ความคิดเห็นที่ 1 อยู่บ้านรีดผ้าครับ  ไม่ได้ไปทำบุญที่ไหนเลย ขอติดไว้ก่อนแล้วกัน เอาไว้วันธรรมดาแล้วค่อยไป ไม่ไหวรถเยอะ คนแยะ อยู่บ้านว่าง ๆ ได้ดูหนังหลายเรื่องครับ ไปหาหนังแผ่นมาดู ได้เรื่อง 7 สิงห์แดนเสือ ที่พ่อหัวโล้นยูน บริลเนอร์ เล่นตอนหนุ่ม ๆ นั่นแหละ แต่คราวนี้เป็นภาค 2 นะ  ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรหรอก เพราะภาคแรกทำ(ลอก) เขามาดีแล้ว เออ แล้ว 7 เซียนซามูไรนี่เขามีภาคต่อหรือเปล่านะ อีกเรื่องก็เป็นหนังเก่าเหมือนกัน สมัยสตีฟ แมคควีน ยังหนุ่มประมาณหน้ายังไม่ยาว กวนโอ๊ยแบบช่วงดัง ๆ แล้วที่อเมซิ่งสุด ๆ คือ เจมส์ โคเบิร์น เล่นเป็นตัวประกอบ ชนิดแทบไม่มีบทพูด แถมทำซุ่มซ่ามพาพวกไปตายอีก ที่สำคัญคือไม่มีชื่อปรากฎในไตเติลอีกต่างหาก เรื่องนี้พยายามหาปีที่หนังออกฉายบนปกแต่หาไม่เจอเลยไม่รู้ว่าสมัยไหนแน่  แต่คงไม่ธรรมดา เพราะยังเป็นหนังขาวดำอยู่เลย ใครจำได้ไหม (รับรองว่าจะไม่เอาไปเช็กอายุครับ) เรื่อง Hell's Hero เป็นเรื่องของกองร้อยอเมริกันที่เตรียมจะกลับบ้านในปี 1944 แต่กลับถูกสั่งให้ไปประจำที่แนวป้องกันซิกฟรีดแทน อันนี้อยู่ตรงไหนแล้วสำคัญยังไงต้องให้เจ้าแม่ประวัติศาสตร์สงครามโลกอย่างเจ๊วิฯมาเฉลยครับ เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก  บังเอิญว่าสับกำลังกันไม่ทัน จาก 1 กองร้อยก็เหลือแค่หมู่เดียวที่ประจัญหน้ากับนาซี  ทหารหมู่นี้ก็เลยต้องหาวิธีเอาตัวรอดด้วยการแกล้งแสดงว่ามีทหารประจัญหน้าอยู่ที่แนวหลายกองร้อย แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าเจมส์ โคเบิร์นนั่นแหละ ตลกดีเหมือนกันที่ดาราที่แจ้งเดิดกับบทที่ต้องตายเพราะนาซี กลับมาดังสุดขีดเอาในบทนาซีทีหลัง ส่วนอีกเรื่องก็เป็นหนังไทย  เรื่องจอมขมังเวทย์ พอดีได้แผ่นมาจากบ้านพี่ชาย แอบแฮบมาตอนมันเผลอ  ดูตอนดึก ๆ คนเดียวก็ได้อารมณ์กลัวผีดี โดยเฉพาะตอนต้นเรื่อง แต่เสียดายว่าหนังกลับเล่าเรื่องช่วงปลาย ๆ ไม่ดี ทั้งที่สร้างปมเอาไว้ตั้งเยอะ เช่น เรื่องในบ้านร้างกลางทุ่ง (น่าจะเป็นยุ้งข้าว) ที่พระเอกฉัตรชัยเข้าไปพร้อมกับนายทอม ดันดี  จริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์อะไรกันแน่  ใครเป็นคนยิงคนร้าย การวางรูปแบบนี่ลอกเหตุการณ์จริงของ โจ  ด่านช้าง มาเลยนะครับนั่นนะ อีกประเด็นก็เรื่องที่พระเอกที่ดูเหมือนจะละอ่อน เป็นแค่ร้อยตำรวจตรีไฟแรง แต่สุดท้ายก็ตกมาอยู่ในด้านมืดของอาคม (ประมาณดาร์ก เวเดอร์ อะไรประมาณนั้น) แต่ก็เล่าแบบหายไปเฉย ๆ โดยเฉพาะแรงจูงใจที่แท้จริงว่าอยากเป็นจอมอาคม หรืออยากได้เงิน (ที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจริงหรือเปล่า เพราะมันดันจบเสียก่อน) หรือว่าเขาไปเฉลยตอนที่ผมเข้าห้องน้ำก็ไม่รู้สิ  เอาไว้เดี๋ยวกลับไปดูใหม่อีกทีแล้วกัน แต่ว่าต้องรอวันที่แดดออกเปรี้ยง ๆ ก่อนนะ ถ้าตีหนึ่งกว่า ๆ นี่ไม่ดูแล้ว กลัวผี จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 09:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แหม เจ๊ ฯ ไม่บอกนึกไม่ออกนะเนี่ย ตกลง  เดี๋ยวเย็นนี้กลับบ้านจะสั่งผูกปิ่นโตสักหน่อย เผื่ออาแป๊ะแกจะให้ลูกสาวผูกผมเปีย กางเกงขาสั้น เสื้อเชิ๊ตผูกชาย กะมีหนังกะติ๊กเหน็บหลัง หิ้วปิ่นโตมาส่งบ้าง แต่ว่าผมไม่ได้เป็นปลัดใหม่ที่พึ่งมารับตำแหน่งนะสิ เลยไม่รู้ว่าเข้าสเป๊กน้องเข้าหรือเปล่า จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 09:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อ้าว ไม่ได้มาสามวัน ขึ้นภาคใหม่แล้ว มาลงชื่อตัดหน้าคนอื่นๆๆๆอิอิอิอิอิอิ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 14 ก.พ. 49 12:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โธ่ อาจารย์สื่อครับ เรื่องเดียนเบียนฟูเอามาลงในกระทู้ยังค์เติร์ก กระทู้ก็หดถึงภาคที่ 100 เร็วซิครับ ไอ้ตอนแรกผมนึกว่าเรื่องจะสั้นๆ นี่ยังไม่ทันวางแผนโดดร่มลงเดียนเบียนฟู ก็เริ่มยาวยืดแล้วครับ วันหยุดที่ผ่านมาผมก็ไปไหว้พระตามเรื่องตามราวแวะไปที่สนามหลวงช่วงเช้าด้วย คนเยอะพอใช้แต่น่าเศร้าตรงที่ผมไปดูหนังที่เมเจอร์ ปิ่นเกล้า ให้ตายเถอะโรบิน คนเยอะกว่าที่สนามหลวงอีก เฮ้อ........... จากคุณ : ryzon - [ 14 ก.พ. 49 12:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 . โอ้โห คุณพี่ วิจารณ์หนังก็เข้าท่าอีกอย่างแล้ว สำนวนพอสู้กับเจ๊พรพิมล เจ๊รักของผมได้เลยนะ เยี่ยม แต่ว่าอายุคุณพี่น่ะ จะไปรับบทปลัดมันดูเหมือนคนไม่ก้าวหน้าในชีวิตราชการเลย เอาบทปลัดจังหวัดดีกว่านะ ปลัดจังหวัดรับลูกสาวอาแป๊ะใต้คอนโดมาควงประชดชีวิต อืม ... พอนึกภาพได้แฮะ เด็กอายุไม่ถึง ไม่มีการรอลงอาญา ฮู้ย .. ยินดีไปส่งข้าว ส่งน้ำจ้ะ ทีนี้เรียนให้เจ๊เจ้าของกระทู้ทราบเพราะเธอถามเหวี่ยงแหไว้ ว่ากะเหรี่ยงดอยกับเมียได้โอกาสไปตีกุ๊บเมืองนอกอีกแล้ว แม้แค่ Singapore Island ก็เหอะ 3 วัน 3 คอร์สในสนามเดียว ซึ่งก็เป็นสนามในฝันด้วย ถึงขนาดชาตินี้ตายตาหลับแล้ว แม้จะยังไม่ได้ไปหายใจรดสนามกอล์ฟเพ้บเบิ้ลบีชก็ตาม นี่ว่าจะไปแปะกระทู้โม้ที่ห้องกอล์ฟ แต่ยังไม่มีอารมณ์เลย ซึ่งทำให้นึกศรัทธา ท่านอาจารย์ใหญ่กับเจ๊ อย่างยิ่ง ที่แค่นึกก็พรั่งพรู ไหลมาเทมายังกะสายน้ำ ของผมน่ะถ้าไม่ใช่กำลังอินกับบท เฮอะ นั่งจิ้มแห้งเป็นชั่วโมงยังไปไม่ถึงไหนเลย ขอคารวะทั้ง 2 ท่าน . จากคุณ : ชอบแช้งค์ - [ 14 ก.พ. 49 16:06:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทุกวันนี้ เพื่อนผมมันยังเป็นปลัดอำเภออยู่เลยนะเนี่ย  เพื่อนแบบเรียนห้องเดียวกัน รุ่นเดียวกันแหงม ๆ นะเนี่ย สงสัยนามสกุลไม่ถูกกฎ ก.พ.มั๊ง เอ้อ แต่ว่ายังโง้นยังงี้เลยนะ  ผมว่า ป๋า น่าจะกลับไปอัพเดตข้อกฎหมายสักหน่อยนะ เพราะฟันธงแบบนี้ชัดเลยว่าตีประมวลกฎหมายอาญาลงหลุมพาร์ 3 ไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้นะครับ มาตรานี้เขามีวรรค 2 ระบุว่า ถ้ากรณีอายุไม่ถึง แต่หุ่นถึง ก็อนุโลมครับพ๊ม อื้อหือ อยากรู้ว่าใครเข้าข่ายมาตรานี้ให้ไปเดินสยามฯซะวันละ 3 รอบ รับรองสอบได้ A แน่นอน เอ้อ ไหนนะ  กระทู้ประวัติศาสตร์เรอะ  อ้าว ลืมไป เห็นเงาป๋าที่ไรนึกว่าเป็นกระทู้แฟนพันธ์ X ทุกที จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 16:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ้อ แต่ว่า เจ๊พรพิมลนี่ใครครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 16:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0422100249&srcday=2006/02/10&search=no มาเดาว่าเป็นพรพิมลนี้ ถ้าไม่ใช่ก็ขอกาวช้างหลอดนึง...................ครับผม จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 14 ก.พ. 49 17:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ๋ออออออออออออออออออออออออออออ บางอ้อ ถึงแล้ว คงไม่ต้องใช้กาวช้างแล้วมั๊งครับ  ผมว่าก็คงหมายถึงคนนี้แหละ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 17:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เข้าเรื่องบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่ไร้สาระ เรื่องของบ้านร่มเกล้า เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องนึงของไทยที่กลายเป็นเรื่องคลุมเครือและสารพัดตำนานเล่าขานครับ พอนึกออกไหมว่าประวัติศาสตร์ไทยตกอยู่ในสภาพแบบนี้กี่เรื่อง ดังนั้นก็อย่าแปลกใจที่จะมีการเล่ากันสารพัดเวอร์ชั่น เพราะความจริงเป็นสิ่งแสลงใจของคนมีอำนาจในประเทศนี้ และเราก็ยังขาดวัฒนธรรมในการศึกษาประวัติศาสตร์แบบลากไส้ แต่พยายามให้ปัญหาถูกฝังกลบไปพร้อมกับคำว่าประวัติศาสตร์และการให้อภัย กลับมาที่เรื่องเดิมนะครับ เรื่องทหารต่างชาตินี่ไม่ใช่ว่าจะมีหน่วยสืบราชการลับที่ไหนไปเจาะข่าวมาได้หรอกครับ  เพียงแต่ว่าบังเอิญนายทหารของไทยไปร่วมภารกิจกับยูเอนพร้อมกับสหภาพโซเวียตที่แตกละเอียดกลายเป็นประเทศรัสเซัียแล้วบังเอิญได้ประสานงานกับนายทหารรัสเซียเข้าให้ เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งกระนั้นเพื่อนเขาที่จบนายร้อยมาด้วยกัน มาบัญชาการรบที่นี้ ก็เลยชัดเจนว่ามีนายทหารรัสเซียแบบตัวเป็น ๆ เข้ามาร่วมบัญชาการด้วย แถมยังว่ากันว่ามีทหารรับจ้างคิวบา รวมทั้งการใช้ดาวเทียมจารกรรมอีกพร้อมมูล ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็น่าตั้งคำถามนะครับว่า เราเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศยังไง  ทำไมช่วงนั้นไม่เห็นมีข่าวว่าพันธมิตรค่ายตะวันตกของไทยหน้าไหนจะมาช่วยเหลืออะไรเลย ไม่เอาแล้ว ไปรบต่อดีกว่า จากคุณ : ม้าผสม (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 17:44:12 ]

ความคิดเห็นที่ 11 วันที่ 14 ธันวา 2530 กองทัพภาคที่ 3 ก็มีคำสั่งให้กองพันทหารม้าผสม เตรียมพร้อม (ประเด็นการเลือกเหล่าทหารม้าเข้าตีเป็นอีกเรื่องนึงทีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดครับ) พร้อมชุดควบคุมที่ 513 พร้อมด้วยกำลังจากส่วนแยกที่ 18 สนบัสนับสนุนด้วยปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศ 2 เที่ยวบิน เข้าทำการโจมตีที่หมาน 1 และ 2 โดยมีกองกำลังทหารพรานของกองทัพภาคที่ 3 เข้าร่วมปฎิบัติการด้วย คือ กองร้อยทหารพรานที่ 3304 และกองร้อยทหารพรานที่ 7707 ซึ่งทั้ง 2 กองร้อยนี้มีภารกิจในการเข้าตีที่หมาย 10-11 แต่การปฎิบัติการครั้งนั้น จบลงด้วยความล้มเหลว  ไม่สามารถเข้าตีเป้าหมายตามแผนได้ แม้ว่าจะมีการปรับรูปขบวนหลายครั้งแล้วก็ตาม แถมยังเกิดความสูญเสียจำนวนหนึ่งด้วย จากคุณ : 7707 (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 17:48:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วันที่ 23 ธันวาคม กองทัพภาค 3 ทำการปรับขบวนอีกครั้ง โดยใช้กำลังจากกองพันทหารม้าที่ 138 ร่วมกับชุดควบคุมที่ 513 และส่วนแยก 18 เข้ายึดได้เนินสเปอร์ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นที่ตั้งจุดตรวจการณ์ และสามารถยึดที่หมาย 7 ไว้ได้ หลังจากนั้น กองทัพบกได้อนุมัติให้เพิ่มเติมกำลังอีก 1 กองพันทหารม้า และ 1 หมวดปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแบบเรดอาย โดยจัดตั้งกองบังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ช่วยโดยตรง และจัดตั้งส่นแยก กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 นอกจากนี้แล้วก็มีการสนับสนุน ฮ.จากศูนย์การบินทหารบกเข้ามาเพิ่มเติมด้วย จากคุณ : 155 (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 17:53:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พอขึ้นปีใหม่ เลยมาได้ 6 วัน ทหารม้า จำนวน 2 กองพัน พร้อมด้วยการสนับสนุนของปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายหลักของการโจมตีทางอากาศอยู่ที่การตัดเส้นทางลำเลียงของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นในช่วงปลายเดือนมกราคมปี 31 ก็เป็นช่วงเปลี่นครั้งสำคัญของการรบ เพราะหลังจากที่พล.อ.เปรม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น พร้อมด้วย พล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ.ได้เดินทางไปตรวจแนวรบเรียบร้อยแล้ว ก็ได้อนุมัติให้ส่งทหารออกรบนอกประเทศได้ (เรื่องใหญ่นะครับ เพราะหมายถึงการทำสงครามเต็มรูปแบบ เพราะปกติจะทำแค่ป้องกันประเทศหรือรบเมื่ออีกฝ่าบรุกเข้ามาเท่านั้น) นอกจากนี้ยังเสริมกำลังด้านปืนใหญ่ขนาด 155 และ 130 มม.รวมทั้งปืนต่อสู้อากาศยานอีกจำนวนมาก อานุภาพของปืนใหญ่ที่เสริมกำลังเข้ามานั้น สามารถยิงไกลไปถึงแนวหลังของข้าศึก ทำให้การสนับสนุนทหารในแนวหน้าของฝ่ายลาวทำได้ยากยิ่งขึ้น หลังจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องแล้ว กองทัพภาคที่ 3 ก็ได้เตรียมกำลังทหารราบ โดยมอบหมายให้กองพลทหารราบที่ 4 เตรียมกำลัง 1 กรม เพื่อปฎิบัติภารกิจเข้ายึดเป้าหมาย ณ ภูสอยดาว รวมทั้งตีผลักดันให้กองกำลังข้าศึกออกนอกแนวชายแดนประเทศด้วย ขระที่ทหารราบจะข้าปฎิบัติหน้าที่นั้น กองร้อยทหารม้าที่ 2 ของกองพันทหารม้าที่ 138 ก็ได้เข้ายึดที่หมาย 7 เอาไว้ได้แล้ว  แต่ก็ต้องเผชิญกับการโจมตีทั้งทางภาคพื้นดิน และปืนใหญ่จากฝ่ายลาวอย่างรุนแรง  โดยทางทหารลาวทุ่มกำลังทหารกว่า 700 คน เข้าตีที่มั่นนี้ จนกระทั่งทางไทยต้องใช้ปืนใหญ่แตกอากาศยิงสนับสนุน การยื้อยุดที่หมาย 7 นี้เป็นไปอยางยาวนาน ซึ่งทางลาวได้ทุ่มกำลังอย่างเต็มที่เพื่อยึดคืนให้ได้  ในช่วงนี้เองที่เครื่องบินมิก 21 ของลาวปรากฎโฉมออกมา แต่ไม่ทันได้ประทะกับเอฟ 5 ของไทย ก็โฉบหนีไเสียก่อน ไม่งั้นคงได้เห็นสงครามกลางอากาศกันมั๊ง จากคุณ : มิก 21 (สื่อศิลป) - [ 14 ก.พ. 49 18:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อืม แวะมารอดู ของ อ. สื่อศิลป ครับ กำลังสนุกเลย จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 14 ก.พ. 49 19:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ป.ล. ถ้า มิก 21ได้ประทะกับเอฟ 5 ของไทย  ของเราคงลำบากครับ เพราะเราไม่ใช่เครื่องบินแบบครองอากาศ แต่ว่าทางนั้นก็คงยาก เพราะว่าคนขับนี่ เห็นว่าตาน้ำข้าวนะ จะออกมารบเต็มรูปแบบแล้วเกิดหลักฐานเรื่องเชลยแดงขึ้นมาก็คงเดือดร้อน ป.ล.ช่วงนี้หล่ะ เห็นว่าโซเวียตใช้ดาวเทียมส่องให้ลาว โดยที่ เราเองในบางครั้งใช้ ฬ่อ บรรทุกกระสุนและของบางอย่างเพื่อเลี่ยงเรดาห์ จัดกระบวนโดย กองพันสัตว์ต่าง แถมยังเอาคอกไปไว้ใกล้ฐานปืนใหญ่อีก ก็เลยเจอดาวเทียมหมีขาวชี้เป้า ลาวเล็งปืนใหญ่มา ละลายทั้งกองพัน ทั้งกระสุนปืนใหญ่ และอุปกรณ์สื่อสารหลายส่วน น่าเห็นใจจริบงๆ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 14 ก.พ. 49 19:17:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 vอ้อ ลืมไป ผมเองขออนุญาตแสดงความเห็นสักนิดนะครับ ที่คุณ  ryzon บอกในกระทู้ก่อนว่า กองทัพของลาวคงไม่มีศักยภาพพอที่จะบุกลึกเข้าสู่ประเทศ เพราะประเทศมีพลเมือง 3 ล้าน (ในเวลานั้น) จะบุกประเทศที่มีพลเมือง 50 กว่าล้าน ผมว่า อาจมีทางเป็นได้นะครับ เพราะทหารน้อยนั้น เขาไม่ใช่ว่าอย่างรุมต่อยกัน ประเทศใหญ่ก็ต้องมีส่วนดุแลดินแดน แต่ว่าจะจัดทัพรบอย่างไร ซึ่งถ้าเขาจะบุก เขาออาจจะบุกในบางส่วนครับ และสมมติว่าเกิดกองทัพลาวหักด่านที่ชายแดนได้จริง ถ้าเวียดกับโซเวียตไฟเขียว ผมว่าพอมีทางนะครับ ส่วนจะจอยกับเขมรแดงบุกไทย คงยากหน่อย เขมรแดงมันเองไม่น่าจะคิดสั้นทุบหม้อข้าวตัวเองเพราะใช้ไทยเป็นหลังพิงอยู่  แต่ว่าถ้ามีผลประโยชน์บางส่วนอยู่ อาจเป้นได้ครับ พวกเขเมรนี้เหมือนสุนัขหิวครับ ทำตามค่าจ้าง ง ส่วนฝ่ายเฮงสัมรินนะภ้าหักด่านเขมรแดงนั้นไม่ยากนะครับ เพราะไอ้หมอนี่มัน คนเขมร สัญชาติเวียดนามครับ จนบัดนี้ ลูกหลานมันอย่างไอ้ฮุนเซนก็เป็นเวียดอยู่ ผมเลยคิดว่า เอ จริงๆช่วงนี้น่าติดตามดีนะครับ แต่ก็ขอบคุณที่มาแสดงความคิดเห็นครับ และก็ต้อง ขออภัย อ.สื่อศิลปด้วยนะครับที่มารบกวนพื้นที่กระทู้ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 14 ก.พ. 49 19:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มิก-21ของกองทัพอากาศลาว อ่านข้อมูลคร่าวๆ ว่าได้รับการสนับสนุนจาก โซเวียตและเวียดนาม และมีความพยายามอัพเกรดโดยอินเดียแต่ไม่สำเร็จ เพราะช่างห่วย(เขาว่างั้นนะ) รูปนี้ถ่ายที่ Phonsavan Air Base (อยู่ที่ไหนไม่รู้งะ) [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ryzon - [ 14 ก.พ. 49 21:40:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มิก 21 กับเอฟ 5 ก็พอ ๆ กันนั่นแหละครับ เรื่องสมรรถนะกะอาวุธ  เมื่อเทียบกับเครื่องบินสมัยใหม่แล้วก็เหมือนรถเข็นขายโอเลี้ยงไปจอดเทียบกับลัมโบกินี แต่สำหรับสมรภูมิขนาดนี้ก็โอเคแล้ว  จะเอาอะไรมากมาย  ค่าบินขึ้นแต่ละทีไม่ใช่บาทสองบาท สุดท้ายก็ต้องไปวัดกันที่ความสามารถของนักบินนั่นแหละ ส่วนเรื่องบุกไทยนี่  ถ้าอยากจะคิดกันเล่น ๆ สนุก ๆ ก็ได้ครับ แต่การทำสงครามบุกรุกยึดครองประเทศอื่นในสมัยใหม่นี้มันมีเรื่องต้องคิดมากครับ  ไม่ใช่นึกอยากจะบุก็บุกเหมือนอิรักบุกคูเวต ผลที่ตามมาเป็นยังไงละ กรณีเวียดนามหรือลาวก็เช่นกัน  การตัดสินใจบุกไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  อาจจะคิดฝัน แต่ในสถานการณ์จริงยากครับ เหมือน ๆ กับที่จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามนั่นแหละ ประเทศใหญ่กว่าตรึม แต่ก็สูญเสียไปเยอะ ที่พูดยังงี้ไม่ใช่ว่าเหตุการร์ในช่วงนั้นเขาจะไม่พยายามหรือเหตุอันชวนเชื่อว่าเขาจะทำยังงั้นนะครับ  มันก็มีบ้าง  แต่ผมคิดว่าเขาคงต้องการแค่สร้างสถานการณ์เพื่อเป้าหมายอื่นมากกว่า หรือแม้กระทั่งแผนรวมอินโดจีนของโฮจิมินท์  ที่ถึงที่สุดแล้วก็เกิดปัญหาว่าจุดกำเนิดและแรงหนุนของพรรคคอมมิวนิสต์ในแต่ละประเทศ มีที่มาไม่เหมือนกัน  รวมกันลำบาก หรืออย่างกรณีจีนใหญ่กับไต้หวัน  ทั้งตอนนั้นและตอนนี้จีนก็ยังขู่ว่าอยากจะยกพลขึ้นบกที่ฟอร์โมซาเสียเหลือเกิน แต่จริง ๆ ก็ไม่ง่ายครับ  เพราะกองเรือที่ 7 ของสหรัฐฯค้ำคออยู่ ถ้าจะต้องบุกจริง ๆ ต้องประเมินความสูญเสียกับผลที่จะได้รับให้คุ้มจริง ๆ พร้อมกับการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศด้วย ถ้าเราย้อนดูการเมืองใน 3 ประเทศอินโดจีน จะเห็นว่า เขาเกิดปัญหาสะสมมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม และการยึดครองของกองทัพญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงการปกครองขนานใหญ่ ผิดกับไทยที่ปัจจัยเหล่านั้นมันไม่มีในไทย เพราะฉนั้น  การต่อสู้ภายในประเทศเราเอง ก็ต้องหาเงื่อนไขเฉพาะตัว การรุกรานจากต่างประเทศก็ต้องมีการประเมินคนละรูปแบบกับกรณีเวียดนามบุกเขมร ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเวียดนามแสดงท่าทีคุกคามไทยถึงขนาด รมว.ตปท.ประกาศว่าจะยึดกรุงเทพฯ ภายใน 5 วัน พร้อมกับการคุกคามตามแนวชายแดนอรัญที่มากกว่าการทำสงครามระดับท้องถิ่น การแสดงบทบาทของจีนแดงก็เกิดขึ้น ก็แสดงความคิดเห็นกันได้ครับ สนุกดี เพราะผมว่ามันมีประเด็นน่าคิดหลายอย่างว่าไทยผ่านเหตุการณ์ในช่วงนั้นมาได้อย่างไร และแสดงบทบาทอะไรออกไปบ้าง ที่สำคัญคือใครเป็นผู้กำหนดบทบาทเหล่านั้น ลองช่วย ๆ กันคิดกันตอบครับ ไม่รู้จะลงท้ายยังไง แต่อยากจะบอกว่า รูปสนามบินมิก 21 สวยครับ ดูมันดิบ ๆ ดี จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 11:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบอกคุณถ้าจะบ้า (ไปตั้งชื่อแบบนั้นทำไมก็ไม่รู้) ว่าไม่เป็นการรบกวนหรอกครับ มาช่วยกันเขียนแบบนี้ ชอบครับ  มันอู้ได้ถนัดดี เขียนคนเดียวแล้วมันหงอย ยังกะไก่เป็นหวัดนกนะ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 49 12:06:01 จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 11:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 20 . นี่ นี่ เค้าชื่อ ถึงจะบ้า ... ไม่ใช่ ถ้าจะบ้า อย่าตามัวดิพี่ แล้วเค้ามารอดู "ของ" ของตัวน่ะ จะให้เค้าดูไหมครับ . จากคุณ : ชช. (ชอบแช้งค์) - [ 15 ก.พ. 49 12:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อีกรูปครับ ถ่ายจากสนามบินเดียวกัน อันนี้เห็นไม่ค่อยชัดนะครับ จากคุณ : ryzon - [ 15 ก.พ. 49 12:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ก็แสดงความคิดเห็นกันได้ครับ สนุกดี เพราะผมว่ามันมีประเด็นน่าคิดหลายอย่างว่าไทยผ่านเหตุการณ์ในช่วงนั้นมาได้อย่างไร และแสดงบทบาทอะไรออกไปบ้าง ที่สำคัญคือใครเป็นผู้กำหนดบทบาทเหล่านั้น ลองช่วย ๆ กันคิดกันตอบครับ ================================= แหะๆๆๆ ลองแลเข้าไปในหัวของตัวเองดู ปรากฏว่าเจอแต่ขี้เลื่อยครับ เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาแสดง ตอนนี้เลยนั่งรอเฉลยอย่างเดียว วันนี้ครบรอบ 5 ปีที่มาเหยียบ Australia ทุกปีไม่เคยนึกถึงมันเลย แต่ปีนี้พิเศษหน่อยเพราะเป็นปีสุดท้ายแล้ว จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 15 ก.พ. 49 12:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ้าว ตกลงผมเขียนผิดอีกแล้วหรือนี่ อุตส่าห์เข้าไปแก้แล้วนะ ภาพสนามบินได้อารมณ์ประมาณสงครามอินโดจีนจริง ๆ ครับ  ไม่ทราบเขาระบุไหมว่าถ่ายไว้ปีไหน  แต่ไม่น่าจะเก่ามากเท่าไร เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่มีการเปลี่ยนสภาพเท่านั้นเอง "ของ" อะไรป๋า  อยู่ดี ๆ มาขอดู "ของ" ใครจะให้ดูละ เรื่องของบทบาทประเทศไทยในการผ่านเหตุการณ์ช่วงสงครามเย็นมันมองได้หลายแง่มุมครับ แต่ถ้ามองแบบตรง ๆ เรียงตามลำดับเหตุการณ์ ก็จะเห็นบทบาทของผู้นำทางการเมืองของไทยที่นำพาประเทศกระโดดเข้าร่วมกระแสแบ่งค่ายอย่างชัดเจน และแน่นอนว่า ส่วนหนึ่งเพื่อพยุงสถานภาพของตนเองเอาไว้ รวมทั้งชนชั้นนำต่างๆ ด้วย ดูจากจุดเริ่มต้นก็ได้ครับ  ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป.ตกกระป๋องเพราะเล่นผิดบทบาทไปถือหางข้างแพ้  แต่กลับพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ เพราะบทบาทของนายปรีดี เปลี่ยนไปสนับสนุนเวียดนามและลาวในการกู้ชาติจากฝรั่งเศส ขณะที่สหรัฐฯหนุนฝรั่งเศสเต็มตัวในการยึดครองอาณานิคมต่อ เพราะกลัวจะไม่ได้ตังส์คืน กะกลัวว่าโซเวียตจะแผ่อิทธิพลลงมา หลังจากเกิดกรณีเกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ สหรัฐฯจึงต้องหนุนให้จอมพล ป.ขึ้นมามีอำนาจแทนนายปรีดี เพื่อให้การช่วยเหลือเวียดมินต์ยุติลง สงครามเกาหลีคือคำตอบสำหรับจอมพล ป.ที่จะรักษาสถานภาพและประกาศความจงรักภักดีต่อค่ายทุนนิยม ด้วยการเข้าร่วมทัพสหประชาชาติอย่างทันทีและในระดับที่สูงยิ่งจนน่าประทับใจ แน่นอนว่า ไม่เพียงแต่กระแสทางการเมืองเท่านั้นที่พัดไปทางฝั่งตะวันตก กระทั่งเศรษฐกิจ เราก็หันไปพึ่งพาสหรัฐฯมากขึ้น ขณะเดียวกันสหรัฐฯก็เข้ามามีบทบาททั้งทางการค้าและการเมืองแทนที่มหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษที่ยึดครองพื้นที่ทางการค้าในสยามมาอย่างยาวนาน ทางทหารเองก็เริ่มปรับตัวด้วย  สมัยของจอมพล ป.นั้น นายทหารที่สอบได้ที่ 1 รร.เสธ.จะได้ทุนไปเรียนที่ยุโรป โดยเฉพาะัฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสได้รับการยอมรับจากการเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเฉพาะทหารปืนใหญ่ของฝรั่งเศส ถือว่าเกรียงไกรมาก จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 14:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยู่ปีสุดท้ายแล้ว ก็แสดงว่ากำลังจะจบแล้วสิ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแล้วกัน รุ่นน้องผมคนนึง คุณเธอไปเรียนที่ออสเตรเลียยันเป็น ดร. ตอนนี้เห็นได้ข่าวว่าสอนอยู่ที่โน่นเลย  ปีนึงจะมาเจอกันทีตอนงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ มาแต่ละปี แม่น้องนางก็เพิ่มความบึ๊กขึ้นทุกปีไป ไม่รู้ที่นั่นมีอะไรน่ากินขนาดนั้นเหรอ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 14:41:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อุอุ ยินดีครับ ที่อ.สื่อศิลป และหลายๆท่านทักทายผมมา แหม รู้สึกจะตกใจกับชื่อผมเกนเยอะเลย เหอๆๆๆๆ ผมคนใจร้อนครับ เลยชอบประโยคนี้ มันตรงดี ส่วนอ.สื่อศิลป ค๊าบ ผมอยากคัยเรื่องกองทัพฝรั่งเศสนิดนึงครับ ผมว่า เอาเข้าจริงๆ ถ้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าจะสู้เยอรมันไม่ไหวนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะความเจ้าเล่ห์ขี้โกง ของนักการเมือง เพราะในสงครามสนามเพลาะนั้น เยอรมันตีซะจนกระจายหลายส่วนจนใกล้แพ้เลยนะครับ ผมเองกลับชอบความเกรียงไกรของเยอรมัน ภายใต้ขุนพล"บุรุษเลือดเหล็ก"(จำชื่อไม่ได้)มากกว่าน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 49 15:24:02 จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 15 ก.พ. 49 14:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ครับที่บอกว่าปีสุดท้ายเพราะทุนให้เต็มที่ 5 ปีครับ อยู่มากกว่านั้นก็ได้ แต่หลวงไม่ออกตังค์ให้แล้ว ที่ภาควิชานี้มีคนไทยมาเรียนเอก 6 คน ไม่มีใครจบก่อน 5 ปีเลย แถมคนนึงนี่ยังไม่จบ แต่ต้องกลับเมืองไทยก่อนเพราะหมดทุนแล้วอีกต่างหาก กำลังลุ้นอยู่เหมือนกันว่าจะเขียน (บวกทำแล็บ)เสร็จก่อนเส้นตายหรือเปล่า โดยเฉพาะทุนที่ผมได้มานี่ 5 ปีเป๊ะๆ ไม่มีผ่อนผันใดๆทั้งสิ้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จ่ายตังค์เองแล้วครับ นี่ว่าจะไปตุนมาม่าซักลังนึง มาอยู่นี่ 5 ปี ผมก็ขึ้นไปเกือบสิบโลเหมือนกันครับ แรกๆก็พอคุมๆอยู่ มาทะลักจุดเดือดช่วงสองปีสุดท้ายนี่แหละ แต่อยากบอกว่าช่วงที่นน.ขึ้นมากที่สุดคือตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้าน เดือนนึงขึ้นเกือบสองโล แล้วมาใช้เวลาสิบเดือนที่นี่ลดไปโลกว่าๆ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 15 ก.พ. 49 15:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ Ronachai  จบ เทคนิค มช. มาหรือครับ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 15 ก.พ. 49 15:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แหม ก็เหตุการณ์จริง เยอรมันเขาแพ้นิครับ ถ้าจะบอกว่าฝรั่งเศสจริง ๆ แล้วย่ำแย่ก็ได้ เพราะช่วงกลาง ๆ นี่ถึงขนาดขาดกระสุนปืนเล็กปืนใหญ่จนต้องตั้งรัฐมนตรีกระทรวงกระสุนขึ้นมาทำหน้าที่บริหารจัดการสรรหากระสุนปืนให้แนวหน้าเลยทีเดียว ส่วนการพ่ายแพ้ของเยอรมันก็คล้าย ๆ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แหละครับ คือ เก่งใหญ่แต่โดนรุม ยังไงก็ไม่เหลือ ความจริงตอนปลาย ๆ สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นเยอรมันโหมบุกหนักแล้วส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าฝรั่งเศสและพันธมิตรคงจะแพ้แล้วแหละครับ แต่เยอรมันดันลืมเหลียวมาดูข้างหลังไปหน่อยว่าระบบการส่งกำลังบำรุงของตนมีความพร้อมแค่ไหน เรื่องของเรื่องก็เลยแพ้ไปตามระเบียบ เรื่องความแข็งแกร่งของเยอรมัน ใคร ๆ ก็ยอมรับครับ โดยเฉพาะโรงเรียนทหารชั้นประทวน ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความเข้มเคี่ยว หรือเรื่องนักเรียนนายเรือ ก็ไม่เป็นรองใคร  ถ้าไปดูประวัติการศึกษาทางทหารของชนชั้นเจ้านายสมัยก่อน จะเห็นว่าจะมุ่งไปที่เยอรมัน  ซึ่งก็คงเป็นเพราะไทยไม่มีปัญหาเรื่องอาณานิคมกับเยอรมันด้วย แต่เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วก็หันไปฝรั่งเศสแทน เพราะเยอรมันเขาโดนควบคุมหลายอย่าง  กองทัพเลยชะงักงัน ถึงกระนั้นเมื่อเขากลับมาอีกครั้งตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะเห็นเลยว่าระบบกองทัพของเขาพัฒนาไปไกลกว่ากองทัพของประเทศอื่นหลายขุม   ถึงขนาดที่ว่าต้องวิ่งตามกันชุลมุนแหละครับ กว่าจะทันเยอรมันเขา จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 17:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 งั้นก็ขอแสดงความยินดี กับว่าที่ ดร.ล่วงหน้าแล้วกัน ผมก็อยากจะมีโอกาสไปเรียนเมืองนอกเหมือนกันครับ แต่คงต้องรอชาติหน้ามั๊ง กลับมาเรื่องของลาวกับไทยที่บ้านร่มเกล้าต่อแล้วกัน การยึดที่มั่นหมายเลข 7 ของทหารไทย เป็นภาระที่ใหญ่หลวง เพราะทางทหารลาวทุ่มกำลังทุกวิถีทางเพื่อยึดคืนให้ได้ โดยระดมปืนใหญ่และปืนไร้แรงสะท้อนเข้าที่กำบังของไทยจนบังเกอร์พงัทลาย นอกจากนี้ยังมีการยิงปืนใหญ่สกัดกั้นไม่ให้ทหารไทยถอยด้วย เรียกว่าเป็นคิลลิ่งโซนสมบูรณ์แบบ  กะเอาให้ตายคาที่เลย สุดท้ายก็สมใจเวียงจันครับ หลังจากระดมยิงปืนหญ่ใส่ที่หมายเดียวกว่าพันนัด  ฐานที่มั่นของไทยก็แตก โดยผู้บังคับกองร้อยของไทยต้องพลีชีพไปในสมรภูมินี้ด้วย วันที่ 2 ก.พ. 31 กำลังของกองพันทหารม้าที่ 125 เข้าตีที่มั่นหมายเลข 8 ซึ่งอยู่จุดสูงกว่าและระดมไล่ตีลงมาจนยึดที่มั่นหมายเลข 7 กลับคืนมาได้ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างสูญเสียจากการปะทะกันระหว่างการยึดที่มั่นกลับไปกลับมานี้จำนวนมาก ถัดมาอีก 2 วัน ทางทหารไทยก็เสียหายครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อเครื่องบินเอฟ 5 ของไทยถูกยิงตก 1 เครื่อง (ตอนนี้ซากเครื่องบินยังตั้งโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทหารในเวียงจันครับ  ซึ่งในช่วงสงครามครั้งนั้น เขาเอาไปตั้งโชว์สร้างกำลังใจกันหน้าประตูชัยเลย) เมื่อการรบเพลี้ยงพล้ำและสถานการณ์ยากกว่าที่เคยคาดไว้  กองทัพภาคที่ 3 จึงสั่งให้เพิ่มเติมกำลังเข้าไปอีก 1 กองพันทหารม้า เพื่อสมทบกับหน่วยเฉพาะกิจกองพลทหารม้าที่ 1 ทำการเข้าตีที่หมาย 1 และ 2 การโจมตีครั้งนี้กินเวลายาวนาน และสร้างความสูญเสียให้กับทหารลาวมากขึ้น เพราะมีการใช้เครื่องบินเข้าผสมด้วย เช่น การโจมตีด้วยเอฟ 5 ครั้งหนึ่ง ทำให้ทหารลาวสูญเสียเกือบ 70 คน และที่โด่งดังและมีผลต่อการสู้รบให้พลิกผันไปจากเดิมมากก็คือการโจมตีทางอากาศครั้งนึงที่ทำให้ พ.อ.จากี้ ทากานอฟ ผู้ช่วยที่ปรึกษาทางทหารในอินโดจีนของโซเวียตต้องเสียชีวิตลง การตายของ พ.อ.หมีขาวผู้นี้ทำให้ทูตโซเวียตต้องเดินทางเข้าพบนายไกรสอน พรมวิหาร เป็นการด่วน ในวันที่ 12 ก.พ.31 โดยมีข้อยุติว่าให้ทางการลาวส่ง พล.อ.สีสะหวาด  แก้วบุนพัน เป็นหัวหน้าคณะไปเจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อขอหยุดยิงชั่วคราว เพราะประเมินสถานการณ์แล้ว  การถูกโจมตีทางอากาศทุกวัน เป็นการกดดันทัพลาวให้เสียเปรียบมากยิ่งขึ้น จากคุณ : จากี้ (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 17:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คณะของพล.อ.สีสะหวาด (ตอนนั้นสื่อบ้านเราเรียกว่าแมวสีสะหวาด) ได้เจรจากับกับ พล.อ.ชวลิตและรัฐบาลไทยในช่วงวันที่ 12-16 ก.พ.เพื่อหาข้อยุติในการหยุดยิง (เดี๋ยวภาคการเมืองจะแยกออกไปอีกส่วนครับ ตอนนี้เอาเรื่องรบก่อน) ขณะที่ฝ่ายการทูตกำลังเจรจาอยู่นั้น กองทัพภาค 3 ก็จัดกำลังขึ้นไปตีที่หมายอย่างต่อเนื่อง โดยสับเปลี่ยนให้กองพลทหารราบที่ 4 ขึ้นไปผลัดแทนกองพลทหารม้าที่ 1 แต่ระหว่างการรบนั้นกได้รับคำสั่งให้หยุดยิง เมื่อวันที่ 17 ก.พ.31 ซึ่งเขาว่ากันว่าในวันที่ 17 น้นทหารไทยหยุดยิงแล้ว แต่ทางลาวยังยิงปืนใหญ่ใส่เราอีก 1 วันเต็ม ๆ เป็นกระสุนปืนใหญ่นับได้กว่า 800 นัดทีเดียว จนกระทั่งวันที่ 19 ก.พ.นั่นแหละ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงหยุดยิงอย่างเป็นทางการตามข้อตกลง ผลการสูญเสียในครั้งนั้นตามรายงานของไทยเป็นดังนี้ครับ (ลองเอาไปเทียบกับที่ทางลาวเขารายงานดูเอาเองนะครับ) ทหารลาวเสียชีวิต 286 คน บาดเจ็บ 301 คน ทหารเวียดนาม เสียชีวิต 157 คน บาดเจ็บ 112 คน ทหารโซเวียต เสียชีวิต 2 คนบาดเจ็บ 2 คน ทหารคิวบา เสียชีวิต 2 คน  ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ ประชาชนลาว เสียชีวิต 32  คน บาดเจ็บ 8 คน จากคุณ : 479 (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 17:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คราวนี้ลองมาดูคำแถลงถึงเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการของกองทัพบกไทยครับ "ดังจะเห็นได้ว่า ความรุนแรงของปัญหาบ้านร่มเกล้าที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพ.ย.2530 สืบเนื่องมาจากการที่กองกำลังทหารลาวผสมเวียดนาม ประมาณ 1 กองพัน ได้เข้ามายึดพื้นที่เนิน 1428 ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าเป็นการรุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ประมาณ 1.5 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากบ้านร่มเกล้า 1 กิโลเมตร  แต่ลาวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของตน โดยลาวได้เข้ามายึดตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.2530 และได้มีการปะทะกับทหารของฝ่ายไทยมาตลอด รวมทั้งฝ่ายลาวได้ออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อประชาชนภายในประเทศของตน ทั้งทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และใบปลิว อ้างว่าบริเวณดังกล่าวเป็นของตน ทั้งนี้พื้นที่ที่ทหารลาวเข้ายึดประกอบด้วยเนิน 1428  1370  1148  926 และเนิน 905 อันเป็นพื้นที่ติดต่อกันระหว่างภูสอยดาว ภูเมี่ยงและภูขัด   กองทัพปลดปล่อยประชาชนลาวได้เคลื่อนย้ายกำลังพร้อมด้วยอาวุธอยางต่อเนื่องเข้าไปในพื้นที่อำเภอบ่อแตน แขวงไชยบุรีด้านตรงข้ามกับอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย จากคุณ : นาแห้ว (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 17:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 32 นอกจากนี้ ทหารลาวได้ละเมิดอธิปไตยของไทยโดยลาดตระเวนล้ำแดนเข้ามาในไทย ซึ่งการกระทำของลาวไม่สอดคล้องกับการแสดงเจตนารมณ์ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ลาวแต่อย่างใด ฝ่ายรัฐบาลไทยพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของความขัดแย้งให้อยู่ในระดับที่สามารถแก้ไขได้ในระดับท้องถิ่น ส่วนข้อเรียกร้องของลาวที่จะให้เจรจากับไทยนั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณาต่อไป นี่เป็นคำแถลงของ พล.ต.นฤดล  เดชประดิยุทธ์  เลขานุการกองทัพบก เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2530 ครับ จากคุณ : 1370 (สื่อศิลป) - [ 15 ก.พ. 49 17:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 33 จาก#23 เค้าไม่ได้ระบุไว้แต่พออนุมานได้ว่าน่าจะถ่ายในช่วง ทศวรรตที่ 80 ครับเพราะช่วงนั้นลาวได้รับมอบเครื่องบินจากสหายโซเวียตและเวียดนามครับ ........... จากคุณ : ryzon - [ 15 ก.พ. 49 17:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ครับ ผมจบเทคนิค มช. ตอนขอ account จาก hotmail แล้วไม่ได้ชื่อตัวเองก็เลยเลี่ยงไปใช้ชื่อคณะ ตอนมาขอ login name กับพันทิป ก็ไม่ได้อีก ก็เลยต้องหันมาพึ่งคณะต่ออีกรอบ พวกตาน้ำขาวนี่พอตายปุ๊บ แหยงปั๊บเลยนะครับ ถ้าตานั่นไม่ตายมีหวังยังสู้กันต่ออีก แหมฝ่ายนู้นนี่มีพวกแยะนะ แล้วทางของเราหายไปไหนหมดหว่า โดยเฉพาะหมามิตร เอ๊ย มหามิตรตัวแสบน่ะ เอ้อ พิมพ์ผิดโดยสุจริตครับ (หมายถึงตั้งใจนั่นแหละ) จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 15 ก.พ. 49 19:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กระทู้ใหม่นี่ไหลเร็วแฮะ อัพเดทไม่ทันเลย พี่พรพิมล... แตกปลายไปถึงมติชนแล้วเหรอครับ เดี๋ยวอีกหน่อยต้องเชิญมาช่วยผมเขียนเอกสารวิชาการบ้าง อิ อิ อิ พี่วิฯ ไม่น่าชี้ช่องให้อาจารย์สื่อเลยนะครับ เดี๋ยวต่อไปแกคงสั่งข้าวปิ่นโต รับหนังสือพิมพ์ จ้างซักผ้า รับนักศึกษาฝึกงาน ฯลฯ ;-D แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 49 08:23:03 จากคุณ : ha ha yee - [ 16 ก.พ. 49 06:58:30 ]

ความคิดเห็นที่ 36 หุๆๆๆๆๆ อีกหน่อย ต้องเรียก อาจารย์Ronachai   แล้ว ยินดีด้วยครับ อาจารย์สื่อครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณาเล่าเรื่องและวิเคราะห์เยอรมันในมุมมกว้างให้ฟังอย่างละเอียด ขอบคุณมากๆครับ ผมเองจำได้ว่าสมัยนั้น ร.5 พระองค์ท่านทรงมีปฏิสันถารกับผู้นำประเทศนี้เรื่องสงครามอย่างละเอียด แล้วจำได้ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนไทยเซ็นเข้ากับ สัมพันธมิตร ทุตเยอรมันถึงกับตัดพ้อว่าเยอรมัน ไม่เคยรเอาเปรียบสยาม ไฉนจึงไม่รักกันเลย(แต่นับถือประเทศนี้นะครับ ไม่คุมขังลูกท่านหลานเธอไว้ต่อรองนะครับ ส่งกลับแบบปกติตามที่เราร้องขอเลย) จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 11:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ป.ล.อีกนิดครับ ไกรสอน พรมวิหาร นี่ ผมเห็นบางที่เขาเขียน ไกสอน พมวิหาน เลยไม่รู้ว่าอันใหนเป็นอย่างไรหรือครับ ป.ล.อีกนิด ผมว่าตอนนี้ก็มันส์มากเลย ภาคคการรบ แต่ว่ายังมีข้อแปลกๆในส่วนการเมืองที่อาจารย์สื่อบอกว่าจะเอาไว้พูดทีหลัง ก็เลยรอครับ เพราะมีส่วนที่ไม่ตรงกัน ว่าใครขอรำวงกับใครแน่ ในความคิดเห็นที่ 29 นี่มาจากฝั่งไทยหรือลาวครับ อาจารย์ เพราะยังสงสะยนิดๆน่ะครับ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 11:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ได้ยินแว่วๆมาว่า คนที่สนใจประว้ติศาสตร์ และสถานที่สงบ เข้าข่ายพวกแก่เลี้ยว... เอ้ย!  แก่แล้ว (เหรอคะ?) ที่นี่ก็สงบเป็นพักๆค่ะ แล้วแต่ฮอร์โมนของท่านผู้เขียนกระทู้  แต่ไม่ว่าสมรภูมิไหน  สถานการณ์ที่ว่า "ยามศึกเรารบ ยามสงบเรารัก"  เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติไม่ใช่เหรอคะ แต่บางสมรภูมิ เป็นแบบ "ยามศึกเรารบ ยามสงบมักถูกสลัดรัก"  ช่วงสงบๆ แบบนี้ เข้าข่ายสมรภูมไหน  ท่าน เสธฯ ช่วยวิเคราะห์ที ชวนออกรบบ่อยๆแบบนี้ เห็นใจแนวหลังบ้างนะคะ  เข้ามาอ่านก่อนนอนแทบทุกคืน  บางคืนฝันร้ายค่ะ   เห็นเป็นจริงเป็นจังเหมือนเรื่องที่อ่าน มีอยู่ตอนนึง ที่อาจารนย์สื่อเล่าเรื่อง ฝรั่งเศส ปกครอง เขมร กะลังอ่านอยู่เพลินๆ  คุณ หนุ่มหนอก โพสต์รูป ประกอบคำบรรยาย ตอนที่ฝรั่งเศสประหารนักโทษชาวเขมร เล่นเอาคนอ่านแทบช๊อกน่ะค่ะ   เพราะเป็นรูปที่ชัดเจนมากกกกกก เวลาอ่านเรื่องบู๊ล้างผลาญทีไร ต้องค่อยๆย่องค่ะ  เพราะที่นี่ "เสือปืนไว" มีเยอะเหลือเกิน  ขยันหารูป มาแปะประกอบ แต่อ่านไปพลาง ดูรูปไปพลาง ก็ อินกับบรรยากาศนะคะ  ถึงได้เก็บเอาไปฝันเป็นเรื่องเป็นราวไงคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 16 ก.พ. 49 12:05:53 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แหม เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 กับการตัดสินใจของไทยนี่เป็นปริศนาทางประวัติศาตร์ที่น่าสนใจอีกเรื่องนึงนะครับ แต่จำได้ว่าเคยเล่าละเอียดไปแล้ว ปมปัญหามันอยู่ที่ว่า ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในสมัย ร.5 นั้น เราขับเคี่ยวกับอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างดุเดือดในอันที่จะรักษาอธิปไตยและประเทศราชไว้ แต่ไหงแค่ช่วงเลาผ่านไปรัชกาลเดียว  เหตุใด ร.6 จึงทรงตัดสินพระทัยนำสยามเข้าข้างพันธมิตรที่มีฝรั่งเศสกะอังกฤษเป็นตัวหลักในการห้ำหั่นกะเยอรมันซะงั้น ทั้ง ๆ ที่ขุนนางและน้องยาเธอหลายพระองค์ จบการศึกษาจากเยอรมัน และมีความสำพันธ์ที่ดีกับเยอรมัน ถึงขนาดสภาที่ปรึกษาก็แนะนำให้สยามเข้าข้างเยอรมัน บ้างก็ว่าเป็นเพราะพระองค์จบการศึกษาจากอังกฤษ และยังมีตำแหน่งเป็นนายทหารของอังกฤษด้วย ก็เลยเอนเอียงเข้าข้างอังกฤษ บ้างก็ว่า พระองค์มีสายพระเนตรยาวไกล ได้ศึกษาทั้งสถานการณ์ในยุโรป และที่ปรึกษาชาวต่างชาติหลายคนแล้ว วิเคราะห์สถานการณ์ออกมาว่า โอกาสที่เยอรมันจะชนะมีน้อย จึงยอมกลืนเลือดให้สยามเข้าข้างฝรั่งเศส คู่แค้นเก่าแทน เพื่อหวังผลการได้อยู่ข้างผู้ชนะสงคราม เล่ากันว่าทหารที่ไปออกรบครั้งนั้น โอดครวญว่าทหารฝรั่งเศสดูแลทหารสยามอย่างแย่ ๆ ทั้งดูหมิ่นดูแคลน (ระดับพลทหารคงแยกไม่ออกว่านี่คือนักรบจากสยาม ประเทศเอกราช เพราะตอนนั้นฝรั่งเศสเกณฑ์ทหารจากอาณานิคมไปช่วยรบกันอื้อ) ขนาดที่ว่าเยอรมันที่เป็นคู่สงครามยังปฎิบัติกับทหารไทยดีกว่าเสียอีก (อันนี้คงเม้าท์แตกไปเองมั๊ง เพราะเท่าที่จำได้ไม่มีประวัติว่าทหารไทยเป็นเชลยนี่นา  เอ๊ะ หรือว่ามี) ตอนที่เราประกาศว่าเข้าข้างพันธมิตรนั้น ทางเยอรมันเกิดปฎิกิริยาสูงมากครับ เพราะช๊อกไม่คิดว่าสยามที่มีปัญหาอยู่กับฝรั่งเศสจะไปเข้าข้างฝ่ายนั้นได้  ก็มีการนำเสนอข่าวแบบช๊อก ๆ และประชดประชันกันพอสมควร แต่สุดท้ายสยามก็เข้าข้างถูกครับ  และได้ประโยชน์จากการเลือกข้างครั้งนั้นมหาศาลทีเดียว ขอบคุณคุณหมอฮา ฮา ยี มากครับ  ที่ช่วยแนะแนวชี้ทางสว่างให้ผม เอ้อ ไม่ทราบว่าพยาบาลที่โรง'บาลคุณหมอ พอจะมีแบบว่าออกเวรแล้วไม่รู้จะไปดูหนังกระสือวาเลนไทน์กะใครบ้างหรือเปล่าครับ พอดีได้ตั๋วฟรีมานะ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากจะบอกว่ารีบตัดสินใจหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวหนังมันจะออกโปรแกรมเสียก่อน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 16 ก.พ. 49 15:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ประเด็นที่ว่าใครคุยกับใครก่อนนี่พูดยากครับ เพราะต่างรักษาฟอร์มด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ถ้าประเด็นว่าคุยกันแล้วใครเสียฟอร์มมากกว่ากันนี่ ฟันธงครับ ใครจำสมาคมแม่หญิงลาวได้บ้างครับ ว่าเขาตอกคุณหญิงฝั่งไทยไว้ว่ายังไง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 16 ก.พ. 49 15:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 41 โห สวสัสดีครับอ.สื่อ วันนี้มาแต่หัววันเลยนะครับ ดีใจจัง ผมเสร็จธุระแล้วมาแวะดู เรื่องเยอรมันนั้น ก้ต้องขอขอบคุณอีกรอบอย่างหลายๆเลยครับ เดี๋ยวจะพยายามตามหาของเก่าที่อ.เคยเขียนมาอ่านนะครับ แต่เรื่องนี้ เอาไว้เก็บเป็นประเด็นอีกยาวเลยนะครับ อุๆๆๆๆ ส่วนวกมาเรื่องลาว ไอ้เรื่องตอกนี่จำม่ายด้าย แต่ที่จำได้คือท่านเสธ.แดงพูดให้ได้ยินกับหูเลยว่าท่านอยุ่ในวันนั้นด้วย รำวงกัน ไอ้แมวสีสะหวาดได้ทีจับคู่คุณหญิงหลุยส์ เล่นท่าแทงปลาไหล แทงเอาๆ คนอื่นเลยตามๆกันทำ บิ๊กจิ๋ว งี๊แทบลมออกหู ผมว่าทั้งชีวิตการคอรัปชั่นของจิ๋ว น่ารังเกียจ แต่น่าสงสารที่สุดก้ตอนนี้แหละ ถูกหยามกันขนาดนี้ เพื่อประเทศชาติ อย่างวัยรุ่นรับน้อง เล่นท่านี้ เรายังว่าลามก กับคนระดับผู้นำ ผมว่าต่ำช้ามากนะ แต่มาคิดอีกที เอาแบบขำขำเข้าข้างกันเอง  สงสัยไอ้สีสะหวาด มัน บ่มิไก๊ ไม่มีปัญญาหาสาวสวย เลยต้องมาแสดงออกกับป้าแก่ๆ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ว่าแล้วก็แปะรูปแก้เซ็ง http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9490000016409 จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 17:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ๋า รูปไม่มาอีก เอาต่อจิ๊ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 17:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เด็ดขาดตรงผ้าซิ่นที่น้องนางเธอนุ่งนั่นแหละ เท่สุดขีดเลยไหมละครับ หาไม่ได้จริง ๆ นะ  คงเป็นเรื่องดี ๆ อีกเรื่องนึงที่รัฐบาลลาวทำให้กับประเทศชาติและประชาชนของเขาแหละครับ เห็นงามแต้งามว่ายังงี้ ฝันหวานไปหลายวันเลยครับ เอ้อ แต่ว่าน้องเขาอยากจะดูหนังเรื่องกระสือวาเลนไทน์หรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่ถามมาให้ด้วย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 16 ก.พ. 49 17:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แหม อ. รีบมาเร้วเชียวนะครับ สำหรับน้องคนนี้ ถ้ามีโอกาส เจอใกล้ๆผมจะรีบชวนมาหาอ.สื่อเลยล่ะ สำหรับสาวซันซิล นึ่งผ้าถุงลุยกรุงเทพ ขอสัญญา แต่ว่านะ พุดตรงๆวื่น่ารักจริงๆครับ สิ่งที่ลาวดุดีมากก็เห็นจะเป็นประเพณีเนี่ยแหละ พูดถึงการแต่งกายในลาวผมว่าอยากให้เป็นแบบนี้นานๆครับ จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 18:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อ้อ ลืมบอกไปครับ ช่วงนี้ จะมีกระบะใหม่ออกมา ใครจะซื้อก็ชะลอไว้ก่อนบ้างก็ดีนะครับ รอดูของใหม่ออกมา http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V4111793/V4111793.html ส่วนข่าวนี้ สิ่งดีๆของไทยกับลาวครับ อนุโมทนาด้วยครับ http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9490000020870 จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 16 ก.พ. 49 19:18:32 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีครับ คุณสื่อศิลป ยังตามอ่านอยู่นะครับ 2ปีได้แล้วมั่งครับเวลาผ่านไปเร็วดีจริง จากคุณ : เก่ง (เก่งตัวจริง) - [ 17 ก.พ. 49 14:27:07 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แหม จะบอกว่าชื่อเก่งก็ไม่ได้  แสลงเหมือนกัน ก็กลัวจะมีคนเขาแขวะเอาอีก แต่จำได้ครับ  คนคุ้นเคยเมื่อนมนากาเล ขอบคุณหลาย ๆ ที่ยังช่วยส่งเสียงอยู่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 17 ก.พ. 49 15:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เอ้อ ไม่ทราบว่ามีชื่อไหนไม่แสลงบ้างครับเนี่ย จะถามว่ามีชื่อไหนแสลงก็กลัว พื้นที่กระทู้ไม่พอ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 17 ก.พ. 49 16:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ถ้าสกดแบบภาษาลาว ก็ ไกสอน พมวิหาน ครับ แต่ถ้าเข้าวัดบวชแบบไทย ก็ฟูมฟาย เฟื้ยวฟ้าว หน่อย เป็น ไกรสอน  พรหมวิหาร แต่ถ้าจะเอาตัวสะกดแบบลาวเลย จะคล้าย ๆ แบบนี้ครับ ไภสฮม พัมวิหาม   เจ้าตัวไม้หันอากาศ  จริง ๆ จะต้องคว่ำลงด้วยนะ   ส่วนตำแหน่งตามตัวสะกดลาวก็ประมาณนี้ครับ ปะทาม ถะมะบ่ลิหามงามสูมภางพัภ ปะฐาฐัมปะติวัดลาว ที่เป็นตัว "ฐ" นั่น  ภาษาลาวจริง ๆ เขาเป็นตัวคล้าย ๆ ช.ช้าง แต่หางไม่ชี้ขึ้นแบบไทยครับ แต่หางห้อยตกลงมาข้างล่างแทน อ่านว่า ท่านไกสอน พมวิหาน ปะทาน คะนะบอลิหานงานสูนกางพักปะชาชนปะติวัดลาว หรือแบบไทยเลยก็ ท่านไกรสอน  พรหมวิหาร  ประธานคณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนประฎิวัติลาว ส่วนเจ้าสุพานุวง  เมื่อหลังปฎิวัติแล้วก็ทิ้งตำแหน่ง ฐานันดรเจ้า เปลี่ยนเป็น ท่านสุพานุวง ประธานประเทศ สาทาละนะลัดปะชาทิปะไต ปะชาชนลาว รองลงมาอีกท่านคือ พันเอก คำไต สีพันดอน  ประธานคณะบริหารศูนย์กลางพรรค 3 ท่านนี้เป็นผู้บริหารสูงสุดชนิดมีอำนาจจริงของประเทศในยุคแรกในการบริหารประเทศหลังการปฎิวัติครับ จากคุณ : สีพันดอน (สื่อศิลป) - [ 17 ก.พ. 49 17:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แหม  ถ้าเขียนถึงอีก เดี๋ยวมันเหมือนเอามีดมากรีดหัวใจซ้ำนะสิ เขียนเองยังอยาก แหวะๆ เลย  ไปเรื่องการรบในลาวต่อดีกว่า ช่วงแรกพูดถึงการรบของกองทัพไทยและลาวไปแล้ว  ตอนนี้ช่าวงเขาตกลงหยุดยิงกัน  เรามามองการเดินเกมทางการเมืองระหว่างประเทศกันดูครับ เริ่มจากเมื่อมีข้อพิพาท  ทางกระทรวงการต่างประเทศของลาวได้เชิญอุปทูตไทยประจำกรุงเวียงจัน ไปรับบันทึกช่วยจำ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม มีเนื้อหาระบุว่า เครื่องบินไทย ได้ล่วงล้ำน่านฟ้าลาวและทิ้งระเบิดเนิน 1428 ,1370 ,1146 และภูเวียง  แขวงไชยบุรี  รวมทั้งยิงปืนใหญ่ใส่บริเวณต่าง ๆ ในดินแดนลาว และในวันที่ 18 ธันวาคม  นายหว่าง  รัตนวงศ์  อุปทูตลาวประจำประเทศไทย ได้เข้าพบนายสารสิน  วีระพล  รองอธิบดีกรมการเมือง  เพื่อมอบบันทึกช่วยจำ ซึ่งมีข้อความแบบเดียวกัน ทางฝ่ายไทยก็โต้ตอบกลับไปว่า ตามหลักฐานทางสนธิสัญญาและแผนที่ ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวมันอยู่ในดินแดนไทย ลึกเข้ามาจากเส้นแนวชายแดนถึง 2 กิโลเมตรี  ลาวต่างหากที่เป็นฝ่ายล้ำเขตแดนเข้ามา การกระทำของไทยจึงเป็นการปกป้องอธิปไตย จากคุณ : อธิปไตย (สื่อศิลป) - [ 17 ก.พ. 49 18:01:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 โอย..รับรองค่ะ ว่าชื่อ เล็ก,น้อย,ต้อย,ณี,ศรี,แดง,เก่ง,กุ๊ก, ไก่,ตุ้ม,ต้อง,น้อง,ต๋อย, ชุดแบบนี้ เป็นโดนหมด... แม้กระทั่ง รุ่นใหม่ๆแบบ น้องเอิร์น, น้องปูเป้, น้องดรีม, น้องชาร์ม, น้องแพ๊ต ฯลฯ อารายแบบนี้..ก็ไม่พ้นเช่นกัน.. เอ่ยไม่ได้หรอกค่ะ ในกระทู้นี้น่ะ..มันพาลเจ็บจี๊ดจ๊าดไปหมด จากคุณ : WIWANDA - [ 18 ก.พ. 49 00:57:13 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โห เยอะขนาดนั้นเชียว แหม ถ้าที่เมืองไทยมันมีความหลังช้ำใจขนาดนั้น ไม่ลองพิจารณา สาวเพื่อนบ้านบ้างหรือครับ นอกเหนือจากสาวลาวสุดสวยในรูป คคหที่ 42 แล้ว ผมขอเสนอคนนี้ครับ ไปเจอมาจากกระทู้ของคุณไกด์เถื่อน http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4092726/E4092726.html ไม่ทราบเหมือนกันว่าประเทศไหนแน่ แต่อนุมานเอาว่าเป็นสาวเขมร เนื่องจากเจ้าของกระทู้เป็นไกด์ที่มีความเชี่ยวชาญทางเขมรเป็นพิเศษ ยังไงก็ขอให้คุณไกด์เถื่อนจัดทัวร์พิเศษได้เลยครับ แบบว่า นครวัด นครธม อะไรไม่ดูทั้งนั้น ขอให้ได้เจอน้องนางเป็นพอ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 49 07:35:44 จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 20 ก.พ. 49 07:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณครับ ใครช่วยแนะนำให้ก็ให้จำเริญ ๆ ใครหาให้เลย ก็ขอให้ชีวิตเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแซงอย่าหยุดเลยก็แล้วกันนะครับ สาธุ๊ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 20 ก.พ. 49 15:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 54 กรรม อาจารย์ครับ ก็น้องไวน์เมกเกอร์ ของ อโศกวาลเลย์ไงครับ (กรามองเต้ จากกระทู้ ไวน์อะครับ) จากคุณ : Natt_ac121 - [ 20 ก.พ. 49 19:23:57 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ทางลาวนั้น นอกจากยื่นบันทึกช่วยจำให้กับทางการไทยแล้ว  ยังเดินเกมทางการทูตแบบใต้ดินอีกด้วย โดยการดอดเข้ามาพบกับ พล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ โดยอาศัยสถานการณ์งานศพเป็นเหตุ คงจำกันได้ว่า เมื่อครั้งที่เจ้าเพชรราช เสด็จหนีการปราบปรามของฝรั่งเศสเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่ง  ทางการไทยได้จัดที่พักให้ที่อุทัยธานี (หรืออุตรดิตถ์หว่า? ) และในการนั้นก็ได้จัดหาแม่หญิงไทยมาคอยรับใช้เจ้าเพชรราชไว้ท่านนึง แม่หญิงไทยคนนั้นต่อมาก็คือ หม่อมอภิพร  เพชรรัตน์  หรือหม่อมเชื้อ  ยงใจยุทธ  ซึ่งเป็นอาของพล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ  นั่นเอง ซึ่งก็คือท่านเดียวกับคนที่บิ๊กจิ๋วอ้างเสมอว่าท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับทางกาลาว หม่อมอภิพร ได้เสียชีิวิตและได้มีงานสวดอภิธรรมศพ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2530 ที่วัดโสมมนัสวรวิหาร  ซึ่งนายคำพัน  สิมมาลาวง เอกอัราชทูตลาวประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ก้ได้นำพวงหรีดในนามของเจ้าสุภานุวงศ์  ประธานประเทศลาว มาเคารพศพด้วย การเมืองเบื้องหลังหรีดพวงนั้นก็คือ ทูตลาวได้ถือโอกาสเจรจากับบิ๊กจิ๋วว่า เรื่องความขัดแย้งที่บ้านร่มเกล้าไม่น่าจะต้องใช้กำลัง  น่าจะใช้การเจรจากนได้ จากคุณ : เชื้อ (สื่อศิลป) - [ 21 ก.พ. 49 13:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ส่วนอีกเรื่องนึง  สำคัญมาก คือ ทูตลาวของให้พล.อ.ชวลิต เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับราชเลขาธิการ เพื่อขอพระบรมราชานุญาตให้ท้าวพูมี  วงวิจิต  ผู้ใหญ่คนสำคัญของลาวได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระพรในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ซึ่งจริง ๆ ก็คงต้องการจะกราบบังคมทูลเรื่องข้อพิพาทนี้นั่นแหละ ทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่า บิ๊กจิ๋ว ท่านกล่าวว่าอย่างไร และดำเนินการขั้นใดไปบ้าง  แต่ที่แน่ ๆ คือกระทรวงการต่างประเทศ โดยพล.อ.สิทธิ  เศวตศิลา ได้ทำการประท้วงทูตลาวว่าทำผิดธรรมเนียมทางการทูต ที่ดันไปเจรจากับสายทหาร ทั้ง ๆ ที่นี่เป็นเรื่องระดับประเทศ  และต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น คงจำกันได้ว่าสมัยนั้น  นอกจากหน้าฉากที่ พล.อ. เศวต  ศิลา จะเป็นรมว.ตปท.แล้ว  ท่านยังเล่นการเมืองด้วย ซึ่งภายหลังก็เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคมอยู่พักนึง และแน่นอนว่า ในเส้นทางการเมืองแล้วค่อนข้างปีนเกลียวกับบิ๊กจิ๋วพอสมควรทีเดียว จากคุณ : จิ๋ว หวานเจี๊ยบ (สื่อศิลป) - [ 21 ก.พ. 49 17:01:26 ]

ความคิดเห็นที่ 57 นอกจากนี้ทางการลาวยังได้ออก "บทแจ้งสภาพการณ์ของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว  เพื่อชี้แจงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  ดังนี้ 1.  ก่อนหน้านี้ 4 เดือน  ทหารของกองทัพภาค 3 ของไทย เข้าไปคุ้มกันให้พ่อค้าเอกชนไทยเข้าไปตัดไม้ในดินแดนลาว ในเขตภูสอยดาว ทิศตะวันตกของเมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรี  ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการปะทะกันกับทหารลาว และทหารไทยยังยึดเอาดินแดนบางแห่งในบริเวณนั้นไว้ 2.  จากข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส - สยาม ปี ค.ศ.1907 ระบุว่าเขตเมืองหลวงพระบางทางด้านใต้ติดกับประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ปากแม่น้ำเหืองตรงจุดที่จดกับแม่น้ำโขงไปจนยอดสุด  จากนั้นเขตแดนถือเอาสันปันน้ำของแม่น้ำโขงกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งในตัวจริงแล้วก็เป็นภูสอยดาวนั่นเอง 3.  ดินแดนบริเวณดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับตาแสง (เป็นเขตปกครองแบบนึงของลาว เทียบประมาณตำบลของไทย) นาบ่อน้อย เมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรี ที่มีชายแดนติดกับจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดเลยนั้น จึงอยู่ภายใต้การปกครองของลาว โดยมีหลักหมายเขตแดนอย่างชัดแจ้ง 4.  ตั้งแต่วันที่ 15-17 ธีนวาคม 2530 กองทัพภาคที่ 3 ของไทยได้โจมตีดินแดนของลาวในเขตดังกล่าว โดยใช้เครื่องบินไอพ่อนและปืนใหญ่ขนาด 105 มม.และ 155 มม.ระดมยิงใส่เนิน 1428 และเนิน 1370 5.  การประทำของไทยดังกล่าว ทางฝ่ายลาวเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในรอบ 12 ปี  ภายหลังที่มีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฉะนั้นรัฐบาลและประชาชนลาวจึงมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาดินแดนของตนไว้ 6.  อย่างไรก็ดี  รัฐบาลลาวก็มีความปรารถนาทีจะแสวงหาแนวทางแก้ปัญหา โดยการเจรจาตามข้อเสนอของฝ่ายไทยอีกเป็นรอบที่ 3 จากคุณ : เค.พี.แอล (สื่อศิลป) - [ 21 ก.พ. 49 17:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แค่ 2 จุด ยังต้องแก้ไขด้วยหรือครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 09:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 60 สวัสดี อ.สื่อและทุกท่านนะครับ ไม่ได้มาหลายวัน ความรู้เพิ่มอีกเยอะเลย คุณRonachai สาวเขมรก็งามใช่เล่นนะเนี่ย สมแล้วที่เป็นลูกหลานนาง อัปสรา ช่วงนี้ข่าวลาวก้มีบ่อย อย่างล่าสุดนี่เห็นมีข่าว ชีรักจะมาเล่นเรื่องรถไฟ ไทยลาว อีกไม่นานคงได้นั่งรถไฟไปเวียงจันทน์แบบสบายๆชมวิวถ้าจะดีนะ http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9490000023984 จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 22 ก.พ. 49 13:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อ้อ ลืมไป อีกนิดนะครับ ช่วงนี้เห็นกำลังถกกันเรื่องประวัติสงครามอินโดจีนกันอยู่บ้าง เห็นประเด็นกำลังร้อน ใครว่างก็ลองเข้าไปดูหน่อยนะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4122878/K4122878.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4115543/K4115543.html จากคุณ : ถึงจะบ้า.....แต่ว่า!!ไม่โง่!!! - [ 22 ก.พ. 49 13:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แค่แวบไปอ่านก็เสียดายเวลาแล้วครับ จะลงทุนไปโต้เถียงประเด็นพวกนี้ทำไมกัน ปรากฎการณ์เดียวกัน เมื่อมองผ่านแว่นต่างสีกัน ก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา แทนที่จะมองย้อนกลับไปว่าปรากฏการณ์เหล่านั้นมีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดขึ้นบ้าง เพื่อหาต้นตอของปัญหา และแสวงหาความรู้จากปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุขึ้น ซึ่งมีทั้งจากภายในและภายนอก แต่นั่นก็ยังไม่พอนะครับ ปรากฎการณ์หนึ่ง ๆ นั้น  แม้ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายในและภายนอกผสมผสานกันแล้ว ในทันทีที่มีการถ่ายทอด ไม่ว่าจะด้วยตาเห็นเอง หรือผ่านออกมาเป็นคำพูด ตัวหนังสือ ภาพถ่าย หรืออะไรก็ตาม ที่เป็นการกระทำของมนุษย์ สมองของคนเราไม่ได้ว่างเปล่าครับ ไม่มีอะไรที่เป็นกลางหรอก  กว่าเราจะโตพอที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เราก็ถูกมายาคติหล่อหลอมมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกส่วนตัว  การศึกษา สภาพแวดล้อม ภูมิหลังทางครอบครัว การเลี้ยงดู ลองแกะนัยยะเหล่านี้ออกมาก่อน ไม่งั้นจะมีประโยชน์อะไรที่มานั่งเถียงว่าข้าถูกเอ็งผิด  ข้าดีกว่าเอ็ง เอ็งอ่านน้อยกว่าข้า ยิ่งพวกอ่านเยอะ ไ โดยไม่สามารถถอดรหัสของสารที่ตัวเองอ่านได้ออก ยิ่งกลายเป็นถูกหล่อหลอมด้วยมายาคติที่หุ้มหลายชั้นหนักเข้าไปอีก เมื่อก่อนผมก็เคยโต้เถียงกันแบบนี้แหละครับ เอาถึงขนาดท้าให้เปิดกันมาเลยว่าอ่านหนังสืออะไรมาบ้าง นึก ๆ แล้วก็บ้าสิ้นดีนะ สิ่งที่เจอคราวนั้นคือเขาอ้างหนังสือเล่มนึงขึ้นมา  ซึ่งพอฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บว่า เขาอ่านจริง แต่ไม่เข้าใจ สิ่งที่เขาไม่เข้ใจ คือ หนังสือเล่มนั้น เป็นหนังสือทางวิชาการสังคมศาสตร์ที่เอาทฤษฎีหลังสมัยใหม่ (Post Modern) โดยเฉพาะแนวคิดแบบถอดรื้อโครงสร้าง  เพื่อมาอธิบายปรากฎการการสร้าง "มายาคติ" ในการอธิบายปรากฎการรณ์การเมืองในยุคสมัยหนึ่ง แต่คนอ่านไม่เข้าใจในทฤษฎีนี้ ก็เลยไปเหมาว่า  สิ่งที่ผู้เขียนสื่อสารออกมานั้น คือ "ความจริง" ทั้ง ๆ ที่เขากำลังถอดรื้อ "ความจริง" อยู่ พอทราบดังนั้นแล้ว ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า เรามาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ทำไมวะ ไม่ใช่ว่าไปอวดว่ารู้มากกว่าคนอื่นหรอก แต่ละคนมีความรู้กันทั้งนั้น  เพียงแต่อาจจะคนละด้าน คนละมุม แทนที่จะมาโอ้อวดข่มกัน  ก็น่าจะเอามาแบ่งปันกันให้สมกับเป็นกระทู้ที่สร้างความรู้ให้ดีกว่า ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์นั้น  ถ้าจะต้องทำกันจริง ๆ ก็ให้อยู่ภายใต้กรอบขององค์ความรู้แบบเท่าทันกันจริง ๆ จะดีกว่า ทำแบบนี้ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรตรงไหน  กะแค่มายาคติชาตินิยม ว่าไหมครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 16:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณเรื่องรถไฟครับ  ตอนนี้ปลายทางไปหยุดอยู่ที่หนองคาย ห่างจากสะพานไม่กี่กิโลเมตร แต่ที่ผมสนใจคือปัจจุบันขนาดรางรถไฟของเราไม่ได้มาตรฐาน  ถ้าไปเชื่อมกับลาวที่ตอนนี้ยังไม่มีรางรถไฟเลยแม้แต่เมตรเดียว ก็หมายความว่าต้องใช้ขนาด 1 เมตรเท่าเรา มันจะไม่เป็นการไปหยุดพัฒนาการของเพื่อนบ้านเขาหรือครับ เออ แต่ว่าถ้ารถไฟไทยเข้าลาวแล้วเนี่ย คนขับรถไฟต้องเปลี่ยนไปขับเลนซ้ายด้วยหรือเปล่าเนี่ย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 16:17:46 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มาว่ากันถึงเรื่องบ้านร่มเกล้าต่อแล้วกัน ในช่วงการรบอยู่นั้น ทางการลาวได้พยายามดึงให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงปัญหานี้ด้วยเช่นกัน โดยได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2530 ความว่า 1. นับตั้งแต่สถปานาลาวขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1975 รัฐบาลลาวได้ยึดมั่นในนโยบายสันติภาพ มิตรภาพและการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับราชอาณาจักรไทยตลอดมา ตามแถลงการณ์ร่วมซึ่งรัฐบาลของประเทศทั้งสองได้ลงนามไว้เมื่อ ค.ศ.1979 (2522) 2. นโยบายของลาวดังกล่าวต้องประสบกับอุปสรรคอยู่เสมอมา  เนื่องจากเหตุการพิพาทพรมแดนคือข้อพิพาทเกี่ยวกับ 3 หมู่บ้านที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1984 และในปี ค.ศ.1987 กองทัพภาคที่ 3 ของไทยได้เข้าไปคุ้มกันพ่อค้าเอกชนไทยที่เข้าไปตัดไม้ในดินแดนลาวทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำนาบ่อน้อย เขตตำบลบ่อแตน แขวงไชยบุรี และยังได้ยึดดินแดนดังกล่าวไว้เป็นของไทย 3.  ฝ่ายไทยอ้างว่าลำน้ำเหืองเป็นเส้นพรมแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งเป็นการขัดต่อสนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม ฉบับปี ค.ศ.1907 ซึ่งระบุว่า "ทางด้านหลวงพระบาง เส้นพรมแดนลากจากแม่น้ำโขงด้านใต้ที่ตรงปากลำน้ำเหือง และลากไปตามลำน้ำเหืองขึ้นไปจนถึงแหล่งกำเนิดซึ่งอยู่ในภูเมี่ยง จากตรงนั้นเส้นพรมแดนลากไปตามสันปันน้ำระหว่างแม่น้ำโขงกับลำน้ำเจ้าพระยา จนถึงลำน้ำโขง ณ ตรงจุดที่เรียกว่าแก่งผาได"  อันเป็นไปตามเส้นพรมแดนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการปักปันเขตแดน ที่กำหนดไว้เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ.1906 4. การกระทำของไทยเป็นการล่วงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของลาว อันเป็นการฝ่าฝืนคำแถลงการณ์ร่วม ฉบับ ค.ศ.1979 ทั้งยังขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักปฎิบัติในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 5. ฝ่ายลาวขอเสนอให้เปิดการเจรจาของทั้งสองฝ่ายในทันที โดยไม่มีเงื่อนไขบังคับก่อนแต่อย่างใดเพื่อให้ปัญหายุติลง จากคุณ : เหือง (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 17:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ได้โต้ตอบเ่นเดียวกันครับ โดยการยื่นบันทึกช่วยจำให้กับทูตลาวประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2530 พร้อมกับชี้แจงต่อสหประชาชาติถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนการเจรจานั้น กระทรวงการต่างประเทศของไทยตั้งเงื่อนไขว่า หากจะต้องเจรจากันจริง ๆ ก็ต้องมีการตั้งกรอบการเจรจาก่อนครับ ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เอาใครไม่ทราบเดินทางมาเจรจา  แล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง หรือพูดกันทุกเรื่อง ลำพังพูดกันเองระหว่างเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่นี่ทางการลาว พยายามส่งคนมาเพื่อใช้เวทีเจรจาเพื่อโปปะกันดาตัวเองผ่านสื่อต่างประเทศที่แห่มาทำข่าว ซึ่งเรื่องนี้ทางประวัติศาสตร์กองทัพลาวก็บันทึกยอมรับไว้นะครับว่า แผนการเจรจาของเขานั้นมีเป้าหมายเพื่อถ่วงเวลาในการจัดกำลังรบของเขาเท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะเจรจาอะไรกันจริงจังหรอก ดังนั้น ความพยายามเจรจาใน 2 คร้งแรกจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมทางการไทยยังได้ประกาศยุติการเจรจาเอง โดยชี้แจงว่า ตัวแทนของลาวไม่ได้ตั้งใจจะเจรจาอะไรกันเลย หวังจะอาศัยเวทีนี้มาโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง จากคุณ : สุบัน (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 17:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เงื่อนไขที่ทางกระทรวงการต่างประเทศตั้งไปให้กับทางการลาว คือ 1.  การเจรจาจะต้องไปเจรจากันที่ประเทศที่ 3 2. ลาวต้องเปลี่ยนหัวหน้าคณะเจรจาใหม่ ไทยไม่ยอมรับท้าวสุบัน  สลิดทิลาด อีกแล้ว 3.  จะต้องกำหนดเรื่องที่จะเจรจากันให้ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ทางฝ่ายไทยยังเสนอให้ใช้แผนที่ประกอบการเจรจา ดังนี้ 1.  แผนที่ประกอบสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 2. แผนที่ของกรมแผนที่ทหารบกซึ่งจัดทำโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ 3.แผนที่ทางการลาว ซึ่งโซเวียตจัดทำให้ ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับจากลาว เพราะทางลาวยึดมั่นว่า การเจรจาจะต้องเกิดขึ้น โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น การที่ไทยตั้งเงื่อนไขเล่นนี้ก็แสดงว่า ไทยยังไม่ต้องการเจรจา การรบจึงยังคงดำเนินต่อไป จากคุณ : สลิดทิลาด (สื่อศิลป) - [ 22 ก.พ. 49 17:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตอนนี้ภารระกิจหลักหลังว่างจากงานก็คือเข้าพันทิพ และต้องเข้ามาอ่านบทความของท่านอาจารย์สื่อศิลปก่อนครับ ผมทำได้ก็แค่โหวดเพราะไม่กล้าแสดงความเห็น ความรู้ด้านนี้ของผมแค่หางอึ่ง แต่สำหรับวันนี้ต้องกล้าครับ ด้วย Link ที่มีให้อ่าน กบฏภาค1-83 หายไป เพราะไวรัสเป็นเหตุ ผมอ่านได้ถึงแค่ภาค5เอง ขอ Linkกบฏภาค1-83 ด้วยครับ และถ้าจะให้ดี ท่านอาจารย์WIWANDA ช่วยแนบ Linkกบฏทุกภาคที่เก็บไว้ ตอนเปิด กระทู้ใหม่ด้วยครับ จากคุณ : Mamew - [ 22 ก.พ. 49 23:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 มาแย้วววว...ลิงค์ที่ต้องการ http://www.geocities.com/drsak/ เชิญไปอ่านได้เลยค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 23 ก.พ. 49 01:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อไทยปฏิเสธที่จะเจรจา ทางการลาวก็ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ โดยให้นายหว่าง  ลัคตนวง  ที่ปรึกษาเอกอัคราชทูตลาว แถงเกี่ยวกับสาเหตุการสู้รบ โดยระบุว่าปัญหาการเจรจาเกิดจากฝ่ายไทยตั้งเงื่อนไขการเจรจาที่รับไม่ได้ คือ  การขอให้เปลี่ยนหัวหน้าคณะเจรจา และกำหนดหัวข้อในการเจรจา จากนั้น นายหว่างยังได้นำแผนที่ฉบับปี 1967 และฉบับปี 1969 มาประอบการแถลงข่าวด้วย โดยระบุว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้องตามหลักสนธิสัญญาฝรั่งเศส - สยาม ปี 1907 โดยถือเอาแนวเส้นแม่น้ำเหืองที่ต่อกับภูสอยดาว เป็นเส้นพรมแดน ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ได้ออกมาตอบโต้ทันที โดยการแถลงข่าวร่วมกับเจ้ากรมแผนที่ทหารของไทย ชี้ให้เห็นว่าทางลาวบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องของข้อความในสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส โดยทางไทยระบุว่า ข้อความที่แท้จริงคือ ให้ยึดถือตอนกลางลำน้ำเหืองจนถึงต้นน้ำที่เรียกว่าภูเขาเมี่ยง ขระที่ต่างฝ่ายต่างแถลงข่าวตอบโต้กันอยู่นั้น สถานการณ์การรบในสนามจริงก็ทวีความดุเดือดเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ทางการไทยได้นำเครื่องบินรบของกองทัพอากาศเข้าร่วมทำการรบด้วย แต่ก็พลาดท่าเสียที เครื่องเอฟ 5 ถูกยิงเข้าที่ช่วงเครื่องยนต์ (จรวดนำวิถีด้วยความร้อน) ร่วงลงที่พิกัด PV.8852 แถวบ้านร่มเกล้าในฝั่งประเทศไทย จากคุณ : PV8852 (สื่อศิลป) - [ 23 ก.พ. 49 12:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 70 . ในที่สุด เรื่องนี้ก็ วน กลับมาอีกรอบจนได้นะครับ ลุงสื่อ กบฎตอนแรกๆ ก็มีเขียนไปที ผมก็เสริมไปรอบ ตอนนี้ลุงก็เขียนๆ ไปนะครับ เดี๋ยวผมช่วยเสริม เดี๋ยว เด็กๆ รู้อะไรผิดๆ ไป เดี๋ยวจะยุ่งใหญ่ แบบ ตอนรายงานใช้ พันทิพเป็น อ้างอิง เดี๋ยวผมจะกา F เอา - เริ่มด้วย ที่ลุงเขียนข้างบน ปืน 130 มม ทหารบก ไม่มีใช้นะครับ หรูสุดตอนนั้นก็ 155 มม ขอโทษที่จำ ชื่อรุ่นไม่ได้ แต่มันเป็นแบบ โบราณของอเมริกาที่ยิง ไกลสุดแค่ 20 กม. แบบเดียวที่เอาไปดวลกับ ลาว ที่ล้องแจ้งนะครับ แล้วยิงไม่ถึง ทหารไทยมาพลาด ท่าลาวอีกรอบก็ตอนนี้ ลืมบอกไปว่าปืน 130 นี่ยิงไกล เกือบ 30 โล - ส่วนสอง พวกอาวุธจีนทั้งหลาย ทั้งปืนใหญ่ รถถัง รถสายพานของ ไทยมาหลังบ้านร่มเกล้า เกือบปีนะครับ เหล่าทัพแรกที่ใช้ ปืนใหญ่ 130 มม. ก็คือนาวิกโยธินครับ สังเกตดูง่ายๆ ถ้าใครไปงานวันเด็กที่ สึตหีบ ถ้าเห็นปืนใหญ่ มีแผ่น เกราะ นั่นแหละครับปืนจีน ปัญหาใหญ่ของเจ้าปืน 130 นี้ก็คือ โอกาสยิงถูกเป้าต่ำ ครับ เพราะเกลียวลำกล้อง ความน่าเชื่อถือต่ำมาก ทั้งปืน จีน และรัสเซีย ต่างมีปัญหานี้ แต่ข้อได้เปรียบของมัน คือ ยิงได้ไกลกว่าปืน อเมริกันในยุดนั้น ทางแก้ทั้งจีน เวียต นามในช่วงสงคราม คือ จัดหมู่ปืนใหญ่เป็นชุด แล้วระดม ยิงเผื่อฟลุ๊กถูกเป้าหมาย ที่ลาว เขาถล่มมาเป็นชุด ข้างต้นที่เล่า ก็ประการ ฉะนี้แล.......... . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 23 ก.พ. 49 23:03:34 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 71 . ว่าด้วย กองทัพอากาศ เหตุการณ์สำคัญ นับได้ 4 ครั้ง 1. F 5 E โดน Sam 7 ยิงตก นักบินโดนจับตัวไป ราย ละเอียดลุงสื่อเล่าได้เลย 2. F 5 E โดนยิงเครื่องยนต์ระเบิด แต่นักบิน พาบินกลับ ฐานปลอดภัย Sam 7 เช่นเคย 3. OV 10 C โดน Sam 7 ยิงตก 4. เครื่องบินฝึกไทย บินหลงเข้าไปในลาว ตอนสงคราม จบลงไม่กี่วัน ตามข่าวสมัยนั่น บอกว่าหลง หมอก . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 23 ก.พ. 49 23:11:15 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 72 . หลายคนสงสัยว่าเจ้า Sam 7 นั่นมันเป็นอย่างไร ผมแปะรูปไม่ได้ เอาเป็นว่า เป็นจรวดนำวิถึด้วย ความร้อนประทับบ่า ลูกละ 3-4 แสนบาท สมัยนั้น จรวดมันไม่มีพิษสง อะไรหรอก ปัญหามันอยู่ที่ เครื่อง บินรบไทย สมัยนั้นทุกรุ่น ทั้ง F 5 , ov 10 ไม่มีระบบ เป้าลวงความร้อนเพื่อป้องกันตัว ดังนั้น นักบินไทย จะใช้วิธี 1. จรวดเข้าใกล้ แล้วบินหักหลบ กระทันหัน 2. บินเข้าหา ดวงอาทิตย์ เพื่อหลอกจรวด ให้พุ่งหาความ ร้อนของดวงอาทิตย์แทน โชตร้าย นักบินไทยหลบไม่พ้น จึงเกิดเหตุข้างต้น หลังจากนั้น ปี 35 เป็นต้นมาไทย ถึงติดอุปกรณ์ป้อง กันให้ F 5 ครบ ปัจจุบัน ชนกลุ่มน้อยเพื่อนบ้านมีเจ้า Sam 7 รุ่นใหม่ เพียบพร้อม จรวดรุ่นใหม่ มันตื้อไม่เลิก วิ๊ธีแบบเก่าๆ ยังน่าสงสัย ว่าจะใช้ได้หรือไม่ ให้ความรู้เสริมว่า ไทยเราเซ็นซื้อ F 16 A ฝูงแรกก่อน สงครามบ้านร่มเกล้า เมื่อปี 29 กว่าจะได้รับมอบก็ปลาย ปี 31-32 เข้าไปแล้ว เรื่องเจ้า F 16 A ฝูงแรก กว่าไทยจะได้มาก็สนุกไม่เบา พอจะเขียน เป็นยังเติร์ก ได้อีกตอน ด้วยซ้ำ . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 23 ก.พ. 49 23:29:28 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 73 อันที่อยู่ข้างล่าง ลูกยาวๆ มีเปลวไฟพุ่งออกมาจากหางใช่ไหมคะ  ที่เรียกว่าจรวดนำวิถี พอปล่อยแล้ว ก็วิ่งจู๊ด เข้าหาเป้าความร้อนอย่างเดียว จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 24 ก.พ. 49 08:32:47 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เอ้อ ขอชี้แจงดังนี้แล้วกันนะครับ เรื่องแรกคือ ผมมีเจตนาที่จะเขียนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นี้ในลักษณะเล่าสู่กันฟังตามประสาคนคอเดียวกัน แบบสนุกสนาน  โดยไม่ได้หวังให้ใช้เป็นที่อ้างอิงให้กับการเรียนการสอนไม่ว่าจะระดับไหนทั้งนั้นนะครับ ก็เลยเชื่อมาตลอดว่า  คงไ่ม่มีใครเอาข้อมูลของผมไปทำรายงานหรอก เพราะมันผิดวิสัยการอ้างอิงทางวิชาการที่ไม่สามารถบอกที่มาที่ไปของแหล่งข้อมูลได้ อย่างที่ 2 เนื่องจากเจตนารมณ์จากข้อแรก ทำให้ผมหลีกเลี่ยงการอ้างอิงข้อมูลเวลาเขียน เพราะไม่ต้องการให้มันกลายเป็นข้อเขียนวิชาการ อยากให้สนุกกับประัติศาสตร์มากกว่า  และตระหนักดีว่าการอ้างอิงข้อมูลนั้น ต้องเคารพในแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงมา  ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องเขียนแบบไม่มีพลาดทั้งข้อความและนัยยะ ไม่พลาดคือต้องสื่อให้ถูกต้องตามที่แหล่งข้อมูลนั้นอ้าง รวมถึงความคิดความเชื่อของผู้เขียนในแหล่งข้อมูลนั้นด้วย ซึ่งรูปแบบการเขียนแบบเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่สามารถทำได้ เพราะมันรวบรวมมาจากหลายแหล่ง หลายเล่ม บางอันก็เป็นความทรงจำหรือเรื่องเล่าขานจากประสบการณ์ชีวิต หากอ้างอิงแบบเคารพกันยังงั้น คงต้องใส่ตัวเลขกันพราวไปหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคารพแหล่งข้อมูล หรือคิดจะเอามาอ้างเป็นผลงานของผมนะครับ เพราะเคยพูดเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วว่า เนื้อหาแบบนี้ ผมคงเขียนจากการไปมองเห็นเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันก็ต้องมาจากหนังสือหนังหาที่คนอื่นเขียนไว้นั้นแหละ ดังนั้น เมื่อมันไม่สามารถจะอ้างอิงได้ทุกครั้ง ขระเดียวกันก็ไม่ได้อยากให้ใครมามองว่าผมไปปล้นเขามาเป็นผลงานของตัวเอง ก็เลยตั้งใจไว้ว่าเมื่อเขียนครบ 100 ตอนตามที่คนอ่านรุ่นแรก ๆ เขายุไว้เมื่อไร  ก็จะเอาหนังสือหนังหาที่ใช้อ้างอิงในการเขียนทั้งหมด มาไล่เรียงให้ดูกันว่ามันมาจากที่ไหนบ้าง โดยจะแยกให้เห็นเลยว่าตอนไหน เรื่องอะไร ใช้หนังสืออะไรอ้างอิงบ้าง ส่วนเรื่องปืนใหญ่ขนาด 130มม.นั้น  ถ้าย้อนกลับไปอ่านก็จะเคยเห็นว่ามีการพูดเรื่องนี้มาครั้งนึงแล้ว และเคยเอารูปมาลงให้ทีนึง  ไม่นานมานี้เอง ส่วนว่าผมเอามาจากไหนในเรื่องปืนใหญ่นี้ก ก็ต้องขอเรียนว่าในฐานะที่ไม่ได้เป็นทหาร  จึงไม่ได้กล้านึกคิดเดาเอาเอง แต่ได้นำข้อมูลการเสริมกำลังทหารหลังจากการตรวจเยี่ยมแนวรบของ นรม.และผบ.ทบ.ในขณะนั้นมาจากหนังสือเรื่อง "กรณียุทธการบ้านร่มเกล้า จ.พิษณุโลก ของ พลโทศิริ  ทิวะพันธ์  ซึ่งข้อความนี้อยู่ในหน้า 13  ซึ่งถ้าผิดพลาดไปอย่างไรผมก็ขออภัยแล้วกัน เพียงแต่ว่าเมื่อย้อนไปดูก็ยังเห็นว่าท่านเขียนว่าได้มีการเสริมปืนใหญ่ขนาด 130 มม.อยู่ อีกประการหนึ่งคือ ไทยได้รับการสนับสนุนอาวุธจากจีนแดงเมื่อครั้งที่เวียดนามบุกกัมพูชาภายใต้ยุทธการบัวบาน  ซึ่งทำให้เขมรแดงกระจัดกระจายออกจากพนมเปญมาตั้งหลักแถวแนวชายแดนไทย  ซึ่งตอนนั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 มกราคมปี 2522 ครับ ด้วยการกล่าวอ้างว่าจะปราบปรามเขมรแดง  เวียดนามได้ส่งทหารถึง 200,000 นายมาประจำในกัมพูชา โดยส่วนใหญ่ก็ได้นำมาประชิดตามแนวชายแดนไทยด้วย จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ไทยเชื่อว่าเวียดนามโดยการสนับสนุนจากโซเวียตมีเจตนาหรืออย่างน้อยก็มีการกระทำอันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของไทย ขระเดียวกัน  การสูญเสียกัมพูชาก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับจีนแดง ทำให้เกิดการตกลงกันระหว่างรัฐบาลจีนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห้่งประเทศไทยว่าให้ พคท.ทำหน้าที่ลำเลียงอาวุธจากจีนเข้าไปช่วยเขมรแดง ซึ่งลาวที่เป็นพันธมิตรกับเวียดนามยอมไม่ได้  จึงตัดสัมพันธ์กับ พคท.ทำให้ พคท.ต้องย้ายฐานเข้ามาไทยแทน ฝ่ายรัฐบาลไทยก็ได้พยายามเจรจากับจีนว่า  แทนที่จะสนับสนุน พคท.ก็น่าจะให้ทางทหารไทยทำหน้าที่นี้แทน (แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับ จึงไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการออกมายืนยันว่าไทยรับการสนับสนุนจากจีนเพื่อช่วยเขมรแดงอีกต่อ ซึ่งทางการไทยปฎิเสธอย่างเป็นทางการจนทุกวันนี้) การบรรลุข้อตกลงระหว่างรัฐบาลจีนกับรัฐบาลหรือกองทัพไทย ทำให้อาวุธสารพัดชนิดจากจีนหลั่งไหลเข้าไทยผ่านท่าเรือคลองเตยมุ่งหน้าไปอรัญประเทศอย่างมหาศาล การอ้างอิงเรื่องนี้ เมื่อทางการไทยปฎิเสธ  จึงคงต้องไปหาการกล่าวอ้างของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งน่าจะมีแค่คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่จะพาดพิงเรื่องการสนับสนุนจากจีน แม้จะในเชิงปฎิเสธก็ตาม คือ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2524 "...ต้นเหตุของปัญหาในภูมิภาคนี้ คือการที่เวียดนามส่งกำลังทหารเข้ายึดครองกัมพูชา โดยโซเวียตให้การสนับสนุนการกระทำดังกล่าวอยู่เต็มที่ทั้งเงิน อาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงและกลบเกลื่อนความจริงดังกล่าว เวียดนามและโซเวียตกลับกล่าวหาว่าประเทศไทยเป็นผู้สมคตบกับจีนและสหรัฐฯร่วมกันกระทำการเป็นปฎิปักษ์กับกัมพูชาตลอดเวลา " ในเชิงยุทธศาสตร์สมัยนั้น ทหารไทยประเมินไว้ว่า หากทัพเวียดนามจะบุกเข้ามาก็ต้องใช้ปืนใหญ่และรถถังเป็นตัวนำ เราจึงได้ขุดคลองยุทธศาสตร์ตลอดแนวชายแดน เพื่อเป็นคูดักรถถัง แต่เมื่อ พล.อ.อาทิตย์ ได้ไปตรวจแนวแล้วก็ประเมินกันว่า แค่เวียดนามยอมเสียรถถังไม่กี่คันให้จมลงไปในคู ก็สามารถทำเป็นสะพานให้รถถังที่เหลือข้ามมาได้แล้ว ดังนั้น การป้องกันที่ดีกว่าคือต้องมีรถถังในจำนวนที่มากพอที่จะยันรถถังเวียดนามเอาไว้ให้ได้ เพราะการสูญเสียจะเยอะ หากฝ่ายที่ยิงก่อนมีความแม่นยำ รถถังฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ขยับอะไรเลย รถถังจากจีนจึงเป็นคำตอบ ที่สามารถเข้ามาเสริมกำลังให้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เหตุการณ์เหบ่านี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2524 นะครับ ก่อนเหตุการณ์บ้านร่มเกล่าที่เกิดปี 2530 กว่า 5 ปีทีเดียว ก็เป็นข้อมูลนึงนะครับ อย่างที่บอกว่า ผมไม่ใช่ทหาร  งั้นคงไม่อาจหาญไปโต้แย้งในเรื่องของที่มาของอาวุธกันแบบจะ ๆ ก็ได้แต่อ้างอิงที่มาของข้อมูลและยืนยันว่าเขาเขียนเอาไว้อยางนั้น พร้อมกับบริบทที่เห็นว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าอาวุธจากจีนจะเข้ามาเสริมทัพไทยก่อนเหตุการณ์บ้านร่มเกล้า ก็แค่นั้นครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 ก.พ. 49 10:12:07 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อันนี้เป็นกำลังรบของฝ่ายลาวครับ หลังจากที่ทหารลาวสูญเสียที่มั่นต่างๆ ก็ได้รวบรวมกำลังผลเข้ารักษาเนิน 1428 ไว้อย่างเหนียวแน่นโดยมีกำลังรบและกำลังสนับสนุนดังนี้คือ กองพลที่ 1 จำนวน 4 กองพัน พร้อมอาวุธหนักปืนใหญ่ 130 มม. 3 กระบอก ปืน 105 มม. 3 กระบอก รถถังอีก 4 คัน รวมกำลังพล 372 คน กองพลที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่หลวงพระบาง จำนวน 4 กองพัน เช่นกัน มีกำลังพลกว่า 418 คน สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ 130 มม. 3 กระบอก ปืนใหญ่ 105 มม. 3 กระบอก รถถัง 5 คัน ปืน ค. ขนาด 62 และ 82 มม. รวมทั้ง ปตอ. ด้วย นอกจากนี้กองกำลังหลักซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ ไชยบุรี ยังมีปืนใหญ่ 130 มม. 2 กระบอก ปืนใหญ่ขนาด 122 มม. อีก 3 กระบอกรวมทั้งหน่วยจรวดต่อสู้อากาศยานแบบ แซม 7 จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 ก.พ. 49 10:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เอารูป sam 7 ฝาก รู้สึกรูปนี้ถ่ายช่วงทศวรรตที่ 80 ...... จากคุณ : ryzon - [ 24 ก.พ. 49 11:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ปืนใหญ่ 130 มม. รูปเก่าหน่อยดูยากนิดนึงเพราะมันเอียงๆ ..... จากคุณ : ryzon - [ 24 ก.พ. 49 11:22:38 ]

ความคิดเห็นที่ 78 . ผมก็เข้าใจที่ลุงสื่อเขียนครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ เรื่องอาวุธจีน ที่ลุงสื่อบอกไว้ ไม่มีปรากฎ เป็นรูปธรรม เป็นรูปออกมา สมัยบ้านร่มเกล้านะครับ ถ้าตามที่ลุงสื่อ อ้างอิง ทหารไทยนำมาใช้จริง คงแอบ ใช้ ตามด้วยเหตุการณ์ เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ สมัยนั้น ส่วนเจ้ารถถังที่จีนให้มาก็รุ่น T 69 II ครับ ล้อสายพาน เป็นเหล็ก ทำเอาถนนมิตรภาพ วอดวายในยุคนั้น เพิ่ง มาเสริมยาง ก็สิบปีมานี้ เรื่องปืนใหญ่ 130 ถ้าผมจำไม่ผิด ในหนังสือคู่มือ รด. ก็ ไม่มีนะครับ หน้าปก รด, เขาบอกว่าปกปิด แต่ผมเห็นมันวางแบกะดิน ที่จตุจักรประจำ . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 24 ก.พ. 49 13:35:38 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 79 . รูปที่คุณ Ryzon เอามาลง เห็นแผ่นเกราะไหมครับ ตรงยางนั่นแหละครับ ที่ปืนใหญ่ตะวันตกไม่มี . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 24 ก.พ. 49 13:40:21 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 80 . ถึงคุณ กาสะลอง จรวดมัน มีหลายแบบครับ ทั้งแบบนำวิถีด้วยความร้อน นำวิถีด้วยเรดาร์ นำวิถีด้วยเลเซอร์ เคล็ดลับของมันอยู่ ที่เชื้อเพลิงขับดัน ปีกของจรวด กับชิปคอมพิวเตอร์ ส่วนหัวของจรวด กองทัพอากาศไทย เคยผลิตจรวด ชื่อเห่าไฟ มาใช้เอง เป็นจรวดทื่อๆ เมื่อ 20-25 ปีก่อน แต่จรวดทื่อๆ นั้นฉลาดเกิน ซ้อมยิงที่ไร มันวิ่งพุ่งเข้าหา เต็นท์คนดูทุกที จรวดเห่าไฟ เลยเงียบกริบไป เมื่อ 2 ปีก่อน ทหารอากาศ ได้อเมริกันมาช่วยปัดฝุ่นอีกรอบ ไม่รู้ว่าพุ่งหาใครอีกรึ เปล่า . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 24 ก.พ. 49 13:50:02 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แล้ว การรบ บ้านเราไม่มี เรือ บ้างเหรอคับ หรือว่ามีใครเขียนไว้แล้ว แนะนำบ้าง อยากอ่านครับ (ไม่ใช่ สมรภูมินี้ นะครับ นอกเรื่อง อ่ะคับ) จากคุณ : แข้งบวม - [ 24 ก.พ. 49 15:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ไปเที่ยวซะหลายวัน กลับมาตามอ่านฝุ่นตลบจับเต็มเสื้อผ้าเลยล่ะครับ ขอบคุณอ.สื่อ และผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เอ๊ย ผู้ร่วมเสวนาทุกท่านครับ ที่ให้ความรู้ และความสนุกเพลิดเพลิน...เป็นอย่างหอง รออ่านต่อครับ จากคุณ : ทองเบิ้ม - [ 24 ก.พ. 49 16:52:02 ]

ความคิดเห็นที่ 83 . คุณแข้งตุง เอ่ยแข้งบวม ถามเรื่องเรือ เหรอครับ มีเหมือนกัน เอาเรือแบบไหนละ ถ้าทหารเรือ ก็ต้องรบกับฝรั่งเศส หรือไม่ก็เรื่องเรือ นปข. เกยสันดอนลาว เผอิญผมไม่แม่น เกิดไม่ทัน วานท่านอาวุโส ชอลิ้วเฮียง แบบท่านลุงสื่อ บรรเลง ละกันครับ เพราะว่าน่าจะเกิดทัน อิ อิ . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 24 ก.พ. 49 21:35:47 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 84 คุณทองเบิ้มคะ  โพสต์ที่ 82 "ขอขอบคุณผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทุกท่าน...เป็นอย่างหอง" "เป็นอย่างหอง"  แปลว่าอะไรคะ...ภาษาลาว หรือว่าพิมมพ์ผิดคะ? ...................ท่าน ชอ ลิ้ว เฮียง เคยบอกว่า  ถ้าท่านเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง  ห้ามทักว่า "ทำไมรู้ดีจัง  สงสัยเกิดทัน" ข้อนี้ท่านห้ามเด็ดขาดค่ะ! แต่เรื่องที่ท่านยังไม่เล่าให้ฟัง  แต่ทักก่อนว่า ท่านน่าจะเกิดทัน....ไม่ทราบผิดกติกาอันใดหรือเปล่าคะ? ถ้าไม่ผิด  ขอถามว่า นปข แปลว่าอะไรคะ  มีไว้ทำอะไร มันต้องเกี่ยวกับแม่น้ำโขงแน่ๆเลยใช่ไหมคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 26 ก.พ. 49 20:41:43 ]

ความคิดเห็นที่ 85 "ยามนั้นกองทัพไทยปกป้องเอกราชอธิปไตยจนแม้กระสุนปืนใหญ่ก็ไม่เหลือ ที่ระดมมาจากมิตรประเทศในอาเชียนก็หมดสิ้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธสั่งการให้อดีตทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน คือ พ.อ.อมรรัตน์ จินตกานนท์ ร่วมกับ “คณะทำงานลับ” คนหนึ่ง และทีมงานของเขา ติดต่อประสานงานกับกองทัพจีน นำไปสู่กระบวนการ “วิธีการพิเศษ” ลำเลียงทั้งปืนใหญ่และกระสุนจากจีนมาใช้ ! ปืนใหญ่และกระสุนปืนใหญ่ชุดนั้นมีความหมาย 2 นัย นัยแรกตรงไปตรงมา คือเป็นยุทโธปกรณ์เสริมและทดแทน นัยที่สองที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ “สาส์น” ที่ต้องการ “สื่อ” ต่อฝ่ายตรงกันข้าม ลักษณะกระสุนชนิดใหม่ที่ถูกยิงออกไปทำให้เกิดความเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ไทยไม่ได้รบโดยโดดเดี่ยวแล้ว จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการเจรจา และถอนทหารออกจากแนวรบ " จากเวบไซต์ผู้จัดการครับ เป็นหลักฐานแบบไม่เป็นทางการที่ใช้อธิบายว่าทำไม พล.ท.ศิริ  ทิวะพันธ์  แม่ทัพภาค 3 ผู้รับผิดชอบพื้นที่การสู้รบในขณะนั้น ถึงต้องพิมพ์คำว่า "ปืน 130 มม. เข้าไปในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ของท่าน ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้น  กองทัพบกไทยไม่มีปืนใหญ่ขนาด 130 มม. ซึ่งเป็นปืนจากค่ายสังคมนิยม รวมทั้งไม่ใีในหนังสือเรียน รด. ที่ผมเข้าใจว่า(หรือถ้าจำไม่ผิด) ก็ระบุไว้ว่าปืนประจำกายของทหารไทยคือปืนเอ็ม 16 ไม่มีปืนอาร์ก้า หรือ AK 47  อยู่ในสารบบเลย ทั้ง ๆ ที่ทหารพรานตามแนวชายแดน ใช้อาวุธทั้งประจำกายและประจำหน่วยจากจีนทั้งนั้น เว้นแต่เวลารายการโทรทัศน์ไปถ่ายทำเท่านั้นแหละ ที่เพื่อนจะเปลี่ยนจากอาร์ก้ามาเป็นเอส เค ทันที ส่วนเรื่องเรือ นปข.ขออนุญาตผ่านให้คุณหนุ่ม cit ดำเนินการต่อเลยครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 27 ก.พ. 49 09:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 86 1. เริ่มด้วย ที่ลุงเขียนข้างบน ปืน 130 มม ทหารบก ไม่มีใช้นะครับ หรูสุดตอนนั้นก็ 155 มม ขอโทษที่จำ ชื่อรุ่นไม่ได้ แต่มันเป็นแบบ โบราณของอเมริกาที่ยิง ไกลสุดแค่ 20 กม. แบบเดียวที่เอาไปดวลกับ ลาว ที่ล้องแจ้งนะครับ แล้วยิงไม่ถึง ทหารไทยมาพลาด ท่าลาวอีกรอบก็ตอนนี้ ลืมบอกไปว่าปืน 130 นี่ยิงไกล เกือบ 30 โล - ส่วนสอง พวกอาวุธจีนทั้งหลาย ทั้งปืนใหญ่ รถถัง รถสายพานของ ไทยมาหลังบ้านร่มเกล้า เกือบปีนะครับ เหล่าทัพแรกที่ใช้ ปืนใหญ่ 130 มม. ก็คือนาวิกโยธินครับ สังเกตดูง่ายๆ ถ้าใครไปงานวันเด็กที่ สึตหีบ ถ้าเห็นปืนใหญ่ มีแผ่น เกราะ นั่นแหละครับปืนจีน 2. ผมก็เข้าใจที่ลุงสื่อเขียนครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ เรื่องอาวุธจีน ที่ลุงสื่อบอกไว้ ไม่มีปรากฎ เป็นรูปธรรม เป็นรูปออกมา สมัยบ้านร่มเกล้านะครับ ถ้าตามที่ลุงสื่อ อ้างอิง ทหารไทยนำมาใช้จริง คงแอบ ใช้ ตามด้วยเหตุการณ์ เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ สมัยนั้น 3. เรื่องปืนใหญ่ 130 ถ้าผมจำไม่ผิด ในหนังสือคู่มือ รด. ก็ ไม่มีนะครับ ******** ที่ว่าเข้าใจนี่คือเข้าใจอะไรครับ เห็นครั้งแรกยืนยันว่าไม่มีแน่นอน เพราะอาวุธจีนมาจากเหตุการณ์บ้านร่มเกล้า ครั้งที่ 2 บอกว่า ถ้าจะเอามาใช้จริงก็ไม่ได้มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เอาแอบ ๆ มาใช้ ปืนใหญ่นะครับ ไม่ใช่ไม่จิ้มฟัน ครั้งที่ 3 บอกว่าในหนังสือ รด.ไม่มีเขียนเอาไว้ แล้วคุณหวังว่าหนังสือทหารระดับให้นักเรียน รด.อ่าน นี่เขาจะเบียนข้อมูลระดับไหนครับ 4. เดี๋ยว เด็กๆ รู้อะไรผิดๆ ไป เดี๋ยวจะยุ่งใหญ่ แบบ ตอนรายงานใช้ พันทิพเป็น อ้างอิง เดี๋ยวผมจะกา F เอา เด็กนักเรียนที่ไหนเอาข้อเขียนของผมไปทำรายงานส่งให้คุณกา เอฟ ครับ เรื่องของร่มเกล้า ที่ผมต้องเอามาเขียนหลายหน เพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ที่คลุมเครืออีกครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ทั้ง ๆ ที่ถ้านับประวัติศาสตร์สมัยใหม่  การรบครั้งนี้ไทยสูญเสียเยอะที่สุด  มากกว่าที่ช่องบก หรือตาพระยาเสียอีก ขออ้างหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ามั่วอีก พล.อ.พัฒน์  อัครนิบุตร  ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า  "..เราเสียเงินเกือบ 1,000 ล้าน  เสียชีวิต 150 คน บาดเจ็บ 600 คน เป็นสงครามที่เราสูญเสียมากที่สุด..." บันทึกเรื่องของร่มเกล้าเป็นบันทึกที่กระจัดกระจายมาก  แทบจะหาแบบชัดเจนไม่ได้  ที่มีก็เป็นแบบบิด ๆ เบี้ยว ๆ ผสมปนเปหรือตัดเฉพาะบางส่วน โดยเฉพาะข่าวลือถึงเหตุความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างรบ ก็ยังหาอะไรที่ยืนยันไม่ได้ หรือคงมีแต่ผมยังหาไม่เจอ เรื่องของเรื่องมันก็เลยพยายามหาที่เจอแล้วหลุดพ้นจากข้อมูลประเภท "ว่ากันว่า หรือเห็นเขาว่า"  พอได้เอกสารประเภทนี้ที่ต้องเสาะหาพอสมควร  ก็เอามาให้อ่านให้คุยกัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 27 ก.พ. 49 12:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผมก็หาอ่านยาก เหมือนกัน ครับเรื่องหมู่บ้านร่มเกล้า มีแต่แบบไม่ละเอียด อะครับ ก็ มีคนที่เคยไปรบ เล่าให้ฟัง บ้าง อ่านจากโน่นจากนี้บ้าง สรุป ก็ ไม่ค่อย เข้าใจ ผมว่า อ่านของ อาจารย์ ละเอียดดีคับ ----- ส่วนเรื่องเรือ เรืออะไร ก็ได้ครับ เพราะ ผมไม่ค่อยได้เห็นการรบทางเรือเท่าไหร่ แถวๆบ้านเราอ่ะคับ แม่น้ำ ทะเล อะไรก็ได้ ขอบคุณคับ จากคุณ : ตังเก (แข้งบวม) - [ 27 ก.พ. 49 12:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 88 . ผมไม่ได้ ว่าอะไร นะครับ อย่าคิดผิด ประวัติศาสตร์ มันคลุมเคลือ ไม่มีประโยชน์ ที่จะมาทะเลาะกัน ผมรู้อะไรมาก็เสริม เท่านั้นนะครับ เพราะตอนลุง สื่อ เขียนเรื่อง ร่มเกล้า ในกบฎตอนแรกๆ ผมยัง บอกเองว่า ผมอ่าน สงคราม สมรภูมิ ในยุคแรกๆ เลยรู้ เรื่องนี้ดีในระดับหนึ่ง ใครว่างๆ ก็ไป มอ เกษตร บางเขน นะครับ มีวิทยานิ พนต์ เรื่องบ้านร่มเกล้า ผมเคยเสริช เจอเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนไปทำวิจัย ล่าสุด เข้าไปดูใหม่ หายไปแล้ว ใครมือดี ก็ลองไปค้นดูครับ อาจจะเป็นฉบัยเดียวในไทย ส่วน นปข. หน่วยปฎิบัติการลำน้ำโขง ไปติดสันดอนลาว คนหนองคาย ยิงปืนมายิงสู้ข้ามฝั่ง ผมเกิดไม่ทันครับ เรื่องนี้ก็ลืมไปแล้ว คงไม่เขียนครับ ขอตัว . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 27 ก.พ. 49 21:42:14 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ถ้าจำไม่ผิด จากคุณ : วิฬาร์ (ก็ได้) - [ 28 ก.พ. 49 06:52:18 A:68.220.139.95 X: TicketID:057035 ]

ความคิดเห็นที่ 90 โทษทีครับ เขียนไม่จบ ถ้าจำไม่ผิด ทั้งเรื่อง นปข.และ ทร.รบกับฝรั่งเศส มีอยู่ในกบฏฯตอนเก่าๆทั้งสองเรื่องแล้วนะครับ จากคุณ : วิฬาร์ (ก็ได้) - [ 28 ก.พ. 49 06:55:34 A:68.220.139.95 X: TicketID:057035 ]

ความคิดเห็นที่ 91 แล้วยังไงครับ ให้ผมขอโทษคนอ่านไหมครับว่า ผมผิดเองที่เอาเรื่องปืนใหญ่ 130 มม.มาเขียน ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอยู่จริง หรือจะบอกว่า ขอโทษเถอะครับ ผมไม่มีความรู้ในเรื่องของอาวุธเลย จึงไม่ทราบว่าปืนใหญ่ขนาด 130 มม.นั้นเป็นอาวุธของค่ายสังคมนิยม ซึ่งกองทัพไทยอยู่ในค่ายเสรีนิยม จึงมีไม่ได้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าไม่ได้ทะเลาะหรือเปล่า ประโยชน์มันอยู่ตรงนี้แหละครับ การมีอยู่ของปืนใหญ่ขนาด 130 มม. ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  แต่มันเป็นเครื่องยืนยันว่าไทยได้รับการสนับสนุนจากจีน เพราะตอนนั้นสถานการณ์การสู้รบของไทยเข้าขั้นคับขัน อาวุธปืนใหญ่(ภาษาทหารเรียกว่า สป.5)จากอเมริกา เรายิงจนกระสุนหมด ไม่สามารถหาเพิ่มเติมได้ทันเวลา ดังนั้น การได้รับการสนับสนุนด้านปืนใหญ่ ด้วยลูกปืนที่ต่างขนาดออกไป จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จีนได้เข้าข้างไทย เพราะปืนนี้คงไม่ได้มาจากโซเวียตแน่ ๆ ผมไม่เข้าใจคำว่า ไม่ได้ว่าอะไรของคุณ จริง ๆ ตอนเริ่มต้นนะคุณซัดผมเข้าไปเต็มเหนี่ยวแล้ว คุณคิดว่าที่เขียนลงไปยังงั้น  ประมาณถึงขนาดว่าถ้าบังเอิญมันจะมีนักเรียนคคนไหนสิ้นคิดมาเอาข้อมูลในกระทู้ผมไปทำรายงาน คุณจะให้ เอฟ ที่หมายถึงตกทันที เพราะมันจะเอาไปเขียนว่า ทหารไทยเสริมกำลังปืนใหญ่ขนาด 130 มม.เข้าไปที่แนวรบ ขณะที่คุณขยายความรู้เพิ่มเติมให้ฟังว่า จริง ๆ แล้วปืนชนิดนี้กองทัพบกไทยไม่มี และเข้ามาใช้ครั้งแรกในหน่วยนาวิกโยธินของกองทัพเรือ เมื่อเหตุการณ์บ้านร่มเกล้าผ่านไปแล้วหลายปี แล้วจะให้ผมทำยังไงละครับ  เขียนผิดในสาระสำคัญขนาดนั้น  อยู่เฉย ๆ เพื่อแสดงว่ายอมรับความผิดพลาดหรือ ผมก็ต้องพยายามที่จะชี้แจงว่า ผมไม่ได้มั่ว แม้จะไม่เคยคิดว่าข้อเขียนผมมันจะเอาไปอ้างอิงความถูกต้องอะไรทางวิฃาการได้ แต่ไม่ได้มั่วครับ มันมีที่มา ทั้งจากหนังสือบันทึกเหตุการณ์จากบ้านร่มเกล้าที่เขียนโดย พล.ท.ศิริ  ทิวะพันธ์ ซึ่งเป็นแม่ทัพภาค 3 ดูแลพื้นที่สู้รบโดยตรงในขณะนั้น คนระดับแม่ทัพจะแยกไม่ออกเชียวหรือครับว่าปืนใหญ่ที่เสริมเข้าไปในแนวนั้นมันเป็นประเภทไหนกัน หรือ ท่านเขียนผิด หรือผมพิมพ์ผิด อะไรครับ แล้ววิทยานิพนธ์ที่คุณไปเห็นตอนทำวิจัยที่ ม.เกษตรศาสตร์นะครับ  ถ้าหาไม่เจอ  อย่ารอให้คนอื่นว่างเลยครับ ไปหาอีกทีที่หอสมุดแห่งชาติก็มีครับ หรือถ้าจะเอาจากแหล่งแท้ ๆ เลยก็ไปที่สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง โรงเรียนเสนาธิการทหารบกครับ ที่นั่นมีวิทยานิพนธ์ที่นายทหารระดับนายพลท่านเขียนเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านร่มเกล้าไว้เยอะแยะ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ลึกลับ ต้องห้าม หรือหายากแต่หายง่ายอะไรหรอกครับ ส่วนใหญ่แล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์สู้รบนั้น ผู้เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับบ้านร่มเกล้าจะอ้างอิงข้อเขียนหรือหนังสือเล่มนี้ของ พล.ท.ศิริ  ทิวะพันธ์นี่แหละครับ ผมมีและอ่านวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับบ้านร่มเกล้า เป็นครับ เป็นทั้งเรื่องของระเบียบวิธีวิจัย การอ้างอิงข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับประวัิศาสตร์ทั้งทางการเมืองและสงคราม แต่ผมเห็นว่าเมื่อความรู้หรือข้อมูลที่ผมมีอยู่ คงไม่อาจจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในกระทู้นี้ได้ เพราะมันผิดพลาดอย่างเหลือประมาณขนาดนั้น ก็ขออนุญาตให้คุณหนุ่ม cit ได้กรุณาอธิบายขยายความเรื่องของกรณีพิพาทบ้านร่มเกล้าต่อ เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับทุกท่าน รวมทั้งผลด้วยครับ ส่วนผมขออนุญาตกลับไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดเงียบ ๆ อีกสักครั้งหนึ่งแล้วกัน ถ้าไม่เจอข้อมูลเกี่ยวกับบ้านร่มเกล้าเพิ่มเติม ก็คงได้เจอกับอาจารย์ธีรยุทธ แหละครับ ส่วนคำสัญญาว่าจะเขียนให้ครบ 100 ตอนนั้นไม่ต้องห่วงครับ ยังทำตามสัญญาอยู่  ตอนนี้คิดอยู่ว่า จะเอาเรื่องของการปฎิวัติในจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นสุดยอดอาณานิคมในแถบนี้ มาเขียนดีไหม แต่ต้องเอาแบบคร่าว ๆ แหละครับ เพราะลำพังเรื่องจีนเรื่องเีดียวก็คงเขียนแยกไปได้ 100 ตอนมั๊ง ซึ่งส่วนใหญ่หลายท่านก้พอจะทราบอยู่แล้ว เพราะเป็นข้อมูลที่แพร่หลายพอสมควร อีกเรื่องนึงที่อยากจะเอามาปิดท้าย คือ พัฒนาการของประเทศเจ้าอาณานิคมครับ เราฟังเรื่องของการเข้ายึดครองของมหาอำนาจและการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศอาณานิคมมาเยอะแล้ว สงสัยไหมครับว่า ประเทศมหาอำนาจในยุคนั้นเขามีพัฒนาการมาอย่างไร จึงสามารถครองความเป็นเจ้าเขาไปได้ทั่วโลก คำว่าปฎิวัติอุตสาหกรรมคงเป็นคำตอบหลักนั่นแหละครับ แต่ก่อนปฎิวัติอุตสาหกรรมละ ซึ่งก็น่าจะครอบคลุมและเต็มพื้นที่ของกระทู้ 100 ตอนจบนี้พอดี  ตั้งแต่ผู้ทำให้เกิดกบฎและผู้กบฎ สวสัดีครับ  พบกันอีกครั้งเมื่อเรื่องของบ้านร่มเกล้าของคุณหนุ่มcit จบครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.พ. 49 12:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แหม..กำลังลุ้น อยากให้คุณหนุ่ม cit มาช่วยเขียนเล่าเรื่องสงครามเพื่อนบ้านซะหน่อย เพราะปล่อยให้คุณสื่อศิลปเธอเขียนเหมาคนเดียวมานานแล้ว ยินดีต้อนรับให้คนเก่งๆเข้ามาช่วยๆกันค่ะ กระทู้ยืนยงมาได้จนถึงบัดนี้ เพราะว่ามีคนสนใจกันมาก เหมือนกับมาล้อมวงฟังคนที่รู้เรื่องเขาเล่า..ในด้านที่เราคิดไม่ถึง หรือ ถูกปิดหูปิดตามานาน รับรู้รับฟังข่าวสารแต่เพียงด้านเดียว ดังนั้น..เรื่องของการถกแถลงในเชิงค้นลึกในข้อมูลนั้น เป็นสิ่งดีที่ขอสนับสนุนค่ะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.พ. 49 12:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 93 . ลุงสื่อศิลป คงเข้าใจผิด หาว่าผมซัด เรื่องปืน เจตนาผม ไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าคิดแบบนั้นผม ก็ขอโทษครับ ผมบอกตรงๆ ครับมันปัญญาอ่อน นะครับ มาทะเลาะกัน เรื่องปืน และผมไม่เคยเขียนคำว่า " มั่ว " ด้วย อย่าเพิ่งโมโห ผมก็เขียนไปว่า " ไม่มีรูปถ่าย หรือ เพราะ อาจเป็นเหตุผลการเมืองระหว่างประเทศ สมัยนั้น " ไปไว้แล้ว แค่นี้ก็จบ ลุงมีอารมยณ์ กับม็อบป่วนชาติ เหรอครับ ถึงมาระบาย สุดท้าย ผมเพิ่งมาตอบได้ไม่นาน ไม่ใช่คนเขียนแต่แรก แบบป้าวิ ลุงสื่อ คนที่เป็นแฟน อ่านแต่แรกจะโกรธผมป่าวๆ ผมขอถอนตัวครับเองครับ จะได้ตัดปัญหา ไม่ใช่ผมหนี แต่เป็นเพราะเมืองไทยยังมี ระบบอาวุโส อยู่ ผมขอลาครับ จาก กระทู้ยังเติร์ก นับแต่บัดนี้ ถ้ามีคนใช้ ชื่อ หนุ่มcit จากนี้ไป ไม่ใช่ผม ส่วนใคร จะเขียนต่อ ไม่เขียน ต่อก็เรื่อง ของพวกคุณ ผม ขอโทษ ข้างบนไปแล้ว จบ ลาขาด ........ . จากคุณ : หนุ่มcit - [ 28 ก.พ. 49 13:26:53 A:218.214.44.237 X: TicketID:069372 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ดีครับ ผมก็รู้สึกว่ามันปัญญาอ่อนเหมือนกันที่คุณไม่เข้าใจสักทีว่าสิ่งที่คุณทำมันคืออะไร ไม่ต้องอ้างอาวุโสหรอกครับ ผมไม่เคยบอกว่าผมอาวุโสกว่าใครแล้วให้ใครต้องมายกย่องยกยอผม ขณะเดียวกัน ถ้าผมรู้สึกว่า มันไม่เข้าท่า แก่กว่าผมก็ด่าครับ คุณลองย้อนกลับไปอ่านให้ดี ผมคงไม่ไปตำหนิคุณแบบ "คำต่อคำ" หรอก แต่ความหมายและนัยยะของภาษาไทย มันเข้าใจได้ไม่ยากครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 28 ก.พ. 49 14:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ไปตาม อ่านของเก่า รอ ก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ทร. (แข้งบวม) - [ 28 ก.พ. 49 16:26:35 ]