ยังทำท่ายึกยักในระยะแรกๆที่ได้รับ.. เพราะทุกคนคลางแคลงใจว่า องุ่นที่ได้รับมานั้นจะทำไวน์ออกมา"เหม็นสาบ" อย่างของอเมริกาต้นฉบับหรือไม่ กว่าจะทำใจรับได้ ก็นานพอสมควร.. ต่อมาในช่วงของ 1890-1910  นั้น อเมริกาเริ่มเอาจริงกับเรื่องการเกษตรองุ่น  โดยการจับมือกันกับนักวิชาการทั่วภาคพื้นยุโรป จัดตั้งโปรแกรม New Yor State Agrigultural Experiment ที่กรุง เจนีวา เพื่อเร่งหาบรรพบุรุษของพันธ์องุ่นในอเมริกาว่ามันมีเชื้อสายที่แท้จริงคืออะไร และมีการเปรียบเทียบกับ Vinifera ของยุโรป และทำไมจึงมีภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างกัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 13:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คงมิบังอาจเป็นเกลอได้ครับ ดูจากกระทู้ทดสอบอายุในกบฎยังเติร์กแล้วสงสัยจะเป็นได้แค่หลานครับ อิจฉาคุณวิจังเลยครับ ได้ชิม ซานโจเวสเซ่ปีสุดท้ายด้วย ตอนนี้เขาเลิกผลิตแล้วนี่ครับ ส่วนเรื่องห้ามต่างๆเนี่ยผมว่าห้ามแต่บุหรี่ก็พอครับเพราะสูบแล้วรบกวนคนที่อยู่รอบๆ ส่วนเหล้า ไวน์ใครจะดื่มก็น่าจะเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลมากกว่านะครับ จากคุณ : D19 - [ 10 ก.พ. 49 14:27:34 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เอ้อ  จริง ๆ แล้วสำนวนนี้มันมาจากความกดดันในชีวิตที่ออกไปซื้อเบียร์ช้างมากินตั้งหลายโหลแล้ว แต่ยังหาเมียมาเตะให้เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งไม่ได้สักทีนะครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 14:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะมีการคิดค้นสารเคมีที่ทำมาจากกรดทองแดงในการช่วยรักษาโรคเชื้อราที่องุ่นได้ (โดยนักเคมีฝรั่งเศส)ทำให้ผลิตผลได้ขยายการเติบโตไปได้อย่างน่าพอใจ จากข้อมูลว่า  ชาวอเมริกันดื่มไวน์ 1/3 แกลลอนต่อหัวในปี 1870  ได้เพิ่มมาเป็น 1/2 แกลลอน ต่อหัวในปี 1890 เพราะเนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ยังติดการดื่มสุราอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และนี่คือปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ประชาชนแทบทุกครัวเรือนใช้สุราเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ร้านเหล้า หรือที่เรียกว่า  Saloon เกิดขึ้นทุกหัวระแหง พวกผู้ชาย ผู้หญิง ต่างถือเป็นที่ชุมนุม หย่อนใจ และแน่นอนว่าปัญหาสารพัดได้เกิดขึ้นตามมา นอกจากจะกลับบ้านไปเตะเมีย อย่างที่สื่อศิลปเค้าว่าแล้ว.. มันเกิดการสร้างเศรษฐีวงการน้ำเมาขึ้นมา ที่ทำให้มีอิทธิพลครอบงำไปในด้านสว. เอ๊ย..ด้านการเมืองท้องถิ่น ผู้คนที่มีสติปัญญาเริ่มก่อตัวกันต่อต้าน..และ หัวหอกในเรื่องนี้ เธอมีนามว่า   Carrie Nation (1846-1911) แคร์รี่เปนชาวเคนตั๊คกี้ เกิดที่แขวงเมือง Garrard  จากพื้นฐานครอบครัวในวัยเยาว์ ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างติดเหล้าทั้งคู่ ได้พบรักและแต่งงานกับ Dr. Charles Gloyd ทั้งๆที่เธอรู้ว่า เขาคือไอ้ขี้เหล้าดีๆนี่เอง แต่..ด้วยใจรัก เธอจึงคิดว่า เขาอาจจะเปลี่ยนนิสัย แต่ที่ไหนได้.. อีตานี่กินเหล้าจนเป็นตับแข็งตายภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ต่อมาเธอได้แต่งงานใหม่ในปี 1877 กับ..David Nation ที่เป็นทั้งนักสอนศาสนาและทนายความ ทั้งคู่ได้ตั้งถิ่นฐานปักหลักที่ Medicine Lodge, Kansas และ จากการกดดันหลายๆประการ ที่ชีวิตได้ผกผันเพราะเรื่องน้ำเมา ทำให้เธอเกิดการต่อต้าน และเกลียดชังพิษภัยของมัน ถึงขนาดปรวณาตัวเข้าขัดขวางเส้นทาการเจริญของสายนี้อย่างเด็ดขาด เธอเชื่อว่า ชื่อของเธอ  Carrie Nation นั้น คือข้อความที่พระเจ้าจงใจประทานมาให้ในการ"กู้ชาติ"   อีกทั้งในตอนนั้นเสียงขานรับจากกลุ่มแม่บ้านที่โดนผัวเตะ และ กลุ่มเคร่งศาสนาเริ่มดังขึ้น.. แคร์รี่ หญิงร่างท้วมวัยกลางคน..เริ่มปฏิบัติการลงมือ ใหม่ๆก็แค่ไปยืนสวดอยู่หน้าซาลูน..ต่อมาก็มีจัดการชุมนุม (เอ๊ะ..คุ้นๆนะ) ทำอย่างนี้อยู่นานถึงสามปี ไม่ได้ผล.. เธอจึงลงมือลุย..ถือขวานเข้าจามร้านเหล้าแบบไม่ฟังอีร้าค่าอีรมหน้าไหนทั้งสิ้น..จุดแรกที่ลุยคือ Wichita, Kansas จากนั้น เธอได้เดินสายพร้อมขวานคู่มือ พังมันดะไปหมด โดนตำรวจจับไปนับสิบๆครั้ง แต่แนวร่วมฝ่ายแม่บ้านต่างพากันเข้าช่วยทุกครั้ง..ช่วยกันหารายได้ทำของชำร่วยที่เป็นรูปขวานเล็กๆออกจำหน่าย หาเงินมาประกันตัวให้ จนในที่สุดสามีต้องขอหย่าในปี 1901 ในข้อหาละทิ้ง ไม่ทำหน้าทีภริยา (ก็มัวแต่ไปลุยไง) แต่เธอก็หายั่นไม่..ยังคงเดินหน้าต่อต้านการค้าสุราต่อไป..โดยมีกลุ่มจงชังน้ำเมา (temperance organizations) คอยให้ความสนับสนุนเกื้อกูล แคร์รี่ถึงแก่กรรม เมื่อ เดือนมิถุนายน  1911 ซึ่งกว่าประเทศชาติจะมองเห็นจุดมุ่งหมายของเธอ และยอมปฏิบัติตาม ประกาศให้อเมริกาเป็นดินแดนปลอดสุราอย่างเด็ดขาด ก็ หลังจากที่เธอจากไปได้ถึง เก้าปี.. แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 49 14:59:04 จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 14:54:15 ]

ความคิดเห็นที่ 70 น่าสนใจครับ  ว่ากันแบบขุดรากเหง้าแบบนี้ จะได้เห็นหลากหลายมิติที่คนมองต่อปรากฎการณ์ของสังคม ถ้ามองจากจุดเริ่มต้นแบบนี้ ก็เห็นอีกด้านนึงของการต่อต้านนะครับว่า เริ่มจากความปรารถนาดีที่คนนึงได้ประสบความเลวร้ายในชีวิตเพราะเหล้า ก็เลยคิดจะต่อต้าน แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนให้เห็นความหลากหลายมิติของปัญหาให้กับสังคมอเมริกาไปแล้วว่า นโยบายนี้สร้างผลกระทบในด้านที่คาดไม่ถึงอย่างไรบ้าง เสียดายที่ใครบางคนในบ้านเราเคยไปร่ำเรียนถึงอเมริกา แต่คงไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์แบบนี้ของเขามั๊ง เลยอยากจะเปลี่ยนประเทศทยให้เป็นชาติคลั่งศาสนาซะงั้น สรุปว่าเบียร์ช้างไทยไชโย  รีบ ๆ ไปหาซื้อมากิน เพื่อจะได้มีเมียมาเมาแล้วเตะไว ๆ เนอะ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 15:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 71 หน้าป้า Carrie Nation แกเองได้อารมณ์ดีเหลือเกิน... จากคุณ : sofatboy - [ 10 ก.พ. 49 16:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 72 กลุ่ม Women's Christian Temperance Union (WCTU)   ... อันนี้สามีคงเตะไม่ได้  ป้าแกคงเอาตาย จากคุณ : sofatboy - [ 10 ก.พ. 49 16:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เออ..งั้นมาคุยเรื่องคลายเครียดสลับฉาก.. เรื่องของประโยชน์ในการรู้เรื่องไวน์เนี่ย..คือมันต่อเนื่องมาจาก ไร่  SC นี้แหละ คือ พอเรารู้ว่า ทำเลทองที่มีแค่ 5000 กว่าเอเคอร์ของ Oakville,Napa Valley  ชักจะเข้าท่านะ ในฐานะของคนที่ชอบสะสมง่ะ มันมีไวน์ชื่อว่า Marilyne Merlot ที่ได้รับไลเซ่น ให้ใช้ชื่อและภาพของดาราทรงเสน่ห์ มาริลีน มอนโร ในการสร้างฉลากได้ และ ตัวไวน์เมคเกอร์ ก็ไม่ใช่ธรรมดา ชื่อดังอีกต่างหาก.. นามว่า John McKay ก็ซื้อมาเก็บไว้ เพราะมองเห็นในคุณค่า ออกใหม่ๆราคาขวดละสามสิบกว่าเหรียญรวมภาษี.. ปีเดียวเท่านั้น ราคาขึ้นพรวดๆ  ตอนนี้ แต่ละขวดราคาเป็นร้อยเป็นชั่ง.. ตัวอย่างที่เอามาให้ดูในรูปคือขวดหนึ่งที่สะสมไว้..ปี 1999 กับลิงค์ที่ให้มานี่..ลองกดดูตามปี http://www.marilynmerlot.com/marilynmerlot.html# จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 16:11:40 ]

ความคิดเห็นที่ 74 และบริษัทเดียวกันนี่ได้ทำออกมาอีกตัวหนึ่ง ในชื่อเดิมของมาริลีน คือ Norma Jean  ในรูปแบบของ young merlot ทราบว่า กำลังจะเลิกผลิตตัวนี้แล้ว อีกหน่อยจะเป็นของหายาก.. สะสมไว้เช่นเคย.. แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 49 16:27:43 จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ก.พ. 49 16:17:34 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เอ้อ  เลยเถิดไปนิดนึงนะ ก็นึกว่าอ่านหนังสือพิมพ์แกล้มไวน์แล้วกัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป)  - [ 10 ก.พ. 49 13:00:20 ] ================================= แหะๆๆๆ นสพ ฉบับไหนครับเนี่ย จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 10 ก.พ. 49 16:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ถ้าสาว ๆ ยุคนี้ยังยึดคำขวัญที่ว่า ริมฝีปากผู้ใดที่เคยได้สัมผัสน้ำอำมฤติแล้วไซร้ ก็อย่าได้แผ้วพานมาสัมผัสกับริมฝีปากฉันเลย สงสัยได้มีสตรี (จำต้อง) โสด กันทั่วเมือง แต่ที่เห็น ๆ นี่ ส่วนใหญ่เขาจะคว่ำแก้วกันแบบหนุ่ม ๆ คว่ำฟุบไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่คุณเธอยังเฉยอยู่เลยนี่นา อะ เหล่าเฟมินิสต์ ว่าไง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 16:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ฉบับ ออนไลน์ ตามใจฉัน ครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ก.พ. 49 16:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ^ ^ จะหาเมียไว้เตะนี่ หมายฟามว่า ให้เมียเตะช่ายหมายคร้าบ......... จากคุณ : เอ๋อมาแป๊บๆ - [ 10 ก.พ. 49 19:59:44 ]

ความคิดเห็นที่ 79 มารายงานตัวค่ะ ตามอ่านแบบงงๆ แต่ก็ไม่ถอยค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 10 ก.พ. 49 21:03:12 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ยืนตรงๆ ก็ยังไม่ค่อยจะไหว! แค่ผลัก ก็ล้มแล้วมั๊ง? ยังจะยกขาแตะใครได้อีกคะเนี่ย? ถ้าหามาอย่างคุณเอ๋อฯว่าละก็  ...ไม่แน่.... จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 10 ก.พ. 49 22:31:16 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อิอิ เมือ่ก่อนเรื่องเหล้านี่ สามารถเปลี่ยนรัฐบาลได้เลยะเนี้ยะ มีสามน้ำ น้ำมัน น้ำตาล แล้วก็น้ำเมา ใชป่าวคับ จากคุณ : กริช (กริชครับผม) - [ 12 ก.พ. 49 00:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ตามมาอ่านต่อค้า สนุกจริงๆ จากคุณ : grappa - [ 12 ก.พ. 49 08:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 83 มาลงชื่อครับ ขอออกความเห็นนีสนึงเรื่องประท้วงเบียร์ช้าง มันส่อให้เห็นว่าสังคมมันไม่ได้มีปัญญาทั้งหมดอะครับ มันขาดความเข้าใจในการแยกให้ออกถึงปัจจัยและประเด็นต่างๆ ยิ่งข้อมูลผิด ทำให้ความเข้าใจผิด กลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีอีก แค่ morality กะ economics Benefit ยังแยกบ่ออก ขายกันสามขวดร้อย สี่ขวดร้อย ราคาอย่างงี้ ให้เข้าไม่เข้าก็เหมือนกัน(ในความเห็นของเด็กที่รายได้น้อยและชอบดื่ม คือ กรูก็ยังดื่มอยู่ดี) ถ้ามองในคำตอบแบบเด็กๆ ถ้าจะห้ามเบียร์ช้างเข้าตลาด ทำไมไม่แกล้งกันแบบ ห้ามขายสุราเกิน Alcohol20% ไม่น่าแก้ปัญหาสังคมได้ดีกว่าหรอครับ? ถ้าประท้วงเรื่องแก้กดหมายโครงสร้าง TAX คงมีคนยอมรับมากกว่านี้ แก้โครงสร้างภาษีน่าจะให้คำตอบที่ดีกว่าถ้าจะพูดเรื่องศีลธรรมเนอะ สุดท้ายก็ไม่รู้รับเงินใครมาเย้วๆๆๆ เสียหายกันทั้งสังคม เฮ้อแย่อะ สมเพชจริงๆ คนหัวเกรี๋ยน ไม่เอาเมีย อาบน้ำห้าขันแต่อยากดัง ตกม้าตายตอนแก่ พึ่งบินมาเซี่ยงไฮ้ ที่ดิวตี้ฟรี ตอนนี้ Mouton-Cadet 760 Baron Philippe de Rothchilds 1300 ตัวบารอน มี Pauillac กับ อาไรอีกตัว ผมจำไม่ได้ อยากถามอาจาร์ย ว่ารสชาติต่างกันเยอะมะครับ? อีกทีขอใช้พื้นที่โฆษณา 2000  Far Niente Napa Valley Cabernet Sauvignon เหลือ 4500 ครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 49 18:40:44 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 49 18:30:28 จากคุณ : 小孩子 (Natt_ac121) - [ วันมาฆบูชา 18:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 84 เห็น Far Niente ขายอยู่เหมือนกันครับที่เอ็มโพเรียม 4500 เช่นกันครับ จากคุณ : D19 - [ วันมาฆบูชา 18:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ^__^ จากคุณ : horseshoes - [ วันมาฆบูชา 20:46:14 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 49 22:43:03 จากคุณ : Natt_ac121 - [ วันมาฆบูชา 21:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เจ้าแกะตัวสุดท้อง บ้านผมตัวละ 420 บาทไทย (ราวๆ 8,8 €) ต้องกินให้สมโอกาส ขวดนี้หมด สิ้นเดือนว่าจะหา Baron Philippe de Rothchilds กับไวน์ที่คุณ WIWANDA แนะนำ มาลองชิมบ้าง แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 49 22:15:11 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ วันมาฆบูชา 22:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เพิ่งกลับมากจากงานเปิดบูธไวน์ที่ AT&T แทบสลบ สามวันเต็มๆ  วันดียวคือวันศุกร์ที่อากาศเลวร้าย หมอกลงจัดทั้งวัน หนาวชะมัด น้ำมูกไหลไม่หยุด ผลที่ทราบแน่ๆคือ หวัดรับประทานเรียบร้อย อุตส่าห์ถนอมตัวไว้เป็นอย่างดี ว่าปีนี้จะแล้วรอดปลอดภัย..หนอย.. และขอเรียนให้ท่านๆคอไวน์ได้รับว่า ถ้า.. 2000  Far Niente  Cabernet Sauvignon  ราคาไทยแค่ 4500 บาทแล้วละก้อ  จงรีบไปซื้อเถอะ เพราะในอเมริกานี่ ตอนออกมาใหม่ๆก็ราคานี้แหละ 80-90 แต่ตอนนี้หายาก  หรือมีก็ ต้องซื้อตามเน็ท (ที่ต้องจ่ายค่าส่งและค่าประกัน) รวมแล้วเป็นร้อยเป็นชั่ง.. ไร่  Far Niente  มีเนื้อที่ทำไวน์เล็ก แค่ร้อยกว่าเอเคอร์ และเป็นไพโอเนียร์ไร่หนึ่งในการทำไวน์ของนาปาตั้งแต่ 1880's ทำไวน์ด้วยความเชื่อมั่นในเทรดดิชั่น ของบอร์โดซ์ (อันนี้ไว้จะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไป) และมาจนถึงปัจจุบัน ที่วางตัวและขั้นตอนในการผลิตได้อย่างชัดเจน..ว่าพิถีพิถัน และ ใช้ถังโอ๊คที่ดีที่สุดในการบ่ม หมัก ต้นทุนค่าผลิตสูง (ไม่มีแหกตา..รับรอง) ที่สำคัญคือมาจาก แทร์วาร์ที่ดีที่สุดของนาปา แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่า ไวนราคานี้ คือ ประมาณว่า ร้อยอัฟ ตลาดการแข่งขันมีสูง.. ตัวแทนจำหน่ายไหนๆ ก็อยากได้ไวน์ที่ให้เปอร์เซ็นต์เยอะๆทั้งนั้นแหละ และว่าจะถึงมือผู้บริโภคนั้น ต้องผ่าน หลายซ้ำหลายซ้อน ถ้าต้นทุนของ  Far Niente  สูงกว่าคนอื่น และถูกบวกมากๆ คนก็จะหันไปซื้อ Opus One ใช่หรือไม่ เพราะ Opus One  ราคา 120-140 เอง.. สำหรับตัวเอง..ถ้าให้เลือกระหว่าง ไวน์สองชนิดนี้.. จะเลือก Far Niente  อย่างไม่ต้องคิด.. เพราะ วงในนั้นรู้กันดีว่า Opus One ถือกำเนิดขึ้นมาจาก ความอยากเอาชนะ ความชิงดีแก่งแย่งของสองพี่น้อง ตระกูล มอนดาวี จนไวน์มันขาดวิญญาณของความเป็นสุขสันติภาพไปอย่างสนิท รสชาติมันก้ฟ้อง.. สรุปว่าราคา  4500 น่ะ ถูกเหมือนได้เปล่า..แถมขอบอกว่า เป็นไวน์ที่มีฉลากสวยมาก สวยที่สุดก็ว่าได้ ได้ยินหรือป่าววว.....สื่อศิลป  ???? จากคุณ : WIWANDA - [ วันมาฆบูชา 23:41:39 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณครับคุณพี่ จะเก็บรักษาให้ดีไม่มีตกหล่น ;-) จากคุณ : ha ha yee - [ 14 ก.พ. 49 04:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 90 แหม ไอ้ได้ยินนะมันได้ยินอยู่ แต่เจ้าขวดฉลากสวยวิลิศสมาหรานี่ ตั้งกะเกิดมายังไม่มีวาสนาได้เห็นเลยนะสิ ที่เอ็มโพเรียม เห็นมีร้านไวน์ไฉไลอยู่ร้านนึงแถวชั้นฟาสต์ฟูดส์  แต่ตอนไปเดินที่ไรเห็นมันปิดทุกทีไป  เลยไม่เคยเข้าไปดูหรอก ได้แต่เมียง ๆ มอง ๆ อยู่นอกตู้เท่านั้นแหละ แต่ถ้ามันขวดละ 4,500 แล้วเลอเลิศขนาดนั้น ผมว่าน่าจะซื้อไปฝากศรีภรรยาของป๋า ช.ช.ดูนะ ก็ตัวป๋า แกนะรับประทานไวน์แบบ "อะไรกรูก็แหลกล่าย" แต่เห็นบ่น ๆ ว่าตั้งแต่คิดการใหญ่จะเอาใจศรีภรรยาด้วยการอัพเกรดจาก bin 2 เป็น 389 เมื่อครั้งกระนู้น ตอนนี้แม่ศรีเรือนของป๋าเขาไม่หันไปแล bin 2 อีกเลย ก็เลยเป็นหน้าที่ของคุณพ่อบ้านที่ดีที่จะต้องหิ้ว 389 มาทุกครั้งที่กลับบ้านผิดเวลา ดิวตีฟรีนะขาย 389 แค่ 1,500 แต่เจ้านี่นะ 4,500 ขนาดปลอดภาษีนะ แล้วถ้ามันดันขาดตลาด ต้องซื้อแบบเสียภาษีเต็ม ๆ ละจะขนาดไหน โชคดีนะป๋า จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 11:51:32 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ตอนนี้ไวน์ยังเต็มตู้อยู่เลยครับ ต้องระบายลงท้องก่อนเลยยังไม่ได้ซื้อมาเก็บไว้ ที่ว่าเห็นที่เอ็มโพเรียมนี่เห็นอยู่ระหว่างที่ขายอุปกรณ์ครัวกับฟาสต์ฟูตครับ ที่มัน4500 บาท เพราะมีแสตมป์ครับ ยี่ห้อนี้ไม่ฮิตเหมือน 389 เลยหาซื้อแบบไม่มีแสตมป์ไม่ได้ครับ จากคุณ : D19 - [ 14 ก.พ. 49 13:38:03 ]

ความคิดเห็นที่ 92 สงสัยถ้าจะให้หาย "งง" หนูคงต้องหัดกินไวน์มั๊งคะป้าขา จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 14 ก.พ. 49 15:15:56 ]

ความคิดเห็นที่ 93 สวัสดีพี่หวาน ด้วยความรักและคิดถึงค่ะ คคห90 น่ะ ตอนนี้ยิ่งเข้าทางปืน เพราะป๋าชช.เขาเป็นภูมิแพ้  แพ้โน่น แพ้นี่  จนลามไปถึงไวน์ด้วยแล้ว ป๋า เลยกำลังชีช้ำอยู่เจ้าค่ะ ... จากคุณ : ภูเก็ต 1 - [ 14 ก.พ. 49 17:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 95 จริงครับ ป๋าแกเป็นโรคแพ้ความ เอ้ย สีขาว อย่างรุนแรง เคยเห็นมากะตาครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 12:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 96 . เฮอ ... ขอบคุณ คคห 64 เพราะถ้าตอนท้ายไม่บอกว่าต่อลัง 12 ขวด สงสัยจะต้องยอมแขวนลูกกระเดือกเป็นแน่แท้ ผมว่าคงมีสมาชิกไม่น้อยที่พลาดราคาที่พี่วิวันดาเคย "แฉ" ถึงหลายตัวที่ลิ่บลิ่วละล่องบุนนาคอยู่บนโน่น ขนาดนายหัวของผมที่ว่าเป็นยอดนักซื้อพอเห็นยังสะท้าน เลยได้โอกาสเล่าให้เค้าฟังคราวที่พี่วิวันดาไปจัด wine testing ที่สนามซ้อมกอล์ฟแถวบางเขน โดยมีคุณหมอฮาฮายี้ ไปนั่งเจี๋ยมเจี้ยม ทำท่าเหมือนนักจิบไวน์ด้วย แต่ก็ดูออกว่า ยังมือใหม่หัดขับเหมือนผม แต่ยังไงกรุณาจัดบทความทรงคุณค่านี้เข้าในพิพิธภัณฑ์ของคุณหมอด้วย เพื่อเป็นตำนานสืบต่อไป ครั้งนั้นเลยเกิดดวงตาเห็นธรรมตามที่พี่วิวันดาชี้ทางบรรเทาทุกข์ว่า อย่าไปยึดติดที่ยี่ห้อ ที่ราคา ทดลองชิมไปเรื่อยๆ อาจจะไปเจอของดีราคาถูก ที่องค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์เข้ากับลิ้นของเราเข้าจนได้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมั่นใจตัวเองพอที่จะไม่สนใจ "สายตา" คนรอบข้าง ที่เที่ยวสอดส่ายว่ามีก้อนน้ำแข็งอยู่ในแก้วของเราหรือไม่ !!! ส่วนที่มีคนพยายามยุแยงตะแคงตั้งน่ะ ขอบอกว่า ไม่สำเร็จหรอก เพราะรู้กันอยู่ว่าผมไม่ชอบขนมจีน (ไม่มีน้ำยา)ครับ . แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 49 16:57:36 จากคุณ : ชอบแช้งค์ - [ 15 ก.พ. 49 15:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขึ้นกระทู้ใหม่ซะที กั๊กมานานแล้ว.... ตามไปนะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 16 ก.พ. 49 02:30:26 ]