CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ขวากหนามของโจโฉ (๓) สามก๊กฉบับลายคราม

    สามก๊กฉบับลายคราม

    ขวากหนามของโจโฉ (๓)


    ถึง พ.ศ.๗๖๑ โจโฉได้เป็นมหาอุปราชมาแล้วประมาณ ๒๘ ปี และไม่ค่อยจะได้คุมกองทัพออกไปรบด้วยตนเองแล้ว เพราะมีฐานะเป็นพระเจ้าวุยอ๋อง รองลงมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ คอยฟังแต่ผลการรบที่เมืองต่าง ๆ จะแจ้งมาให้ทราบ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ข่าวดีนัก

    ด้านโจหอง กับแฮหัวเอี๋ยน และเตียวคับ ที่ให้อยู่รักษาเมืองฮันต๋งนั้น  เล่าปี่ก็ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง

    เตียวคับรบกับเตียวหุยที่ตำบลแฮเปียน ด้วยความประมาทความคิดของเตียวหุยว่าเสมอเด็กเจ็ดขวบ จึง ต้องอุบายของเตียวหุยแตกพ่ายเสียทหารไปร่วมสองหมื่น  

    ฮองตงทหารเอกอายุร่วมเจ็ดสิบปีของเล่าปี่  ก็ยึดกองเสบียงของโจหองที่เขาบิซองสันได้ แล้วก็เข้าตีกองเสบียงที่เขาเตงกุนสันซึ่งแฮหัวเอี๋ยนรักษาอยู่ ก็ฆ่าแฮหัวเอี๋ยนตายกลางสนามรบ                

    โจโฉจึงต้องยกกองทัพใหญ่พลสี่สิบหมื่น เป็นทัพกษัตริย์ไปรบกับเล่าปี่ป้องกันเมืองฮันต๋งซึ่งเป็นเมืองสำคัญ แต่ก็ต้องเสียทีแก่ขงเบ้งในการรบที่ทุ่งฮันซุยและเสียด่านเองเปงก๋วน  

    ยังดีที่โจเจียงบุตรชายคนรองมาช่วยไว้ทัน  แต่ตัวโจโฉก็ถูกทหารเอกของเล่าปี่ยิงด้วยเกาทัณฑ์ ฟันหน้าหักไปสองซี่ จึงต้องถอยทัพกลับปล่อยให้เล่าปี่ยึดครองเมืองฮันต๋ง และตั้งตัวเป็นอ๋องเมืองฮันต๋งเสียด้วย

    ต่อมาโจโฉรู้ว่าซุนกวนขัดใจกับเล่าปี่ ตั้งแต่ลวงให้ไปแต่งงานกับนางซุนฮูหยิน เพื่อจะฆ่าเสียแต่เล่าปี่ก็หนีรอดกลับไปได้ และพานางซุนฮูหยินไปด้วย  

    ภายหลังเมื่อเล่าปี่มัวไปรบกับเมือง เสฉวน ซุนกวนก็ให้ทหารมาพรากนางซุนฮูหยินกลับไปเมืองกังตั๋ง  และตัดขาดกับเล่าปี่แต่บัดนั้น            

    โจโฉจึงส่งทูตไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ซุนกวนร่วมมือกับรบกับเล่าปี่  ซุนกวนก็ตกลงด้วยและจะจัดกองทัพเรือไปตีเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งกวนอูปกครองอยู่  

    แต่เล่าปี่ให้กวนอูมาตีเมืองซงหยงได้ และล้อมเมืองอ้วนเซียอยู่  บังเต๊กซึ่งเดิมเป็นทหารเอกของม้าเฉียว แต่ถูกทิ้งไว้ที่เมืองฮันต๋งตอนโจโฉไปตีครั้งก่อน และถูกเกลี้ยกล่อมให้มาอยู่กับโจโฉด้วย จึงเป็นคนละฝ่ายกับม้าเฉียวซึ่งไปอยู่กับเล่าปี่  

    ได้ขออาสาคุมทหารเป็นทัพหน้าไปช่วยเมืองอ้วนเซีย  โจโฉก็ยังไม่ค่อยไว้ใจนัก บังเต๊กก็ลงทุนสาบานว่าขาดกันกับม้าเฉียวแล้ว และแสดงความจริงจังด้วยการให้ทหารเอาโลงศพไปด้วย และประกาศว่าถ้าไม่ได้ศรีษะกวนอูใส่โลงกลับมา ก็ต้องเป็นศรีษะของตนเองนั่นแหละ

    บังเต๊กกล้าหาญที่เข้ารบกับกวนอูซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมานาน และเกือบจะเอาชนะได้แล้ว เพราะกวนอูเข้าวัยชราถูกเกาทัณฑ์ของบังเต๊กต้องพักรักษาตัวและบุตรชายไม่ยอมให้ออกรบอีก

    บังเต๊กจึงคิดจะตีค่ายกวนอูให้รู้แพ้ชนะโดยเด็ดขาด แต่อิกิ๋มแม่ทัพใหญ่มีความอิจฉากลัวว่าถ้าชนะกวนอู บังเต๊กจะมีความชอบมาก จึงยับยั้งไว้แล้วเลยถูกทหารกวนอูทดน้ำให้ท่วมค่าย ทั้งอิกิ๋มกับบังเต๊กถูกจับเป็นเชลย

    อิกิ๋มวิงวอนขอชีวิต กวนอูก็ไม่ฆ่าแต่ส่งตัวกลับมาให้โจโฉ บังเต๊กไม่ยอมอ่อนน้อม  กวนอูจึงให้ประหารชีวิตเสีย  โลงศพที่บังเต๊กแบกไปด้วยจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์

    แต่ในที่สุดกวนอูก็เสียทีพ่ายแพ้แก่กองทัพของซุนกวน ถูกจับตัวเป็นเชลยเหมือนกัน แม้ซุนกวนจะเกลี้ยกล่อม แต่กวนอูซื่อสัตย์ต่อเล่าปี่ ไม่ยอมอ่อนน้อม จึงถูกประหารชีวิต
    แล้วซุนกวนก็ส่งศรีษะกวนอูใส่ถังไปให้โจโฉจนได้.

    เมื่อโจโฉได้รับศรีษะของกวนอู ที่ซุนกวนใส่ถังมาให้เป็นของขวัญ ทีแรกก็ดีใจมากที่แขนขวาของเล่าปี่ ข้าศึกตัวฉกาจ ได้สิ้นชีวิตลง ถึงกับออกปากว่า

    “กวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่ศีรษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา”

    ศีรษะกวนอูก็สำแดงเดช อ้าปากกลอกตาใส่โจโฉจนตกใจล้มลง และว่าศรีษะกวนอูนี้เฮี้ยนนัก  คนของซุนกวนที่เอามาให้ก็ว่า เมื่อก่อนมาก็หักคอลิบองนายทหารเอกของซุนกวน ที่เอาชนะกวนอูมาแล้วหยก ๆ มาแล้ว

    โจโฉก็ยิ่งผวาหนักขึ้นไปอีก สั่งให้เอาไม้หอมมาต่อเป็นหีบใส่ศีรษะกวนอู และจัดพิธีฝังไว้ที่ริมประตูเมืองลกเอี๋ยง แล้วจารึกไว้ว่า ที่ฝังศพเจ้าเมืองเกงจิ๋ว และจัดขุนนางไว้คอยเซ่นสักการะศพตามประเพณี

    ตั้งแต่นั้นมาโจโฉก็ล้มป่วยลง หลับตาครั้งใดก็เห็นแต่หน้ากวนอู จึงคิดจะสร้างวังที่อยู่ใหม่ เมื่อให้ตามช่างผู้มีฝีมือเขียนแบบแล้วก็ให้ไปตัดต้นไม้ใหญ่ ที่ชายป่ามาสร้างเป็นวังขึ้น แต่คนที่ไปตัดไม้ก็กลับมารายงานว่า จะทำอย่างไรก็ตัดไม้ต้นไม่ได้เลย

    โจโฉไม่เชื่อจึงพาบริวารตั้งสามร้อยคน ออกไปดูให้เห็นประจักษ์แก่ตา
    ไม้ต้นนั้นเป็นต้นสาลี่สูงประมาณยี่สิบวา อายุประมาณสามสี่ร้อยปี อยู่ใกล้ศาลเทพารักษ์หลังหนึ่ง โจโฉก็ให้คนเอาขวานฟันก็ไม่เข้า

    โจโฉก็โกรธว่าตนเป็นใหญ่ในเมืองนี้มาหลายสิบปีแล้ว บรรดาเทพารักษ์แลราษฎรก็อาศัยพึ่งบุญอยู่ทั้งสิ้น จะเอาต้นไม้นี้ไม่ได้หรืออย่างไร ว่าแล้วก็ชักกระบี่คู่กายออกฟันต้นไม้ฉับเข้าให้ ก็บังเกิดมีเสียงร้องไห้เซ็งแซ่ขึ้น และมียางไหลออกมาเป็นโลหิต  
    โจโฉก็ตกใจทิ้งกระบี่แล้วขึ้นม้าห้อเหยียดกลับวังไปทันที

    ครั้นเวลาค่ำโจโฉนอนไม่หลับจนเวลาสองยาม ก็ออกมานั่งเก้าอี้ที่ระเบียง ต้องลมเย็นก็เลยเผลอหลับไป  แล้วฝันว่าเทพารักษ์ประจำต้นสาลี่ มาชี้หน้าด่าโจโฉว่ามืงจะทำที่อยู่แข่งกับฮ่องเต้หรือ กูว่าบุญมืงสิ้นแล้ว กูจะฆ่ามืงเสียให้ตาย

    โจโฉก็ตกใจตื่นร้องเรียกหาทหารองครักษ์ให้มาช่วย และต้องแต่นั้นก็ปวดศรีษะเป็นกำลัง หาหมอยาหมอนวดมารักษาจนสิ้นความรู้โรคนั้นก็ไม่หาย มีผู้ไปตามหมอฮัวโต๋ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังว่าใครเป็นอะไรก็รักษาได้หมด ให้มาดูโจโฉ หมอก็บอกว่า โรคนี้เป็นอยู่ข้างในศรีษะ จะใช้ยากินไม่ได้ต้องผ่ากระโหลกศรีษะออก

    โจโฉก็ถามว่าผ่าอย่างไร หมอก็บอกว่าจะให้กินยามึนเมาไม่รู้สึกตัว แล้วเอาขวานผ่าศรีษะออก ชำระโรคข้างในให้หมด แล้วก็ประกับให้เหมือนเก่า ไม่ช้าก็จะหาย

    โจโฉก็ว่าอ้ายหมอนี่คงจะคิดทำร้ายตน แบบเดียวกับหมอเกียดเป๋ง จึงให้เอาไปใส่คุกไว้ แล้วก็ลืมจนหมอตายอยู่ในคุกนั้นเอง

    ส่วนโรคของโจโฉก็กำเริบกล้าขึ้น บางวันก็ฝันถึง ม้าเท้งและลูกชายทั้งสองคน บางวันก็ฝันถึงนางฮกเฮากับพระราชบุตรอีกสององค์  บางวันก็ฝันถึงนางตังกุบหุยกับบุตรในท้อง และตังสินกับฮกอ้วนตลอดจนพรรคพวกหลายร้อยคน ที่ตนสั่งให้ฆ่าเสียเมื่อก่อนนั้น ร้องไห้กันเซ็งแซ่ไปหมด จนไม่สามารถจะนอนหลับตาลงได้

    เมื่อขุนนางคนสนิทแนะให้ทำเซ่นวักพลีกรรมเสีย ปีศาจที่สิงสู่อยู่จะได้หนีออกไป โจโฉก็ปลงว่า

    “ โบราณว่าไว้ว่า กรรมมาถึงตัวแล้ว จะทำประการใดก็หาพ้นไม่ “

    แล้วก็ให้หาขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าฝากฝังบ้านเมืองและบุตรที่เหลือทั้งสี่คน โดยให้         โจผีบุตรคนโตสืบทายาทต่อไป แล้วเรียกภรรยาทั้งปวง ซึ่งคงจะมีอยู่มิใช่น้อยมาสั่งความว่า

    “ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกสอนในการเย็บการปัก จึงจะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง ท่านจงพากันไปอยู่ปราสาทตั้งเซ็กไต๋ เมื่อท่านจะเซ่นเรานั้น ให้มีมโหรีปี่พาทย์ จงทุกวัน “

    สุดท้ายก็สั่งขุนนางให้ก่อกุฏิฝังศพของตนที่สนามนอกเมือง ให้มีช่องเจ็ดสิบสองช่อง อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าเอาศพของตนไว้ช่องไหน เพราะรู้ตัวว่ามีคนเกลียดชังอยู่เป็นอันมาก เดี๋ยวมันจะขุดศพออกมาทำประจานเสีย

    สั่งเสร็จก็ทอดใจใหญ่น้ำตาไหลลงโซมหน้า แล้วลมสว้านก็ขึ้นขาดใจตายไปด้วยอาการไม่ค่อยสงบนัก

    เมื่อโจโฉตายนั้นเป็นเดือนสาม พ.ศ.๗๖๓ อายุได้หกสิบหกปี  เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ประมาณ สามสิบปี

    ชีวิตของ โจโฉ มหาอุปราชผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในนิยายเรื่องสามก๊ก ก็ถึงกาลอวสานลงแต่เพียงเท่านี้  

    ส่วนที่จะมีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์ประการใดนั้น ก็เชิญได้ตามสบาย เพราะเวลาได้ล่วงเลยมากว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีแล้ว แกไม่สามารถจะลุกขึ้นมาทำอะไรใครได้อีกแล้ว.

    #############

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 12 มิ.ย. 49 06:41:42 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com