ความคิดเห็นที่ 1 รูปข้างบน  ถ่ายเมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.๒๔๕๗   คนยืนด้านขวามือ คือ  ตนกู อับดุล ราห์มัน  อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย   ส่วนคนที่ยืนด้านซ้ายมือ  คือ  หลวงถวิลเศรษฐพณิชย์การ   ทั้งสองท่านแต่งเครื่องแบบลูกเสือ  ของโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์  ซึ่งท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอยู่ในเวลานั้น มีใครเคยทราบซักกี่คนว่า  อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียท่านนี้  เคยเป็นศิษย์เก่าเทพศิรินทร์ และท่านก็เกือบจะต้องเป็น "คนไทย" ตลอดชีวิตเช่นพวกเราในที่นี้ หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก่อน จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 18 เม.ย. 49 14:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  ท่านมีความใกล้ชิดกับประเทศไทยมาก ท่านมีหม่อมมารดาเป็นคนไทย  ท่านเคยเรียนที่เมืองไทย  พี่ชายท่านเคยได้รับทุนเล่าเรียนหลวงในนามของเมืองไทยไปศึกษาต่อที่อังกฤษ  ปฏิบัติหน้าที่ราชการในเมืองไทย  และจบชีวิตในเมืองไทย หากพรหมลิขิตไม่หักเหขณะนั้น  ท่านตนกู อับดุล ราห์มัน อาจเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในนามของเมืองไทยก็ได้ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 18 เม.ย. 49 14:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ครั้งสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศมาเลเซีย ท่านทำให้ความรักระหว่างประชาชนสองแผ่นดิน ดูแน่นแฟ้นสนิทสนมกลมเกลียวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำทุกๆ สมัย  รวมถึงผู้นำทุกประเทศด้วยที่ต้องคำนึงถึงข้อนี้ แม้ปัจจุบัน  ความรักความผูกพันระหว่างประชาชนชายขอบยังคงเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่เป็นปัญหา  ที่คิดว่าเราน่าจะช่วยกันแก้ไขได้ บทความนี้  จึงได้นำมาเผยแพร่  อย่างน้อยเพื่อประดับความรู้   รวมทั้งเห็น (ส่วนหนึ่ง) ความผูกพันในชีวิตสองแผ่นดินช่วงสมัยหนึ่ง ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ตนกู อับดุล ราห์มัน แห่งประเทศมาเลเซีย จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 18 เม.ย. 49 15:05:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กำลังแกะลายแทงในหนังสือเล่มหนึ่งของคุณลาวัณย์ โชตามระอยู่ค่ะ บิดาของเธอ ขุนวิศิษฎ์ฐเบียรการ   เป็นนักสะสมหนังสือเก่าตัวยง มีหนังสือของคุณลาวัลย์สี่ห้าเล่ม   สนุกมากค่ะ ขอบคุณ คุณนิค ที่นำมาฝาก คุณลาวัณย์กล่าวถึงบิดาว่า เป็นผู้ให้ อริยทรัพย์ คือความรู้ และการชอบอ่านหนังสือ จากคุณ : แสนอักษร - [ 18 เม.ย. 49 15:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อไปนี้  จะเป็นบทความของท่านผู้เขียนเรื่องราว  โดยไม่มีการตัดต่อเลยครับ เมื่อ ตนกู อับดุล ราห์มัน  เป็นนักเรียนเทพศิรินทร์ จากหนังสือชุด เงาหลังภาพ  ของ  ลาวัณย์  โชตามระ เด็กชายสองคน  วัยไล่เลี่ยกัน  ราวๆ สิบสองสิบสามปีทั้งคู่  เด็กทั้งสองคนนี้ต่างกันทั้ง  เชื้อชาติ  สัญชาติ  และศาสนา  แต่ทว่าได้มีความสนิทชิดชอบกันมาก  จนได้เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกัน  และได้ถ่ายรูปคู่กันไว้เป็นที่ระลึก  ก่อนที่คนหนึ่งจะต้องเดินทางกลับมาตุภูมิของตน รูปนี้  ถ่ายเมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.๒๔๕๗  คนยืนด้านขวามือ คือ  ตนกู อับดุล ราห์มัน  อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  ส่วนคนที่ยืนด้านซ้ายมือ  คือ  หลวงถวิลเศรษฐพณิชย์การ  ทั้งสองท่านแต่งเครื่องแบบลูกเสือ  ของโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์  ซึ่งท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอยู่ในเวลานั้น ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์  ๒๕๐๙  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดสโมสรสถานของสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์  ที่ถนนราชดำริ  ได้มีการจัดทำหนังสือชื่นชุมนุม  เป็นอนุสรณ์ในงานนี้ คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือและหาโฆษณา  ได้ติดต่อ  “ขอเรื่อง”  ไปยังนักเรียนเก่า  เพื่อนำมารวมลงในเล่ม  ท่านตนกู อับดุล ราห์มัน  ซึ่งขณะนั้นกำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย  เป็นนักเรียนเก่าผู้หนึ่งซึ่งได้รับ หมายเกณฑ์  ประเภทนี้  และท่านก็ได้ส่ง ข้อเขียน มาเป็นภาษาอังกฤษ  ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทยไว้ดังต่อไปนี้ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 18 เม.ย. 49 16:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับ คุณแสนอักษร งานของคุณลาวัณย์  น่าอ่านไปหมดเลยครับ หลายเรื่องเป็นเกร็ดที่ไม่มีใครเขียนมาก่อน พรุ่งนี้ผมจะมาต่อให้ครับ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 18 เม.ย. 49 17:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อครับ ....................................... สาส์นจากนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย          ในวโรกาสที่  สมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าแห่งประเทศไทย  ได้เสด็จทรงกระทำพิธีเปิดสโมสรสถานหลังใหม่ของสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์  ในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้ามีความปลื้มปีติด้วยเป็นล้นพ้นที่จะส่งคำอวยพรและความปรารถนาดีอย่างยิ่งมายังสมาคมฯ          ข้าพเจ้ารู้สึกเสมือนว่าเพิ่งจะเป็นเพียงเมื่อวานนี้เอง  ที่ข้าพเจ้าได้เป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์  ที่ซึ่งข้าพเจ้าได้มีชีวิตที่เป็นสุขและสนุกสนานได้รับความสำราญใจในทุกชั่วโมงยาม  ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกโรงเรียน          ข้าพเจ้าไปเข้าโรงเรียนเมื่ออายุสิบขวบ  พักอยู่สองปีที่กรุงเทพฯ กับพี่ชายข้าพเจ้า  ร้อยเอกตนกู ยูซุฟ  ผู้เป็นนายทหารในกองทัพบกไทย  ขณะนั้นเข้าใจว่าเรียกกันว่า  ตำรวจภูธร  แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะสามารถก้าวหน้าไปได้มากที่โรงเรียน  พี่ชายข้าพเจ้าได้สิ้นชีพตักษัยลง  ทำให้การเรียนของข้าพเจ้าที่นั่นต้องสะดุดหยุดลงด้วยทั้งยังกำหนดอนาคตของข้าพเจ้า  โดยที่ข้าพเจ้ามิได้คาดหวังมาก่อนเลย  กล่าวคือ  ข้าพเจ้าได้กลับมาไทรบุรี  แล้วก็ไปเข้าเรียนที่โรงเรียนปีนังฟรีสกูล          บางคราวข้าพเจ้าเคยคิดว่า  หากพี่ชายข้าพเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ต่อมา  ชีวิตของข้าพเจ้าเองคงจะดำเนินไปในวิถีที่แตกต่างไปจากนี้  ข้าพเจ้าอาจได้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในประเทศไทย  แต่นั่นคือโชคชาตา  ขณะนี้แทนที่จะมีชีวิตสะดวกสบายในวัยที่อายุย่างเข้า ๖๓ ปี  ข้าพเจ้ายังต้องทำงานหนักอยู่แทบทุกเวลา          อย่างไรก็ดี  การทำงานหนักนั้นก็สมค่า  ถ้างานของข้าพเจ้าช่วยให้สายสัมพันธ์แห่งภราดรภาพและความรักระหว่างประชาชาวไทยกับมาเลเซียที่มีอยู่อย่างแน่นแฟ้นแล้วนั้นประสานกันได้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้นอีก  และช่วยให้ห่วงสัมพันธ์อันมั่นคงนี้เป็นสิ่งประกันให้ภูมิภาคซีกนี้ของโลกดำรงอยู่ได้ในสันติภาพและความผาสุก          ข้าพเจ้าระลึกถึงชีวิตเด็กที่เทพศิรินทร์ด้วยความปีติเป็นอันมาก  การศึกษาที่ข้าพเจ้าได้รับจากที่นั่นและชีวิตที่เคยอยู่ในประเทศไทย  นับเป็นทุนทรัพย์อันมีค่าอย่างแท้จริง  ในการปฏิบัติงานปัจจุบันของข้าพเจ้าในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย  เพราะความรักในชีวิตไทยของข้าพเจ้า  ช่วยอำนวยให้เกิดความร่วมมืออันใกล้ชิด  ระหว่างประเทศทั้งสองของเรา จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 08:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต่อครับ.............................................................          อันประเพณีไทยถือว่า  “ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม  ด่วนผลีผลามมักพลิกแพลง”  อีกทั้งท่าทีของมะลายูที่จะไม่กุลีกุจอทำอะไร  เว้นแต่ที่จำเป็นจริงๆ นั้น  ข้าพเจ้าเคยนิยมชมชอบอยู่เสมอ  ในสมัยก่อน  คนอังกฤษในครั้งโน้น  เคยต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อมาติดต่อกับข้าพเจ้า          บัดนี้เหตุการณ์ต่างๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว  สิ่งข้าพเจ้าอยากจะรอเอาไว้ไปทำวันพรุ่งนี้  ก็จำต้องกระทำในวันนี้  นี่คือวิถีของโลก  กาลสมัยผิดแผกไป  และเราต้องเคลื่อนไหวไปพร้อมกับกาลสมัยนี้ด้วย  เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงดีใจมากที่ศิษย์เก่าเทพศิรินทร์เคลื่อนไหวไปพร้อมกับกาลสมัยโดยมีการสร้างสโมสรสถานหลังใหม่สำหรับนักเรียนเก่าขึ้น บรรดานักเรียนเก่าทั้งหลายได้บำเพ็ญประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศของตน  ท่านเหล่านี้บ้างก็กำลังเป็นรัฐมนตรี  เอกอัครราชทูต  ทหารชั้นนายพล  ข้าราชการผู้ใหญ่  นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นข้าพเจ้า  ข้าพเจ้ามีความรู้สึกร่วมด้วยกับท่านเหล่านี้ในการได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระมหากษัตราธิราชแห่งประเทศไทยที่ได้เสด็จเปิดสโมสรสถานแห่งนี้  ข้าพเจ้ามีความสุขใจเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมกับนักเรียนเก่าทั้งหลาย  เพื่ออวยพรให้โรงเรียนเทพศิรินทร์และสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์  ซึ่งทุกคนภูมิใจที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง  เจริญวัฒนาถาวรและประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ต่อไปชั่วกาลนาน จบสาส์นของท่าน ตนกู อับดุล ราห์มัน  นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียขณะนั้น จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 08:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อครับ ........................          คุณหลวงถวิลเศรษฐพณิชย์การ  ได้เขียนถึงท่านตนกู อับดุล ราห์มัน  ว่าท่านเจ้าคุณอนุสาสน์พณิชย์การ  พี่ชายของท่าน  กับตนกู ยูซุฟ  พี่ชายของตนกู อับดุล ราห์มัน  เป็นนักศึกษารุ่นเดียวกันในประเทศอังกฤษ  ทั้งสองท่านรักใคร่สนิทสนมกันมาก  ระหว่างที่อยู่ในอังกฤษ  ตนกู ซุฟ  ได้สมรสกับมาดามยูซุฟ  ซึ่งเป็นหญิงอังกฤษ  และเมื่อสำเร็จการศึกษาใน พ.ศ.๒๔๕๖  ทั้งสามท่านก็เดินทางกลับด้วยกัน  และได้แวะที่เมืองไทรบุรีเพื่อเยี่ยมเคารพท่านเจ้าพระยาไทรบุรี  สุลต่านอับดุลฮามิดและคุณหญิง  ผู้เป็นบิดามารดาของตนกู ยูซุฟ  และตนกู อับดุล ราห์มัน          ตนกู ยูซุฟ  พักอยู่ในไทรบุรีไม่นานนักก็เดินทางมากรุงเทพฯ  เพื่อรับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณในฐานะที่เป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  และได้รับพระราชทานทุนไปศึกษาวิชาในประเทศอังกฤษ  ในโอกาสนี้ท่านบิดาได้ส่งตนกู อับดุล ราห์มัน มาด้วย  และทุกคนก็ได้มาพักอยู่กับเจ้าคุณอนุสาสน์ในบ้านของท่านบิดาข้าพเจ้าที่ถนนอนุวงษ์          เวลานั้นข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในโรงเรียนเทพศิรินทร์  ตนกู ยูซุฟก็เห็นดีที่จะให้ตนกู อับดุล ราห์มัน  เข้าศึกษาในโรงเรียนเทพศิรินทร์ด้วย  เรามีจักรยานคนละคัน  จึงได้ไปโรงเรียนด้วยกันและเที่ยวด้วยกันไกลๆ เสมอ  ตนกู ยูซุฟ และครอบครัวพักอยู่ที่บ้านท่านบิดาข้าพเจ้า  จนบ้านที่หลังโรงเลี้ยงเด็กแล้วเสร็จ  จึงย้ายไป          ตนกู ยูซุฟ เข้ารับราชการในกรมตำรวจ  เวลานั้นมียศเป็นร้อยเอก  เป็นผู้ที่กล้าหาญ อดทน  และปฏิบัติงานเพื่อผลเยี่ยมเสมอ  เจ้าคุณอนุสาสน์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า  ครั้งสุดท้ายที่ ตนกู ยูซุฟออกไปจับผู้ร้ายในต่างจังหวัด  ตนกูต้องกรากกรำทนแดด ทนฝนมาก  หลังจากจับผู้ร้ายได้แล้วก็ล้มป่วย  ด้วยปอดบวม  แพทย์พยายามเยียวยารักษาทุกทางก็ไม่สำเร็จ ตนกู ยูซุฟ  ถึงแก่กรรมที่บ้านหลังโรงเลี้ยงเด็กใน พ.ศ.๒๔๕๗          ความเศร้าสลดที่มาดามยูซุฟ  และตนกู อับดุล ราห์มัน  ได้รับในครั้งนั้นเกินกว่าจะหาถ้อยคำมากล่าวได้  ทั้งสองคนไม่มีจิตใจที่จะอยู่ต่อไปในบ้านหลังนั้น  จึงกลับมาอยู่กับท่านบิดาข้าพเจ้าอีกระยะหนึ่ง  จนกว่าญาติทางไทรบุรีเดินทางมารับ          ตนกู อับดุล ราห์มัน มีหม่อมมารดาเป็นคนไทย  ชื่อ หม่อมเนื่อง  เป็นบุตรีหลวงบุรานุรักษ์  เจ้าเมืองนนทบุรี  สมัยรัชกาลที่ ๕  แม้ท่านสุลต่านจะมีภรรยาได้หลายคนตามธรรมเนียมศาสนา  แต่ก็ได้ยก หม่อมเนื่อง เป็นภรรยาเอก  เพราะภรรยาพระราชทานไปจากเมืองไทย  หม่อมเนื่องเป็น มะเจ๊ะ  อันแปลว่า คุณแม่  ในภาษามะลายู  แต่บางทีคนมะลายูก็เรียกทับศัพท์ภาษาไทยว่า หม่อม   ด้วยเช่นกัน ...................................................................... โรงเลี้ยงเด็ก  ของพระวิมาดาเธอฯ คือแถบที่สวนมะลิ  แถวโรงภาพยนตร์เฉลิมเขตร์  ซึ่งรื้อทิ้งไปแล้วนั่นเอง “โรงเลี้ยงเด็ก” นี้  ได้ดำเนินการเรียบร้อย  ทำการเปิดเมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๔๓๒ ............ จาก เลาะวัง ๓ น.๒๓๖ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 09:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไว้อ่านให้จบก่อนค่อยถาม กำลังอยากรู้อยากห็น หวังว่าตอนท้ายคงจะกระจ่าง จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 19 เม.ย. 49 09:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นี่แหละครับ จบแล้วครับ ลืมบอกไป ตอนนี้ถามได้แล้วครับ หรือมีรูป "ท่าน" ตอนดำรงตำแหน่งมาโชว์ด้วย ยิ่งดีใหญ่ครับ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 13:35:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ๑) ท่านเป็นโอรสสุลต่านที่ปกครองรัฐใช่หรือไม่ และองค์ไหน จริงแล้วพระยศท่านก็มิใช่น้อบ อย่างน้อยก็พระองค์เจ้าขึ้นไปเชียวแหละ ๒) ไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐอะไร อันนี้นอกประเด็นนิดหน่อย ๓) รู้สึกว่าคนไทยได้ไปเป็นชายาสุลต่านมาเลย์หลายคน เช่นหม่อมเนื่อง ที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกท่านคือ เรียม เพศยนาวิน นางสาวไทย ปี ๒๔๘๓ ได้เป็นชายาองค์ที่ ๒ ของสุลต่านรัฐปะลิส ภายหลังได้เป็น สมเด็จพระราชาธิบดี สมัยหนึ่ง คำถามว่ามีสตรีท่านใดอีกหรือไม่ ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 19 เม.ย. 49 14:20:04 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ข้อ ๑  ขอรอท่านผู้รู้มาตอบครับ ข้อ ๒  รัฐไทรบุรี  เป็นชื่อไทย  แต่คนมาเลย์เรียก เคดะห์  หรือ เคดาห์  แล้วแต่สำเนียง ข้อ ๓  เรียม เพศยนาวิน  นางสาวไทยคนที่ ๖  ประจำปี ๒๔๘๒ ครับ  มีการประกวดฉลองวันรัฐธรรมนูญระหว่าง ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๔๘๒  ตัดสินกลางดึกคืนวันที่ ๑๒ ครับ เดี๋ยวจะค้นเกี่ยวกับ  "รานีเรียม"  มาให้อ่านกันครับ เมื่อประมาณ ๒ ปีก่อน  มีนักศึกษาหญิงเพิ่งจบมหิดลหมาดๆ  ได้รับเกียรติเช่นนี้อีก  มีคนอื่นอีกหรือเปล่าไม่ทราบครับ จากคุณ : ob8 (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 15:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ เหมือนกับว่า ยังดิเปอตวนอากง องค์ปัจจุบัน เป็นพระโอรส ของ สุลต่าน พระสวามีมาเรียม ที่เกิดกับมเหสี คือประไหมสุหรี เคยดูสารคดี ทราบว่าโอรสในมาเรียมได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย พูดไทยชัดแจ๋วเลย จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 19 เม.ย. 49 16:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตัดตอนเฉพาะที่เกี่ยวข้องครับ ................................... .... ผู้ใหญ่ฝ่ายเรียมไม่ได้เรียกร้องเรื่องสินสอดทองหมั้นแต่ประการใด  นายสุมิตรผู้พ่อขอเพียงให้เลี้ยงดูลูกของตนให้ดี  "ผมไม่ได้เลี้ยงลูกไว้เพื่อขาย"  ทางรายาได้ให้นายซินเปอร์ลิศ  เลขานุการคนสนิทนำของหมั้นบินมาทำพิธีที่กรุงเทพฯ  โดยญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ประกอบพิธีหมั้นในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม  ๒๔๙๕  เวลา ๑๖ น.  โดยท่านจุฬาราชมนตรี  (ต่วน สุวรรณศาสตร์)  ได้นำของหมั้นอันประกอบด้วยแหวนเพชร ๑๐ กะรัต  และเงิน ๑ หมื่นบาทมาหมั้นที่บ้านพักของเรียม เรียม  เพศยนาวิน  อดีตยอดพธูไทยวัย ๒๙ ปี  ได้เข้าสู่พิธีเสกสมรสกับ  เอช.เอช. ซุดพัตรา  ชามา  ลุลลาอิล  รายาแห่งรัฐเปอร์ลิศ  ที่บ้านนายจิ๋ว  สิงห์สุมาลี  ย่านถนนตก  เมื่อ ๑๘ กรกฎาคม  ปีเดียวกันเมื่อเวลา ๑๗ น.  พิธีเริ่มขึ้นโดยมีท่านรายากับที่ปรึกษาฝ่ายศาสนา  และเลขานุการกับผู้ช่วย  ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุคคลสำคัญรวม ๖ ท่าน  ทางฝ่ายเจ้าสาวมีท่านจุฬาราชมนตรีเป็นประธาน  นายเจ๊ะ อับดุลลา  หวังปูเต๊ะ  ส.ส.อิหม่าม  พร้อมด้วยพ่อค้าคหบดีอีก ๕๐ คน  เมื่อได้ฤกษ์แล้ว  บิดาฝ่ายเจ้าสาวได้มอบหมายให้จุฬาราชมนตรีทำพิธีทางศาสนา  ซึ่งมีนายสุรินทร์  นิภารัตน์  และอิหม่ามมัสยิดโรงภาษีเป็นสักขีพยาน  ตลอดเวลาที่ทำพิธีนี้เจ้าสาวห้ามปรากฏตัวออกมา อรสม  สุทธิสาคร จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 17:41:18 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นรูปสี  กับมงกุฎนางสาวไทยครับ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นรูปตอนรับรางวัลครับ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 รูปเต็มตัวครับ ชุดนางสาวไทย ประจำปี ๒๔๘๒ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 19 กับพระสวามี จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:08:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เหนื่อยเลยครับ ความจริงผมไม่ได้สนใจเรื่องทำนองนี้เท่าไรครับ แต่เพื่อเอาใจคุณจำปูน จึงคัดมาพิเศษ และยังมีอีกหลายภาพ รวมทั้งครอบครัวด้วย แต่รอให้เรื่องถึงตอนนั้นก่อนครับ ค่อยทยอยมาพร้อมๆ กัน ไม่ได้เตี้ยมกับคุณจำปูนเลยนะครับ เป็นเพราะมีหนังสือของคุณอรสมกับตัวพอดี และเพิ่งไปซื้อขาตั้งกล้องมาใหม่ ใช้งานครั้งแรกเลย ดูท่าทางภาพดีกว่าเดิม เดี๋ยวรอให้โปรแกรม ACDSee อัพเกรดใหม่ แล้วภาพจะเจ๋งโป๊ะเชะ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ต่อครับ ..................................................... ......  ต่อจากนั้นพระเจ้าย่าประทานของรับขวัญด้วยสายสร้อยทองคำ  พระมรดกตกทอดมาหลายชั่วกษัตริย์  พระเจ้าแม่ประทานกำไลทองคำสลักลวดลายเป็นพระมรดกของเก่าเช่นเดียวกัน  ขณะนั้นชาวเมืองมาล้อมรอบที่ประทับเพื่อชมโฉม  ทุกคนพากันยินดีที่รายาได้รานีที่งามจนคาดไม่ถึง ..........  รายามีมเหสีชาวมาเลเซียอยู่แล้ว  มีโอรสธิดา ๘ องค์  เรียมจึงมีตำแหน่งเป็นรานีหรือภรรยาคนที่สอง  ตามหลักศาสนาอิสลาม  รายาสามารถมีภรรยาได้ถึง ๔ องค์  แต่รายาซุดพัตรานั้นหลังจากเสกสมรสกับเรียมแล้ว  ก็มิได้มีชายาอื่นใดอีกเลย  ทรงมีพระทัยรักใคร่ผูกพันในรานีของพระองค์ตลอดมา  ทั้งมีพระทัยเยือกเย็น  แจ่มใส  และน้ำพระทัยดีเป็นแม่น้ำ จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22 หลังจากเรียมได้เสกสมรสกับรายา  เธอได้รับความผาสุกอย่างเต็มที่  เรียมตั้งครรภ์  ครั้นครบกำหนด  ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลนครหลวงอลอสตาร์  ครั้นเมื่อตี ๓  หลังวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๔๙๖  รานีเรียมได้คลอดทารกออกมาเป็นเพศชาย  น้ำหนักตัว ๕ ปอนด์กว่า  มหารายาได้โทรเลขแจ้งข่าวให้ญาติทั้งสองฝ่าย  เมื่อคลอดแล้ว ทางรัฐบาลได้แก้ไขกฎใหม่ระบุว่า  ในการประสูติกาลของโอรสมหารายาองค์ใดก็ตาม  ให้มีการยิงปืนสลุตเป็นเกียรติยศด้วย ..........  รานีเรียมมีโอรสธิดากับรายา ๔ องค์  คือ เซด ราชิต,  เซด อัศนีย์,  เซด บัดรีชา  องค์ที่สามนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อไทยให้ว่า รังสิกร  องค์สุดท้ายเป็นธิดา  คือ ชารีฟะ เมลานี คำว่า "เซด"  นี้ในภาษามาเลย์หมายถึง เจ้าชาย  "ชารีฟะ"  หมายถึง เจ้าหญิง  ปัจจุบันโอรสทั้งสามทำธุรกิจส่วนตัวทั้งหมด  คงเหลือแต่ธิดาองค์สุดท้องที่ยังคงศึกษาอยู่ที่อังกฤษ ....................................... คงตอบคำถามคุณจำปูนแล้วครับ ว่ามีชื่อพระราชทานจากในหลวงของเราด้วยองค์หนึ่ง ปัจจุบัน ในความหมายนี้ น่าจะเป็นปีที่พิมพ์หนังสือ (๒๕๓๓) จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:29:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ต่อครับ ..... รายาซุดพัตราได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดียังดีเปอตวนอากงองค์ที่ ๓ ของมาเลเซียเมื่อปี ๒๕๐๓  และครบเทอมเมื่อปี ๒๕๐๘  จึงได้กลับมาดำรงพระยศรายาแห่งเปอล์ลิศตราบจนปัจจุบันนี้ ........................................... คราวนี้ก็ตอบคำถามคุณจำปูนอีก  เรื่องยังดีเปอตวนอากง จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 19 เม.ย. 49 18:32:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบพระคุณครับกับ "เรื่องที่ไม่ชอบ" แต่ก็หามาตอบผมจนได้ ทรมานคนเล่นเนอะ รานีท่านรักเมืองไทยมาก แวะมาที่หาดใหญ่บ่อย ตำหนักที่รายาสร้างประทานรานีเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นทำเป็นรูปตัว " R " ด้วยครับ ท่านรักรานีของท่านมากจริงๆ เสียดายที่เมื่อรานีสิ้นนั้น ท่านมิได้มาสิ้นในเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 19 เม.ย. 49 21:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เริ่มต้นด้วย โอรสสุลต่าน ลงเอยด้วย ชายาสุลต่าน ดีจังเลยครับ แต่ที่รู้ๆก็ภูมิใจที่มีคนไทยไปเกี่ยวข้อง ในระดับสูงๆด้วย จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 19 เม.ย. 49 21:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อวานเผลอบอกไปว่าเป็นเรื่องไม่ชอบ ความจริงคงไม่ขนาดนั้น แต่เป็นเรื่องที่ไม่ถนัดมากกว่าครับ แต่หากมีผู้สนใจ จขกท. ก็ต้องจัดให้ ใช่ไหมครับ เจ้าน้าย จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 20 เม.ย. 49 08:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นคุณจำปูนสนใจ ผมจึงอยากขยันพิมพ์ขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ตอนนี้กระทู้จีนโพ้นทะเลก็กำลังจะจบแล้ว จึงขอวนไปวนมาในหลายๆ กระทู้ที่ผมดูแล ขอนำข้อเขียนของคุณอรสมมาเล่าต่อครับ เป็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ ที่คู่ชีวิตคู่นี้  มีโอกาสได้พบกัน ... พ.ศ.นั้น  วังบางขุนพรหมเป็นที่ทำการของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ  มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกสภาฯ  ส่วนสำนักวัฒนธรรมหญิงซึ่งมีท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงครามเป็นผู้นำ  มีสำนักงานอยู่ที่บ้านพิษณุโลก  จอมพล ป. ได้ให้เรียมทำงานที่แผนกรับรองของสภาวัฒนธรรมฯ  ที่วังบางขุนพรหม  ทั้งนี้ ท่านผู้นำได้บอกไว้ว่าไม่ให้ไปทำงานที่ไหน  เพราะไม่สมเกียรติ  เนื่องจากท่านมีความคิดว่า  ผู้หญิงคือดอกไม้ของชาติ  และตำแหน่งนางสาวไทยนั้นเป็นศักดิ์ศรี  เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ   ขณะที่ทำงานที่สภาวัฒนธรรม  จอมพล ป.  ได้เปลี่ยนชื่อของเรียม  มาเป็นเรียมรมย์  โดยกล่าวว่าชื่อเป็นคำเรียกแทนตัวของผู้ชาย  เปลี่ยนเป็น  เรียมรมย์  จะดูไพเราะอ่อนหวาน  สมเป็นนามของสุภาพสตรี  ลายเซ็นของเรียมเมื่อทำงานอยู่ที่สภาวัฒนธรรมจึงเซ็นไว้ตามชื่อใหม่นี้  มาภายหลังได้กลับมาใช้ชื่อเรียมเช่นเดิม จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 20 เม.ย. 49 11:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ต่อครับ .......ปี ๒๔๙๔  ส.ส.ปักษ์ใต้  เจ๊ะ อับดุลลา หวังปูเต๊ะ  ซึ่งสนิทกับนายจิ๋ว  หรือนิพนธ์ สิงห์สุมาลี  เจ้าของบ้านที่เรียมพักอยู่ด้วย  ได้แจ้งมาว่า  รายาหนุ่มแห่งรัฐเปอร์ลิศ  มาเลเซีย  จะเสด็จอย่างไม่เป็นทางการมาเที่ยวประเทศไทย  ในการนี้ท่านรายาไม่ประสงค์จะพักตามโรงแรม  แต่จะพักกับครอบครัวมุสลิมด้วยกัน  ทั้งนี้เพื่อจะหลีกเลี่ยงการต้อนรับที่เอิกเกริก  ด้วยเหตุนี้  รายาหนุ่มนักเรียนนอกอังกฤษจึงได้เสด็จมาประทับ ณ บ้านนายจิ๋ว  การมาครั้งนี้นอกจากมาเที่ยวเมืองไทยธรรมดาแล้ว  ยังประสงค์จะได้ชมโฉมนางสาวไทยที่เป็นมุสลิมอีกด้วย  ท่านรายาได้ยินคำกล่าวขวัญถึงความงามของเธอมานานแล้ว  ข่าวนี้ลือกันไปไกลถึงมาเลเซีย ในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงองค์หนึ่งของมาเลเซีย  รายาแห่งเปอร์ลิศ  เอช.เอช. ซุดพัตรา ชามา ลุลลาอิล  ซึ่งเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์  ได้รับการดูแลจากทางรัฐบาลไทยเป็นอย่างดี  พลตำรวจเอกกระเษียร  ศรุตานนท์  อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น  ได้ส่งตำรวจมาอารักขา  และมีรถขบวนนำเสด็จ  ทั้งที่พำนักอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน  แต่รายากลับไม่รู้ความจริง  เนื่องจากเรียมจะหลบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถขบวนเสด็จวิ่งเข้าสู่ประตูรั้วบ้าน ............................................... อ่านไปอ่านมา  เป็นการเสด็จที่มีความหมายแอบแฝงแล้วซิ  ไม่ใช่เป็นการบังเอิญซะแล้ว จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 20 เม.ย. 49 11:33:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ต่อครับ .... แล้ววันหนึ่งพระพรหมผู้ลิขิตก็ได้ทำหน้าที่ของท่าน  วันนั้นเรียมในชุดเสื้อกางเกงขาสั้นกำลังเล่นแบดมินตันอยู่กับลูกสาวนายจิ๋ว  รายาเสด็จกลับมาโดยที่เรียมหลบไม่ทัน  คนใกล้ชิดเล่ากันว่าท่านสะดุดตาเรียมในทันที  ท่านถามเจ้าบ้านว่า  เป็นคนเดียวกับในรูป (ที่ตั้งไว้ในบ้าน)  ที่ท่านเห็นหรือเปล่า  และแล้วรายาหนุ่มก็ได้รับรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่พระองค์ได้ยินกิตติศัพท์นานแล้ว จากนั้นโปรแกรมเดินทางที่จะเดินทางต่อไปยังลอนดอนของท่านรายาหนุ่มจึงต้องเลื่อนออกไป  ท่านรายาได้พูดกับผู้ใหญ่ว่าชอบพอในตัวเรียมมาก ............................. จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 20 เม.ย. 49 11:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตอนนี้เป็นตอนที่พระโอรสธิดาโตแล้วครับ ..... รานีเรียมพำนักอยู่ที่พระราชวังอิสตาน่า  ซาฮาย่า  ณ รัฐเปอร์ลิศ  บางครั้งก็จะเดินทางไปพักผ่อนเยี่ยมเยียนลูกที่อังกฤษ  ซึ่งท่านรายามีบ้านพักอยู่ที่นั่น  เธอจะกลับมาเมืองไทยปีละ ๓ หน  พร้อมด้วยลูกๆ  นานๆ ครั้งพี่น้องก็จะพากันไปเยี่ยมเยียนเธอที่เปอร์ลิศ  ลูกๆ ทุกคนพูดภาษาไทยได้  และมีความใกล้ชิดกับญาติๆ ทางเมืองไทยเป็นอย่างดี จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 20 เม.ย. 49 12:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ต่อครับ ตอนนี้ขยายความจาก คคห.๒๔ ครับ ....... เรียม  เพศยนาวิน  หรือ  "รานีซุดพัตรา  ชามาลุลลาอิล  ตวนมาเรียม"  ถึงแก่อนิจกรรมอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน  แม้ว่าเธอจะมีโรคประจำตัวคือโรคถุงลมในปอดพองก็ตาม  แต่น้องๆ ของเธอยืนยันว่าเธอจากไปด้วยอาการของโรคหัวใจวายกะทันหัน  เธอจากไปเมื่อเช้า  ๙ นาฬิกาเศษของวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๙  ขณะอายุ ๖๔ ปี  ร่างของเธอถูกฝังอยู่ ณ สุสานหลวงประจำตระกูลของสุลต่านรัฐเปอร์ลิศ  ม่านชีวิตของเธอปิดฉากลงแล้ว  และนี่เป็นตำนานเพียงเสี้ยวหนึ่งซึ่งคนรุ่นหลังจะได้รับรู้  เป็นตำนานเทพนิยายของหญิงสาวสวยชาวไทยผู้ก้าวสู่ตำแหน่งรานีแห่งรัฐเปอร์ลิศ  เริ่มต้นและปิดฉากสุดท้ายลงอย่างแสนสุข จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 21 เม.ย. 49 09:23:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 บทส่งท้าย ....... ภาพแห่งความหลังและเอกสารหนังสือพิมพ์เก่าที่นำมาเป็นข้อมูลประกอบการเขียนครั้งนี้  รานีเรียม  เพศยนาวินเก็บรักษาไว้ด้วยตนเอง  และถึงแม้ว่ายามมีชีวิตอยู่  เธอปฏิเสธการให้สัมภาษณ์จากสื่อมวลชนทุกสำนัก  แต่ในครั้งนี้เมื่อเธอจากไปแล้ว  ภาพทุกภาพ  ตัวหนังสือทุกตัวที่คงเหลืออยู่นั้นคือจารึกอันมีค่า  บอกเล่าเรื่องราวอันหวานชื่นงดงามของเธอได้หมดจดยิ่งกว่าคำพูดใดใด เธอได้ก้าวออกมาจากภาพและมวลอักษรอันรายเรียงเหล่านั้น  มาให้เราได้พบเห็น  ได้รู้จักเพื่อจารึกไว้เป็นตำนานบทหนึ่งซึ่งควรค่าแก่ความทรงจำ  สำหรับเล่าขานกันสืบต่อไปในวันข้างหน้า ...... อีกนับนาน อรสม  สุทธิสาคร จากคุณ : นิค (nickmee) - [ 21 เม.ย. 49 09:29:07 ]