ได้ คัดลอก เอาจากหนังสือ "ฟื้นความหลัง" เอา มาแบบทั้งดุ้น อ่านแล้วได้ความรู้เรื่องในอดีต ดีมากๆ แต่ ไม่ทราบว่า จะเป็นการละเมิดเจ้าของผลงานหรือเปล่า คิดเห็นอย่างไรช่วยบอกด้วย แค่อยาก เผยแพร่สาระดีๆ ในหนังสือครับ ถ้าชอบจะได้ขยัน เอามาลงต่อ
*************************************************************
จากหนังสือ ฟื้นความหลัง โดย เสถียรโกเศศ
๑๔
ข้าพเจ้าเกิดเมี่อ วัน ๖ ฯ ๑ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิ์ศก ศักราช ๑๒๕๐ เพลา โมงเช้าพอดี
นี่นับวันเดือนปี เขียนอย่างโบราน ถ้าเขียนอย่างปัจจุบัน ก็เป็นวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย นับอย่างนี้ เรียกจันทรคติ โดยถือเอาทางเดินของดวงจันทร์เป็นหลัก คู่กับ สุริยคติ ซึ่งถือเอาทางเดินของดวงอาทิตย์เป็นหลัก ตามที่คนโบรานเข้าใจเป็นเช่นนั้น ถ้าเขียนวันเกิดข้าพเจ้าอย่างสุริยคติก็เป็น วันศุกร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงกาลเก่า ว่าเราได้ผ่านมาแล้วเป็นอย่างไร ในเรื่องนับและเขียนวันเดือนปี ซึ่งเรียกว่า ศุภมาส จะขออธิบายเรื่องการนับปีก่อน
การนับปีอย่างโบราน สมัยเมื่อข้าพเจ้าเกิดและก่อนหน้านั้นขึ้นไป ใช้การนับปีเป็น ชวด ฉลู ขาล เถาะ เรื่อยต่อไปตามลำดับ จนถึงปีกุนเป็นที่สุด ได้ ๑๒ ปี เป็นรอบหนึ่ง เรียกว่า ปีสิบสองนักษัตร ถ้านับได้ ๕ รอบก็เป็น ๖๐ ปี เรียกอย่างภาษาโหรว่า พฤหัสบดีจักร อันเป็นจำนวนเวลาที่ดาวพฤหัสบดีเดินรอบดวงอาทิตย์ได้ ๕ รอบ เมื่อได้ ๖๐ ปีแล้วก็ตั้งต้นใหม่อีกรอบหนึ่ง วันเดือนปีจะตรงกับรอบก่อนเสมอไป ในโอกาสเช่นนี้ เรามีประเพณีฉลองอายุวันคล้ายวันเกิดเริ่มรอบ ๖๐ ปีใหม่อีกรอบหนึ่ง เป็นงานทำบุญใหญ่ ซึ่งตามปกติลูกหลานเป็นผู้จัดให้เพื่อแสดงกตัญญูกตเวที ฉลองคุณท่านเมื่อแก่ เพราะคนมีอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เป็นคนแก่ชรา ตามัวหูตึง ฟันหัก ผมหงอก หนังหย่อน เอ็นขึ้น กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง ตามลำดับ
ตลอดจนถึงแรงดันแห่งชีวิต อันเป็นสมบัติของคนหนุ่มสาวก็เพลาลงกว่าแต่ก่อนและหมดไป เพราะฉะนั้นความสุขของคนแก่ จึงอยู่ที่นึกถึงอดีต มากกว่านึกถึงปัจจุบัน ผู้ใดกระทำกรรมแต่ที่เป็นคุณงามความดีมาแล้ว เมื่อระลึกถึงก็สุขใจ ผิดกับผู้กระทำกรรมตรงกันข้าม จะรู้สึกทุกข์ใจ ไม่มีความสุขเมื่อภายแก่ คำว่า แก่ชรา คนส่วนมากไม่ชอบ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันจึงเกิดคำแทนคนแก่ชรา ว่าเป็นผู้สูงอายุ เพราะอาจทำให้คนแก่ลืมตัว แล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น คิดว่าตนเป็น "ชายข้าวเปลือก" อยู่ไปที่ไหนก็ยังงอกที่นั่น ไม่ต้องการจะเป็น "แก่ลายคราม"
ที่มีคำบอกชื่อศกว่า เอกศก โทศก ตรีศก จัตวาศก เบญจศก ฉศก สัปตศก นพศก และ สัมฤทธิศก รวมด้วยกัน ๑๐ ปี กำกับท้ายชื่อปีสิบสิงนักษัตร ก็เพื่อจะบอกให้ทราบว่าเป็นปีที่อยู่ในรอบไหนของรอบสิบสองนักษัตร เพราะตัวหนังสือที่บอกชื่อศก ซึ่งแปลว่า หนึ่ง สอง สาม จนถึงสิบ จะไม่ซ้ำกันจนกว่าจะครบรอบพฤหัสบดีจักร ๖๐ ปี จึงจะขึ้นต้นซ้ำอย่างเดิมไปใหม่อีก เช่น ข้าพเจ้าเกิดวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวดสัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๕๐ เมื่อข้าพเจ้ามีอายุย่างเข้า ๖๑ ปี ก็มีวันเดือนปีตรงกันกับ เมื่อเกิด จึงเท่ากับการเกิดใหม่อีกครั้ง คงต่างกันตรงศักราชเท่านั้น ศักราชที่กล่าวนี้ หมายถึงจุลศักราช ที่ไม่เขียนตามชื่อของศักราช ก็เพราะถ้าเขียนในขณะที่ใช้จุลศักราชกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องบอกชื่อเต็มก็เข้าใจ แต่มาเกิดความยุ่งยากขึ้นภายหลัง เมื่อเวลาผ่านมาหลายร้อยหลายพันปีก็ไม่ได้ทราบว่าเป็นศักราชอะไร ด้วยการเปลี่ยนหรือลบศักราช มักปรากฏมีอยู่บ่อยๆ ในข้อความที่เป็นประวัติศาสตร์ ต่อเมื่อคำนวณตามเกณฑ์ศักราชที่กำหนดไว้ จึงจะทราบได้ว่าเป็นศักราชอะไร
คราวนี้ถึงเวลาเกิดข้าพเจ้า ที่จดไว้ว่าโมงเช้า หมายความว่า ๑ โมงเช้า ซึ่งเมื่อก่อนพูดกันว่าโมงเช้า คำอื่นก็เป็นทำนองเดียวกัน ไม่นิยมบอกจำนวนเลขหนึ่งไว้ข้างหน้า เช่น แม่ร้อยชั่ง ทองพันชั่ง นาหมื่น ถ้าจำเป็นจะต้องบอกจำนวนเลขหนึ่ง ก็เอาหนึ่งไว้ข้างหลัง เช่น โมงหนึ่ง คำหนึ่ง ร้อยหนึ่ง ถ้ามีหนึ่งต่อจำนวนสิบ ร้อย พัน เป็นต้น หนึ่งก็เป็นเอ็ด เช่น สิบเอ็ด ร้อยเอ็ด พันเอ็ด โจทย์เลขของเก่าเขียนว่า "อิฐ ๑๐๐๑ ตาเถรขน ๔ ยายชีขน ๔ หมดอิฐ ๑๐๐๑ คนละกี่เที่ยว" บัดนี้เราพุดหนึ่งในเรื่องการนับจำนวนที่อยู่หน้าก็มี เช่น หนึ่งร้อยเอ็ด หนึ่งพันเอ็ด ที่ถูกอย่างเก่า ควรเป็นร้อยเอ็ด พันเอ็ด เช่นเมืองร้อยเอ็ด แต่ก่อนไม่ใช้พูดว่า เมืองหนึ่งร้อยเอ็ด ที่ภาษาเปลี่ยนแปลงก็เป็นธรรมดา เพราะความเป็นไปของภาษาก็เป็นทำนองเดียวกับเรื่อของคน ด้วยภาษาและวัฒนธรรมคือเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้น จึงย่อมต้องมีชีวิตโดยปริยาย จะหนีกฎธรรมดาไปไม่ได้ ท่านผู้รู้ผู้หนึ่งใช้คำ เช่น หนึ่งคน และคนหนึ่งให้มีความหมายต่างกัน ถ้าเป็นจำนวนกำหนดนับแน่นอน ก็ใช้ว่า หนึ่งคน (one man) ถ้าเป็นจำนวนกลางๆ ไม่แน่นอน ก็ใช้ว่าคนหนึ่ง (a man) ตามแนวความคิดอย่างภาษาอังกฤษ
จากคุณ :
promp888
- [
11 ก.พ. 49 02:28:38
]