ความคิดเห็นที่ 68
รายการของคำพิพากษาแห่งปารีสนี้ ก็ได้สร้างกระแสออกไปต่างๆนานาในด้านของอเมริกา ดังเรื่องนี้ คือ ไวน์ขาว ชาร์ดอนเนย์ที่ชนะ คือ ชาโต มอนเตเลน่า เจ้าของคือ นาย เจมส์ แบร์เร็ตต์ ก็จริง แต่คนทำไวน์ หรือ ไวน์เมธีคือ มิลเชงโก ที่ได้เข้ามาร่วมด้วยหลังจากที่ออกมาจากมอนดาวี โดยมีสัญญาห้าปี และส่วนปันผล 5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ อีกทั้งมีหุ้นอยู่ด้วย เมื่อไวน์ชนะการประกวดนั้น แน่นอนว่า คนที่ดังขึ้นมาคือ คนที่ผลิตไวน์ และมิลเชงโก ตามที่เล่ามาให้ฟังในเรื่องประวัติของเขานั้น เขามีความมุ่งมั่นในการที่จะเป็นเจ้าของไร่ไวน์ของตัวเอง หากแต่ มีปัญหาในเรื่องเงินทุน เพราะมาจากต่างแดนแบบเสื่อผืนหมอนใบ.. เมื่อโอกาสมาถึงอย่างนี้ และพอดีกับสัญญาห้าปีกำลังจะหมด เขาจึงขอไม่ต่อสัญญา อีกทั้งขอเงินปันผลทั้งหมด เป็นเงิน $50,000 และขายหุ้นทั้งหมดให้กับหุ้นส่วนคนอื่น ได้เงินเพิ่มมาอีก $45,000 เพื่อที่จะไปตั้งตัวทำสิ่งที่ต้องการ
หากแต่..การจากกันครั้งนี้มีความบาดหมาง เนื่องจาก จิม แบร์เร็ตต์ ลงความเห็นว่า มิลเชงโกนั้นถือตัวว่าดัง แล้วขอ"แยกวง"
ด้วยเงินที่มี..มิลเชงโกได้วางแผนการที่จะไปหาซื้อที่ดินทำไวน์เป็นของตัวเองด้วยเนื้อที่แค่สองเอเคอร์ คือ ทำโรงผลิตไวน์และ ร้านเล็กๆข้างหน้า..เข้าข่ายประเภทนกน้อยทำรังแต่พอตัว เขากะเอาแค่ทำขายเองที่หน้าไร่ ให้กับนักท่องเที่ยว ประมาณว่าปีละสองพันลัง (หมายถึงว่า ซื้อองุ่นจากที่อื่นมาทำ)
แต่แล้วก็ต้องแห้วไป..แผนที่คิดต้องถูกพับเก็บ เนื่องจากว่า รัฐบาลได้ออกกฏหมายใหม่ในปี 1968 ที่มีว่า.. การที่จะทำไร่ไวน์ได้ ผู้ผลิตจะต้องมีที่ดินอย่างน้อย 20 เอเคอร์ ดังนั้น..เขาจึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินที่มีทั้งหมด คือ 95,000 บวกกับต้องควักเนื้ออีก 5,000 ในการวางดาวน์ที่ดิน 20 เอเคอร์ในเขต Rutherford เท่ากับว่า..เขาไม่มีเงินเหลือที่จะสร้างโรงงานผลิตไวน์เลย แม้แต่เพนนีเดียว !!
จากคุณ :
WIWANDA
- [
11 เม.ย. 49 13:46:23
]
|
|
|