ความคิดเห็นที่ 4
เรื่อง พระร่วง
ในเมืองไทยนี้ เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นใหญ่ก่อนเกิดกรุงศรีอยุธยา เคยมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งเรียกพระนามว่า "พระร่วง" ในหนังสือพงศาวดารชั้นเก่าว่ามีบุญญาภินิหารและฤทธิเดชเลิศล้ำพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ครองเมืองไทยมาแต่ก่อน แม้ในหนังสือพงศาวดารของประเทศที่ใกล้เคียง เช่นในพงศาวดารมอญก็ดี พงศาวดารลานนาเชียงใหม่ก็ดี ก็กล่าวถึงพระร่วงเมืองสุโขทัย และยกย่องว่ามีอานุภาพมากด้วยกันทุกประเทศ พระร่วงจึงเป็นที่นับถือของชาวเมืองไทย ว่าเป็นพระเจ้ามหาราชของบ้านเมืองตนพระองค์หนึ่ง มาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแลละสมัยกรุงศรีอยุธยา ตลอดมาจนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ แม้ในปัจจุบันทุกวันนี้ ใครเป็นนักเรียนที่จะไม่เคยได้ยินพระนามและพระเกียรติของพระร่วงก็เห็นจะไม่มี แม้สิ่งของซึ่งอ้างว่าพระร่วงได้ทรงประดิษฐ์ไว้ก็ยังมีปรากฏอยู่หลายสิ่ง เช่น "ถนนพระร่วง" "หนังสือไตรภูมิพระร่วง" และ "สุภาษิตพระร่วง" เป็นต้น ตลอดจนเตาทำถ้วยชามเครื่องสังกะโลกซึ่งว่าเกิดขึ้นเมื่อครั้งพระร่วง ก็ยังมีซากอยู่เป็นพะเนินเทินทึก และที่สุดเรือรบเรียกว่า "พระร่วง" ก็ลำหนึ่ง ล้วนเป็นเครื่องประกอบกับคำที่เล่าเรื่องพระร่วงสืบกันมา
แต่ถ้าว่าตามทางประวัติศาสตร์ เรื่องพระร่วงที่เรารู้กันอยู่ทุกวันนี้ยังเป็นแต่นิทาน จะนับว่าเป็นเรื่องพงศาวดารยังไม่ได้ ด้วยขาดหลักฐานที่เป็นข้อสำคัญในทางพงศาวดารอยู่หลายอย่าง เป็นต้นแต่ชาติวงศ์ของพระร่วงมาแต่ไหน พระร่วงได้ครองเมืองสุโขทัยเมื่อใด พระร่วงมีอภินิหารอย่างไรจึงได้เป็นพระเจ้ามหาราช และเมื่อสิ้นองค์พระร่วงแล้ว ใครสืบราชวงศ์พระร่วงต่อมาหรือเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อื่น อธิบายความข้อสำคัญเหล่านี้ ในหนังสือพงศาวดารชั้นเก่าไม่กล่าวถึง หรือกล่าวเป็นปาฏิหารย์จนเห็นว่าเป็นความจริงไม่ได้ นักปราชญ์แต่ก่อนไม่มีอะไรจะใช้เป็นความจริงเป็นอย่างไรก็มี บางข้ออ้างผิดธรรมชาติเหลือที่จะเชื่อได้ว่าเป็นความจริงก็มี จะคัดแต่บางข้อซึ่งอ้างในหนังสือ "พงศาวดารเหนือ" ที่เราถือกันเป็นตำราเรื่องพงศาวดารก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยามาชี้พอให้เห็นเป็นตัวอย่าง
ดังเช่นข้อที่ว่าด้วยชาติวงศ์ของพระร่วง ในหนังสือพงศาวดารเหนือ มีเรื่องพระร่วงเป็น ๒ เรื่องต่างกัน เรื่องหนึ่งเรียกว่า "เรื่องอรุณกุมาร" ( "อรุณ" นั้นก็คือเอาคำ "ร่วง" มาเรียกด้วยศัพท์ภาษามคธนั่นเอง ) เล่าเรื่องว่าพระยาอภัยคามะนีเจ้าเมืองหริภุญชัย (คือเมืองลำพูนบัดนี้)ไปจำศีลบนภูเขาแห่งหนึ่ง ไปพบนางนาคซึ่งจำแลงตัวเป็นมนุษย์มาเที่ยวเล่น เกิดสมัครรักใคร่ได้อภิรมย์สมรสอยู่ด้วยกัน ๗ วัน นางมีครรภ์กลับลงไปเมืองนาค เมื่อจวนจะคลอดลูกเห็นว่าถ้าคลอดในเมืองนาค ทารกจะไม่รอดเพราะเป็นเชื้อมนุษย์ จึงขึ้นมายังภูเขาที่เคยอยู่ด้วยกันกับพระอภัยคามะนี มาคลอดเป็นชายแล้วทิ้งไว้ที่ในป่าด้วยกันกับแหวนและผ้าห่มของพระอภันคามะนีประทานนางไว้ มีพรานป่าไปพบทารกนั้น พามาเลี้ยงไว้ก็เกิดอัศจรรย์ปรากฏที่ตัวเด็กต่างๆอย่างเป็นผู้มีบุญ ความทราบถึงพระยาอภัยคามะนี ตรัสเรียกไปทอดพระเนตร เมื่อได้ทรงทราบเรื่องที่พรานป่าไปพบและทอดพระเนตรเห็นของที่อยู่กับตัวเด็กก็ทราบชัดว่าเป็นราชบุตรเกิดด้วยนางนาค จึงประทานนามว่า "อรุณกุมาร" แล้วเลี้ยงไว้ในที่ลูกหลวง ต่อมามีราชบุตรเกิดด้วยนางอัครมเหสีอีกองค์หนึ่ง ประทานนามว่า "ฤทธิกุมาร" อยู่ด้วยกันมาจนเติบใหญ่ พระยาอภัยคามะนีปรารถนาจะหาเมืองให้อรุณกุมารครอบครอง ทราบว่าเจ้าเมืองศรีสุชนาลัยมีแต่ราชธิดา จึงสู่ขอนางนั้นให้อภิเษกสมรสกับอรุณกุมาร อรุณกุมารไปอยู่เมืองศรีสัชนาลัย ต่อมาก็ได้ครองเมืองนั้น (กับทั้งเมืองสุโขทัย) ทรงนามว่า "พระร่วง" ส่วนฤทธิกุมารนั้นเมื่อเติบใหญ่ก็ได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาพระยาเชียงใหม่ แล้วเลยได้ครองเมืองเชียงใหม่เช่นเดียวกับพระร่วง ทรงนามว่า "พระลือ" ทั้งสองอาณาเขตมีเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกัน บ้านเมืองก็เป็นสัมพันธมิตรสนิทสืบกันมาตามเรื่องอรุณกุมารที่กล่าวมานี้ อ้างว่าพระร่วงเป็นเชื้อมนุษย์กับนาคระคนกันเป็นเป็นวงศ์กษัตริย์วงศ์หริภุญชัยในลานนา
จากคุณ :
กัมม์
- [
18 เม.ย. 49 11:56:27
]
|
|
|