ความคิดเห็นที่ 4
อ้าว จขกท. มาอ่านซะแล้ว หวังว่าคงกลับมาอ่านอีกรอบนะครับ
สมัยโบราณ เรานับเดือนตามดวงจันทร์ (จันทรคติ) แล้วก็สังเกตฤดูกาลต่างๆที่เวียนมาครบรอบ นับได้ 12 รอบดวงจันทร์เต็มดวงพอดี ดวงจันทร์เต็มดวงหนึ่งรอบก็ประมาณ 30 วัน x 12 รอบ ก็คือ 360 วัน กลายเป็นจำนวนวัน"คร่าวๆ"ในหนึ่งปี
ชาวโรมันยุคแรก เริ่มทำปฏิทิน ได้ตั้งชื่อเดือนไว้ทั้งหมด 10 เดือน เริ่มจากมีนาคม ซึ่งเป็นเดือนเริ่มต้นการเพาะปลูกเป็นเดือนแรกของปี ไล่ไปจนถึงธันวาคมเป็นเดือน 10 และเดือนสุดท้ายของปี
เว้นช่วงเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฤดูหนาว ไม่มีการเพาะปลูก จึงไม่ได้ตั้งชื่อไว้ ให้สังเกตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงธันวาคม ชื่อเดือนจะนำหน้าด้วยตัวเลข ซึ่งสามารถเทียบเป็นรากภาษาสันสกฤตได้ด้วย
1. March 2. April 3. May 4. June 5. Quintilis (quint = 5) 6. Sextilis (sex = 6) 7. September (sept = 7 / "สัปต" เช่น สัปดาห์ = 7 วัน) 8. October (oct = 8 เช่น octopus ปลาหมึก / "อัฐ" เช่น อัฐบริขาร = 8 อย่าง) 9. November (nov = 9 / "นพ" เช่น นพรัตน์ = แก้ว 9 ประการ) 10. December (dec = 10 เช่น decade ทศวรรษ = 10 ปี)
ต่อมา Numa Pompilius กษัตริย์องค์ที่สองของกรุงโรม เพิ่มเดือน มกราคม และ กุมภาพันธ์เข้าไป ให้มกราคมเป็นเดือนแรกของปี และได้กำหนดให้หนึ่งปีมี 355 วัน แต่เนื่องจากความเชื่อสมัยโรมัน เชื่อว่าเลขคู่เป็นเลขแห่งความโชคร้าย จึงตั้งให้เดือนทั้งหมดมี 29 หรือ 31 วัน โดยให้สี่เดือนมี 31 วัน และที่เหลือมี 29 วัน แต่นับแล้วรวมได้ 356 วันซึ่งเกินไปหนึ่งวัน
เมื่อพิจารณาแล้ว จึงเลือกเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่กลางหน้าหนาวและเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนเกลียดชังที่สุด เป็นเดือนแห่งความโชคร้าย เหลือแค่ 28 วันอยู่เดือนเดียว
1. January (29), 2. February (28), 3. March (31), 4. April (29), 5. May (31), 6. June (29), 7. Quintilis (31), 8. Sextilis (29), 9. September (29), 10. October (31), 11. November (29), 12. December (29). จำนวนวันรวมใน 1 ปี (=355)
หลังจากนั้น Julius Caesar ได้ทำการคำนวณวันในรอบปีใหม่ โดยสังเกตจากวันที่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ คือ Vernal Equinox ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงเวลากลางวันยาวเท่ากับกลางคืนพอดี วันนี้มีความหมายสำหรับชาวตะวันตก เพราะในฤดูหนาว ช่วงกลางวันจะสั้นกว่ากลางคืนมาก เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ช่วงกลางวันก็จะเริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ จนเท่ากับกลางคืนในวันนี้ หลังจากนี้ก็จะมีกลางวันนานกว่ากลางคืน ด้วยความพยายามที่จะจัดให้วันนี้ตรงกับวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จึงกำหนดให้ 1 ปี มี 365 กับ 1/4 วัน ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ 4 ปี (ปีอธิกสุรทิน) จะต้องชดเชยวันเพิ่มเข้าไปในปีนั้นอีกหนึ่งวัน ไม่เช่นนั้นวัน Vernal Equinox จะเลื่อนไปเรื่อยๆ และปฏิทินจะไม่ตรงตามฤดูกาลอีกต่อไป และเลือกชดเชยวันที่ว่านี้ ให้เดือนกุมภาพันธ์ผู้โชคร้ายแทน
สำหรับวันในแต่ละเดือนตามปฏิทิน Julian ได้จัดไว้อย่างเป็นระบบกว่าปัจจุบัน และจำง่ายกว่ามาก โดยให้ "เดือนคี่มี 31 วัน เดือนคู่มี 30 วัน" เว้นกุมภาพันธ์ ซึ่งปกติมี 29 แต่ในปีอธิกสุรทิน เพิ่มเป็น 30 วัน
พร้อมกันนี้ Julius Caesar ได้เปลี่ยนชื่อเดือนที่ 7 เป็น July ตามชื่อของตนด้วย
1. January (31), 2. February (29/30), 3. March (31), 4. April (30), 5. May (31), 6. June (30), 7. ***July (31)***, 8. Sextilis (30), 9. September (31), 10. October (30), 11. November (31), 12. December (30). จำนวนวันรวมใน 1 ปี (=365/366) เรื่องยุ่งเกิดขึ้น เมื่อจักรพรรดิ Augustus เลือกตั้งชื่อเดือน 8 ตามชื่อตัวเองตามอย่าง Julius Caesar ด้วยความที่ไม่ชอบเลขคู่ จึงไปขโมยวันจากเดือนกุมภาพันธ์มาอีกครั้ง กุมภาพันธ์จึงเหลือ 28 วันตามเดิม
7. July (31), 8. ***August (31)***, 9. September (31),
แต่พอจัดแล้ว มีเดือนที่มี 31 วันติดกันถึงสามเดือน จึงสลับจำนวนวันในเดือน 9-10 และ 11-12 จนกลายเป็นปฏิทินในปัจจุบัน 1. January (31), 2. February (28/29), 3. March (31), 4. April (30), 5. May (31), 6. June (30), 7. July (31), 8. August (31), 9. September (30) ***, 10. October (31) ***, 11. November (30) ***, 12. December (31) ***.
ส่วนปีอธิกสุรทิน ให้คิดง่ายๆจากการนำ ค.ศ. หารด้วย 4 ถ้าหารลงตัว ปีนั้น เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ซึ่งจะสังเกตง่ายๆได้จากเหตุการณ์พิเศษ เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ค.ศ. 2000, 2004, 2008,.... เป็นต้น
http://www.geocities.com/calendopaedia/julian.htm http://www.straightdope.com/classics/a2_160.html
จากคุณ :
วิษณุพิรุณ
- [
24 มี.ค. 49 09:17:31
]
|
|
|