ตอบ 40 นะครับ
อืม...ถ้าคิดว่าฟลุ๊ค
ก็คงฟลุ๊คกันได้ทุกยุคสมัยนะครับ
ในศึกอะแซหวุ่นกี้ ก็คงฟลุ๊คสิครับที่มังระสิ้นซะก่อนที่ขุนพลเฒ่าจะตะลุยเผาธนบุรี
แสดงว่าขุนทหารในสมัยธนบุรีอ่อนแอ ป้องกันพิษณุโลกไม่ได้ เตลิดหนีไปซะเพชรบูรณ์
ถ้าเครดิตของการป้องกันพระนครไม่ใช่ของกษัตริย์
จะยกให้"เทวลิขิต" ตามข้อกล่าวหาในยุคต้นรัตนโกสินทร์ก็ไม่ว่ากันครับ
ฟ้าลิขิตรักษาพระนคร (ยิ้ม) มังระกามโรคตาย
(พาดหัวข่าวโยเดียนิวส์ พฤษภาคม 2303)
- เรื่องกองทัพพม่า มังรอกขึ้นครองในปี 2303 - 2307 สามปีเองนะครับ ส่วนที่จะ"ทรงใส่ใจราชกิจภายในมากกว่าการรุกรานประเทศเพื่อนบ้านจนเป็นที่รักใคร่ของผสกนิกรอย่างยิ่ง"
ข้อความนี้ผมขอไม่การตีนะครับว่ามังรอกเป็นที่รักใคร่ของประชาชน แต่ครองแผ่นดินได้นานเพียงสามปี
นโยบายไม่รุกรานใคร น่าจะคิดได้ว่ากองทัพไม่พร้อม จึงเกิดกบฏมอญมากมายหลายจุดในเบลกอล กบฎยะไข่ และกบฎหัวเมืองล้านช้าง กบฏล้านนา กบฏฉานซึ่งในสมัยของมังรอกไม่สามารถปราบได้ ย้ำนะครับ"กองทัพพม่าไม่แกร่งพอจะปราบได้"
เพราะกองทัพอ่อนแอลงจากสงคราม 2303
หรือถ้าไม่ใช่อีก
......ก็คงเป็นกษัตริย์พม่าที่ดีมากที่ไม่รุกรานผู้อื่น ใครอยากจะกบฏก็กบฏไป ไม่ว่ากัน
ส่วนมังระขึ้นครองในปี 2307 จึงเปิดศึกปราบกบฏ (ตามหลักฐานของฝ่ายพม่าเอง) ในการปราบกบฏทางตอนเหนือทั้งหมดไปจนถึงล้านช้าง
ส่วนทางใต้ เปิดศึกปราบกบฏมอญในปลายปี 2308
แต่ที่แน่ ๆ มังระต้องการตีกรุงศรีอยุธยาตามนโยบายของอลองพญา ตามการศึกษาของฝ่ายพม่าเอง
ตรงนี้สืบเนื่องPolicy จักรวรรดิราชของอลองพญาอย่างแน่นอน
หากจะมองว่าพม่าหยุดสงครามเพราะกษัตริย์เป็นคนดี
มหากองทัพยังเป็นปกติ น่าเกรงกลัวอยู่แล้ว
มันจะเกิดกบฏที่มังรอกปราบไม่ได้รอบอังวะได้อย่างไร
กองทัพอังวะต้องรอเวลานานกว่า 5 ปี มังระหรือผู้ที่เปลี่ยนพระนามตามบุเรงนองว่าเซงพยูเชงในความหมายของพระเจ้าช้างเผือก)จึงจะกลับมาปราบกบฏทั้งทางเหนือและทางใต้
สงครามปราบกบฏจึงนำทางมาสู่ยุทธศาสตร์ตีกระหนาบอยุธยาในเวลาต่อมา
ส่วนเรื่องจะหลงพระเจ้าเอกทัศ
ก็เช่นกันนะครับ
ผมไม่ได้โปรเอกทัศว่าเก่งกาจนักหนา
แต่ผมขอยืนยันว่า จากข้อมูลแวดล้อมและหลักฐานที่ไม่ถูกใช้ ชี้ให้เห็นว่ากษัตริย์องค์นี้ เลือกที่จะสู้กับศัตรูอังวะโดยไม่ได้เกรงกลัวหรือถอยหนี
เมื่อชนะศึกถึงใครจะว่าฟลุ๊ค ก็ฟลุ๊คอยู่ในสงครามที่กำลังรบติดพันกันอยู่
อยุธยาก็ชนะด้วย"ยุทธศาสตร์ป้อมเมือง"ของผู้ตั้งรับ
ไม่ใช่สงครามที่ไปปะทะกันกลางทาง
แล้วคงจะไม่มีใครไปบอกขุนทหารอยุธยาเวลานั้นว่า พวกยูชนะแบบฟลุคนะ ไอ้ยุทธศาสตร์ป้อมเมืองน่ะอย่าไปใช้เลยมันไม่สำเร็จหรอก อกไปแลกกันที่หนองสาหร่ายสิชัวร์กว่า
แต่เพราะ"ยุทธศาสตร์"มันชนะ
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า กำแพงเพชรแตกอย่างไร ยุทธวิธีมโหสถบัณฑิตก็ไม่เคยปรากฏในสงครามจารีตในสมัยก่อน
ข้อเสนอในการตอบกระทู้ของผม
แสดงให้เห็นว่า กองทัพของฝ่ายพม่าไม่ใช่กองทัพโจร
และกรุงศรีอยุธยาก็ต่อสู้จนถึงวันสุดท้าย...จนเสียปิ่นเสียนครเรศ
ก็ไม่ใช่เพราะพระเจ้าเอกทัศอ่อนแอ ไม่ทำการสู้รบ หลงสนมกำนัล
สุดท้าย ถ้าในข้อเขียนใด ๆ ในความเห็นของผมมันดูช่างอวดดีเสียเหลือเกินนะครับ
ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ยังไงก็รักษาสุขภาพนะครับ
ปล. อ่านคห.41 ของคุณCrazyHOrseแล้ว
เข้าใจง่าย ชัดเจนดีครับ
เป็นพื้นฐานสำคัญที่ผมใช้เป็นกระจกมองลอดผ่าน เพื่อพิพิจสภาพสังคมและวัฒนธรรมในยุคสมัยที่ตราครุตยังไม่ได้อยู่บนบัตรประชาชน แต่มันอยู่ที่เลขสักบนร่างกายของ"ระบบไพร่"
แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 49 16:29:30
แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 49 16:18:10
แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 49 16:17:23
แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 49 16:16:38