ความคิดเห็นที่ 1 ต้นราชสกุลคือ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท หรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ มีพระโอรส 1 พระองค์ คือพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ (ฮิวโก้หล่อมาก ๆๆๆๆน่าเสียดายโกนหนวดออกหน้าจะหล่อกว่านี้หล่อ) แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 49 16:04:01 จากคุณ : เทวาภิรมย์ - [ 22 ก.พ. 49 15:08:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านเกิดวังปารุสก์คะ จากคุณ : เทวาภิรมย์ - [ 22 ก.พ. 49 15:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เหมือนข้างบน แนะนำให้อ่าน เกิดวังปารุสก์ค่ะ เคยอ่านแล้วจะทราบถึงรายละเอียดทั้งหมดค่ะ เพราะนิพนธ์โดยพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ฮิวโก้หน้าคล้าย ๆ สมเด็จทวดพอสมควรค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 49 15:26:06 จากคุณ : meena_nt - [ 22 ก.พ. 49 15:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าคุณเทวาภิรมย์  ไปแก้ไขคำที่พิมพ์ผิดในความคิดเห็นที่ 1ก่อนดีกว่าขอรับ แนะนำ "เกิดวังปารุสก์" อีกคน จากคุณ : หง่าวแมน - [ 22 ก.พ. 49 15:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จะลองตอบดูนะคะ ต้นราชสกุล จักรพงษ์ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ นริศรราชมหามกุฎวงศ์ จุฬาลงกรณ์นรินทร์ สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาสอุภัยปักษ์ อรรควรรัตน์ ขัตติราชกุมาร กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระราชโอรสองค์ที่ 40 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง  ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2425 ทรงเสกสมรสกับ นางสาว คัทริน เดสนิตสกี สุภาพสตรีชาวรัสเซีย ซึ่งมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ องค์ต้นราชสกุลทรงมีพระโอรส 1 พระองค์คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงประสูติเมื่อ 28 มีนาคม 2450 ที่วังปารุสกวัน เมื่อแรกประสูติทรงเป็น หม่อมเจ้า เนื่องจากมารดาเป็นสามัญ และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงตั้งเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า อาจเนื่องจากทรงเอ็นดูพระองค์จุลมาก เพราะเป็นหลานคนแรก พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเสกสมรสกับ อลิซาเบธ ฮันเตอร์ หรือ ที่ทรงเรียกว่า ลิสบา และมีพระธิดาคือ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ และหม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ มีบุตร 1 คนคือ จุลจักร จักรพงษ์ เดี๋ยวคงมีพี่ๆท่านอื่นมาแก้หรือเสริมข้อมูลต่อน่ะค่ะ จากคุณ : Blackforest26 - [ 22 ก.พ. 49 18:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ไม่เสกสมรสกับสาวต่างชาติโดยลำดับแล้วท่านจะได้ขึ้นเสวยราชเป็นกษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 8 ค่ะ จากคุณ : พิมพ์ลภัส (phee-na) - [ 22 ก.พ. 49 18:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คิดว่าไม่น่าจะใช่ตามที่คุณ พิมพ์ลภัส ว่ามานะคะ เพราะตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว สายจักรพงษ์ถูกตัดตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ องค์ต้นราชสกุลได้เสกสมรสกับหม่อมคัทรินแล้วละคะ รอพี่ๆท่านอื่นมาเสิรมนะคะ จากคุณ : Blackforest26 - [ 22 ก.พ. 49 18:51:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องบอกว่า...ถ้าหากพระมารดาของพระองค์จุลไม่ใช่ชาวต่างชาติพระองค์จุลก็มีสิทธิในการขึ้นครองราชย์... เป็นรัชกาลที่ 7 หรือเปล่าคะ?  เพราะเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ  เป็นพระเชญฐาของในหลวงรัชกาลที่ 7 น่ะค่ะ จากคุณ : หนูน้อยนักเดินทาง - [ 22 ก.พ. 49 19:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เท่าที่ทราบ หม่อมราชวงศ์นริศรา มีลูกชาย 2 คนค่ะ คนเล็กดิฉันไม่ทราบชื่อจริงค่ะ ทราบแต่ชื่อเล่นว่า กู้ เคยเห็นรูปถ่ายลงในนิตยสารกับฮิวโก้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 49 21:21:32 จากคุณ : หิวโซ - [ 22 ก.พ. 49 21:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความจริงแล้วมีสิทธิ์ที่จะสืบราชสมบัตินะครับตอนที่ร.7สละราชย์ พระองค์จุลท่านยังเป็นโสด ผู้ที่อยู่ในการพิจารณามี 2พระองค์คือพระองค์จุล และพระองค์อานันทมหิดล การมีมารดาเป็นต่างชาตินั้นไม่อยู่ในข้อห้าม (ห้ามสมรสต่างชาติ) ทางรัฐบาลตัดสินใจเลือกพระองค์อานันทมหิดล จากคุณ : q - [ 22 ก.พ. 49 22:32:55 A:137.197.132.177 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คห.ที่ 10 คะ รู้สึกจะมีกฎว่าถ้าข้ามเจ้านายสายไหนไปแล้ว จะไม่นำลูกหลานของพระองค์ท่านทางสายนั้นกลับมาพิจาร ณาอีกค่ะ พูดง่ายๆคือถ้าเคยตัดสินไม่ให้พ่อได้ ลูกหรือหลาน ก็จะไม่อยู่ในข่ายที่นำมาพิจารณาอีกค่ะ ดิฉันเคยอ่านมาจาก บทความเลาะวังของคุณสีฟ้าค่ะ ผิดถูกประการใดขอท่าน ผู้รู้ช่วยชี้แจงด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 49 23:21:13 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 49 23:19:41 จากคุณ : หิวโซ - [ 22 ก.พ. 49 23:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถูกตัดทั้งสายจักรพงษ์เลยคะตั้งแต่สมรสกับต่างด้าว เพราะฉะนั้นเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชฯ สายสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ เลยหมดสายแล้วคะเพราะร.7 ทรงเป็นองค์สุดท้อง จึงเวียนมาที่สายสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ซึ่งพระราชโอรสก็สิ้นไปหมดแล้วคะ มีเพียงแต่พระราชนัดดา คือ ร.8 และ ร.9 ดังนั้น ร.8 ท่านทรงขึ้นครองราชย์จึงเป็นไปโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้วคะ จากคุณ : Blackforest26 - [ 23 ก.พ. 49 00:26:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มิได้ครับ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท ทรงเป็นรัชทายาทในสมัยร.6 ครับ เพราะท่านหย่ากับหม่อมคัทรินแล้ว จากคุณ : q - [ 23 ก.พ. 49 01:24:54 A:137.197.132.177 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆเรื่องนี้ได้ถกกันมานานแล้วในห้องนี้ ซึ่งก็ได้ที่ยุติกันไปนานแล้ว อืม!!! เอาไว้รอพี่ๆท่านอื่นมาตอบต่อดีกว่าเพราะอย่างที่ คุณหิวโซ ว่าไว้ คือตัดแล้วตัดเลย และตัดทั้งสาย ซึ่งเรื่องนี้มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาลอย่างชัดเจน จำได้ว่าพี่ท่านนึงในห้องนี้เคยนำมาประกอบให้ดู ซึ่งก็ตรงตามนั้นชัดเจน จากคุณ : Blackforest26 - [ 23 ก.พ. 49 02:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มาตรา ๑๑ เจ้านายผู้เป็นเชื้อพระบรมราชวงศ์ ถ้าแม้ว่าเป็นผู้มีลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ข้างล่างนี้ ท่านว่าให้ยกเว้นเสียจากลำดับ สืบราชสันตติวงศ์ ลักษณะที่กล่าวนี้ คือ (๑) มีพระสัญญาวิปลาศ (๒) ต้องราชทัณฑ์เพราะประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายในคดี มหันตโทษ (๓) ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก (๔) มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือ นางที่มีสัญชาติเดิมเป็น ชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้ (๕) เป็นผู้ที่ได้ถูกถอนออกแล้วจากตำแหน่งพระรัชทายาท ไม่ว่า การถูกถอนนี้จะได้เป็นไปในรัชกาลใด ๆ (๖) เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ มาตรา ๑๒ ท่านพระองค์ใดตกอยู่ในเกณฑ์มีลักษณะบกพร่องดังกล่าว มาแล้วใน มาตรา ๑๑ แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ ท่านว่าพระโอรสอีกทั้งบรรดา เชื้อสายโดยตรงของท่านพระองค์นั้น ก็ให้ยกเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ ด้วยทั้งสิ้น   รัชกาลที่ ๖ ทรงขอสัญญาจากทูลกระหม่อมจักรพงษ์ว่า ถ้าเกิดเหตุอันใดขึ้นอย่าให้พระโอรสของทูลกระหม่อมจักรพงษ์ ที่ประสูติจากนางต่างด้าวได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 49 02:19:41 จากคุณ : Blackforest26 - [ 23 ก.พ. 49 02:12:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณลองอ่านเกิดวังปารุสก์ตอนที่ร.7สละราชย์ ความจริงแล้วพระองค์จุลท่านมีสิทธิ์ที่จะสืบราชสมบัติครับ การมีมารดาเป็นต่างชาตินั้นไม่อยู่ในข้อห้าม มาตรา ๑๑ แห่งกฎมณเฑียรบาล จากคุณ : q - [ 23 ก.พ. 49 05:07:00 A:10.114.115.105 X:10.114.115.105, 152.132.11.10 TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ  ทรงเป็นรัชทายาทชั่วคราวของรัชกาลที่  6  ในระหว่างที่ยังไม่ทรงมีพระราชโอรส  ตามประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกรัชทายาท  เมื่อวันที่  21  พฤศจิกายน  2453  ครับ  ในขณะเดียวกันได้ทรงให้สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ  ทรงทำหนังสือปฏิญาณว่าหากได้ขึ้นครองราชย์พระองค์จะไม่ทรงยกพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นรัชทายาท  และโปรดให้ทรงอ่านหนังสือปฏิญญาฉบับนั้นในที่ประชุมเสนาบดีสภาด้วย ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นก่อนการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์  พ.ศ.  2467  ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงไม่มีผลในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมาในวันที่  11  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2467  จึงได้ทรงประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ  ทิวงคตในเดือนมกราคม  พ.ศ.  2467(2468)  ตามกฎมณเฑียรบาลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ  ควรจะได้เป็นรัชทายาทในลำดับถัดมา  แต่ก็ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม  พ.ศ.  2466  แล้ว  ดังนั้นรัชทายาทในสายสมเด็จพระพันปี  จึงเหลือเพียง  2  พระองค์  คือ  พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช  กับสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ  แต่รัชกาลที่  6  ก็ได้แสดงพระราชประสงค์อย่างชัดเจนว่าหากไม่ทรงมีพระราชโอรส  สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ  จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป อย่างไรก็ตามแม้จะสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ จะทรงเป็นรัชทายาทโดยพฤตินัยในระหว่างที่รอว่ารัชกาลที่  6  จะทรงมีพระราชโอรสหรือไม่  แต่ก็ไม่ได้มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ดังนั้นในพระราชพินัยกรรมฉบับสุดท้ายจึงทรงระบุว่าหากไม่ทรงมีพระราชโอรส  ให้พระอนุชาขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์  โดยให้ข้ามพระองค์เจ้่าวรานนท์ธวัช  พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ  ซึ่งมีลำดับการสืบสันตติวงศ์ก่อนสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ  ตามกฎมณเฑียรบาลไป และการที่ทรงพิจารณาถึงเฉพาะสิทธิ์ของพระองค์เจ้าวรานนท์ฯ เพียงพระองค์เดียว  โดยไม่ทรงกลับไปพิจารณาพระองค์จุลฯ  ก็แสดงให้เห็นว่าทรงถือว่าทรงตัดสิทธิ์พระองค์เจ้าจุลฯ ไปตั้งแต่แรกแล้ว  และรัชกาลที่  7  เองก็ไม่ทรงมีพระราชประสงค์จะแต่งตั้งพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นรัชทายาทแต่อย่างใด  เพราะยังได้ทรงเตือนพระองค์จุลฯ  ว่าไม่ให้คิดชิงราชสมบัติโดยเด็ดขาด  และได้ทรงมีพระราชดำริอย่างชัดเจนว่าพระองค์เจ้าอานันทมหิดลทรงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ตามกฎมณเฑียรบาล แต่ผมเองไม่เข้าใจว่าเมื่อรัชกาลที่  7  สละราชสมบัติ  ทำไมคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นถึงได้มีการพิจารณาถึงพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ด้วย  เพราะในลำดับการสืบสันตติวงศ์ที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ  กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์  ทรงส่งมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา  เมื่อวันที่  4  มีนาคม  พ.ศ.  2477  ไม่มีพระนามของพระองค์จุลฯ  แต่อย่างใด  แต่มีพระนามพระองค์เจ้าอานันทฯ  เป็นลำดับที่  1 และในการพิจารณาของสภาในขณะนั้นก็ไม่มีสมาชิกท่านใดกล่าวถึงพระองค์จุลฯ มีแต่ถามถึงพระองค์วรานนท์ฯ  เท่านั้น สรุปก็คือพระองค์จุลฯ  ทรงถูกตัดสิทธิการสืบสันตติวงศ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 49 10:36:53 จากคุณ : รอยใบลาน - [ 23 ก.พ. 49 08:02:42 ]

ความคิดเห็นที่ 18 รู้สึก ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ จะมีสามีใหม่เป็นคนในราชสกุลสวัสดิวัตน์นะ ลูกครึ่งด้วย แล้วก็มีลูกอีก 1 จากคุณ : รรรรรร - [ 23 ก.พ. 49 13:07:36 A:58.10.160.84 X: TicketID:110043 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นด้วยทุกประการเลย จากคุณ : ลำดวน - [ 23 ก.พ. 49 13:11:31 A:10.226.16.114 X:203.185.131.3 TicketID:080171 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่ค่อยเข้าใจตรงที่ ทำไมข้ามพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช เพราะทรงข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ครับ จากคุณ : Biravijna (Biravijna) - [ 23 ก.พ. 49 15:05:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 (เอามาจากที่ผมเคยพิมพ์ไว้ในกระทู้เก่านะครับ แต่แก้ไขเล็กน้อย) ไม่แน่ใจ  จำได้เลา ๆ อ่ะนะครับ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ  ขณะนั้นประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย  ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภาประชุมพิจารณาเสนอรายชื่อพระรัชทายาทผู้สมควรแก่การอัญเชิญขึ้นครองราชย์  รัฐสภาจึงได้พิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลิขิตขึ้นเมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น  กำหนดให้พิจารณาพระรัชทายาทผู้สมควรสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยยึดตามสายพระมเหสีเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก    ซึ่งตามลำดับดังนี้ 1. สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  มีผู้สืบราชสกุลชั้นพระราชนัดดาอยู่  2  พระองค์ (ตามความคิดเห็นที่ 1) คือ  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  ประสูติแต่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถ ฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารท และหม่อมแคธรีน  ณ พิษณุโลก   และพระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช  ประสูติแต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ฯ และหม่อมในพระองค์  เนื่องจากกฎมณเฑียรบาลให้เว้นรัชทายาทที่มีพระชายาเป็นนางต่างด้าวและพระมารดาต้องเป็นสะใภ้หลวง  ทั้งสองพระองค์จึงตกไป 2. สายสมเด็จพระศรีสวรินทิรา  พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า  ทรงมีพระราชนัดดา 2 พระองค์ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล  และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช พระโอรสในสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์  และหม่อมสังวาลย์  มหิดล 3. สายสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี  พระวรราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  มีพระโอรส คือ สมเด็จ ฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ตอนนั้นถูกคณะราษฎร์อัญเชิญเสด็จไปประัทับยังต่างแดน  คือ  เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย  จึงให้ข้ามการพิจารณาไปเสีย 4. สายพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์  กรมขุนสุทธาสินีนาฎ    ทรงมีพระราชนัดดาคือ  พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล  ซึ่งเป็นพระโอรส ใน สมเด็จ ฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ดังนั้น  รัฐสภาจึงพิจารณาเฉพาะพระราชนัดดาที่เหลืออยู่  คือ  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล  และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล  ตามความเห็นของรัฐสภา  บันทึกว่า  แม้พระมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล  จะสูงศักดิ์กว่าพระมารดาข้างฝ่ายพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล    แต่ก็เป็นสะใภ้หลวงที่ได้รับพระราชทานน้ำสังข์  รวมถึงสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช  กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงมีคุณูปการต่อประเทศไทยยิ่งนัก  จึงเห็นสมควรอัญเชิญให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล  ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี สืบไป ถูกต้องอย่างไรขอผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยนะครับ  เพราะผมนั่งพิมพ์สด ๆ ไม่ได้เปิดตำราปรู๊ฟเอาอีกทีหนึ่ง  เนื่องจากนั่งเล่นในออฟฟิศอ่ะครับ  ถ้ามีเวลาจะไปเปิดตำราที่บ้านให้อีกที   ทีนี้มีประเด็นที่คนพูดกันว่าเป็นเกมการเมือง  ผมได้ตอบกระทู้ไว้ดังนี้นะครับ ในความเห็นส่วนตัวของผม  เกมการเมืองในยุคนั้นจะเป็นอย่างไรก้อแล้วแต่  ทว่าการอัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล  ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระอัฐมรามาธิบดีนั้น  ก้อเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย กล่าวคือ  เป็น อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ  ครับ     ถือเป็นผลงานแห่งวิถีประชาธิปไตยแห่งหน้าประวัติศาสตร์ไทยเลยทีเดียว ขอบคุณครับ จากคุณ : PeeEm - [ 23 ก.พ. 49 17:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ................. แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 49 10:22:08 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 49 07:17:59 จากคุณ : รอยใบลาน - [ 24 ก.พ. 49 07:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้านับตามยศของพระราชบิดาและตามสาย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ก็ทรงมาเป็นลำดับก่อน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล อยู่แล้วนี่ จากคุณ : ลำดวน - [ 24 ก.พ. 49 14:42:31 A:10.226.16.114 X:203.185.131.3 TicketID:080171 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ทำไมคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นถึงได้มีการพิจารณาถึงพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ด้วย ? อธิบายอย่างนี้ครับ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงเป็นรัชทายาทของรัชกาลที่ 6 ทรงทำหนังสือปฏิญาณว่าหากได้ขึ้นครองราชย์พระองค์จะไม่ทรงยกพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นรัชทายาท แต่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ในประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 นั้นมีการระบุให้ข้ามพระองค์เจ้่าวรานนท์ธวัช พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ แต่มิได้ระบุให้ข้ามพระองค์เจ้่าจุลจักรพงษ์แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นถึงได้มีการพิจารณาถึงพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ด้วย แม้แต่รัชกาลที่ 7เองท่านก็ทรงยอมรับว่าพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์อยู่ในข่ายที่มีสิทธิ์รับราชสมบัติ รัชกาลที่ 7มิเคยถือว่าถูกพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ตัดแต่อย่างใด จริงอยู่โดยพฤตินัยพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์น่าจะถูกข้ามไปแล้วแต่ทางนิตินัยพระองค์ไม่ได้ถูกข้ามเพราะไม่เคยมีหนังสือระบุเปนลายลักษณ์อักษร แม้จะมีหนังสือปฏิญาณเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ แต่กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 นั้นมิได้ระบุให้ข้ามพระองค์เจ้่าจุลจักรพงษ์จึงทำให้หนังสือปฏิญาณเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ไม่มีผลบังคับใช้ (พูดง่ายๆ คำสั่งของในหลวงย่อมสูงกว่าของเจ้าฟ้า)และเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ มิได้ทรงรับราชสมบัติ (พูดง่ายๆ คือเมื่อท่านมิได้เปนในหลวงเรื่องที่ท่านให้สัญญาไว้จึงไม่นับ) เรื่องนี้คณะรัฐมนตรีสมัยนั้นโดยเฉพาะนายปรีดี (ท่านเปนนักกฎหมายมือเอก) ได้ศึกษาอย่างรอบคอบแล้วจึงได้้พิจารณาถึงพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ด้วย clearนะครับ จากคุณ : q - [ 25 ก.พ. 49 03:59:39 A:137.197.132.177 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ครับคุณ  q  จริงอยู่ที่หนังสือปฏิญาณฉบับนั้นทำขึ้นตั้งแต่ปี  2453  แต่ก็เป็นการแสดงพระราชประสงค์ของรัชกาลที่  6  อย่างชัดเจนว่าทรงตัดสิทธิ์พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  และเมื่อปี  พ.ศ. 2467  นั้น  แม้กฎมณเฑียรบาลจะระบุว่าให้พระโอรส  ขององค์รัชทายาท  มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ก่อนพระอนุชาองค์ถัดไป  แต่ตอนนั้นลำดับรัชทายาทมาถึงสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ  แล้ว  ดังนั้นการย้อนกลับไปพิจารณาสิทธิ์ของเจ้านายที่ถูกข้ามไปแล้ว  ย่อมไม่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาล  ดังนั้นผมจึงได้เรียนว่าการที่ในพระราชนัยกรรมทรงพิจารณาถึงสิทธิ์ของพระองค์วรานนท์เพียงพระองค์เดียว  ก็เพราะทรงเห็นว่าได้ทรงข้ามมาตั้งแต่แรกแล้ว พระราชหัตถเลขารัชกาลที่  7  มีถึงพระองค์จุลฯ  เมื่อปี  พ.ศ.  2471  กล่าวไว้ดังนี้ "...ฉันไม่ต้องการให้แกเข้าเฝ้าพระเจ้ายอร์ช(แห่งอังกฤษ -จ.จ.)  เพราะแกไม่อยู่ในขอบเขตสืบสันตติวงศ์  ฐานะของแกในเมืองไทยคือเป็นเจ้านายและเป็นหลานแท้ๆ  ของฉัน  แต่ต้องถูกยกเว้นจากการได้ขึ้นราชบัลลังก์ ฉันเองเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน (รัชกาลที่ 6 - จ.จ.)  ท่านทำฃิดในการแต่งตั้งแกเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ  เพราะท่านได้ตั้งพระทัยจะยกเว้นแกมาตั้งแต่แรก  การเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอทำให้ฐานะของแกครึ่งๆ กลางๆ  แต่เดี๋ยวนี้แก้ไขไม่ได้เสียแล้ว..." ทั้งในหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่  6 ก็ทรงเขียนเกี่ยวกับพระราชกฤาฎีกาเลือกรัชทายาทไว้ว่า "...ตามโบราณราชประเพณีนิยมมีอยู่ว่า ผู้ที่จะเปนรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ควรต้องเปนอุภโตสุชาติ ฉนั้นแม้มีเหตุบังเกิดขึ้น ซึ่งจะบันดาลให้น้องของฉันคนใดได้เปนรัชทายาทสืบสันตติวงศ์๋ ก็ขออย่าให้เลือกเอาลูกของตนซึ่งมิได้อุภโตสุชาติเปนรัชทายาทสืบไปเลย ขอให้เลือกน้องร่วมอุทรเปนรัชทายาทเหมือนเช่นที่ตัวฉันเลือกครั้งนี้เถิด ข้อ ๓ นี้ มีได้ด้วยความมุ่งหมายที่จะป้องกันมิให้น้องชายเล็กเลือกเอาลูกที่เกิดด้วย......เปนรัชทายาทต่อไป..." 2  ประเด็นที่ผมเห็นว่าการที่พระนามพระองค์จุลฯ  ถุกหยิบยกมาพิจารณา  คือ  1. เหตุผลทางการเมือง  2.  เพราะการตัดสิทธิ์พระองค์จุลฯ  ในสมัยรัชกาลที่  6  นั้นเป็นที่รู้กันเฉพาะในคณะเสนาบดี  และพระบรมวงศ์ชั้นสูง  เลยอาจทำให้มีผู้ทราบเรื่องนี้  คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ไม่มีผู้ใกล้ชิดราชสำนักมากนัก  จึงอาจเป็นความเข้าใจผิดและไม่รู้  เพราะแม้แต่คุณปรีดีเอง  ก็ยังกล่าวว่าผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุดในคณะรัฐมนตรี  คือ  เจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น  อิศรเสนา)  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัง และที่สำคัญในพระราชบันทึก ฉบับที่  2  ที่รัชกาลที่  7  มีมาถึงรัฐบาลเมื่อเดือนธันวาคม  2477  ก็ได้ทรงระบุว่า "...ถ้าฉันลาออกจากตำแหน่งเสียแล้ว  ให้สภาฯ  เลือกเจ้านายพระองค์ใดพระองคืหนึ่งแล้วแต่เห็นควรขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทนไม่ดีกว่าหรือ... ...ฉันมีความคิดอย่างนี้มานานแล้ว  และได้อธบายให้รัฐมนตรีบางคนฟังก็มี  แต่โดยมากไม่มีใครยอมคิดเห็นพ้องกับฉัน  ก้เพราะที่สำคัญอย่างเดียว  คือ  ไม่มีใครแน่ใจว่าควรเลือกเจ้านายพระองค์ใดขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ทางที่จะเลือกมีดังนี้ ๑.  พระองค์เจ้าอานันทมหิดล  ซึ่งอ้างได้ว่าเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์  ทรงนี้มีผลดีอยู่มาก..." ดังนั้นผมจึงเห็นต่างจากคุณ q ครับว่า  หนังสือปฏิญาณฉบับนั้นคงมีผลจนตลอดรัชกาลที่  6  และรัชกาลที่  7  ครับ  จริงอยู่ที่คุณปรีดีเป็นนักกฎหมายมือเอก  แต่ความไม่เข้าใจในธรรมราชตระกูลก็อาจทำให้ผิดพลาดได้ครับ จากคุณ : รอยใบลาน - [ 25 ก.พ. 49 12:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พระราชบันทึกของรัชกาลที่ 7 คุณ Roy quote ไม่ครบนะครับ พระราชบันทึกของรัชกาลที่ 7 ครับ "ไม่มีใครแน่ใจว่าควรเลือกเจ้านายพระองค์ใดขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ทางที่จะเลือกมีดังนี้ ๑. พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งอ้างได้ว่าเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ ทรงนี้มีผลดีอยู่มาก... ๒. พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ซึ่งอาจยินดียอมรับตำแหน่ง... ในสองทางที่จะเลือกได้นี้ ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนโดยเต็มที่ แต่คนรัฐบาลและสภาจะเลือกทางไหน" นี่แสดงว่ารัชกาลที่ 7เองก็ทรงยอมรับว่าพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ยังทรงอยู่ในข่ายที่มีสิทธิ์รับราชสมบัติ แม้โดยพฤตินัยพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์น่าจะถูกข้ามไปแล้วแต่ทางนิตินัยพระองค์ไม่ได้ถูกข้ามเพราะไม่เคยมีการระบุเปนลายลักษณ์อักษรในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ว่าให้ข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ไป Quote หนังสือคุณสุพจน์ ด่านตระกูล ท่านปรีดีฯ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกัยพระบรมวงศานุวงศ์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้ "(๑) พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ที่ทรงเป็นรัชทายาทในรัชกาลที่ ๖ ครั้นแล้วจึงพิจารณาคำว่า "โดยนัย" แห่งกฎมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ นั้น พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จะต้องยกเว้นตามมาตรา ๑๑ (๔) แห่งกฎมณเฑียรบาลหรือไม่ เพราะมารดามีสัญชาติเดิมเป็นต่างประเทศ ซึ่งตามตัวยากโดยเคร่งครัดกล่าวไว้แต่เพียง ยกเว้นผู้สืบราชสัตติวงศ์ที่มีพระชายาเป็นคนต่างด้าว (ขณะนั้นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ยังไม่มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว) รัฐมนตรีบางท่านเห็นว่าข้อยกเว้นนั้นใช้สำหรับรัชทายาทองค์อื่น แต่ไม่ใช่กรณีสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สถาปนาเป็นรัชทายาทนั้น ก็ทรงมีพระชายาเป็นนางต่างด้าวอยู่แล้ว และทรงรับรองเป็นสะใภ้หลวงโดยถูกต้อง แต่ส่วนมากของคณะรัฐมนตรีตีความคำว่า "โดยนัย" นั้น ย่อมนำมาใช้ในกรณีที่ ผู้ซึ่งจะสืบราชสัตติวงศ์ มีพระมารดาเป็นนางต่างด้าวด้วย" คุณปรีดีท่านไม่มั่วหรอกครับ จากคุณ : q - [ 25 ก.พ. 49 15:51:42 A:192.198.53.217 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมเห็นว่าการที่ทรงเสนอพระนามพระองค์จุลฯ  ไม่ได้เป็นเพราะทรงยอมรับสิทธิ์ของพระองค์จุลฯ  หรอกครับ เพราะเป็นเรื่องเหตุผลทางการเมืองมากกว่าครับ  เพราะนับตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาล  ก็มีขุนนางผู้ใหญ่หลายคนที่เคยรับราชการกับสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ  สนับสนุนพระองค์จุลฯ  ต่อมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เช่นกัน  เพราะพระองค์จุลฯ  ทรงเป็นเจ้านายทีมีหัวก้าวหน้า  และค่อนข้างมีสัมพันธ์อันดีกับคณะราษฎร์  จึงมีผู้สนับสนุนอยู่หลายคน  จึงอาจทำการตกลงเรื่องต่างๆ  กับรัฐบาลได้ดีกว่าเจ้านายพระองค์อื่นๆ  และอาจจะทรงมีพระราชดำริว่าคณะราษฎร์อาจจะเลือกบุคคลที่เหมาะสม  มากกว่าจะให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล  ดังนั้นจึงทรงบอกแล้วว่าถ้าเลือกพระองค์เจ้าอานันท์ฯ  จึงเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลไงครับ อีกประการหนึ่งรัชกาลที่  7  ทรงระแวงตลอดมาว่าพระองค์จุลฯ  อยากจะได้ราชสมบัติ  จึงทรงบอกเสมอว่าถ้าพระองค์จุลฯ  คิดจะชิงราชสมบัติพระองค์จะยิงพระองค์จุลฯ  ด้วยพระองค์เอง  จึงเป็นไปได้ยากครับที่จะทรงยอมรับสิทธิ์  เพียงแต่ทรงมองเห็นว่าเป็นทางออกทางการเมืองอีกทางหนึ่งมากกว่าจะลดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประมุขของรัฐ ในแง่ที่รัฐบาลพิจราณาพระนามของพระองค์จุลฯ  ผมจึงมองในแง่นี้นะครับ อีกอย่างหนึ่งกฎมณเฑียรบาลก็ไม่ได้ระบุให้ข้ามพระองค์วรานนท์ฯ  ไป  มีแต่ในพระราชพินัยกรรมเท่านั้นที่รัชกาลที่  6  ทรงระบุไว้ครับ จากคุณ : รอยใบลาน - [ 25 ก.พ. 49 20:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ครับ ผมเบลอไป แต่ยังยืนว่าในพระราชพินัยกรรม (ไม่ใช่กฎมณเฑียรบาล) รัชกาลที่ 6 ทรงระบุให้ข้ามพระองค์วรานนท์แต่ไม่ได้ระบุให้ข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ อันนี้ทำให้ไม่ clear คือละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ไปแล้วจากหนังสือปฏิญาณฉบับปี 2453 ซึ่งไม่มีผลบังคับใช้เพราะเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ มิได้ทรงรับราชสมบัติ (เมื่อท่านมิได้เปนในหลวงเรื่องที่ท่านให้สัญญาไว้จึงไม่นับ) ในทางกฎหมายหากมิได้ระบุไ้ชัดเจนต้องยกประโยชน์ให้ผู้ที่อาจจะเสียหายครับ ผมเห็นด้วยกับคุณ Roy ว่ารัชกาลที่ 6 ในตอนต้นรัชกาล (2453) ทรงมีพระราชประสงค์จะตัดสิทธิ์พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่ตอนปลายรัชกาล (หนังสือพระราชพินัยกรรม) กลับมิได้ทรงระบุให้ข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ อันนี้ทำให้ไม่ clear ผมเห็นด้วยกับคุณ Roy ว่าเหตุผลทางการเมืองก็มีส่วนมากแต่คงมิใช่ว่ารัชกาลที่ 7ทรงเกรงกลัวคณะรา๋ษฎรจนต้องทรงยอมขัดกฎมณเฑียรบาล เรืี่องการสืบราชสันตติวงศ์ นี่ต้องมีกฎหมายรับรองครับ จากคุณ : q - [ 26 ก.พ. 49 00:39:24 A:192.198.53.185 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ช่ายครับเรื่องตัดสิทธิ์พระองค์จุลฯ  มีคนรู้น้อยอยู่แล้ว  ยิ่งมาในพระราชพินัยกรรมก็ไม่ได้ระบุถึง  ก็คงทำให้เกิดควาไม่  clear กันจริงๆอ่ะครับ จากคุณ : รอยใบลาน - [ 26 ก.พ. 49 17:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอถามแบบนี้ได้หรือไม่คะ จากกระทู้ ความเห็นที่ 21 ของคุณ peeEm ที่บอกเอาไว้ว่า " การเสนอรายชื่อพระรัชทายาทผู้สมควรแก่การอัญเชิญขึ้นครองราชย์ ซึ่งรัฐสภาจึงได้พิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลิขิตขึ้นเมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น กำหนดให้พิจารณาพระรัชทายาทผู้สมควรสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยยึดตามสายพระมเหสีเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก ซึ่งตามลำดับ" คำว่าตามลำดับ หมายถึง ให้พิจารณา ตามลำดับ หมายเลขลงมา ดังที่ ความเห็นที่ 21 ได้ให้รายละเอียดไว้ หรือ ทุกลำดับ สามารถพิจารณาได้อย่างมีความสำคัญ เท่าเทียมกันคะ ที่สงสัยเพราะ แอบคิดว่า ถ้าพิจารณา ได้ทุกลำดับ อย่างเท่าเทียมกันแล้ว จะหมายความว่า ทุกพระองค์ มีสิทธิรับราชสมบัติ โดยเท่าเทียมกัน หรือไม่ จากคุณ : หน้าเดียว (หน้าเดียว) - [ 2 มี.ค. 49 03:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ในกรณที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทไว้  เจ้านายที่ทรงมีลำดับมาก่อน  จะได้รับการเสนอพระนามให้เป็นรัชทายาทก่อนพระองค์อื่นครับ  เมื่อรัฐสภาเห็นชอบแล้วจึงขึ้นครองราชย์สมบัติ  แต่หากรัฐสภาไม่เห็นชอบเจ้านายในลำดับถัดไปก็จะได้รับการพิจารณาครับ จากคุณ : รอยใบลาน - [ 2 มี.ค. 49 07:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ว่าด้วยการขึ้นครองราชย์ของในหลวงอานันท์ Re: บทความของคุณสุพจน์ ด่านตระกูลใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับใหม่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเขียนบทความเกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์ของในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 โดยให้ชื่อบทความทำนองว่า "การขึ้นครองราชย์ของในหลวงอานันท์เป็นไปตามลำดับชั้นของกฎมณเฑียรบาล หรือโดยการสนับสนุนของปรีดี" แต่หลังจากเขียนไปได้ประมาณ 1 ย่อหน้า ผมก็ละทิ้งไปชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ฟ้าเดียวกัน ฉบับใหม่ ได้ตีพิมพ์บทความของคุณสุพจน์ ด่านตระกูล เรื่อง "การสืบราชสันตติวงศ์" ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่การอธิบายการขึ้นครองราชย์ของในหลวงอานันท์ (และในหลวงองค์ปัจจุบัน) ผมรู้สึกว่า จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจเรื่องนี้ และได้อ่านบทความดังกล่าวในฟ้าเดียวกัน ที่จะอธิบายข้อมูลสำคัญบางประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อเสนอของคุณสุพจน์ในบทความนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คุณสุพจน์ได้เสนอมานานพอสมควร (โดยเฉพาะในหนังสือ โต้คุณไข่มุกด์ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน) อันที่จริง ผมเอง ในระหว่างที่สอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ในระยะหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้คล้อยตามความเห็น/ข้อเสนอของคุณสุพจน์ และอธิบายเรื่องนี้ให้นักศึกษาฟัง ตามแนวการวิเคราะห์ของคุณสุพจน์ (ซึ่งเป็นการขยายความจากการพูดแบบเป็นนัยๆของปรีดีอีกต่อหนึ่ง) จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เอง คือช่วงที่ผมเตรียมจะเขียนบทความดังกล่าว ผมพบว่า การวิเคราะห์ของคุณสุพจน์มีจุดอ่อน หรือข้อผิดพลาดที่สำคัญมากบางประการ ก่อนอื่น ผมขอสรุปข้อเสนอของคุณสุพจน์เกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์ของในหลวงอานันท์ ดังนี้ คุณสุพจน์เสนอว่า ในหลวงอานันท์ขึ้นครองราชย์ต่อจากรัชกาลที่ 7 ที่สำคัญก็เพราะการสนับสนุนของรัฐบาลคณะราษฎรโดยเฉพาะตัวอาจารย์ปรีดีเอง คุณสุพจน์ให้เหตุผลว่า ถ้านับตามหลักการของกฎมณเฑียรบาลจริงๆ ผู้ที่ควรได้รับการเสนอชื่อขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 8 คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ อันที่จริง จากการตีความของคุณสุพจน์ ตามกฎมณเฑียรบาล พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ จะต้องได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์ตั้งแต่เมื่อรัฃกาลที่ 6 สวรรคต แต่ครั้งนั้นบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ซึ่งประชุมกันในวันที่รัชกาลที่ 6 สวรรคต โดยมีกรมพระนครสวรรค์เป็นผู้ทรงมีบทบาทสำคัญ ได้พร้อมใจกันเลือกให้เจ้าฟ้าประชาธิปกขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7 นัยยะของการวิเคราะห์ของคุณสุพจน์คือ กรมพระนครสวรรค์ (ซึ่งเป็นที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่า ทรงเป็นทำนอง strong man behind the throne สมัยรัชกาลที่ 7) คือผู้ผลักดันให้ เจ้าฟ้าประชาธิปก ขึ้นเป็นกษัตริย์ "แซง" พระองค์เจ้าจุลฯ ผู้สมควรได้เป็นตามกฎมณเฑียรบาล เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเคยโทรศัพท์ไปสอบถามคุณสุพจน์ด้วยตัวเองว่า อาศัยหลักฐานอะไรที่บรรยายเรื่องการประชุมเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในวันสวรรคตรัชกาลที่ 6 เช่นนั้น ซึ่งคุณสุพจน์อธิบายว่า ขณะนี้หลักฐานที่ใช้ต่างๆ ได้สูญหายไปแล้ว และไม่สามารถระลึกขึ้นมาได้ จากคุณ : ThE.S@N - [ 4 มี.ค. 49 02:03:47 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ปัญหาของคุณสุพจน์ เริ่มต้นจากประเด็นนี้ คือ ความจริง การประชุมครั้งดังกล่าว มีการจดบันทึกไว้ และปัจจุบันได้รับการตีพิมพ์แล้ว (ดูเหมือนต้นฉบับจริงจะยังมีอยู่ในรูปไมโครฟิล์มด้วย) บันทึกนี้ได้ระบุว่า ในที่ประชุมครั้งนั้น ได้มีการอ่านพระราชพินัยกรรมของ รัชกาลที่ 6 ซึ่งได้ทรงมีพระบรมราชโองการอย่างชัดเจนให้ เจ้าฟ้าประชาธิปก ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ (ในกรณีที่พระองค์ไม่มีรัชทายาทชาย) ในแง่นี้จึงต้องสรุปว่า การขึ้นครองราชย์ของพระปกเกล้าเป็นรัชกาลที่ 7 ไม่ใช่การ "แซง" พระองค์เจ้าจุลฯ แต่เป็นปณิธานของกษัตริย์รัชกาลที่ 6 เอง (กฏมณเฑียรบาลระบุว่า กษัตริย์สามารถตั้งให้ใครเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปก็ได้) คุณสุพจน์ได้เสนอว่า ความจริง พระองค์เจ้าจุลฯ ทรงมีคุณสมบัติตามกฏมณเฑียรบาลที่จะเป็นกษัตริย์ทั้ง 2 ครั้ง (รัชกาลที่ 7 และ  เพราะ (1) ขณะนั้นยังไม่ทรงมีชายาเป็นนางต่างด้าว (2) แม้ว่าจะทรงมีพระมารดา เป็นนางต่างด้าว แต่พระมารดา คือชายาของเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ นั้น รัชกาลที่ 6 ทรงรับไว้เป็นสะใภ้หลวงแล้ว (ทั้งกฏมณเฑียรบาลที่ห้ามผู้มีมารดาเป็นต่างด้าวเป็นกษัตริย์ ยังออกมาภายหลัง ซึ่งทำให้ย้อนหลังบังคับไม่ได้) สรุปคือ พระองค์เจ้าจุลฯ ในฐานะพระราชโอรสของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ผู้เป็นรัชทายาทของรัชกาลที่ 6 โดยถูกต้องจึงควรเป็นลำดับแรกที่จะได้รับเลือกขึ้นไปกษัตริย์ต่อจากรัชกาลที่ 6 (หลังจากเจ้าฟ้าจักรพงษ์รัชทายาทสวรรคตก่อนรัชกาลที่ 6) หรือขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 หลังจากรัชกาลที่ 7 สละราชย์ ปัญหาของคุณสุพจน์ในเรื่องนี้คือ คุณสุพจน์ (และปรีดี) ไม่ทราบว่า แท้จริงแล้ว เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 ตกลงตั้งให้เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ เป็นรัชทายาทนั้นได้ทำข้อตกลงกับพระอนุชาพระองค์นั้นว่า ถ้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์จริงๆ ขออย่าให้ตั้งพระโอรส (คือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) เป็นรัชทายาทเพื่อเป็นกษัตริย์ต่อไป ตอนจะทำสัญญาเรื่องนี้กัน กรมดำรงฯ ยังติงรัชกาลที่ 6 ว่า ความจริง ถ้าเจ้าฟ้าจักรพงศ์ได้เป็นกษัตริย์จริงๆ ข้อตกลงนี้ก็ไม่มีประโยชน์นัก เพราะในฐานะกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิ์ เจ้าฟ้าจักรพงศ์ย่อมทรงสามารถสถาปนาพระโอรส (พระองค์เจ้าจุลฯ) เป็นรัชทายาท โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อตกลงที่ทำไว้กับรัชกาลที่ 6 ได้ ในที่สุด รัชกาลที่ 6 เห็นชอบกับกรมดำรงฯให้มีการทำการตกลงนี้ ต่อหน้าพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ (มีการทำเอกสารให้ลงพระนามกัน) ต่อมา หลังจากเจ้าฟ้าจักรพงศ์สวรรคตก่อนรัชกาลที่ 6 เวลาผ่านไปอีกหลายปี รัชกาลที่ 6 จึงทรงให้ร่างกฏมณเฑียรบาลขึ้น (เอกสารชั้นต้นเกี่ยวกับการร่างนี้ยังมีอยู่) หลักการสำคัญในกฏมณเฑียรบาลที่ว่า ห้ามผู้มีมารดาเป็นต่างด้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ แท้จริง ก็คือการห้ามพระองค์เจ้าจุลฯ แบบเดียวกับที่รัชกาลที่ 6 เคยขอให้เจ้าฟ้าจักรพงศ์ทำสัญญาก่อนหน้านั้นนั่นเอง (ผมเชื่อว่า ไอเดียเรื่อง กฏหมายไม่สามารถบังคับย้อนหลังได้ คงไม่ได้อยู่ในความคิดของการร่างในขณะนั้น เมื่อดูจากหลักฐานแวดล้อมแล้ว ข้อห้ามข้อนี้เป็นการต่อเนื่อง หรือเป็นประเด็นเดียวกับการตกลงระหว่าง รัชกาลที่ 6 กับพระอนุชาอย่างแน่ชัด) จากคุณ : ThE.S@N - [ 4 มี.ค. 49 02:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สรุปแล้ว พระองค์เจ้าจุลฯ ทรงถูกกษัตริย์คือรัชกาลที่ 6 สั่งห้ามเป็นกษัตริย์ (แบบเดียวกับที่ทรงสั่งให้ข้ามพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช นั่นเอง) การที่ที่ประชุมเจ้านายในวันสวรรคตรัชกาลที่ 6 พากันเลือกเจ้าฟ้าประชาธิปกเป็นรัชกาลที่ 7 จึงเป็นไปตามข้อตกลงที่เคยมีระหว่างรัชกาลที่ 6 กับอนุชาคือเจ้าฟ้าจักรพงศ์ และเป็นไปตามเจตนารมณ์การร่างกฏมณเฑียรบาล (นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการมีพระราชพินัยกรรมอีก ดังกล่าวข้างต้น) ซึ่งเมื่อตัดพระองค์เจ้าจุลฯออกไปตั้งแต่ช่วงเลือกรัชกาลที่ 7 แล้วเช่นนี้ ในช่วงเลือกรัชกาลที่ 8 ก็ย่อมสมควรถือว่า พระองค์เจ้าจุลฯ ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับเลือกเป็นกษัตริย์อีกเช่นกัน และถ้าเช่นนั้น พระองค์เจ้าอานันท์จึงทรงได้รับการนับเป็นอันดับแรกที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ ต่อจากพระปกเกล้า (ขอให้สังเกตว่า ในลำดับรายชื่อที่กระทรวงวังทำขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชย์ และกรมพระนริศฯทรงตรวจ ไม่มีแม้แต่พระนามพระองค์เจ้าจุลฯ ซึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการถูกต้อง เพราะทรงถูกตัดไปแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 6) ถ้าเช่นนั้น แสดงว่า การที่ฝ่ายนิยมเจ้ายืนกรานมาโดยตลอดว่า พระองค์เจ้าอานันท์ขึ้นเป็นกษัตริย์เป็นเพราะเป็นไปตามกฏมณเฑียรบาลเท่านั้น ไม่ใช่การสนับสนุนของปรีดี เป็นการถูกต้อง? ไม่เชิงเสียทีเดียว คือต้องยอมรับว่า ในแง่กฎหมายล้วนๆ พระองค์เจ้าอานันท์ทรงเป็น "อันดับแรก" ของลำดับการสืบราชสมบัติ (ตามที่ฝ่ายนิยมเจ้าอ้าง) จริง แต่เรื่องนี้ มีความซับซ้อนมากกว่าที่ฝ่ายนิยมเจ้าเข้าใจ ก่อนอื่น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ฝ่ายรัฐบาลเอง ไม่ทราบเรื่องที่ผมบรรยายไปข้างต้น คือเรื่องที่พระองค์เจ้าจุลฯทรงถูก "ตัด" โดยรัชกาลที่ 6 ออกจากลำดับการขึ้นครองราชย์แล้ว (ทั้งโดยการทำสัญญากับพระอนุชาและโดยการร่างกฏมณเฑียรบาลให้มีผลย้อนหลัง) บันทึกของรัชกาลที่ 6 เรื่องนี้ เพิ่งได้รับการค้นพบและตีพิมพ์ไม่กี่ปีมานี้เอง และต้นฉบับที่เป็นลายมือต่างๆ รวมทั้งที่เกี่ยวข้องกับการตระเตรียมร่างกฏมณเฑียรบาล ขณะนั้น (2477) เข้าใจว่าได้รับการเก็บอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งรัฐบาลน่าจะไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด ประการต่อมา การเลือกกษัตริย์หลัง 2475 นั้น มีปัจจัยอื่นมากกว่า กฏมณเฑียรบาล ซึ่งในแง่นี้ ปัญหาว่า พระองค์เจ้าอานันท์ได้รับการสนับสนุนจากปรีดีหรือไม่ ยังเป็นประเด็น "เปิด" ให้อภิปรายได้ . . . จากคุณ : ThE.S@N - [ 4 มี.ค. 49 02:05:30 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พอดีไปอ่านเจอมาครับ ....เลยเอามาshareดู ยังไงก็อย่างเพิ่งด่วนสรุปอะไรไปนะครับ ว่าข้อมูลถูกต้อง ถือว่าเป็นอีกข้อมูลนึงแล้วกันนะครับ......ถ้าไม่สมควรยังไงบอกด้วยนะครับ ......ขอบคุณครับ จากคุณ : ThE.S@N - [ 4 มี.ค. 49 02:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเห็นว่าการเลือกรัชทายาทในปี  พ.ศ. 2477  นั้น  รัฐสภาในขณะนั้นเป็นผู้มีบทบาท  และอิทธิพลมากที่สุด  ในการที่จะมีมติรับรองให้เจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์  เพราะรัฐบาลมีหน้าที่เป็นผู้เสนอพระนามเท่านั้น  อีกประการหนึ่งรัฐบาลเองก็มีประสงค์จะเสนอพระนามพระองค์เจ้าอานันทมหิดล  ตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะในวันที่  2  มีนาคม  พ.ศ.  2477  ภายหลังจากที่ได้รับโทรเลขสละราชสมบัติแล้ว  พระยาพหลฯ  ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศฯ  และกราบทูลขอประทานความเห็นเกี่ยวกับการอัญเชิญพระองค์อานันท์ฯ  ขึ้นครองราชย์แล้ว เมื่อตอนที่รัฐสภาพิจารณาเรื่องนี้  ก็ไม่มีสมาชิกท่านใดถามถึงพระองค์จุลฯ  มีแต่ถามถึงพระองค์เจ้าวรานนท์ฯ  เท่านั้น  อีกประการหนึ่งตัวแทนของรัฐบาลที่มีบทบาทในการเสนอพระนามเจ้านายในการประชุมสภาวันนั้น  ก็มีแต่พระยาพหลฯ  ม.จ.วรรณไวทยากร  วรวรรณ  และเจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์  โดยผมไม่ได้เห็นบทบาทของท่านปรีดีแต่อย่างใด ส่วนจะว่ารัฐบาลไม่ทราบเรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นไปได้  เพราะเจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์  รัฐมนตรีกระทรวงวังต้องทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี  และท่านผู้นี้น่าจะมีบทบาทในการทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ  ในเรื่องธรรมเนียมราชตระกูลมากกว่าครับ  เพราะท่านปรีดีเองก็บอกเองว่าท่านทำหน้าที่อธิบายหลักการของกฎมณเฑียรบาลให้รัฐมนตรีท่านอื่นๆ  ฟัง จริงอยู่หนังสือประวัติต้นรัชกาลที่  6  เพิ่งถูกค้นพบไม่นานมานี้  แต่พระราชกฤาฎีกา  กับหนังสือปฏิญาณนั้น  ก็คงจะต้องมีอยู่  แม้แต่องค์รัชการที่  7  ซึ่งไม่ได้ประทับอยู่ในขณะที่ตราพระราชกฤษฎีกา ก็ทรงทราบเรื่องดีว่าพระองค์จุลฯ  ทรงถูกตัดสิทธิ์  และก้ไม่ประสงค์ให้พระองค์เป็นรัชทายาทในรัชกาลของพระองค์ด้วย  จะมีก็แต่ช่วงสุดท้ายก่อนจะสละราชสมบัติ  ที่ในพระราชบันทึกฉบับที่  2  ที่ทรงเสนอให้พระองค์จุลฯ  เป็นทางเลือกที่  2  หากรัฐบาลไม่ประสงค์จะตั้งพระองค์อานันท์เป้นรัชทายาทครับ จากคุณ : รอยใบลาน - [ 4 มี.ค. 49 11:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แล้วทำไม ถึงข้าม พระองค์เจ้า วรานนท์ ล่ะคะ อย่าง พระองคฯจุล ยังมีการพูดถึงอยู่บ้าง แล้วก็เห็นหลายคนวิเคราะห์ และกล่าวถึง แต่ทำไม การพูดถึง พระองค์เจ้าวรานนท์ ถึงดูน้อยมาก ไม่ทราบว่า เพราะมีประเด็นอื่นใดแอบแฝงอยู่หรือเปล่าคะ จากคุณ : หน้าเดียว (หน้าเดียว) - [ 5 มี.ค. 49 22:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระองค์เจ้า วรานนท์ ทรงมี พระมารดาเป็นสามัญชน จึงข้ามไปค่ะ อ่านเจอ มานะค่ะ จากคุณ : คันมือ - [ 6 มี.ค. 49 16:16:07 A:61.90.100.149 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบคคห. 20 กับ 37 และเพิ่มเติมจากคคห.17 กับ 24 ที่คุณรอยใบลานกับคุณ q-อาจไม่ได้อธิบายอะไรบางอย่าง ที่ให้ข้ามพระองค์เจ้่าวรานนท์ธวัช  พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ  ซึ่งมีลำดับการสืบสันตติวงศ์ก่อนสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ  ตามกฎมณเฑียรบาลไป  เป็นเพราะ ร.6 มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับหม่อมมารดาของพระองค์วรานนท์  คนเราก็มีทั้งรักกันทั้งไม่ชอบกัน  เป็นธรรมดาโลก  มีเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่ม  ดูเหมือนว่าในหนังสือเลาะวังของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ (มล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์) ก็จะเขียนไว้ละเอียด  หนังสือชุดนี้มีหลายเล่ม  หากซื้อเล่มหนึ่งแล้วก็จะต้องซื้อเล่มอื่นๆ อีกจนครบ  เพราะผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อนแล้ว   แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 49 12:33:08 จากคุณ : พนักงานหยิบหนังสือ(part time) (nickmee) - [ 8 มี.ค. 49 11:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 พอจะเล่าให้ฟังโดยสังเขปได้ไหมคะ เรื่องการข้ามพระองค์เจ้่าวรานนท์ธวัชน่ะค่ะ อยากทราบจริงๆ จากคุณ : vikvikky (vikvikky) - [ 26 มี.ค. 49 00:39:01 ]

ความคิดเห็นที่ 41 พระมารดาของพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช คือ หม่อมระวี  จุฑาธุช เป็นหม่อมละครในทูลกระหม่อมติ๋วมาก่อน หากทรงราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงเกรงว่าประชาชนจะไม่นับถือ เพราะมีแม่เป็นหม่อมละคร จากคุณ : นางละครท้ายวัง (จินตะหราวาตี) - [ 27 มี.ค. 49 01:03:30 ]