ความคิดเห็นที่ 19
1. ผมขออ้าง "โองการแช่งน้ำ" เหมือนกันนะครับ จากคุณ จิตร ภูมิศักดิ์
2. "..วรรณคดีเรื่อนี้เรียกกันเป็นหลายอย่าง ที่เรียกกันทั่วไปในตำราประวัติศาสตร์วรรณคดีไทยปัจจุบันนี้ ก็คือ 'โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา' นอกจากนี้ยังมีชื่อที่เรียกกันแต่เก่าก่อนว่า 'ประกาศโองการแช่งน้ำโคลงห้า' และบางครั้งก็เรียกกันง่ายๆว่า 'โคลงแช่งน้ำ'...เช่นนี้บ้าง การที่เรียกคำแช่งน้ำว่า 'โองการ' นั้น ควรจะได้อธิบายสักเล็กน้อย..."
3. "...โองการ เป็นคำภาษาบาลี มาจากภาษาสันสกฤตว่า 'โอมการ' หมายถึง อักษรโอม. โอม คือ คำย่อที่ใช้กล่าวนำในการสวดสาธยายมนตร์ของพวกพราหมณ์, อธิบายว่าย่อมาจากชื่อเทพเจ้าทั้งสามของพราหมณ์นั่นคือ ศิวะ (อะ), วิษณุ (อุ), และพรหม (มะ) . เมื่อรวบเสียงทั้งสาม อะ อุ และมะ เข้าด้วยกัน ดังที่เรียกว่า สนธิ ก็ได้เสียงเป็น โอม. โองการที่ใช้ในภาษาไทยนั้น หมายถึง คำอันศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อกล่าวถึงคำสั่งของกษัตริย์ ก็จะเรียกว่า พระราชโองการ หรือพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นการยกย่องกษัตริย์ขึ้นเป็นเทวะ ตามคติลัทธิเทวราช...คำสาปแช่งในพิธีดื่มน้ำสาบาล, หรือที่เรียกว่าพิธีถือน้ำนั้น ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง...."
3. "....แช่งน้ำ, คำนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึงการสาปแช่งน้ำสาบาลที่จะดื่ม, ซึ่งในสมัยศักดินา ข้าราชการจะต้องดื่มน้ำถวายสัตย์ปีละสองครั้งคือ วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 ครั้งหนึ่ง และวันแรม 12 ค่ำเดือน 10 อีกครั้งหนึ่ง...."
4. "...ส่วนคำว่า พระพิพัฒนสัตยา นั้น, มีเรื่องราวเป็นมาที่จะต้องสืบสาวกันสักเล็กน้อย. ......ในกฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1902 มีเรียกพิธีนี้ว่า 'ถือน้ำพระพัท' บ้าง 'ถือน้ำพระพิพัท' บ้าง ขอให้สังเกตว่า มิได้เขียนว่า พัฒน์ หรือพิพัฒน์ ซึ่งแปลว่า ความเจริญรุ่งเรืองเลย....หากเขียนเป็น 'พิพัท' และบางทีก็เรียก 'น้ำพระพัท' เฉยๆไม่มี พิ นำหน้า. เรื่องนี้มิใช่เรื่องของการเขียนผิดอย่างส่งเดช, เพราะพวกอาลักษณ์โบราณก็มีความรู้ในบาลี สันสกฤตอยู่ และก็คงจะไม่เผอเรอจนเขียนคำว่า 'พัฒน์' หรือ 'พิพัฒน์' ผิดกันหลายๆครั้ง....เรื่องนี้ ได้ตรวจสอบดูแล้ว ปรากฎว่า คำที่เขียนว่า 'น้ำพระพัท' นั้นใกล้เคียงคำเดิม และความหมายเดิมที่สุด และดูจะถูกต้องกว่าคำอื่นๆที่ใช้กันมา...."
5. "...หลักฐานที่ได้พบ คือ จารึกที่กรอบประตูศิลาของโบราณสถานพิมานอากาศในเมืองนครธม. จารึกนั้นเป็นคำสาบาลของพวกข้าราชที่เรียกว่า 'พระตำรวจ' ซึ่งถวายสัตย์สาบาลต่อพระเจ้าศรีสูรยวรรมันที่ 1 (ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 16) พิธีนั้นเรียกเป็นภาษาเขมรว่า 'กัดไดถวายอายุ' ซึ่งแปลว่า เชื่อดแขนถวายชีวิต. เข้าใจว่า คงจะเป็นพิธีเชือดแขนเอาเลือดหยดลงไปในถ้วยเหล้า แล้วดื่มสาบาลกันหรืออะไรทำนองนั้น...พิธีนั้นปรากฎว่ามีจารึกบอกวันไว้ว่าทำในเดือน 10 ซึ่งตรงกับพิธีถือน้ำของไทย, และคำสาบาลนั้น มีชื่อเรียกเป็นภาษาสันสฤตปรากฎในศิลาจารึกแห่งนั้นว่า 'พระพัทธประติชญา' คำว่า พัทธ นั้นแปลว่า ผูกมัด คำว่า ประติชญา แปลว่า สาบาล....แปลรวมกันความว่า คำสาบาลผูกมัด...."
6."...คำว่า พัทธ หรือ พระพัทธ ที่เขมรโบราณใช้ในความหมายว่า 'สาบาล' หรือ 'คำสาบาล' นี่แหละ คือที่มาของคำว่า 'น้ำพระพัท' ในกฎมณเทียรบาล (พ.ศ. 1902) ซึ่งหมายถึง น้ำสาบาล. ...แม้ในพระราชกำหนดของรัชกาลที่ 1 สมัยกรุงเทพฯ ลง พ.ศ. 2328 ก็คงยังเขียน 'ถือน้ำพระพิพัทสัตยา' ไม่เขียน 'พิพัฒน์' ที่แปลว่า เจริญงอกงามเลย. หรือแม้ใน 'ประกาศแช่งน้ำความเรียง' ซึ่งมีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 4 ก็เรียกแต่ว่า 'น้ำพระพัฒ' ห้วนๆ. ด้วยเหตุนี้จึง เชื่อว่า เดิมทีเดียว ในครั้งต้นสมัยอยุธยานั้น คงจะเรียกกันว่า '...น้ำพระพัทธ์' ตามคำ 'พระพัทธประติชญา' หรือ 'พระพัทธ์' ที่เขมรใช้อยู่ และชื่อเรียกคำโคลงแช่งน้ำนี้ ในครั้งนั้นก็คงจะเรียกว่า 'โองการแช่งนี้พระพัทธ์' ก่อน, ต่อมาภายหลังจึงได้มาเป็น 'พิพัทธ์' และ 'พิพัทธสัตยา' สัตยาคงจะมาจากคำ 'สตฺยปาน' ในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่า น้ำสัตยสาบาล, เพราะในสมัยหลังเราได้เรียกพิธีถือน้ำพระพัทธว่า 'ศรีสัจจปานกาล' ซึ่งคำว่า 'สัจจปาน' นั้นก็คือรูปบาลีของคำ 'สตฺยปาน' นั่นเอง; และด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า 'น้ำพระพิพัฒนสัจจา'...."
7."...การที่พิธีถือน้ำพระพัทธ หรือถือน้ำพระพิพัทธสัตยา ได้แปรรูปมาเป็น พิพัฒนสัตยา หรือ พิพัฒนสัจจา นั้น ทางหนึ่ง, อาจเป็นด้วยการเขียนโดยเข้าใจผิด ลืมความหมายเดิม แต่อีกทางหนึ่ง อาจจะเป็นด้วยการ 'จงใจ' เปลี่ยนแปลงโดยรังเกียจคำ 'พัทธ' ที่แปลว่า ผูกมัด, และบางทีพวกชนชั้นศักดินาที่เชี่ยวชาญภาษาบาลี คงจะรู้สึกอยากจะซ่อนเร้นความหายนี้ จึงได้เปลี่ยนให้เข้าใจเป็น 'น้ำแห่งความสัตย์อันเจริญรุ่งเรือง!' เข้าทำนองเดียวกับที่พวกนายเงินศักดินาซื้อทาษไว้ใช้ แต่กลับเรียกว่า 'ช่วยทาษ' คือ ช่วยให้ทาษได้เงินค่าตัวไปใช้สมประสงค์, โลกของยุคศักดินามักจะมี่อะไรกลับต้นเป็นปลาย เอาปลายเป็นต้นอย่างนี้แหละ, และก็มักจะซ่อนคำโอละพ่อนั้นด้วยบิดเบือนถ้อยคำเพียงสองสามคำอย่างแนบเนียน..."
8. "...ข้าพเจ้าดูเหมือนจะลืมเล่ามาเสียตั้งแต่ต้นว่า ผู้อ่านโองการแช่งน้ำนี้ต้องเป็นคนในตระกูลพราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นการโน้มเอาอิทธิพลของพวกพราหมณ์ที่เคยใหญ่ยิ่งลงมารับใช้ศักดินาเสียอย่างราบคาบ เมื่อตาพราหมณ์ข้าราชสำนักอ่านโองการจบแล้ว ก็ทำพิธีชุบพระแสงอีกครั้ง พระแสงที่เอาลงชุบในหม้อน้ำสาบาลคราวนี้มีมากมายหลายเล่ม นับแต่พระแสงขรรค์ชัยศรี, พระแสงหอกเพชรรัตน์ พระแสงดาบคาบค่าย ฯลฯ ลงไปจนถือ พระแสงปืนนพรัตน์อันใหม่เอี่ยม รวมความว่า มีอาวุธคู่มือของกษัตริย์ทั้งของโบราณ ทั้งของใหม่เอี่ยมเท่าใดก็เก็บรวมเอามาจู่มลงในหม้อน้ำสาบาลทั้งหมด ขณะที่ตาพราหมณ์แทงพระแสงนุงนังอยู่นั้น พระสงฆ์ที่ถูกนิมนต์เข้ามาร่วมพิธีก็ต้องทำหน้าที่สวดมนต์ คาถาที่สวดคือ 'สจฺจํ เว อมตา วาจา ฯลฯ อันแปลความว่า ความจริงนั่นแหล่ะเป็นวจาที่ไม่ตาย เรือ่งก็คงจะเป็นทำนองเตือนให้พวกข้าราชการทั้งปวงว่า 'อย่าลืมนะ คำที่เอ็งสาบานกันไว้ เอ็งต้องรักษาคำสัตย์สาบานของเอ็งไว้ให้ดี'...ข้าพเจ้า (จิตร) ลืมเล่าไปนิดหนึ่งว่า เมื่อตาพราหมณ์อ่านโองการแช่งเสร็จแล้ว พวกข้าราชการต้องอ่านคำสาบาลตนอย่างย่อมีความหมายคล้ายกันกับโองการ เมื่อสาบาลตัวแล้ว พระสงฆ์จะสำทับปิดท้ายอีกทีหนึ่งว่า 'สจฺจำ เว อมตา วาจา ฯลฯ' อีกครั้งหนึ่ง รวมความว่า ทั้งพราหมณ์ และพุทธ ต่างก็เป็น เครื่องมือของชนชั้น ในการแสวงหาผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินา พุทธปรัชญาอันไม่เกี่ยวข้องกับการขูดรีด ก็ต้องมาเป็นเครื่องมือสำหรับการขูดรีดอย่างช่วยไม่ได้ ท่านผู้อ่านพึงทราบไว้ด้วยว่า พิธีแช่งน้ำ ถือน้ำ นี้ ล้วนทำกันในวัดทั้งนั้น ในสมัยอยุธยาทำกันในวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วต่อมาย้ายมาทำที่วิหารวัดมงคลบพิตร สมัยกรุงเทพณ ก็ทำกันในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปรากฎการณ์เช่นนี้ ศักดินาจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอันขาดว่า ตนมิได้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงแก่สถาบันแห่งชนชั้นตน...."
9. จากการศึกษาโดยละเอียด.....ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วโองการนี้ดูเหมือนจะเป็นวรรณคดีที่รับใช้ศักดินาอย่างได้ผลมานานปีกว่าวรรณคดีเรื่องอื่นๆ เพราะว่านับแต่สมัย (อย่างน้อยที่สุด) ต้นอยุธยาเป็นต้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2475 เป็นเวลาเกือบ 600 ปี โองการนี้ได้ใช้ตลอดมาทุกปี ปีละสองครั้ง ครั้งละหลายหน และหลายแห่ง และแม้จะได้เลิกพิธีถือน้ำนี้เสียเมื่อ พ.ศ. 2475 แล้ว ในหลักสูตรขั้นเตรียมอุดมศึกษาก็ได้บรรจุโองการนี้เข้าไว้ในวิชาประวัติวรรณคดี เฉพาะในขั้นมหาวิทยาลัยแผนกวิชาอักษรศาสตร์ นิสิตจะต้องอ่านวรรณคดีของศักดินาเรื่องนี้อย่างละเอียดละออถี่ถ้วน ซึ่งแน่นอนว่า การศึกษาอย่างละเอียดละออทุกตัวอักษรนั้น ย่อมเป็นไปภายใต้อิทธิพลของแนวคิดศักดินาอย่างสมบูรณ์...การกล่าวถึงโองการแช่งน้ำของนักการศึกษา และนักเลงวรรณคดีฝ่ายศักดินา มักจะปรากฎในรูปที่ว่า '...โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ก่อให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่ข้าราชการจากเมืองต่างๆ หรือไม่ก็ว่า พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้เป็นพระราชพิธีใหญ่สำหรับแผ่นดิน มีสืบมาแต่โบราณ มีคำกล่าวว่า เป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมือง พิธีที่มีขึค้นเพื่อข่มขวัญให้ข้าราชบริพาร และประชาชนยำเกรงต่อศักดินา ย่อมกลับกลายเป็นพิธีที่ก่อให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวระหว่างข้าราชการ และเป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมืองในสายตาของนักการศึกษาฝ่ายศักดินาไปเสียเช่นนี้ แต่ถึงจะได้พยายามช่วยกันปกปิดบิดเบือนอย่างไร นักเลงวรรณคดีฝ่ายศักดินาก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความจริงของการข่มขู่บังคับไว้ได้มิดชิด เพราะในกฎมณเทียรบาลมีปรากฎอยู่โทนโท่ว่า :' "
10. " (ความในกฎมณเทียรบาล)...อนึ่ง ลูกขุนผู้ใดขาดถือน้ำพระพิพัฒน์ โทษถึงตาย ถ้าบอกป่วยคุ้ม (คือ ถ้าป่วยจนมาถือน้ำไม่ได้จึงนับว่าพ้นผิด....จิตร) ถ้าลูกขุนผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์ ห้ามถือ (หรือสวม) แหวนนาก แหวนทอง แลกินข้าวกินปลากินน้ำยา และข้าวยาคูก่อนน้ำพระพิพัฒน์ ถ้ากินน้ำพระพิพัฒน์จอกหนึ่ง และยื่นให้แก่กันกิน กินแล้วแลมิได้ใส่ผม เหลือนั้นล้างเสีย (คือ เททิ้ง) โทษเหล่านี้ในระวางขบถ"
11. "....ความในกฎมณเฑียรบาลนี้ ยืนยันได้อย่างดีว่า พิธีถือน้ำหาใช่พิธีวิเศษสูงส่งอะไรไม่ แท้ที่จริงก็คือ พิธีที่จะสอบดูทุกๆ หกเดือนนั่นเองว่า ใครยังซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์ และใครกำลังคิดสลัดแอกแห่งการกดขี่ของกษัตริย์ออกไป ถ้าหากจะเรียกพิธีนี้ว่าเป็นพิธีระงับยุคเข็ญของบ้านเมือง ก็หมายความว่า ศักดินาถือการลุกขึ้นต่อต้านการขูดรีดของประชาชนเป็นความยุคเข็ญของบ้านเมือง และถือว่า การขูดรีดของพวกตนเป็นสิ่งชอบธรรม ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเท่านั้น....การทดสอบความสัตย์ซื่อของข้าราชการตามที่ปรากฎในกฎมณเทียรบาลนั้น รู้สึกว่าเข้มงวดกวดขันไร้เหตุผลเต็มที ชั่วแต่สาดน้ำสาบานก้นถ้วยทิ้งก็ถือว่า กบฎ....แต่กระนั้นก็ดีการทดสอบ และข่มขู่กดขี่ของศักดินาในกฎมณเฑียรบาลนั้น แม้จะเป็นการเหวี่ยงแหที่กว้างขวางกวาดเรียบแบบพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ หรือมาตรา 116 ของกฎหมายอาญา....แต่ถ้าว่ากันถึงความวิตถารแล้วยังเป็นรองศักดินาเขมรสมัยพระนครหลวงอันเป็นฝีมือครูอยู่...."
12. จากนั้นคุณจิตรก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า ที่เรียกว่า โคลงแช่งน้ำ นั้นถูกต้องแล้ว....คือเป็น โคลงห้า และพยายามให้ความหมาย แต่ละบรรทัด (แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะเสียชีวิตเสียก่อน)...ดูเพิ่มเติมจาก "โองการแช่งน้ำ และข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา" ฉ. พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน 2547 ซึ่งรวบรวมข้อเขียนของคุณจิตร เกี่ยวกับเรื่องโองการแช่งน้ำของคุณจิตรไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์มากๆ ฉบับที่ผมมีก่อนเล่มนี้เป็น ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2524 สนพ ดวงกมล...ซึ่งเป็นเล่มเล็กกว่ามาก...ซึ่งผมว่าดีกว่าฉบับของ ไมเคิล ไรท์ ด้วย ส่วนของอาจารย์ชลลดา ผมยังไม่ได้อ่าน...แต่ในความคิดของผมแล้ว งานชิ้นนี้ไม่ได้เป็นรอง "ที่มาของคำสยาม ฯลฯ" เลย....
13. ขออภัยที่ผมไม่ได้ยกส่วนที่เป็นเนื้อหาในแง่ของโคลงจากหนังสือ เพราะ ความพยายามของผมไม่เพียงพอ และคิดว่าคงไม่สมบูรณ์ ไว้ถ้าท่านใดได้อ่าน แล้วมาลองแลกเปลี่ยนทัศนะกันคงจะมีประโยชน์กว่า
จากคุณ :
นายเจ็ดตัวอักษร
- [
8 ก.พ. 49 02:28:19
]
|
|
|