ความคิดเห็นที่ 12
ตอบเจ้าของกระทู้ ๑. เหตุใด "คำลักษณนาม" จึงมีนิยามไม่ครอบคลุมคำบอกลักษณะคำกริยา? "ในไวยากรณ์แนวเดิมส่วนมากใช้เกณฑ์หลายเกณฑ์ปนกันในการจำแนกคำ เช่น ใช้ทั้งเกณฑ์ความหมาย หน้าที่ และตำแหน่ง โดยใช้เกณฑ์หนึ่งกับคำบางชนิดและใช้อีกเกณฑ์หนึ่งกับคำชนิดอื่น ซึ่งนักไวยากรณ์โครงสร้างเห็นว่า ไม่ถูกต้อง ถ้าหากจะใช้เกณฑ์ใดบ้างก็ควรจะใช้ให้ตลอด" (วิจินตน์ ภาณุพงศ์. เอกสารการสอนชุดวิชา ภาษาไทย ๓ หน่วยที่ ๗-๑๕. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, ๒๕๔๗.) "คำนามที่ใช้บอกลักษณะของสามานยนามอีกทีหนึ่ง เช่น คำเรียกพระว่า 'รูป' เรียกสัตว์ว่า 'ตัว' เรียกเรือว่า 'ลำ' เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่า 'ลักษณนาม'" (อุปกิตศิลปสาร, พระยา. หลักภาษาไทย. ๒๕๓๙.) ......ดังนั้น ช้าง ๓ เชือก, โต๊ะ ๒ ตัว คำว่า "เชือก" และ "ตัว" เป็น "ลักษณนาม" ตามการจำแนกชนิดคำโดยใช้ความหมายเป็นเกณฑ์ (หลักภาษาไทยที่เราใช้เรียนอยู่นำมาจากตำราหลักภาษาของพระยาอุปกิตศิลปสารซึ่งท่านได้จำแนกคำตามความหมาย เช่น คำนาม คำกริยา และตามตำแหน่งหน้าที่ เช่น คำวิเศษณ์คำบุพบท) แต่เนื่องจากการจำแนกคำตามความหมาย จะเกิดปัญหาคือ "เรื่องของความหมายเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน เมื่อใช้ความหมายเป็นเกณฑ์ เราจะจำแนกคำเป็นชนิดย่อยๆ ได้หลายสิบชนิดและเราไม่อาจกล่าวถึงได้ครบทุกชนิด" (นววรรณ พันธุเมธา. ไวยากรณ์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๒๗) ...ตอบ คำลักษณนาม ตามไวยากรณ์ของพระยาอุปกิตศิลปสารนั้น จำแนกตามความหมาย จึงดูเหมือนไม่ครอบคลุม "คำบอกลักษณะคำกริยา" เช่น เดิน ๓ ก้าว, กิน ๑ คำ เป็นต้น แต่ถ้าเราปรับประโยคเป็น "เดินเป็นระยะทาง ๓ ก้าวหรือเดินเป็นจำนวนก้าว ๓ ก้าว, กินเป็นปริมาณ ๑ คำหรือกินข้าว ๑ คำ" (ตามความคิดเห็นที่ ๙) ก็จะถือว่า คำว่า "ก้าว, คำ" เป็นคำลักษณนามได้ เพราะเหตุ ดังนี้ "การบอกสัมพันธ์ตามตำราวากยสัมพันธ์ก็ดี หรือการกระจายคำตามตำราวจีวิภาคที่กล่าวมาแล้วก็ดี ก็ต้องตั้งต้นด้วยการปรับปรุงประโยคคำพูดให้เป็นประโยคไวยากรณ์เสียก่อนทั้งนั้น" (อุปกิตศิลปสาร, พระยา. หลักภาษาไทย. ๒๕๓๙.) ๒. ถ้า "คำบอกลักษณะคำกริยา" ไม่เป็น "คำลักษณนาม" จะเป็นชนิดใด? ......ตำราที่ยกตัวอย่างคำดังกล่าวไว้ชัดเจน คือ "ไวยากรณ์ไทย" ของ นววรรณ พันธุเมธา ซึ่งมีวิธีการจำแนกคำ ดังนี้ "ในหนังสือเล่มนี้ จะจำแนกคำตามหน้าที่ในการสื่อสารเป็นหมวดใหญ่ๆ แล้วจึงจะจำแนกประเภทย่อยตามความหมาย คำแบ่งตามหน้าที่ในการสื่อสารได้เป็น ๖ หมวด คือ ๑. คำเรียก-ร้อง เป็นคำที่ผู้พูดแสดงอารมณ์หรือเรียกผู้ฟัง มักเปล่งออกมาตามลำพัง ไม่ต้องสัมพันธ์กับคำอื่น ๒. คำหลัก เป็นคำสำคัญที่ผู้พูดใช้บอกเนื้อความซึ่งสื่อสารไปยังผู้ฟัง ๓. คำแทน เป็นคำที่ใช้แทนคำหลัก ๔. คำขยาย เป็นคำที่ช่วยขยายคำหลักและคำขยายด้วยกันเองให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ๕. คำเชื่อม เป็นคำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหลัก ระหว่างคำหลักกับคำขยาย หรือระหว่างคำแทนกับคำหลัก ๖. คำเสริม เป็นคำที่เสริมเข้าไปในประโยค ช่วยแสดงท่าทีของผู้พูดและความสัมพันธ์ของผู้พูดกับผู้ฟัง" "คำขยาย มี ๔ ประเภทคือ ๑. คำที่ขยายได้ทั้งคำนามและคำกริยา ๒. คำที่ขยายคำนาม ๓. คำที่ขยายคำกริยา ๔. คำที่ขยายคำบอกจำนวน" "คำที่ขยายได้ทั้งคำนามและคำกริยา ได้แก่คำต่อไปนี้... คำแยกประเภท ...คำแยกประเภทที่ใช้ขยายคำกริยา เพื่อจำแนกกริยาตามช่วงเวลาหรือระยะทางที่ทำอาการนั้น เช่น ตื่น ก้าว หลา เมตร พัก ยก ผลัด กะ ฯลฯ ตัวอย่าง เขาหลับ ๑ ตื่น, เขาเดิน ๑ ก้าว, เขาวิ่ง ๒๐๐ เมตร ...คำแยกประเภทที่ใช้ขยายคำกริยา เพื่อจำแนกตามครั้งที่ทำอาการ เช่น หน ที ครั้ง ตัวอย่าง เขาพูด ๒ ครั้ง, เขาทำ ๒ หน, แม่ตีลูก ๒ ที ...คำแยกประเภทที่ใช้ขยายคำกริยา เพื่อจำแนกตามมาตราวัด ตัวอย่าง เชือกยาว ๓ เมตร, ผ้ากว้าง ๖๐ นอ้ว, สมศรีหนัก ๖๐ กิโลกรัม" (นววรรณ พันธุเมธา. ไวยากรณ์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๒๗) ....ตอบ ในไวยากรณ์ของ นววรรณ พันธุเมธา "คำบอกลักษณะคำกริยา"และ "คำบอกลักษณะคำนามหรือคำลักษณนาม" เป็นชนิดของคำในหมวด "๕. คำขยาย ๕.๑ คำที่ขยายได้ทั้งคำนามและคำกริยา ๕.๑.๑ คำแยกประเภท" พูดง่ายๆ คือ เป็นคำขยายชนิดหนึ่ง ที่ขยายได้ทั้งคำนามและคำกริยา
จากคุณ :
hua856@hotmail.com
- [
10 มิ.ย. 49 01:59:47
A:203.107.201.245 X: TicketID:024407
]
|
|
|