ความคิดเห็นที่ 5
1. Have a nice day.
คำนี้เท่าที่รู้ ฝรั่งเขามักจะพูดกันหลังจากทักทายและพูดคุยกันแล้วเล็กน้อย (มักจะเป็นตอนเช้า) หลัง Good morning. + How are you? (และตอบกันแล้ว) พอเขาจะแยกกัน (หลังทักทาย) เขาก็จะอวยพรให้กันว่า Have a nice day. แปลว่า ขอให้วันนี้เป็นวันดี ๆ ของคุณนะ(อะไรประมาณนี้) ซึ่งอีกฝ่ายมักจะตอบว่า You, too. Thank you. (คุณก็เหมือนกัน ขอบคุณนะ) ไม่ใช่ประโยคคำถามค่ะ Have ขึ้นต้นประโยคมีเยอะแยะไปที่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่งหรือคำเชิญชวน เช่น Have a seat. (นั่งสิ) ถ้าเป็นคำถามต้องเขียนหรือพูดว่า Do you have a nice day? (ซึ่งจะพูดแค่ว่า Have a nice day? ที่มีเสียงสูงท้ายประโยคก็เหมือนกัน) คิดซะว่า Have a nice day. ย่อมาจาก Please have a nice day. ก็ละกัน แค่นี้ก็ดูไม่เหมือนคำถามแล้ว
2. ฉันรู้สึกสนใจหนังสือเล่มนี้จัง ต้องพูดว่า Im interested in this book ค่ะ (Grammar: I am interested + in + something (Noun). ต้องมี in ด้วย Im interested this book. ผิด grammar ค่ะ
3. My family is here in the USA, but we're from Thailand originally. originally ดูเป็นทางการไปนิดนึงนะ สำหรับตอนพูด actuallyจะฟังดูเป็นกันเองกว่า (และนิยมใช้กันมากกว่าด้วยเวลาพูด) origin = ต้นกำเนิด actually = จริง ๆ แล้ว ประโยคนี้ถ้าไม่มี originally ก็ไม่เป็นไร คนฟังก็เข้าใจแต่จะฟังดูธรรมดา ถ้าต้องการเน้นจริง ๆ ต้องเติม actually ด้วย ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้ดู - ครอบครัวผมอาศัยอยู่ที่อเมริกา แต่พวกเรามาจากประเทศไทยครับ - ครอบครัวผมอาศํยอยู่ที่อเมริกา แต่จริง ๆ แล้วพวกเรามาจากประเทศไทยนะครับ
4. So is your first language Korean? ไม่ผิด grammar ค่ะ ประโยคนี้ย่อมาจาก So is your first language the Korean language? แต่เวลาพูดไม่มีใครเขาพูดกันเยิ่นเย้อขนาดนั้น เขาก็ย่อเอา ถ้าจะตอบเต็ม ๆ ก็ Yes, my first language is the Korean language. (ในกรณีที่ต้องการตอบว่าใช่ ซึ่งก็ไม่มีใครเขาตอบเต็ม ๆ ขนาดนี้ ยาวเกิน) ย่อ ๆ ก็แค่ Yes, my first language is Korean. หรือแค่ Yes. ก็พอ
5. เราเรียกเค้าว่าจิม ต้องพูดว่า We call him Jim. We call Jim. ฟังไม่เข้าใจ > เรียกอะไรหรือใครว่าจิมล่ะ่ ต้องมี object ด้วย We call Jim จะแปลเป็นว่า เราโทรหาจิม แทน
6. ขึ้นอยู่กับว่า Whats he like? ย่อมาจาก What is he like? หรือ What does he like? What is he like? = เค้าเป็นคนยังไงเหรอ รวมหมดทั้งหน้าตา รูปร่าง นิสัยใจคอ (เน้นนิสัยมากกว่า ถ้าถามแบบนี้) แต่ถ้าจะเน้นรูปร่างหน้าตา ควรพูดว่า What does he look like? What does he like? = เค้าชอบอะไร
7. Yeah แปลเป็นไทย ก็ประมาณว่า ... อืม...นั่นน่ะสินะ ... มันก็ใช่อ่ะนะ.... Yeah (อ่านว่า เย่..แย../หรือ เยีย...ก็ได้ แล้วแต่สำเนียงและอารมณ์คนพูด) Yeah. The problem is this T-shirt. It's dark blue. (อืม..นั่นน่ะสินะ...แต่ปัญหามันอยู่ที่เสื้อทีเชิร์ตตัวนี้ มันดันมีสีน้ำเงินเข้มน่ะสิ)
The problem is
. (ปัญหามันคือ... ปัญหามันอยู่ที่...) The problem is จะใช้ขึ้นต้นประโยคเพื่อเน้นปัญหาว่ามันคืออะไร ประมาณว่า อะไร ๆ ก็โอเคนะ แต่มันดันติดที่ปัญหานี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ยังแก้ไม่ตก
8. Spring season = ฤดูใบไม้ผลิ อากาศน่าจะออกสดชื่น เย็น ๆ นะ ไม่แน่ใจ
9. What's the weather like? (อากาศเป็นยังไงบ้าง) Like เป็นคำชนิดใด แปลว่าอะไร อืม...ไม่รู้จะอธิบายยังไงแฮะ ไม่เก่ง grammar ซะด้วย รู้แต่ว่า What is it like? แปลว่า มันเป็นยังไง (ต้องใข้รวมกันแบบนี้ เป็นสำนวนรึเปล่าไม่แน่ใจ) What is + (noun) + like? แปลว่า ....(คำนาม)... เป็นยังไงบ้าง
10. What season is it now? ถ้าจะเขียนอีกแบบต้องเขียนว่า What is the season now? ต้องมี the ด้วย
11. Youre cooking? หรือ Are you cooking? ความหมายเหมือนกัน (ขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคทั้งคู่นะ) แต่ฝรั่งเขาจะนิยมใช้กันง่าย ๆ แบบนี้ โดยเอาประโยคธรรมดา มาขึ้นเสียงสูงตรงท้ายประโยค แล้วมันจะกลายเป็นคำถามทันที เช่น แค่พูดว่า Hungry? (เสียงสูงท้ายประโยค) ก็แปลว่า หิวไม๊ ได้แล้ว ซึ่งการใช้แบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าผู้พูดไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นจริง อย่างในเรื่องนี้ แม่ถามว่า ลูกกำลังทำอาหารอยู่เหรอ (ดึกป่านนี้แล้วนะ)
12. Our school football team Our school ก็คำนึง (โรงเรียนของเรา) Football team ก็อีกคำนึง (ทีมฟุตบอล) ถ้าจะให้ถูก grammar เด๊ะ ต้องเขียนว่า Our schools football team (ทีมฟุตบอลของโรงเรียนเรา) คือเป็นนามขยายนามอีกที แต่ก็เห็นเขาใช้กันได้นะแบบนี้ (Our school football team)
13. Youre welcome = ด้่วยความยินดีครับ (ใช้พูดหลังจากมีคนพูด Thank you. เรา)
So = ดังนั้น/แล้ว.... เช่น Its raining, so I dont want to go out any more. (ฝนมันตกน่ะ ฉันก็เลยไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว) แต่ถ้าพูดว่า So? (ขึ้นเสียงสูงท้ายประโยค) มันจะแปลว่า แล้วไง ทันทีนะ
By the way = อ้อ...อีกอย่างนึงนะ/เออใช่..แล้ว... (พูดตอนที่เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องที่พูดอยู่ก่อนหน้านี้สักเท่าไร) เช่น พูดเรื่องอื่นอยู่แล้วต่อด้วย By the way, are you going to the party tonight? (เออ...แล้วเธอจะไปงานปาร์ตี้คืนนี้รึเปล่า) Let = อนุญาตให้ เช่น Let me do it. (อนุญาตให้ผมทำเถอะครับ) Lets + (verb)= มา(verb)กันเถอะ เช่น Lets go.(ไปกันเถอะ), Lets eat.(มากินกันเถอะ)
**ตอบเท่าที่รู้นะ ถ้าใีึครมีอะไรจะเพิ่มเติม เชิญค่ะ
จากคุณ :
แฟนหนังสือ
- [
23 เม.ย. 49 01:02:37
]
|
|
|