บทนำ
เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เท่าที่จำได้ยังไม่เห็นท่านใดนำเสนอมาก่อนและเป็นเรื่องที่มีผู้รู้น้อย
อยู่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำเสนอเรื่องราวของทุกชีวิตที่ปรากฏบนโลกใบนี้ ย่อมหนี้ไม่พ้นความตาย
ซึ่งเป็นธรรมชาติ โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ และเป็นไปตามวาระของสังขาร เป็นไปตามวาระแห่งกรรม ตามหลักความเชื่อของพุทธศาสนา สังขารเมื่อแตกดับไปแล้ว ซึ่งต่อไปจะเป็นความเชื่อเรื่องของจิตและวิญญาณ
มีความคิดเห็นหลายทรรศนะแตกต่างกัน บ้างก็ว่าดับสูญ บ้างก็ว่าเดินทางไปสู่ชาติภพใหม่ หรือวนเวียนเป็นวัฏสงสาร เช่นเดียวกับชนชั้นกษัตริย์ และ บรมวงศ์ ก็ย่อมหนี้ไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้
ตามโบราณราชประเพณีซึ่งถือปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี เสด็จสวรรคต หรือพระบรมวงศ์ ซึ่งทรงประกอบคุณงานความดีไว้แก่บ้านเมืองสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการบำเพ็ญพระราชกุศลและถวายพระเพลิง ตามลำดับพระเกียรติยศหรือพระอิสริยศักดิ์ ในการนี้พระบรมศพและพระศพได้รับการบรรจุในพระโกศทอง แล้วอัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานเหนือเบญจาทองในพระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง มีการแต่งที่ประดิษฐานพระโกศตามพระเกียรติยศแล้วบำเพ็ญพระราชกุศลทางพระพุทธศาสนา เมื่อถึงกาลอันควร ก็อัญเชิญพระบรมศพไปถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ ซึ่งสร้างไว้เป็นกรณีพิเศษซึ่งมักจะเรียกเป็นสามัญว่า งานออกพระเมรุ หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว มีการเก็บพระบรมอัฐิประมวลลงในพระโกศทองคำลงยาประดับพุ่มเฟื่องอัญมณี
การเก็บรักษาพระบรมอัฐิ สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า สมเด็จพระอัครมเหสี สมเด็จพระบรมราชนนี และพระอัฐิเจ้านายชั้นบรมราชวงศ์ในสมัยรัตนโกสินทร์นี้ มีธรรมเนียมการเก็บรักษาแตกต่างไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยา ยังเป็นราชธานีอยู่นั้น เมื่อได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพ หรือพระราชทานเพลิงพระศพพระราชวงศ์ชั้นสูงแล้ว จะเชิญพระบรมอัฐิไปบรรจุไว้ ณ ท้ายจรนำพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ (ในพระราชวัง) ส่วนพระอัฐิก็เชิญบรรจุไว้ในพระเจดีย์แห่งพระอารามที่กล่าวมาแล้วนั้น
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประเพณีดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นผ่านพิภพ ณ กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาได้อัญเชิญพระบรมอัฐสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกเข้ามาถวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริว่า พระองค์เองก็ดี สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราวังบรมสถานมงคลก็ดี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอทั้งสองพระองค์ ยังไม่ทรงกระทำการถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระชนกาธิบดี เพราะ
บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย หรือถึงแม้ว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้วก็ยังทรงติดราชการสงครามในการ
กอบกู้เอกราช สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศชาติตลอดมา เมื่อได้ทรงสร้างราชธานีขึ้นใหม่ บ้านเมืองก็มีความสงบพอสมควรแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมชนกาธิบดี ตามแบบอย่างของการถวายพระเพลิงสมเด็จพระมหา
กษัตริยาธิราชเจ้า แห่งกรุงศรีอยุธยา (อาจจะเป็นการถวายพระเพลิง ณ ท้องสนามหลวง ครั้งแรกในกรุงรัตน
โกสินทร์) หลังจากทรงถวายพระเพลิงแล้ว ทรงพระราชปรารภว่า พระบรมอัฐินั้นถ้าอัญเชิญไปบรรจุท้ายจรนำในพระอุโบสถหรือที่พระเจดีย์ในพระอารามหลวงในพระราชวังเหมือนธรรมเนียมอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา
แม้จะเป็นพระเกียรติยศและเปิดโอกาสให้ปวงชนได้สักการบูชาก็จริงอยู่ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ในครั้งนั้นเพิ่ง
จะสถาปนาใหม่ ยังไม่มั่นคงแข็งแรงนัก หากมีข้าศึกศัตรูรุกรานจนไม่สามารถรักษาพระนครไว้ได้ การอพยพหลบหนีไปไม่ว่าจะเป็นเวลานานหรือชั่วคราว ก็จะต้องทิ้งกระดูพระบรมราชบุพการีไว้ให้ถูกเหยียบย่ำทำลาย
และระหว่างรอนแรมไปก็จะไม่มีกระดูกพระบรมราชบุพการีไว้กราบไหว้บูชา
ฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิไว้พระราชมณเฑียรที่ประดับเพื่อที่จะได้
หยิบฉวยติดพระองค์ได้ง่าย และโปรดให้สร้างหอสำหรับพระดิษฐานพระบรมอัฐิในคราวนั้น ชื่อ หอพระธาตุมณเฑียร จากการที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างหอพระธาตุมณเฑียรไว้เป็นปฐมนั้น พระมหากษัตริย์
ในรัชกาบต่อ ๆ มาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระราชบุรพการีประดิษฐานไว้ ณ หอพระบรมอัฐิ บนพระราชมณเฑียรสืบต่อกันมาเป็นราชประเพณี สำหรับอัฐิสมเด็จพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงนั้น
บางพระองค์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคารพนับถือเสมอด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี เช่น พระอัฐิ
ของสมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสองพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อถวายพระ
เพลิงแล้วโปรดให้อัญเชิญพระอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียรด้วย สำหรับพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข และพระบรมวงศ์ที่ออกจากวังไปประทับเป็นการส่วนพระองค์ มิได้ประทับ
อยู่ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วพระราชทานเพลิงแล้ว ก็โปรดให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานในแต่ละวัง เพื่อที่ทายาทและพระประยูรญาติจะได้สักการบูชา ส่วนพระบรมราชวงศ์ฝ่ายใน ที่ประทับในพระบรมมหาราชวังที่ทรงศักดิ์เสมอด้วยพระองค์เจ้าลูกหลวง (หมายถึงพระพี่นาง พระน้องนาง และพระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัว ที่ดำรงพระยศ พระองค์เจ้า) ไม่มีเจ้าพี่น้องที่เสด็จออกไปประทับวังส่วนพระองค์
การพระศพก็จะอยู่ภายใต้พระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ หลังจากการถวายพระเพลิงพระศพแล้ว
ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอัฐิประดิษฐานไว้ ณ หอพระนาก (ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป)
สรุปแล้วในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 3 จะมีที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ และหอพระอัฐิ
อยู่สองแห่ง คือ หอพระธาตุมณเฑียร กับ หอพระนาก
จากคุณ :
nuttavong
- [
30 พ.ค. 49 15:28:18
]