CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ----------------- "เจ้าพระยาจักรี" “ท่านแรงแต่ยังอยู่จนตายก็ยังแรง” --------------------

    ไปเห็นมาเลยขอยกมาให้อ่านกันเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ

    --------------------


    “เย็นวันนั้น ข้าพเจ้าเข้าไปเยี่ยมเจ้าพระยาจักรี ซึ่งโดยทั่วไปนับว่าเป็นเอกอัครมหาเสนาบดีของไทย เรานั่งคอยอยู่ที่ห้องติดกับห้องโถงใหญ่ที่รับแขกของจักรีอยู่เป็นเวลานานเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าสุภาพ

    ในที่สุดก็มีคนมาพาไปข้างในอย่างมีพิธีรีตองมาก ตัวท่านเสนาบดีนั่งอยู่บนแท่นสูง มีคนล้อมรอบอยู่มากมายราวกับเป็นเจ้า ท่าทางท่านเป็นคนมีอายุราว ๖๐ ปี มีใบหน้าฉลาดและหลักแหลมมากกว่าพระคลัง

    ท่านเคยทำการสู้รบกับเขมรมีชัยชนะอย่างงดงาม (เมื่อเป็นเจ้าพระยายมราชในรัชกาลที่ ๒ -จุลลดาฯ) กล่าวกันว่าท่านเป็นคนที่มีปรีชาสามารถมาก และรู้ดีว่ากำลังทรัพย์สินของไทยมีเท่าไร และคนไทยมีความสนใจเรื่องใดบ้าง ท่านมีเพื่อนที่มีอำนาจและมีอิทธิพลมากยิ่งกว่าเสนาบดีคนอื่นๆ

    เมื่อพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน (คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ -จุลลดาฯ) ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆได้พระราชทานตำแหน่งสมเด็จให้แก่เจ้าพระยาจักรี (คือโปรดเกล้าฯเพิ่มเกียรติยศให้นั่งเสลี่ยงงากั้นกลดเข้าเฝ้าฯ ดังที่ปรากฏเรื่องใน ‘บุญบรรพ์’ บรรพ ๒ ตอนต้น -จุลลดาฯ)...ฯลฯ...

    แต่พวกกรมหมื่นสุรินทร์ กรมหมื่นรักษ์ พระคลัง และพระยาศรีพิพัฒน์ ผู้น้องชายทั้งหมดนี้ ก็ยังไม่มีความสามารถและอิทธิพลมากเท่ากับเจ้าพระยาจักรีเพียงคนเดียว”

    ข้อความข้างต้นทั้งหมดนี้ยกมาจากบันทึกของร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ (หันตรี บารนี) รายงานถึงผู้สำเร็จราชการประจำเกาะปรินส์ออฟเวลส์ (ปีนัง) กรมศิลปากรแปล บันทึกรายงานของ เฮนรี่ เบอร์นี่ เกี่ยวกับราชสำนักสยาม และเจ้านายขุนนางเสนาบดีทั้งหลายนี้ละเอียดทำให้เห็นภาพท่านเหล่านั้นได้อย่างค่อนข้างชัดเจน

    แม้แต่ภาพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (วังหน้า) ซึ่ง เฮนรี่ เบอร์นี่ บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า  “ตลอดเวลาในระหว่างการเข้าเฝ้า วังหน้าสูบซิการ์ หรือโรโก (Roko) ซึ่งทำให้มองดูไม่มีสง่าราศีเท่ากับพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงเคี้ยวพระสลา”

    โดยเฉพาะ ภาพเจ้าพระยาอภัยภูธร ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหนายก อัครเสนาบดี ฝ่ายพลเรือน ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘จักรี’ กรุงรัตนโกสินทร์ ไม่มีบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาจักรี ผู้ดำรงตำแหน่งสมุหนายก อันเป็นที่จักรีนั้นมีราชทินนามอย่างอื่น เช่น เจ้าพระยาอภัยภูธร เจ้าพระยาบดินทรเดชา เจ้าพระยานิกรบดินทร์ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเลี่ยงพระนามพระบรมราชวงศ์

    จากบันทึกของ เฮนรี่ เบอร์นี่ ทำให้ทราบว่าในปลายรัชกาลที่ ๒ ซึ่งมักเข้าใจกันว่า เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และญาติวงศ์ของท่านรวมทั้งน้องชาย คือ พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัด) เป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลในการสนับสนุนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชย์นั้น อาจจะไม่ถูกนัก น่าจะเป็นเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ผู้นี้มากกว่า เพราะเมื่อปลายรัชกาลที่ ๒ นั้น ท่านเป็นสมุหนายก เป็นแม่ทัพที่ออกไปรบจนชนะเขมรมาแล้ว ส่วนเจ้าพระยาพระคลัง และพระยาศรีพิพัฒน์นั้น แม้จะเป็นเสนาบดีและขุนนางผู้ใหญ่ก็ยังเด็กกว่าเจ้าพระยาอภัยภูธร อำนาจ และอิทธิพลตลอดจนพรรคพวก คงจะไม่เท่ากับเจ้าพระยาอภัยภูธร และตามที่เฮนรี่ เบอร์นี่ บรรยายลักษณะท่านเอาไว้  เจ้าพระยาอภัยภูธร เห็นจะไม่ยอมใครง่ายๆ หากไม่เห็นด้วย

    ว่าถึงความสำคัญเกี่ยวดองกับพระบรมราชวงศ์ แม้จะมิใช่เป็นราชินิกุล แต่เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) บิดาของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) นั้น คงใกล้ชิดชอบอยู่ด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมหาราช แต่ยังทรงรับราชการอยู่ด้วยกันในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งยังมีนิวาสสถานอยู่ใกล้กัน จนเป็นเหตุให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ แต่ครั้งเพิ่งเข้าวัยรุ่นหนุ่มหลงรักคุณสี (หรือคุณศรี) ผู้พี่สาวของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) และคงจะได้สู่ขอจนหมั้นหมายกันไว้ ก็พอดีสิ้นแผ่นดินธนบุรี

    เมื่อพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าฯมหาราชเสด็จปราบดาภิเษก คุณสีจึงได้เป็น ‘หม่อม’ ท่านแรกของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และเป็นหม่อมเอกท่านเดียวที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดตลอดรัชกาลที่ ๑

    เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) รับราชการมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ จนได้เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางพระตำรวจ ถึงรัชกาลที่ ๒ ได้เป็นเจ้าพระยมราช จตุสดมภ์กรมเวียง หรือเสนาบดีกรมเมือง โปรดฯให้เป็นแม่ทัพออกไปเขมรดังกล่าว ได้ชัยชนะกลับมาแล้วโปรดฯให้เป็นเจ้าพระยาอภัยภูธร อัครเสนาบดีที่สมุหนายก

    เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๓ โปรดฯให้เพิ่มเครื่องยศกั้นกลดและพระราชทานเสลี่ยงงา ให้นั่งเข้าเฝ้าฯในพระบรมมหาราชวัง ดังที่เฮนี่ เบอร์นี่ บันทึกว่าพระราชทานตำแหน่ง ‘สมเด็จ’ คือ ‘สมเด็จเจ้าพระยา’ นั่นเอง

    เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นแม่ทัพออกศึกอีกครั้งหนึ่ง คราวพระเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ แข็งเมืองแล้วเข้ามากวาดต้อนครัวในเขตพระราชอาณาจักร เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ยกกองทัพหัวเมืองขึ้นไปตั้งอยู่ ณ เมืองพันพร้าว เกิดไข้ระบาดล้มตายกันมาก เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) อายุขณะนั้น (พ.ศ.๒๓๗๐) ประมาณ ๖๗ ป่วยเป็นไข้ด้วย ถึงแก่อสัญกรรม โปรดฯให้นำศพลงมากรุงเทพฯ

    ครั้นปีรุ่งขึ้น (พ.ศ.๒๓๗๑) สร้างพระเมรุมาศ ถวายสมเด็จพระอมรินทราบรมราชนี (สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์) ถวายพระเพลิง พระบรมศพเสร็จแล้ว รื้อเครื่องพระเมรุมาศสำหรับพระเกียรติยศออก จึงโปรดฯให้ชักศพเจ้าพระยาอภัยภูธรเข้าสู่พระเมรุ มีงานมหรสพ ๓ วัน ๓ คืน แล้วทรงพระราชทานเพลิง

    เมื่อโปรดฯให้รื้อพระเมรุนั้น ขณะเจ้าพนักงานกำลังช่วยกันรื้อ ฝนตกพรำๆ รื้อเครื่องประดับยังไม่ทันเสร็จ เกิดฟ้าผ่าลงมาโดยพระเมรุไฟไหม้ไม่อาจดับได้ จึงต้องปล่อยให้ไหม้จนมอดไปเอง เป็นเหตุให้ผู้คนพากันเปรยว่า

    “ท่านแรงแต่ยังอยู่จนตายก็ยังแรง”

    เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) บิดาของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นต้นสกุลบุณยรัตพันธุ์



    บันทึกของ ร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่
    โดย  จุลลดา ภักดีภูมินทร์
    ฉบับที่ 2616 ปีที่  51 ประจำวัน  อังคาร ที่  7 ธันวาคม  2547

    --------------------


    (รูป) เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) บุตรชายของ เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธุ์) เป็นสมุหนายกในรัชกาลที่ ๔

     
     

    จากคุณ : 2am and the rain is falling - [ 28 เม.ย. 49 14:34:03 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป