ความคิดเห็นที่ 30
(ต่อ)
ในเวลากำลังประชุมพลอยู่ ณ ทุ่งลุมพลีนั้น ได้ข่าวลงมาว่ามีพวกกองอาสาเมืองเชียงใหม่ยกลงมาเที่ยวไล่ขับจับคนถึงบ้านป่าโมกอีกทาง ๑ สมเด็จพระนเรศวรก็รีบให้จักกระบวนเรือเร็วเสด็จไปด้วยกันกับพระเอกาทศรถ และข้าราชการที่รักษาพระองค์อยู่ในเวลานั้น
เสด็จไปถึงตำบลป่าโมกน้อยพบกองทัพสะเรนันทสู ซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่ให้คุมพล ๕,๐๐๐ คนยกลงมาเที่ยวจับราษฎรในแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ก็ตรัสสั่งให้เทียบเรือเข้าข้างฝั่ง สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จขึ้นบกคุมพลเข้าโจมตีข้าศึกด้วยพระองค์เอง รบพุ่งกันเป็นสามารถ ครั้นนี้สมเด็จพระนเรศวรทรงยิงพระแสงปืนถูกนายทัพเชียงใหม่ตายคน ๑ ข้าศึกต้านทานไม่ได้ก็แตกหนีกลับขึ้นไปข้างเหนือ
พวกพลอาสาพากันไล่ตามขึ้นไป จนปะทะกองทัพพระยาเชียงแสน ซึ่งเป็นนายทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ กำลังยกตามลงมาก็รบพุ่งกัน พวกกองอาสาน้อยก็ต้องล่าถอย พวกเชียงใหม่ก็ไล่ติดตามลงมา
สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าข้าศึกไล่ประชิดกองอาสาลงมา เกรงจะกลับลงเรือไม่ทัน จึงให้เลื่อนเรือพระที่นั่งกับเรือที่มีทหารประจำอยู่ในขบวนเสด็จ ขึ้นไปลอยลำอยู่ข้างเหนือปากคลองป่าโมกน้อย
พอข้าศึกไล่กองอาสามาถึงที่นั่น ก็ให้เอาปืนใหญ่น้อยระดมยิงข้าศึกขึ้นไปจากเรือ ฝ่ายข้าศึกเห็นทัพเรือไทยขึ้นไปช่วยกัน ก็ละพวกอาสาหันมารบพุ่งกับทัพเรือ ข้าศึกตั้งรายบนตลิ่งยิงปืนโต้ตอบกันกับทัพเรือ
สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ต่างทรงพระแสงปืนนกสับยิงข้าศึกไปแต่เรือพระที่นั่งด้วยกันกับพลทหารทั้งปวง และครั้งนั้นรบกันใกล้ๆผู้คนถูกปืนเจ็บป่วยล้มตายลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถหาต้องอาวุธข้าศึกไม่ รบกันอยู่จนกองทัพบกซึ่งยกมาจากทุ่งลุมพลีตามขึ้นไปถึงก็เข้าช่วยรบพุ่ง กองทัพพระยาเชียงแสนต้านทานไม่ไหวก็ถอยหนีกลับไปข้างเหนือ สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงรวบรวมกองทัพทั้งปวงให้ตั้งอยู่ที่ตำบลป่าโมกนั้น
ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่ตั้งอยู่ที่บ้านสระเกศ ทราบว่าสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไปตีกองสะเรนันสูแตก และรบพุ่งจนกองทัพพระยาเชียงแสนต้องถอยหนีไป คาดว่าสมเด็จพระนเรศวรคงจะยกตามขึ้นไป ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นพร้อมกันว่า ควรจะยกกำลังกองทัพใหญ่ชิงลงมาตีกองทัพสมเด็จพระนเรศวรเสียก่อน อย่าให้ทันรวมกำลังยกต่อขึ้นไป
พระเจ้าเชียงใหม่จึงจัดกองทัพใหม่ ให้พระยาเชียงแสนกับสะเรนันทสูทำการแก้ตัวเป็นทัพหน้าคุมพล ๑๕,๐๐๐ คน กองทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่มีจำนวนพล ๖๐,๐๐๐ กำหนดฤกษ์จะยกลงมาในเดือน ๕ แรม ๒ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๒๑๒๘
ขณะเมื่อพระเจ้าเชียงใหม่เตรียมทัพจะยกลงมานั้น กองทัพสมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ที่ตำบลป่าโมก ทรงพระดำริว่ากองทัพพระยาเชียงแสนเป็นแต่ถอยหนีไป มิได้แตกยับเยินน่าจะไปหากำลังเพิ่มเติมยกลงมาอีก แต่เหตุไฉนจึงหายไปหลายวันไม่ยกลงมา ดีร้ายพระเจ้าเชียงใหม่จะคิดเป็นอุบายศึกสักอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงดำรัสสั่งให้พระราชมนูนายทหารเอกคุมกองทัพมีจำนวน ๑๐,๐๐๐ คน ยกขึ้นไปตรวจตระเวนดูทีข้าศึกว่าจะทำอย่างไร แล้วสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็เสด็จยกทัพหลวงเป็นกระบวนทัพบกมีจำนวน ๓๐,๐๐๐ คนตามขึ้นไป(๑)
กองทัพพระราชมนูยกขึ้นไปถึงบางแก้ว ปะทะทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ที่ยกลงมา ก็รบพุ่งกัน ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปถึงบ้านแห ได้ยินเสียงปืนใหญ่น้อยหนาขึ้นทุกทีก็ทรงทราบว่าพระราชมนูขึ้นไปพบกองทัพเชียงใหม่ ซึ่งหมายจะลงมาตีกองทัพไทย จึงทรงพระดำริเป็นกลอุบายกระบวรรบ ให้หยุดกองทัพหลวงมิให้ตามขึ้นไปช่วยพระราชมนู แล้วแปรกระบวนทัพหลวงไปซุ่มอยู่ที่ป่าจิกป่ากระทุ่มข้างฝั่งตะวันตก แล้วให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ล่าถอยลงมา
ฝ่ายพระราชมนูซึ่งเป็นนายทหารเอกคน ๑ ของสมเด็จพระนเรศวร ชะรอยจะเห็นว่ากำลังรี้พลไล่เลี่ยกับกองทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ที่รบพุ่งกันอยู่ พอจะต่อสู้รอกองทัพหลวงให้ขึ้นไปถึงได้ก็ไม่ยอมถอยลงมา
สมเด็จพระนเรศวรดำรัสสั่งให้จมื่นทิพรักษาเป็นข้าหลวงขึ้นไปเร่งให้ถอยอีก พระราชมนูก็สั่งให้มากราบทูลอีกว่า รบพุ่งข้าศึกติดพันกันอยู่แล้ว ถ้าถอยเกรงลี้พลจะเลยแตกพ่ายเอาไว้ไม่อยู่ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังก็ทรงพระพิโรธ ตรัสสั่งให้จมื่นทิพรักษาคุมทหารม้าเร็วรีบกลับไปสั่งพระราชมนูให้ถอย ถ้าไม่ถอยก็ให้ตัดเอาศีรษะพระราชมนูมาถวาย
พระราชมนูทราบกระแสรับสั่งก็ตกใจ ให้โบกธงบอกสัญญาให้ถอยทัพ นายทัพนายกองทั้งปวงเห็นธงสัญญาต่างก็พากันล่าถอย ขณะนั้นพอกองทัพหลวงพระเจ้าเชียงใหม่ยกหนุนลงมาถึง พวกเชียงใหม่สำคัญว่ากองทัพไทยแตกก็ดีใจ พากันโห่ร้องรุกไล่ลงมา เห็นไทยเอาแต่หนีก็ยิ่งชิงกันไล่ ด้วยอยากได้ช้างม้าข้าเชลยเป็นอาณาประโยชน์ ติดตามมิได้เป็นกระบวนศึกลงมาจนถึงที่สมเด็จพระนเรศวรซุ่มกองทัพหลวงอยู่
ทอดพระเนตรเห็นข้าศึกเสียกลสมพระประสงค์ ก็ให้ยิงปืนโบกธงสัญญายกกองทัพ(ออกตี)ข้าศึก ฝ่ายพระราชมนูเห็นกองทัพหลวงตีโอบดังนั้น รู้ทีอุบายก็ให้โบกธงสัญญาสั่งกองทัพให้กลับรวมกันตีกระหนาบเข้าไปอีกด้านหนึ่ง รบพุ่งกันถึงตะลุมบอน กองทัพเชียงใหม่เสียทีก็แตกพ่ายทั้งทัพหน้าทัพหลวง
สมเด็จพระนเรศวรได้ทีก็เร่งกองทัพให้ติดตามข้าศึกจนแตกฉานยับเยินคุมกันไม่ติด ที่ถูกฆ่าฟันเสียก็มาก ตัวนายตายในที่รบครั้งนั้น ท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่ ๕ คน คือพระยาลอ ๑ พระยากาว ๑ พระยานคร ๑ พระยาเชียงราย ๑ พระยางิบ ๑ พระยามอญที่มากำกับกองทัพคือ สมิงโยคราชกับสะเรนันทสูเจ้าเมืองเตรินก็ตายในที่รบด้วย และกองทัพไทยได้ช้างใหญ่ ๒๐ ช้าง ม้า ๑๐๐ เศษ กับเครื่องศัสตราวุธอีกเป็นอันมาก(๒)
สมเด็จพระนเรศวรทรงพระดำริว่า ข้าศึกเสียทัพกำลังตื่นเป็นโอกาสที่จะทำซ้าเติมอย่างให้ตั้งตัวได้ จึงเสด็จยกกองทัพหลวงติดตามข้าศึกขึ้นไปในวันนั้น จนเวลาพลบค่ำเห็นว่ารี้พลเหน็ดเหนื่อยก็ประทับแรมอยู่ที่บ้านชะไวหน่อยหนึ่ง แล้วเรียกกองทัพยกต่อไปในเวลาดึก กำหนดให้ถึงบ้านสระเกศเข้าตีค่ายพระเจ้าเชียงใหม่แต่พอเช้าตรู่ให้พร้อมกัน
ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่หนีกลับขึ้นไปถึงบ้านสระเกศ ทราบว่ากองทัพไทยยกติดตามขึ้นไปก็ไม่อาจยับยั้ง เลยหนีต่อไปในเวลากลางคืน กองทัพไทยยกติดตามขึ้นไปถึงบ้านสระเกศเมื่อเดือน ๕ แรม ๔ ค่ำเวลาเช้า เห็นพวกข้าศึกกำลังเก็บข้างของเตรียมจะหนีอยู่อลม่านไม่มีผู้ใดต่อสู้ ก็เข้าค่ายข้าศึกได้โดยง่าย จับได้พระยาเชียงแสนนายทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ กับรี้พลนายไพร่เป็นเชลยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน ได้ทั้งช้าง ๑๒๐ เชือก ม้ากว่า ๑๐๐ ตัว เรือรบและเรือลำเลียงเสบียงอาหารก็ได้กว่า ๔๐๐ ลำ นอกจากนั้นยังได้เครื่องศัสตราวุธยุทธภัณฑ์เป็นอันมาก แม้จนเครื่องราชูปโภคของพระเจ้าเชียงใหม่ก็ได้ไว้หลายสิ่ง
เมื่อได้ค่ายที่บ้านสระเกศแล้ว สมเด็จพระนเรศวรเสด็จตามข้าศึกขึ้นไปจนถึงเมืองนครสวรรค์ สืบได้ความว่าพระเจ้าเชียงใหม่หนีไปยังกองทัพพระมหาอุปราชาในเมืองกำแพงเพชรแล้ว จะติดตามต่อไปเห็นไม่ได้ที จึงตรัสสั่งให้ตั้งกองสอดแนมไว้ที่เมืองนครสวรรค์ แล้วเสด็จยกกองทัพกลับลงมา
ครั้งนั้นสมเด็จพระมหารรมราชาฯทรงพระวิตก เกรงว่าพระมหาอุปราชาจะยกกองทัพหนุนพระเจ้าเชียงใหม่ลงมาอีก จึงให้จัดกองทัพหลวงเสด็จไปเอง ออกจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อเดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ ยกหนุนกองทัพสมเด็จพระนเรศวรขึ้นไปถึงปากน้ำบางพุทรา
สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จกลับลงมใ กราบทูลการที่ได้รบพุ่งมีชัยชนะข้าศึก และทูลพระดำริว่ากองทัพเมืองเชียงใหม่เป็นทัพใหญ่ของข้าศึก ก็แตกยับเยินไปแล้ว กองทัพพระมหาอุปราชาเป็นแต่มาตั้งคุมคนให้ทำนา เวลาก็ใกล้ฤดูฝนแล้ว ข้าศึกเห็นจะไม่ยกมารบพุ่งจนถึงฤดูแล้งปีหน้า สมเด็จพระมหาธรรมราชาฯก็ให้เลิกกองทัพทั้งปวงกลับคืนมาพระนคร
สมเด็จพระนเรศวรมีชัยชนะครั้งนี้ เป็นการสำคัญแก่เมืองไทยมาก โดยเฉพาะเหมาะแก่เวลานั้นเอง ด้วยไทยถูกเมืองหงสาวดีทำเอายับเยินจนใจคนครั่นคร้ามมาช้านาน แม้อยากกลับเป็นอิสระอยู่ด้วยกันหมด ก็ไม่มีใครรู้จะทำอย่างไรให้สมประสงค์
สมเด็จพระนเรศวรกล้าเริ่มพยายามก่อน ชั้นแรกก็ได้แต่คนชั้นหนุ่มซึ่งทรงฝึกหัดอบรมร่วมใจยอมเสี่ยงภัยตามเสด็จ แต่คนทั้งหลายโดยมากยังไม่แลเห็นว่าจะสำเร็จได้ แม้ที่เห็นว่าหาภัยให้บ้านเมืองเปล่าๆก็คงมี ข้อนี้พึงสังเกตเห็นได้เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพ พระยาสวรรคโลกกับพระยาพิชัยถึงบังอาจเป็นกบฏด้วยยังเชื่ออำนาจเมืองหงสาวดี ไทยที่ครั่นคร้ามข้าศึกเห็นจะมีอยู่โดยมาก
ที่สมเด็จพระนเรศวรรบชนะครั้งนั้น เหมือนพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า ไทยก็อาจจะรบพุ่งเอาชนะพวกหงสาวดีได้เหมือนกัน ก็หายครั่นคร้ามแต่นั้นมา ที่ว่าชนะเหมาะแก่เวลานั้น ด้วยศึกครั้งรบเจ้าเมืองพสิมกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ เป็นแต่ศึกนำศึกใหญ่ซึ่.จะมีในปีหน้า สมเด็จพระนเรศวรได้น้ำใจรี้พลทั้งที่สิ้นครั่นคร้าม และที่วางใจในพระสติปัญญากล้าหาญเพิ่มพระกำลังขึ้น จึงสามมารถต่อสู่ข้าศึกใหญ่หลวงดังจะพรรณนาต่อไป
....................................................................................................................................................
(๑) สังเกตดูจะเห็นว่า กำลังพลเสียเปรียบถึง ๒ เท่าตัว
(๒) คิดดูถ้าพระราชมนูไม่ถอยตั้งรับรอทัพหลวงตามยุทธวิธีเดิม ทัพหลวงสมเด็จพระนเรศวร(๓๐,๐๐๐ คน)ตามขึ้นไปทันก็อาจจะตีทัพหน้าเมืองเชียงใหม่แตกได้ แล้วตามตีกระทบเข้าไปยังทัพหลวงเชียงใหม่ซึ่งมีพลจำนวน ๖๐,๐๐๐ และยังเป็นกระบวนทัพตามพิชัยพยุหยาตราอยู่ กองทัพไทยเห็นที่จะเพลี่ยงพล้ำ หรือถ้าทหารสมเด็จพระนเรศวรมีฝีมืออาจสู้ข้าศึกสองคนได้มีชัยก็คงจะเสียกำลังไปเยอะ จึงรับสั่งให้เปลี่ยนกลยุทธฉับพลันจนนายทัพนายกอง(ซึ่งคงชำนาญพิชัยยุทธตำรา)ก็คาดไม่ถึง สามารถตีกองทัพเชียงใหม่จำนวนพลถึง ๗๕,๐๐๐ แตกพ่ายยับเยินได้โดยพระปรีชาญาณเฉพาะพระองค์
ที่รับสั่งให้ไปเร่งพระราชมนูให้ถอยทัพลงมาถึง ๓ ครั้ง โดยไม่ตรัสบอกกลศึกให้นายทหารเอกได้ทราบพระดำริ อาจจะเป็นเพราะจะทรงลวงทัพพระเจ้าเชียงใหม่ให้แนบเนียนก็ได้
จากคุณ :
กัมม์
- [
15 มิ.ย. 49 15:35:50
]
|
|
|