ความคิดเห็นที่ 1 ก็เป็น สยามบรมราชกุมารี มาตั้งนานเเล้วนี่ครับ จากคุณ : Visby - [ 13 มิ.ย. 49 12:13:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่แน่ใจแฮะแต่เคยได้ยินมาเหมือนกัน จากคุณ : Alovera - [ 13 มิ.ย. 49 12:28:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เคยเปลี่ยนนะครับ  พระนามเดิมพระองค์ท่านคือ "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิตติวัฒนาดุลย์โสภาค" (พอดีไม่ได้เปิดหนังสือใช้ความทรงจำ ไม่ทราบจะผิดหรือไม่ ถ้าผิดวานผู้รู้ช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ) ภายหลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นที่ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" แต่จะเอ่ยพระนามโดยย่อว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขอเพิ่มนิดหนึ่งว่า ประเทศไทยไม่เคยมี "สยามมกุฎราชกุมารี" เลยนะครับ เท่าที่จำได้ แต่ในประกาศสถาปนาพระอิสริยยศรู้สึกว่าจะมีการกล่าวถึงพระคุณูปการ และถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าจะยกพระสถานะสมเด็จพระเทพรัตนฯ ขึ้น "เสมอด้วย" พระรัชทายาทอีกพระองค์หนึ่ง (ผมยังหาประกาศสถาปนาพระอิสริยยศสมเด็จพระเทพรัตนฯ ไม่พบ ถ้าท่านผู้ใดมี จะได้นำมาลงไว้ก็จะเป็นพระคุณหาน้อยไม่ครับ) หากแต่ด้วยตำแหน่ง"สยามบรมราชกุมารี" ไม่มีคำแปลที่เหมาะสมในภาษาอังกฤษก็เลยใช้เพียง HRH Princess Sirindhorn ซึ่งเป็นตำแหน่งเจ้าฟ้าของอังกฤษเท่านั้น มิได้ใช้ว่า (Crown Princess) แต่ประการใด และถึงแม้ว่าตามกฎมณเฑียรบาลจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้านายฝ่ายในขึ้นทรงราชย์ หากแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ) ได้ให้การรับรองไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคสองว่า "ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๒ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนาม "พระราชธิดา" ก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป...." ซึ่งการจะเสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ได้ก็ต่อเมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วเท่านั้น หากว่าได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ก็ต้องอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์ แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 49 12:57:36 จากคุณ : วศินสุข - [ 13 มิ.ย. 49 12:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ พระนามเดิมตั้งแต่พระราชสมภพ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ภายหลัง จากการที่พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถและกรณียกิจอันดีงาม จึงทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๐ ผมคิดว่า น่าจะเกิดการจำไขว้กันกับของสมเด็จพระบรมฯมากกว่าครับ เพราะพระนามของสมเด็จพระเทพฯ เป็นพระนามนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ เป็นต้นมาแล้วครับ จากคุณ : . (เด็กท้ายวัง) - [ 13 มิ.ย. 49 13:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หมายความว่าท่านเป็นผู้ที่สามารถสืบราชสันตติวงศ์ได้ใช่ไหม จากคุณ : sisi - [ 13 มิ.ย. 49 13:23:56 A:58.9.94.224 X: TicketID:113058 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณ คุณ วศินสุข  กับ คุณ เด็กท้ายวัง  มากครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 13 มิ.ย. 49 13:49:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณท่านผู้รู้ทุกท่านมากค่ะ จากคุณ : ฮัตเซปซัต - [ 13 มิ.ย. 49 13:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบคุณ sisi ขณะนี้ยังถือว่า "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร" ทรงเป็นพระรัชทายาทอันดับ ๑ โดยสมบูรณ์ ส่วนสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ จะทรง "เสมอด้วย" พระรัชทายาทหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน ต้องเห็นประกาศถสถาปนาพระอิสริยยศก่อนนะครับจึงจะกล้ายืนยัน ใครอย่าเพิ่งจำไปผิด ๆ เรื่องเจ้าเรื่องนายระวังไว้ดีกว่าครับ จากคุณ : วศินสุข - [ 13 มิ.ย. 49 14:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แวะมาเล่าว่า แวดวงฝรั่งที่ผมรู้จักคุยด้วยหลายคน เวลาเอ่ยถึงสมเด็จพระเทพฯ ก็เรียกกันว่า The Crown Princess ครับ แต่ไม่ทราบว่าถูกต้องตามหลักหรือไม่อย่างไรครับ เล่าสู่กันฟังเฉยๆ จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 13 มิ.ย. 49 14:19:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สังเกตเอาเองค่ะว่า หากเป็น Crown Princess เมื่อเสวยราชย์แล้วก็จะเป็น Queen น่าจะเป็นได้สองกรณีคือเป็นพระราชธิดาองค์แรก อย่าง Crown Princess of Sweden ในอนาคตก็จะขึ้นครองราชย์เป็น Queen of Sweden และกรณีที่สองคือเป็นคู่สมรสของเจ้าชายรัชทายาท ที่เห็นจากการเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในครั้งนี้ของเจ้านายยุโรป จะเห็นว่ามี Crown Prince and Crown Princess of Belgium เป็นต้น เข้าใจเองนะคะ ผิดถูกอย่างไรรบกวนผู้รู้ช่วยแถลงด้วยค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 13 มิ.ย. 49 14:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พระนามาภิไธย ภาษาอังกฤษ อย่างนี้มิใช่หรือครับ HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn ซึ่งเหนือกว่า เจ้าฟ้าทั่วไป คือทรงเป็นเจ้าฟ้ามหาจักรี สิรินธร จากคุณ : จำปูน (อ่างหยก) - [ 13 มิ.ย. 49 15:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ก็เห็นได้ยินมาแต่ใหนแต่ไรว่า สยามบรมราชกุมารี เน้อ  ไม่เห็นเคยได้ยินแบบ จขกท เลย จากคุณ : ซอร์บอนน์ - [ 13 มิ.ย. 49 15:59:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร "...โดยที่มีราชนีติอันมีมาในแผ่นดิน เมื่อสมเด็จพระบรมราชโอรส ซึ่งจะทรงรับรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ทรงพระเจริญวัยสมควรแล้ว ย่อมโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสสริยยศตั้งแต่งไว้ในตำแหน่งสมเด็จพระยุพราชมกุฎราชกุมาร ... สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์นั้นเล่า ก็ทรงพระเจริญพระชนมายุบรรลุนิติภาวะ ... ถึงสมัยที่จะสถาปนาเป็น+++องค์รัชทายาท+++ ควรจะทรงอนุวัตรให้เป็นไปตามธรรมเนียมและขัตติยราชประเพณี..." พระอิสสริยยศ และพระราชฐานะแห่งสยามมกุฎราชกุมาร จากประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร "... แล้วจึงมีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มีพระนามตามจาฤกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ สยามมกุฎราชกุมาร มุกสิกนาม ตามตำแหน่งสมเด็จยศสมเด็จพระหน่อพุทธเจ้า ซึ่งมีมาในพระราชกำหนดกฎมณเฑียรบาล ซึ่งตั้งไว้ในจุลศักราช 722 และให้ทรงศักดินา 100,000 เสมอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ อันได้เฉลิมพระราชมณเฑียรเป็นพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า..." ประกาศสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "...สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์นั้น ... บัดนี้ทรงพระเจริญวัย สมบูรณ์ด้วยพระเกียรติคุณดังกล่าวมาแล้ว สมควรได้รับพระราชทานสถาปนาพระอิสสริยยศและพระอิสสริยศักดิให้สูงขึ้น ให้ทรงรับพระราชบัญชา และสัปตปฎลเศวตรฉัตร +++เพื่อเป็นพระเกียรติประวัติสืบไปตามโบราณขัตติยราชประเพณี+++..." แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 49 18:54:47 จากคุณ : รอยใบลาน - [ 13 มิ.ย. 49 18:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดิชั้นว่า จขกท สับสนกับ พระยศมกุฏราชกุมารีของพระราชอาคันตุกะมากกว่าค่ะ จากคุณ : เมรีลิ้มรสสุราบาน - [ 13 มิ.ย. 49 18:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณรอยใบลาน หมายความว่า พระบรมฯ จะทรงเป็นผู้สืบทอดราชสันตติวงศ์ใช่หรือไม่ หรือมีโอกาสเท่าๆกับสมเด็จพระเทพฯ จากคุณ : sisi - [ 13 มิ.ย. 49 18:19:41 A:58.9.94.224 X: TicketID:113058 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อยากถามว่า ท้ายที่สุดแล้ว จะขึ้นอยู่กับพระราชประสงค์หรือไม่ กรณีที่มีพินัยกรรม (ไม่ได้แช่งนะคะ ถามเชิงวิชาการ เกรงว่าจะมีพวก royalistเข้าใจผิดไปกันใหญ่) จากคุณ : isisis (isisis) - [ 13 มิ.ย. 49 18:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ดิฉันว่าท่านคงต้องดูจากกระแสสังคม หรือความเห็นสาธารณะประกอบด้วย จากคุณ : แม่บราวนี่ - [ 13 มิ.ย. 49 19:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าให้เดาพระราชหฤทัยในหลวง การที่ทรงสถาปนาสมเด็จพระเทพฯ นั้น คงจะมีพระบรมราชประสงค์จะให้ทรงดำรงตำแหน่งเหมือน พระวรราชกุมารี หรือ Princess Royal ตามแบบฉบับราชวงศ์อังกฤษ ที่จะสถาปนาพระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่เป็น Princess Royal เช่นที่เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ทรงดำรงพระอิสริยยศนี้อยู่ หากทูลกระหม่อมหญิงไม่ได้ถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ก็น่าจะทรงได้รับสถาปนาให้ทรงดำรงตำแหน่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าต้องขอพระราชทานอภัยโทษ หากการตอบกระทู้นี้ได้ล่วงละเมิดพระบรมราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ ส่วนการสืบราชสันตติวงศ์ ตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่า เมื่อราชบัลลังก์ว่างลงหากพระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนารัชทายาทไว้ ให้รัฐสภากราบทูลเชิญรัชทายาทขึ้นครองราชย์ หากไม่ได้สถาปนาไว้ คณะองคมนตรีจะต้องพิจารณาเสนอพระนามผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ไปยังรัฐสภา ซึ่งอาจเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ (รัฐธรรมนูญรับประกันว่าสตรีมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์) แต่ในรัชกาลปัจจุบันได้สถาปนาพระรัชทายาทไว้แล้ว ถือเป็นที่ปรากฎว่าองค์รัชทายาทจะต้องได้ครองราชย์แน่นอน เมื่อรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิ์ราชนารีขึ้นครองราชย์แล้ว แสดงว่าสมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ แต่จะเป็นลำดับเท่าไหร่ อันนี้ผมไม่ทราบ ต้องให้ท่านผู้รู้ตอบครับ จากคุณ : กรือเซะ - [ 13 มิ.ย. 49 21:18:54 A:220.237.10.243 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 คห 18 ถูกต้องที่สุดครับ การเฉลิมพระยศสมเด็จพระเทพฯเป็นการเฉลิมพระยศจากคุณูปการที่ท่านมีต่อบ้านเมือง มิใช่เนื่องมาจากรัชทายาทนะครับ พระบรมฯเป็นรัชทายาทเต็มร้อยครับ และจากพระบรมฯลงมาก็เป็นพระองค์ทีฯนะครับ ผมว่าไม่น่าจะผิดนะครับ จากคุณ : Madmankrub - [ 13 มิ.ย. 49 22:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขออนุญาตเรียนก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว พระองค์ทีฯ ไม่น่าจะใช่พระรัชทายาทอันดับ ๒ เพราะเป็นชั้นพระเจ้าหลานเธอ แต่การทรงราชย์น่าจะเป็นชั้นพระเจ้าลูกเธอมากกว่า เท่าที่ดูจากประกาศที่ท่านข้างบนยกมา  ก็ชัดเจนครับว่า สมเด็จพระบรมฯ เป็นพระรัชทายาทเพียงพระองค์เดียว พระองค์อื่นไม่ใช่  และนอกจากนี้ก็มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทอื่นใดอีก จากคุณ : วศินสุข - [ 14 มิ.ย. 49 00:15:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เว็บไซต์วิชาการดอทคอม เคยเรียงลำดับการสืบสันติวงศ์ ตามกฎมณเทียรบาลไว้คือ 1. สมเด็จพระบรม 2. พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ 3. พระองค์หญิงเจ้าพัชรกิติยาภา 4. พระองค์เจ้าหญิงสิริวัณวลี 5. สมเด็จพระเทพฯ 6. เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ 7. บุตรตรีเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ทั้งสองพระองค์ 8. กรมหลวงนราธิวาส 9. เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ นี่เป็นการเรียงลำดับตามกฎหมาย แต่หากกษัตริย์จะเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่หากไม่เปลี่ยนแปลง ตามกฎหมายเป็นแบบนี้ ส่วนพระอิสริยยศของสมเด็จพระเทพ "คือยศ" ไม่ใช่ "สิทธิในการสืบราชสมบัติ" ซึ่งเทียบเท่ากับ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ทรงกรม ชั้น "กรมสมเด็จพระ" หากเป็นสมัยโบราณ ก็ศักดินา 40000 ไร่ เป็น "ยศสูงสุดที่รองจาก สมเด็จพระมหาอุปราช สิทธิในการสืบราชสมบัติ กับ พระอิสริยยศ เป็นคนละเรื่องกัน แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 49 20:58:22 แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 49 20:52:32 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 14 มิ.ย. 49 00:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห. พระองค์ที ถูกต้องแล้ว แต่เนื่องจาก สมเด็จพระบรมยังไม่ได้ครองราชย์ จึงเป็นเพียงพระเจ้าหลานเธอ หากพระบรมขึ้นครองราชย์ พระองค์ที ก็เป็นเจ้าฟ้า ชั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 14 มิ.ย. 49 00:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เกร้ดเล็กน้อยครับ ในประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมี ท่อนหนึ่งที่ว่า " ให้ทรงรับพระราชบัญชา และสัปตปฎลเศวตรฉัตร " หมายถึงว่า คำสั่งในสมเด็จ พระเทพฯ จะเป็นพระบัญชา มีศักดิ์ รองจาก พระบัณฑูรซึ่งเป็น คำสั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เท่านั้นครับ และทรง ใน ฉัตรเจ็ดชั้น ประกอบพระอิสริยยศ เสมอด้วย สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช คือ ได้เป็น พระบรมวงศืชั้นผู้ใหญ่ ครับ จากคุณ : หนุ่มชาวบ้าน - [ 14 มิ.ย. 49 00:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 24 7. บุตรตรีเจ้าฟ้าหญิงสิรินทรทั้งสองพระองค์ ตรงนี้ หมายความว่าอะไรคะ จากคุณ : มายุมิ - [ 14 มิ.ย. 49 06:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 25 พิมพ์ผิด ข้อเจ็ด จะพิมพ์ว่า เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ใช่ไหมคะ ถ้างั้นเข้าใจแล้วค่ะ จากคุณ : มายุมิ - [ 14 มิ.ย. 49 07:37:09 ]

ความคิดเห็นที่ 26 การเรียกขานพระนามที่ถูกต้อง จากคุณ : kunsukont2495 - [ 14 มิ.ย. 49 09:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณประชาชนไทยคะ พระองค์เจ้า ศรีรัช กับพระองค์เจ้าสิริวรรณวลีจะมีสิทธิที่จะสืบสันตติวงค์ก่อนพระเทพได้ยังไงในเมื่อพระเทพท่านทรงเป็นลูก ส่วนองค์ศรีรัช และองค์ศิริวรรณวลีเป็นลูกสะใภ้และเป็นหลาน (ขออภัยหากใช้คำสามัญชน) ยังงงอยู่ จากคุณ : Tommy's Galz - [ 14 มิ.ย. 49 11:32:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความเห็นที่ยี่สิบเอ็ด คุณประชาชนไทย มั่วมากค่ะ คุณเป็นประชาชนไทยจริง ๆหรือเปล่าคะ หรือเป็นเขมรปลอมตัวมา ร้องเพลงชาติไทยได้หรือเปล่าคะ ดิฉันไม่ได้กล่าวเกินไปหรอกค่ะ แบบว่าอ่านแล้วทนไม่ได้ค่ะ ลองดูกันนะคะ ข้อสาม พระองค์เจ้าหญิงพัชร์ คือใครค่ะ พระองค์ภาฯหรือคะ ข้อห้ากะข้อหก สมเด็จพระเทพกะเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นองค์เดียวกันค่ะ ข้อเจ็ด ระวังหัวจะขาดนะคะคุณ สมเด็จพระเทพท่านมีพระธิดากันแต่เมื่อไหร่กันละค่ะ เวปวิชาการดอท คอม เขาไม่มีเขียนไว้อย่างนี้หรอกค่ะ ดิฉันเข้าอ่านทุกวัน ไม่เจอเหมือนที่คุณ(ปลอมตัวมาเป็น)ประชาชนไทยว่าไว้เลย เฮ้อ กลุ้มใจจริงจริ๊งงง จากคุณ : เมียกำนัน - [ 14 มิ.ย. 49 11:53:42 A:61.228.84.77 X:211.75.91.3 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยเลย มั่วมากๆ ถ้าเอามาจากวิชาการจริงๆ ช่วยส่งลิ้งค์มาหน่อย จะได้ไปตำหนิให้ถึงที่เลย แย่จริงๆ จากคุณ : ลำดวน - [ 14 มิ.ย. 49 12:38:18 A:10.226.16.114 X:203.185.131.3 TicketID:080171 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าตามกฎมณเฑียรบาล ผมไม่ทราบว่าพระองค์หญิงสิริวัณฯ ทรงมีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์หรือเปล่า เพราะพระสถานะของพระองค์เหมือนกรณีของพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ที่หม่อมมารดาท่านเป็นคนสามัญ รัชกาลที่ 6 ท่านทรงร่างกฎนี้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้เป็น "อุภโตสุชาติ" หรือผู้มีเลือดเจ้าทั้งพระบิดา พระมารดา เป็นกษัตริย์ เพราะเกรงจะเป็นที่รังเกียจของพระบรมวงศานุวงศ์ ผมไม่ทราบว่ากฎมณเฑียรบาลข้อนี้ได้มีการแก้ไขหรือยัง ผมไม่มีข้อมูลในมือครับ ต้องให้ผู้รู้ช่วยตอบ ส่วนกรณีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 นี้สมเด็จพระบรมราชชนก ได้ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีนครินทรฯ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต และทรงยกย่องให้เป็นหม่อมคนเดียวของท่าน จึงถือว่ารัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 มีพระคุณสมบัติที่จะครองราชย์ได้น่ะครับ แต่อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าการที่จะทรงสมมติผู้ใดเป็นองค์รัชทายาท ทั้งนี้เป็นพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ของพระมหากษัตริย์ครับ จะทรงสถาปนาพระราชโอรสองค์ใหญ่ องค์รอง หรือองค์เล็กเป็นรัชทายาทก็ได้ (ในกรณีที่มีหลายองค์) แต่โดยธรรมเนียมน่าจะสถาปนาพระราชโอรสองค์โตก่อน นอกจากนี้ผมคิดว่าได้มีกฎหมายกำหนดว่าราชนารีที่จะสืบราชสันตติวงศ์ได้ จะต้องเป็นพระราชธิดาเท่านั้น เพราะฉะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงฯ ไม่ทรงมีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์นะครับ ขอผู้รู้ดีกว่าโปรดช่วยชี้แนะ จากคุณ : กรือเซะ - [ 14 มิ.ย. 49 14:04:17 A:129.94.6.29 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 พระองค์เจ้าสิริวัณณวรียังมีสิทธิสืบราชสมบัติอยุ่ครับ ตราบใดที่พระมหากษัตริย์มิได้มีคำสั่งให้ละเว้นหรือข้าม ในกรณีพระองคเจ้าวรานนทื ร.๖ท่านทรงมีคำสั่งเองครับ จากคุณ : ไกรวิชญาวุธ - [ 14 มิ.ย. 49 14:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ศิลปวัฒนธรรม วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 08 เรื่องจากปก ปรามินทร์ เครือทอง ผลัดแผ่นดิน กรุงรัตนโกสินทร์ "The King is dead long live the King" "พระมหากษัตริย์สวรรคต ขอพระมหากษัตริย์ (พระองค์ใหม่) ทรงพระเจริญ" การกล่าวต่อเนื่องติดต่อกันเช่นนี้ดูเหมือนจะมีนัยยะว่าแผ่นดินย่อมว่างกษัตริย์ไม่ได้ เพราะการเว้นว่างนั้นอาจนำไปสู่ความเสียหายวุ่นวายต่อบ้านเมือง แต่ปัญหา "สุญญากาศ" ของกษัตริย์อาจไม่ได้หมายความเพียงแค่ช่วงเวลาขณะผลัดเปลี่ยนกษัตริย์พระองค์เก่ากับพระองค์ใหม่เท่านั้น ปัญหาของช่องว่างนี้เริ่มตั้งแต่พระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแสดงพระอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นว่ารัชสมัยใกล้จะสิ้นลงแล้ว ก็สามารถเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ขึ้นได้ ช่วงเวลาแห่งการผลัดแผ่นดินนี้เอง จึงเป็น "ความว่าง" ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายที่มีผลต่อราษฎร ขุนนาง เจ้านาย ตลอดจนกระทั่งแผ่นดินทั้งแผ่นดิน เช่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงเวลาของการผลัดแผ่นดินบางคราว ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง การทำสงครามกลางเมือง การลอบสังหาร การฆ่าล้างแค้น แม้กระทั่งการฆ่าล้างครัว ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เกิดการผลัดแผ่นดินทั้งสิ้น ๘ ครั้ง มีบางครั้งที่สงบเรียบร้อย บางครั้งอาจจะขัดแย้ง แต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียเลือดเนื้อ และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เรียกได้ว่า เกิดกบฏชิงราชบัลลังก์เหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้จะมีความเรียบร้อยแต่ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะ "ราบเรียบ" หรือเป็นไปอย่างรอมชอมทั้งหมด ตรงกันข้ามการผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งล้วนแต่มี "เงื่อนไข" ที่พ่วงติดมาด้วยทุกครั้ง เงื่อนไขเหล่านี้เอง ทำให้การผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ใครจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป และใครที่พลาดบัลลังก์อันสูงสุดนี้ ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๑ พ่อสู่ลูก, และกบฏเจ้าฟ้าเหม็น การผลัดแผ่นดินครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ "เกือบ" จะเรียบร้อย เนื่องจากในปลายรัชสมัยนั้นได้มีการเตรียมองค์รัชทายาทไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากที่ "น้องชาย" ซึ่งเป็นวังหน้าสวรรคตลง และในเวลาใกล้เคียงกันก็ทรง "ปราบ" ลูกหลานวังหน้าที่ก่อการแข็งขืนและมีโอกาสที่จะเป็นภัยต่อวังหลวงในภายภาคหน้า หลังจากอุปสรรคจากวังหน้าจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่ "วังหลัง" ยังมีพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าหลานเธอที่มีความสามารถและอำนาจบารมีไม่น้อย ทั้งยังทรงเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกันล้มพระราชวงศ์กรุงธนบุรี และสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น เหตุเรื่องพลังอำนาจของวังหลังนี้ แม้แต่พระเจ้ากรุงเวียดนามมิตรประเทศผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ถึงกับมีพระราชสาสน์เตือนสติให้ทรง "จัดการ" ให้เรียบร้อยก่อนจะสายเกินไป "มีพระราชสาสน์เตือนพระสติเข้ามาด้วยฉบับหนึ่งว่า สมเดจ์พระอะนุชาธิราช ซึ่งเปนกรมพระราชวังบวรสฐานมงคลสวรรคตแล้ว สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระชราลงทุกวัน ยังแต่พระเจ้าลูกเธอพระเจ้าหลานเธอมีกำลังเสมอกันอยู่ การข้างน่ากลัวจะไม่เรียบร้อย ขอไห้ยกสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระองค์ไหญ่ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นดำรงเปนที่กรมพระราชวังบวร จะได้มีกำลังแลพาหนะมากขึ้น บ้านเมืองจึ่งจะเรียบร้อย"๑ ข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็มิได้ทรงยกวังหน้าขึ้นโดยไม่หยั่งเสียงดูก่อน เพื่อความรอบคอบจึงทรง "โยนหินถามทาง" ไปครั้งหนึ่ง "ครั้นจะทรงสถาปนาขึ้นแต่โดยพระราชดำริห์นั้น ก็ไม่ทรงทราบอัธยาศัยข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง เปนการขัดอยู่ จึงมีพระราชโองการดำรัสว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระเจริญแล้ว ไม่ปลงพระหฤทัยในราชการแผ่นดิน มีแต่ทรงฝักไฝ่ในการเล่น ก็ทรงพระพิโรธในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอนั้นเปนอันมาก จึ่งพระบรมวงศานุวงศ์และท่านเสนาบดี มีความโศกสลดสยดสยองเกรงพระเดชานุภาพยิ่งนัก ท่านอัครเสนาบดีปฤกษาตกลงเห็นพร้อมกันแล้ว จึงได้กราบทูลพระกรุณาว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า ไม่มีพระบรมราชวงศ์ผู้ใหญ่พระองค์ใดพระองค์หนึ่งซึ่งจะได้ช่วยจัดการ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขาถาวรวัฒนาสืบไป เห็นแต่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระปรีชาสามารถ อาจทราบในราชกิจทั้งปวง สมควรจะทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไปภายหน้าได้"๒ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ปัญหาเรื่องวังหลังก็จบลงด้วยตัวเองเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขทิวงคต ในปีเดียวกันนี้ จึงได้มีพระราชพิธีอุปราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นเป็น "วังหน้า" หรืออีกนัยหนึ่งคือทรงวางไว้เป็นองค์รัชทายาทอย่างมั่นคงเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปว่า "สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเศกให้เป็นกรมพระราชวังบวรฯ สืบพระญาติพระวงษาต่อไป แผ่นดินจะได้ยืนยาวไปนั้น ยินดีพระไทยหนัก"๓ ครั้นเมื่อถึงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงพระประชวรอยู่ ๓ ปี ครั้นถึงเดือน ๖ ปีมะเส็ง ก็ทรงพระประชวรหนัก แพทย์ประกอบพระโอสถถวายพระโรคก็ไม่ได้เสื่อมลง จนถึงวันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็งเอกศก จุลศักราช ๑๑๗๑ เวลา ๓ ยาม ๗ บาท ก็เสด็จสวรรคต ตรงกับวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ยามเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น พระราชพงศาวดารบันทึกการณ์อัศจรรย์ไว้ดังนี้ "ถึง ณ วันพฤหัศบดี เดือนเก้า แรมสิบสามค่ำ ปีมเสงเอกศก เวลาบ่ายห้าโมง เหนอัศจรรย์ ที่พระเจดีย์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งอยู่ตวันออกแห่งพระมณฑป มีรัศมีสว่างบนยอด ครั้นเวลาสามยามเจดบาท เสดจสวรรคต"๔ เมื่อสิ้นแผ่นดินที่ ๑ ยังไม่ทันได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ก็เกิดเหตุ "กบฏเจ้าฟ้าเหม็น" ขึ้นเสียก่อน เป็นกบฏที่ก่อขึ้นโดยขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นสู่ราชบัลลังก์ การปราบปรามเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดศึกกลางเมือง เป็นผลให้เกิดการ "ล้างครัว" เจ้าฟ้าเหม็น และลงโทษขุนนางผู้ก่อกบฏ เหตุการณ์ยุติได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน การสืบสันตติวงศ์จาก "พ่อสู่ลูก" เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่เรียกพระนามอย่างย่อว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นลำดับ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๒ พ่อสู่ลูก, รัชทายาทตัวจริงออกบวชเว้นวรรคราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ๑๖ ปี แต่ว่าตลอดรัชกาลนี้ ผู้ที่มีบทบาทสูงสุดคือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตที่ประสูติจากพระสนม เนื่องด้วยผู้กำกับดูแลราชการอีก ๒ พระองค์ คือ "วังหน้า" กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ และเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี ว่าที่กรมวังและมหาดไทย สวรรคตและสิ้นพระชนม์ตามกันไป โดยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นแทน งานทั้งหมดรวมทั้งกรมท่าและกรมพระคลังมหาสมบัติที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงกำกับอยู่เดิม จึงตกอยู่กับพระองค์เพียงองค์เดียว เป็นการดูแลงานต่างพระเนตรพระกรรณโดยแท้จริง ดังมีบันทึกเล่ากันว่า "เมื่อแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาไลยนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ท่านได้เปนมหาปธานาธิบดีในราชการกรมท่าและกรมพระตำรวจน่าหลังทั้งสิ้น แลได้เปนผู้รับฎีกาของราษฎรที่มาร้องทุกข์ แลได้เปนแม่กองกำกับลูกขุน ณ ศาลหลวง แลตระลาการทุกศาล ท่านพระองค์นี้เปนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินทั่วทั้งพระราชอาณาจักรสยาม ท่านเปนผู้รับกระแสพระราชดำรัสแลพระราชประสงค์ต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเปนพระบรมชนกนาถทั้งสิ้นฯ"๕ เมื่อถึงปลายแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระประชวร และสวรรคตอย่างปัจจุบัน โดยไม่ได้รับสั่งถึงองค์รัชทายาทไว้ก่อน "ถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสี่ค่ำ ปีวอกฉศก ทรงพระประชวรให้มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชร ข้างที่ ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสั่งไว้ มาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาทเสด็จสู่สวรรคต"๖ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ตรัสสั่งเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับองค์รัชทายาท ซึ่งในความเป็นจริงพระราชดำรัสก่อนสวรรคตของทุกรัชกาลก็ไม่เคยกล่าวเป็นการเจาะจงผู้หนึ่งผู้ใด แต่มักจะตรัสโดยนัยยะ หรือวางตัวไว้ก่อน หรืออาศัยราชประเพณีเป็นที่อาศัย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหากทรงชี้ช่องไปยังผู้หนึ่งผู้ใด ก็มีโอกาสสร้างอันตรายถึงชีวิตให้กับพระราชวงศ์พระองค์นั้นได้ เนื่องจากทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังไม่มีบทบัญญัติชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการสืบสันตติวงศ์ ดังนั้นโอกาสจึงเป็นของทั้งผู้มีสิทธิตามประเพณีและผู้อื่นที่คิดว่าตัวเองก็มีสิทธินั้นด้วยเช่นกัน คราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตโดย "มิได้ตรัสสั่งไว้" หากอาศัยธรรมเนียมแห่งราชประเพณี ราชสมบัติย่อมตกอยู่กับ "เจ้าฟ้ามงกุฎ" พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระมเหสี แต่ขณะนั้นทรงขาดทั้งกำลังและผลงาน และที่สำคัญที่สุดคือขุนนางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเวลานั้นไม่ได้สนับสนุนพระองค์ ผู้ที่มีทั้งกำลัง ผลงาน และผู้สนับสนุน คือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมมารดาเรียม แม้จะขาดความชอบธรรมทางราชประเพณี แต่ก็ได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากผู้ทรงอำนาจทุกฝ่าย ว่ามีความเหมาะสมที่สุดในเวลานั้น จึงอัญเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งพระราชวงศ์จักรี จากการเริ่มต้นประดิษฐานพระราชวงศ์ใหม่นี้ ทำให้ ๓ รัชกาลแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้มี "แม่" เป็นเจ้ามาแต่กำเนิด และ ๕ ใน ๙ รัชกาลของพระราชวงศ์จักรี เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชชนนีมาจากสามัญชน ทางฝ่าย "เจ้าฟ้ามงกุฎ" ก็จำเป็นต้องตัดสินพระทัยที่จะผนวชอยู่ต่อเพื่อไม่ให้เป็นการกีดขวางราชการแผ่นดิน แม้เมื่อภายหลังทรง "กลับมา" ครองราชสมบัติแล้ว ก็เคยรับสั่งถึงเรื่องนี้ว่า หากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระกำลังพอที่จะตรัสมอบแผ่นดินแก่ผู้ใดแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะทรงมอบให้กับพระองค์ การสืบราชสมบัติครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการออกนอก "สายตรง" ไประยะเวลาหนึ่ง จากคุณ : Louvorian - [ 14 มิ.ย. 49 15:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๓ พี่สู่น้อง, กลับสู่สายหลัก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ๒๗ ปี นับเป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รอคอยที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อไป จนเมื่อเวลาอันเป็นที่สุดแห่งรัชกาลมาถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกขนบธรรมเนียมเดิม คือไม่ระบุองค์รัชทายาทตรงๆ แต่กลับทรงเลือกวิธีเก่าคือ โยนหินถามทาง หยั่งเสียง และการบอกโดยนัยยะ แม้กระทั่งมีพระราชดำรัส "ตัด" พระราชวงศ์ที่อยู่ในข่ายสืบราชสมบัติออก เบื้องต้นมีพระราชประสงค์ที่จะ "หยั่งเสียง" โดยมีพระราชโองการออกมาให้พระบรมวงศ์และขุนนางเลือกองค์รัชทายาทกันเอง คล้ายกับจะทรงฟังว่ามีมติออกมาอย่างไร แต่ครั้นทรงทวงถามถึงพระราชโองการนั้นว่ามีผลอย่างไร พระยาศรีสุริยวงศ์ก็กราบทูลเป็นการบ่ายเบี่ยงเสียว่า พระโรคนั้นยังไม่ถึงขั้นตัดรอน "ซึ่งจะยกพระวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งขึ้นก็ยังไม่สมควร"๗ ครั้นเมื่อทรงทราบดังนี้แล้วว่ายังไม่มีการเสนอผู้ใดขึ้นมา ซึ่งย่อมหมายถึงพระราชโอรสที่ทรงต้องการให้เป็นรัชทายาทก็ย่อมไม่อยู่ใน "โผ" นั้นด้วย จึงมีพระราชกระแสรับสั่ง "กัน" พระราชวงศ์ที่เป็น "ตัวเก็ง" ออก คือ กรมขุนเดชอดิศร ท่านว่าพระกรรณเบาเชื่อคนง่าย กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ พระสติปัญญาไม่ถึงขั้น ส่วนเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ก็ไม่พอพระทัยทำราชการ รักแต่เล่นสนุก ส่วนที่มีความเหมาะสมมากกว่าคนอื่นคือเจ้าฟ้ามงกุฎ แต่ก็รังเกียจว่าทรงครองผ้าอย่างมอญ จะเห็นได้ว่า "ข้อหา" สำหรับเจ้าฟ้ามงกุฎนั้น "เบา" และแก้ไขได้ง่ายที่สุด เห็นจะทรงปลงพระทัยแล้วหรืออย่างไร? ส่วนพระราชโอรสที่มีพระราชประสงค์จะให้สืบต่อราชสมบัติคือพระองค์เจ้าอรรณพ ซึ่งครั้งหนึ่งมีพระราชประสงค์จะมอบ "สัญลักษณ์" แห่งการสืบราชบัลลังก์ คือพระประคำทองคำของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ แต่ก็เกิดการ "หยิบผิด" หรือ "สับเปลี่ยน" นำพระประคำองค์ปลอมไปถวาย ว่ากันว่าเป็นลางให้พระองค์เจ้าอรรณพต้องพลาดจากราชบัลลังก์ไป แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าพระประคำทองคำองค์นั้นคือ แรงสนับสนุนจากขุนนางตระกูลบุนนาค ที่ส่งคนไปเตรียมการ "สึกพระ" ตั้งแต่ก่อนพระเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตเสียอีก ทางด้าน "ทูลกระหม่อมพระ" เองก็ทรงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ "เปิดตัว" ไว้ล่วงหน้าเช่นกัน พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอยู่ค่อนข้างจะหนักและทรมาน เสวยข้าวไม่มีรสมาแล้วเป็นปี อาการพระโรคเจ็บหลัง เสียดท้องตามชายโครง เสียดถึงขั้นนอนหงายไม่ได้ พระอาการหนักอยู่จนถึงขั้นต้องออกประกาศหาแพทย์มือดีมารักษา แต่ก็ไม่สามารถจะฉุดรั้งพระอาการประชวรไว้ได้นาน ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ เวลา ๘ นาฬิกา ๕ บาท ก็เสด็จสวรรคต ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ ราชสมบัติสืบต่อไปยังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ ๔ แห่งพระราชวงศ์จักรี และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในพระราชวงศ์นี้ที่มีสร้อยพระนาม "อุภโตสุชาติ" ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินที่มาจาก "เจ้าฟ้า" เท่านั้น อุภโตสุชาติคือการเกิดดี ทั้งพระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นเจ้า พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีที่มีสร้อยพระนามอุภโตสุชาตินั้นมี ๔ พระองค์ คือ รัชกาลที่ ๔, ๕, ๖, ๗ ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๔ พ่อสู่ลูก, กลับสู่สายหลัก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ไม่ทรงตัดสินเป็นเด็ดขาดเรื่ององค์รัชทายาท แต่อย่างไรก็ดีทรงเตรียมการณ์อย่างเปิดเผยสำหรับพระราชโอรสองค์สำคัญคือเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมพร้อมให้พระราชโอรสรับมือกับชาติตะวันตก ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ ทรงพระประชวรด้วยพระโรคไข้ป่า จากการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา และทรงหยั่งรู้ด้วยพระองค์เองว่าไม่อาจจะรอดจากพระโรคนี้ได้เป็นแน่ จึงได้แสดงพระราชประสงค์สุดท้ายผ่านทางขุนนางผู้ใหญ่ โดยมีพระราชดำริเป็นเชิง "หยั่งเสียง" เช่นรัชกาลก่อน คือให้พระราชวงศ์และข้าราชการปรึกษาหารือกันเองในเรื่องนี้ จะเลือกพระเจ้าลูกเธอหรือพระเจ้าหลานเธอพระองค์ใดก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมกับกิจการงานแผ่นดิน ฝ่ายขุนนาง (ตระกูลบุนนาค) ครั้งนี้ไม่ได้บ่ายเบี่ยงยักเยื้องเหมือนในแผ่นดินก่อน ทั้งยังได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบอย่างชัดเจน เมื่อรับสั่ง "ทวงถาม" ถึงมติเกี่ยวกับองค์รัชทายาท "พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ กราบทูลพระกรุณาว่า บิดากระหม่อมฉันเห็นว่า พระอาการทรงพระประชวรมาก ได้ปรึกษาพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกัน เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ควรจะรับสิริราชสมบัติต่อไป"๘ สุดท้ายก็พระราชทาน "สัญลักษณ์" พระประคำทองคำให้กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ นำไปถวายเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ ต้องตามพระราชประสงค์ ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตในวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ จากคุณ : Louvorian - [ 14 มิ.ย. 49 15:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๕ พ่อสู่ลูก, สลับสายสืบราชสมบัติ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการกำหนดองค์รัชทายาท ที่เคยปฏิบัติแบบขาดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนมาแต่โบราณ ทำให้เกิดความวุ่นวายให้กับราชสำนักอยู่เสมอ โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในระหว่าง "พี่น้อง" และความขัดแย้งระหว่างพระญาติในสาย "วังหน้า" แต่หลังจากเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างวังหลวงกับวังหน้า จนนำไปสู่ "วิกฤตวังหน้า" ในรัชกาลนี้ ทำให้หลังจากที่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้ายทิวงคตลง ปีรุ่งขึ้น พ.ศ. ๒๔๒๙ จึงเกิดธรรมเนียมใหม่ในการสืบสันตติวงศ์ มีการกำหนดตัวบุคคลที่ชัดเจน โดยทรงสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ถือเป็นที่สุดว่าเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงเป็นองค์รัชทายาทนับแต่บัดนั้น การสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ผลที่ตามมาคือพระราชมารดา ให้ยกขึ้นเป็นพระมเหสีเอกไปด้วย สายการสืบราชสมบัติจึงตกอยู่กับสาย "สว่างวัฒนา" หรือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี อย่างไรก็ดี "กฎ" ใหม่นี้ มีข้อดีอยู่ที่สามารถตัดปัญหาเรื่องการแย่งราชสมบัติภายในพระราชวงศ์ลงได้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่า การเลือกองค์รัชทายาทโดยใช้ระบบ "โปเจียม" หรือถือลำดับอาวุโสตามสกุลยศ ทำให้ความสำคัญเรื่องความสามารถ ความเหมาะสม และการสนับสนุนดังที่ใช้กันในอดีตเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา ดังจะเห็นได้ว่า แม้เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศจะทรงมีพระปรีชาเฉลียวฉลาด เป็นที่รักของพระราชวงศ์ และทรงได้รับการอบรมสั่งสอนให้พร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์อย่างดี แต่ด้วยความเป็น "วัยรุ่น" ก็มีปัญหา "ความซุกซน" มาให้พระราชบิดาอึดอัดพระทัยอยู่ ดังเคยมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีพระราชทานต่อเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ว่า "ชายใหญ่เขามุ่งหมายจะเปนเจ้าแผ่นดินแต่สำหรับจะกินกับเสพย์เมถุน"๙ แต่แล้วตำแหน่ง "มกุฎราชกุมาร" พระองค์แรกก็อยู่ได้เพียง ๘ ปี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตลงในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ด้วยพระชันษาเพียง ๑๖ ปีเศษ ภายหลังที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตแล้ว พระราชโอรสองค์ถัดมาของพระมเหสีเอกก็น่าจะได้รับตำแหน่งนี้ต่อ ซึ่งขณะนั้นสาย "สว่างวัฒนา" มีอยู่ ๒ พระองค์ คือ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย (๒๔๒๕-๔๒) และเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช (๒๔๓๔-๗๒) แต่การสืบต่อตำแหน่งไม่ได้เป็นไปตามนั้น คือได้มีการสลับสายจาก "สว่างวัฒนา" ไปสู่สาย "เสาวภาผ่องศรี" ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด มีเพียงพระราชดำรัสครั้งหนึ่งว่า "ลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็ก ให้นึกว่าเหมือนแม่เดียวกัน เรียงพี่เรียงน้องในการสืบสันตติวงศ์"๑๐ จึงมีการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์ใหม่ คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และยกให้พระราชมารดาขึ้นเป็นพระมเหสีเอกแทนพระองค์ก่อน คือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี สาย "เสาวภาผ่องศรี" นี้ มีเจ้าฟ้าขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องกัน ๒ พระองค์ ต่อมาในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลาเที่ยงคืน ๔๕ นาที พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะพิการเรื้อรัง ส่วนตำแหน่งรัชทายาทนั้นยังเป็นเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธพระองค์เดิม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นลำดับที่ ๖ แห่งพระราชวงศ์ ด้วยความรู้สึกที่ทรงบรรยายไว้ดังนี้ "ส่วนตัวฉันเองมิได้เคยนึกอยากเปนเลย, ฉนั้นเมื่อได้เปนขึ้นจึ่งมิได้รู้สึกยินดีเลย. การเปนตำแหน่งอื่นๆ ยังเคยนึกอยากเปนบ้าง, เพราะไม่ใช่ต้องรอให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนั้นตายเสียก่อน, แต่การเปนพระเจ้าแผ่นดินโดยสืบสันตติวงศ์เช่นฉันนี้ ต้องเสียพ่อจึ่งจะได้เปน, จะให้ยินดีได้อย่างไร?"๑๑ ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๖ พี่สู่น้อง, ไร้ราชโอรส ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชสมัยที่มีความพยายามหาความชัดเจนเรื่ององค์รัชทายาท โดยทรงเห็นว่าหากไม่ทำความข้อนี้ให้ชัดเจนแล้วก็อาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายได้ ดังปรากฏในความข้างต้นของกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ตอนหนึ่งว่า "สมัยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือก แลประดิษฐานพระรัชทายาทขึ้นไว้อย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งเป็นผลให้บังเกิดมีเหตุยุ่งยากแก่งแย่งกันขึ้น ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลง การแก่งแย่งช่วงชิงพระราชอำนาจกันย่อมเป็นโอกาสให้บุคคลผู้มิได้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติคิดขัดขวางต่อความเจริญแห่งราชอาณาจักร" หลักการของกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้ก็คือให้ยึดสายตรงก่อน กล่าวอย่างง่ายๆ คือ จาก ๑. พระมหากษัตริย์สู่ลูก ๒. หากพระมหากษัตริย์ไม่มีลูก ก็มอบให้น้องอาวุโสสูงสุดก่อน ๓. แต่หากน้องที่อาวุโสสูงสุดนั้นสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็เลื่อนไปสู่ลูกของน้องก่อน ๔. แต่หากน้องคนโตสิ้นพระชนม์ไปแล้วและไม่มีลูก จึงจะไปสู่น้องคนถัดลงมา อย่างนี้เป็นต้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง การที่จะโปรดให้ใครเป็นรัชทายาทนั้นย่อมถือเป็นสิทธิ์ขาดขององค์พระมหากษัตริย์สุดแท้แต่พระราชหฤทัย และปรากฏว่าในรัชกาลที่ ๖ ก็ไม่ทรงมีวี่แววว่าจะมีพระราชโอรส จึงต้องอาศัยหลักการ "พี่สู่น้อง" ในกฎมณเฑียรบาลไปพลางก่อน จึงทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งองค์รัชทายาท โดยระบุให้สืบต่อกันระหว่าง "น้อง" ที่ร่วมพระชนนีเดียวกัน โดยเริ่มจากเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ (มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มอบราชสมบัติต่อให้ทายาทของพระองค์) ต่อมาเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ทำให้ "น้อง" ลำดับถัดมารับช่วงเป็นองค์รัชทายาทต่อ คือเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ แต่ก็ทิวงคตไปอีกในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ส่วนเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก นั้นสิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ดังนั้นจึงเหลือเพียงเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์พระองค์เดียว ซึ่งหากจะถือตามกฎมณเฑียรบาลปี พ.ศ. ๒๔๖๗ จะมีผลให้พระโอรสของเจ้าฟ้าที่เคยอยู่ในตำแหน่งรัชทายาท มีสิทธิจะสืบตำแหน่งต่อ ก่อนที่จะถึง "น้อง" ในลำดับต่างๆ ขณะนั้นมีอยู่ ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ (พระโอรสเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ) และหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ) ทั้ง ๒ พระองค์นี้ ต่างมีสิทธิก่อนจะถึงลำดับของเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ ตามกฎมณเฑียรบาล แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเพิกถอนสิทธิของเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ ทั้งยังมีพระราชหัตถเลขามีพระราชประสงค์ยกราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ๑๒ โดยไม่ยกให้กับ "หลาน" ตามกฎมณเฑียรบาล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยังทรงติดพระทัยเรื่อง "แม่" ของทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์นั้นมีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ ส่วนหม่อมเจ้าวรานนท์ฯ นั้นท่านว่ามีพระมารดาเป็นสามัญชน แล้วปัญหาจริงๆ ของการสืบราชบัลลังก์ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อทรงได้พระราชธิดา ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นคำยืนยันว่าจะไม่มีพระราชโอรสสืบต่อตามที่ทรงหวังไว้ เพราะอีก ๒ วันหลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ด้วยพระอาการแผลที่ลำไส้ทะลุ อันเกิดจากแผลที่ทรงเคยผ่าตัดไส้ติ่งเมื่อหลายปีก่อน ๑๕ นาที หลังจากที่สวรรคต พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่และเสนาบดี อันมีเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ เป็นองค์ประธาน ได้มีการอ่านแถลงการณ์และสำเนาพระราชหัตถเลขา อ้างพระราชประสงค์ให้เจ้าฟ้าประชาธิปกฯ สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ จากคุณ : Louvorian - [ 14 มิ.ย. 49 15:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๗ อาสู่หลาน, กลับสู่สาย "สว่างวัฒนา" ฝันร้ายในการสืบสันตติวงศ์กลับมาอีกในรัชกาลนี้ คือพระเจ้าแผ่นดินไม่มีพระราชโอรส แต่ส่วนที่เป็นยิ่งกว่าฝันร้ายคือทรงระแวงพระทัยในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งยังคงมีผลผูกพันอยู่กับกฎมณเฑียรบาล เรื่องการสืบสันตติวงศ์ เพราะมิได้ทรงถูก "ข้าม" เป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนกับหม่อมเจ้าวรานนท์ฯ (ภายหลังยกขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า) ความหวาดระแวงดังกล่าวปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาที่มีไปยังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ดังนี้ "แกอาจจะอยากทราบว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อแกอย่างไร ฉันบอกแกได้ทันทีว่าความรู้สึกของฉันต่อแกในฐานญาติในฐานเป็นอา ย่อมมีแต่ความรัก และฉันจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้แกได้รับความเจริญ แต่ยังมีความรู้สึกอีกด้านหนึ่ง คือความรู้สึกที่ฉันมีต่อแกในฐานที่ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินและแกเป็นพระราชวงศ์ ฉันจะพูดกับแกตรงๆ และหวังว่าแกจะพยายามเข้าใจความคิดของฉัน ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างยิ่งที่ต้องเอามาพูด แต่เป็นการจำเป็นและแกก็รู้ตัวอยู่ดี คือแกเป็นครึ่งชาติ และเพราะเหตุนั้นจึงถูกยกเว้นจากการสืบราชสมบัติ คนบางคนเขาว่าการถือเลือดต่างชาติกันนั้นเป็นของเหลวไม่เป็นสาระ แต่ที่จริงความรู้สึกมันก็ยังมีอยู่ ฉันจึงต้องขอบอกแกว่าฉันเห็นด้วย สนับสนุนอย่างเต็มที่ในการที่แกถูกยกเว้น จนถึงกับมีคนเขารู้กันอยู่แล้วว่า ฉันเคยพูดอย่างเปิดเผยว่า ถ้าแกพยายามคบคิดที่จะขึ้นบัลลังก์ไทย ฉันจะยิงแกด้วยมือของฉันเอง..."๑๓ แต่ปลายแผ่นดินนี้กลับไม่เหมือนกับทุกครั้ง คือไม่ต้องรอให้พระเจ้าแผ่นดินสวรรคตก่อนจึงมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ได้ เพราะครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และมีพระราชดำริเรื่ององค์รัชทายาทไว้อย่างชัดเจน ในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ฉบับลงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ว่า "ข้าพเจ้าไม่มีประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใด ให้เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิที่จะทำได้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์" คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงพิจารณา "เจ้านาย" หลายพระองค์ที่อยู่ในข่ายจะได้รับราชสมบัติสืบต่อในวาระนี้ อันได้แก่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่ก็ต้องถูกข้ามด้วยเหตุผลเดิมคือมีพระมารดาเป็นคนต่างด้าว ต่อมาคือพระองค์เจ้าวรานนท์ฯ ถูกยกเว้นด้วยเหตุผลเรื่องพระมารดาอีกเช่นกัน เท่ากับหมดสาย "เสาวภาผ่องศรี" เพียงแค่นี้ ตามกฎมณเฑียรบาลให้กลับมาพิจารณา "สายสนิทมากน้อย" ยังผลให้การสืบสายย้อนกลับมาสู่สาย "สว่างวัฒนา" อีกครั้ง ในที่สุดลำดับการสืบสันตติวงศ์ก็มาตกอยู่กับเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช แต่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นตามกฎมณเฑียรบาลจึงต้องเลื่อนมาสู่พระโอรส คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สภาผู้แทนฯ จึงลงมติอัญเชิญขึ้นครองราชย์ในวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ และให้มีผลย้อนหลังไปในวันที่รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ คือวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในพระราชวงศ์ที่ไม่ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทำให้ในรัชสมัยนี้ไม่มีคำว่า "พระบาท" นำหน้าพระนาม ต่อมาจึงเฉลิมพระนามใหม่ในรัชกาลปัจจุบันเป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๘ "พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ พระอนุชาต่างหากที่ไม่มีแล้ว"๑๔ เกิดเหตุร้ายที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเป็นไปได้ ด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๘ ในพระราชวงศ์จักรี เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืนในพระบรมมหาราชวัง และขณะนั้นยังไม่มีพระมเหสีและพระเจ้าลูกเธอ สมาชิกรัฐสภาจึงเห็นชอบ อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช สืบสันตติวงศ์ตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ อ้างอิง ๑ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ฉบับตัวเขียน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๓๙, น. ๑๘๗. ๒ พระประภากร, หม่อมเจ้า. เทศนาพระราชประวัติและพงศาวดารกรุงเทพฯ. พระนคร : กรมราชบัณฑิต, ๒๔๖๒, น. ๓๖. ๓ นรินทรเทวี, กรมหลวง. จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่ จ.ศ. ๑๑๒๙-๑๑๘๒. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, ๒๕๔๖, น. ๖๑๐. ๔ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. อ้างแล้ว. น. ๒๒๐. ๕ อภินิหารบรรพบุรุษ และปฐมวงศ์, กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๕, น. ๖๒. ๖ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒. กรุงเทพฯ : คุรุสภา, ๒๕๐๔, น. ๒๐๕. ๗ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๑ จดหมายเหตุเมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต, กรุงเทพฯ : ก้าวหน้า, ๒๕๑๓, น. ๔๘๘. ๘ มหินทรศักดิ์ธำรง, เจ้าพระยา. ประชุมจดหมายเหตุเรื่องสุริยุปราคาในรัชกาลที่ ๔ และเรื่องรัชกาลที่ ๔ ประชวรและสวรรคต. งานพระราชทานเพลิงศพ นายเทพ เสมถิติ). กรุงเทพฯ : ๒๕๑๒, น. ๔๘. ๙ ราม วชิราวุธ. ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๕, น. ๕๕. ๑๐ สมภพ จันทรประภา. สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. กรุงเทพฯ : ผดุงศึกษา, ๒๕๒๐, น. ๑๒๑. ๑๑ ราม วชิราวุธ. อ้างแล้ว. น. ๕๕. ๑๒ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๔, น. ๕๙. ๑๓ จุลจักรพงษ์, พระองค์เจ้า. เกิดวังปารุสก์ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๑, น. ๒๕. ๑๔ พระธรรมิกราชของชาวไทย, ศิลปากร, ๒๕๓๐. หน้า 116 จากคุณ : Louvorian - [ 14 มิ.ย. 49 15:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 36 หมายความว่า พระบรมฯ คือ รัชกาลที่ 10 ใช่ไหม จากคุณ : สไบทิพย์ - [ 14 มิ.ย. 49 17:36:31 A:58.9.92.244 X: TicketID:113058 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะยังไม่มีรัชกาลที่ 10 ไม่มีใครรู้อนาคต จากคุณ : K.Senior - [ 14 มิ.ย. 49 20:16:19 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คห. 27 ,28 ผมเรียงถูกแล้ว ขอโทษที่ตั้งใจจะเขียนเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ แต่เขียนผิด ให้เรียงตามกฎหมาย อย่าคิดอะไรตามอารมณ์ความรัก ความชอบ การสืบราชสมบัติตามกฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบสันติวงศ์ พ.ศ. 2467 ว่าไว้อย่างนั้น  แต่มาตราที่มาก่อนคือ พระมหากษัตริย์ มีอำนาจตั้งรัชทายาทตามพระราชอัธยาศัย มาตราต่อมา หากพระมาหากษัตริย์ไม่ตั้งรัชทายาทไว้ ให้เรียงตามลำดับใกล้ชิดที่สุดก่อน และจากพ่อสู่ลูก จนหมดสาย และหากมีบุตรชายให้นับบุตรชายก่อน จนหมดแล้วก็ไปนับบุตรตรีต่อ กรณีทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ได้ทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว จึงข้ามไป ไม่อย่างนั้น ก็จะมาก่อนพระเทพฯ และเมื่อลำดับใกล้ชิดจากในหลวง (คือบุตร)หมดแล้ว ก็กลับไปสู่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับกษัตริย์ กรณีนี้คือ กรมหลวงนราธิวาส และบุตรของท่าน แต่บุตรของท่านไม่ได้เป็นเจ้า จึงข้ามไป ซึ่งถือว่าหมดสายนี้ (สมเด็จพระราชบิดา) ก็จะไปสู่สาย ร. 6 คือ เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ คุณอย่าเอาตามความรู้สึก ให้เรียงตามกฎหมาย และขณะนี้ในหลวงได้สถาปนาองค์รัชทายาทไว้แล้ว หากไม่ทรงเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น พระบรมคือรัชทายาท โดยอัตโนมัติ และต้องเรียง โอรสและธิดาของท่านจนหมด จึงจะไปสู่โอรสและธิดาของในหลวงลำดับถัดไป จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 14 มิ.ย. 49 21:09:13 ]

ความคิดเห็นที่ 39 "...หากพระมาหากษัตริย์ไม่ตั้งรัชทายาทไว้ ให้เรียงตามลำดับใกล้ชิดที่สุดก่อน และจากพ่อสู่ลูก จนหมดสาย และหากมีบุตรชายให้นับบุตรชายก่อน จนหมดแล้วก็ไปนับบุตรตรีต่อ..." ที่คุณประชาชน(ไทย) ยกมานั้น เช่นนี้ก็หมายความว่าถ้าพระราชโอรสหาพระองค์ไม่ ก็อาจจะเป็นพระราชธิดาก็ได้จนหมดสาย จากนั้นถึงจะเป็นลำดับพระนัดดามิใช่เหรอครับ หรือจะถือว่าพระนัดดาเป็นสายด้วยหรือครับ คือกำลังงงว่าสายนี่ถือสายบุตรก่อนจนหมด แล้วค่อยไปชั้นหลานหรือไม่ (ถามประดับความรู้แบบคนไม่ค่อยเข้าใจกฎหมายนะครับ) จากคุณ : วศินสุข - [ 15 มิ.ย. 49 01:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มารอคำตอบด้วยคนค่ะ สงสยเหมือนกับ คนข้างบนค่ะ จากคุณ : หน้าเดียว - [ 15 มิ.ย. 49 02:20:34 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าพระราชโอรสหาพระองค์ไม่ ก็จะเป็นพระโอรสธิดาในพระราชโอรสจนหมดสาย จากนั้นถึงจะเป็นพระราชธิดาครับ จากคุณ : q - [ 15 มิ.ย. 49 02:36:11 A:10.114.11.159 X:10.114.11.159, 152.132.11.10 TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คล้ายกับการสืบราชสันตติวงศ์ของราชวงศ์อังกฤษสิครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเหมือนกัน นึกว่าของไทยเราจะนับพระราชโอรสและพระราชธิดาก่อน ถ้าพระราชโอรสและพระราชธิดาหาพระองค์ไม่แล้ว จึงค่อยลงมาชั้นพระนัดดาเสียอีก  ไม่คิดว่าจะลงมาชั้นพระนัดดา (ชายและหญิง) ก่อน ถึงจะย้อนกลับไปพระราชธิดา ทราบแต่ว่าทางอาหรับบางราชวงศ์ จะสืบจากพระเชษฐาไปพระอนุชา ไม่ใช่จากพระชนกไปพระโอรส จากคุณ : วศินสุข - [ 16 มิ.ย. 49 00:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คห.41 ถูกแล้วครับ เขาจึงเรียงโอรสและธิดาในพระบรม มาก่อนพระเทพไงละครับ หากคิดแบบ คห. 39 กรมหลวงนราธิวาส ต้องมาก่อนพระบรมแล้วละครับ เพราะเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาของในหลวง ซึ่งผิดหลักกฎหมายไทยและสากลนะครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 16 มิ.ย. 49 06:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์นั้น ถ้ายึดตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (มาตรา 23) จะไม่ทรงมีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์นะครับ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนว่า "พระราชธิดา" ซึ่งก็หมายถึงลูกสาวของพระมหากษัตริย์ แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ได้เป็นพระราชธิดานะครับ ผิดถูกอย่างไรขอผู้รู้ดีกว่าช่วยชี้แนะต่อไป จากคุณ : ธันยาทิตย์ - [ 16 มิ.ย. 49 13:16:28 A:129.94.6.29 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 เห็นคุยกันมาหลายครั้งในประัเด็นนี้ ขอคุยด้วยคนล่ะกันครับ ประเด็นแรก เรื่องพระอิสริยศ ที่ จขกท ถามนั้นไม่เคยมีครับ อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของหนังสือที่พิมพ์ หรือว่าผู้ที่ขานพระนามผิด คุณเด็กท้ายวัง ได้ให้คำตอบไว้ชัดเจนแล้วใน คคห 4 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชดุสา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ประเด็นที่สอง เรื่ององค์รัชทายาท สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็นองค์รัชายาท ตามพระบรมราชโองการที่คุณ รอยใบลาน ยกมาใน คคห 13 สมเด็จพระเทพไมไ่ด้เป็นองค์รัชทายาืท แต่ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศให้ยิ่งขึ้นไป สูงกว่าเจ้าฟ้าธรรมดา ถ้าเปรียบกับเมื่อก่อน สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็นวังหน้า รับพระบัณฑูร สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นวังหลัง รับพระบัญชา สองประเด็นนี้น่าจะชัดเจนน่ะครับ ประเด็นต่อมาซึ่งผมเห็นว่าสำคัญมากคือเรื่องลำดับการสืบราชสันตติวงค์ ตามธรรมเนียมบ้านเรานั้น ไม่มีการจัดน่ะครับ อย่าไปเอาธรรมเนียมฝรั่งมาจัด เพราะอะไร? เพราะการตั้งองค์รัชทายาทเป็นสิทธิอันชอบธรรม เป็นพระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ให้พวกคุณๆ หรือใครๆ มาตั้งกันเป็นลำดับๆ ว่าใครมีลำดับไหนๆ ในกรณีนี้ องค์รัชทายาทมีอยู่แล้วคือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฏราชกุาร เป็นอันสิ้นสุด ไม่ต้องไปหารองๆ ไม่มีน่ะครับ ถ้าสมเด็จพระบรมฯ หาไม่แล้ว ก็เท่ากับว่าว่างจากองค์รัชทายาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะเป็นผู้ที่มีพระราชอำนาจสูงสุดในการคัดเลือก พระบรมวงศานุวงค์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ขึ้นเป็นองค์รัชทายาืทต่อไป (ในกรณีนี้ สมเด็จพระเทพฯ อาจได้รับการสถาปนา เพราะเป็นพระราชธิดา และมีพระอิสริยยศสูงสุด หายสงสัยน่ะครับ) ในกรณีที่พระมหากษัตริย์หาไม่แล้ว องค์รัชทายาทก็จะได้รับการเสนอต่อสภา เพื่ออัญเชิญขึ้นครองราชเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ซึ่งสมเด็จพระบรมฯ ก็จะเสด็จขึ้นครองราช ส่วนรัชทายาทในสมัยของพระองค์ จะเป็นพระองค์ไหน ก็ขึ้นอยู่กับพระบรมราชโองการ เพราะเป็นพระราชอำนาจ (คุณๆ ก็ไม่มีสิทธิที่จะมาจัดลำดับว่าพระองค์โน้น พระองค์นี้เป็นลำดับเท่านั้นเท่านี้) ในกรณีที่ว่างจากพระมหากษัตริย์ และก็ไม่มีพระรัชทายาท (พระมหากษัตริย์และพระบรมฯ หาไม่แล้ว) อันนี้ถึงเป็นหน้าที่ของสภาในการคัดเลือกหาพระบรมวงศานุวงค์พระองค์ใด พระองค์หนึ่งขึ้นครองราช โดยการพิจราณาเป็นสายๆ ไป ที่เขียนมาทั้งหมดถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม ก็แจ้งลบได้ครับ เพียงแต่เขียนมาเพื่ออธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจน จะได้ไม่มา "มั่วนิ่ม" จัดลำดับอย่างโน้นอย่างนี้ จากคุณ : เจโต - [ 16 มิ.ย. 49 13:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เห็นด้วยกับคุณเจโตนะคะ ไม่ใช่เรื่องที่จะมามั่ว และก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดแจงอะไรทั้งสิ้นเลย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกันเลย จากคุณ : สำรวย - [ 16 มิ.ย. 49 14:40:56 A:10.226.16.114 X:203.185.131.3 TicketID:080171 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อยากจะบอกว่าเมื่อคืนอ่านวิทยานิพนธ์ของฝรั่ง ที่เขาทำเกี่ยวกับเรื่องเมืองไทย เขาก็ใช้คำว่า Crown Princess Sirindhorn ครับ เป็นวิทยานิพนธ์เรื่อง Social Protest in Northern Thailand ผู้เขียนคือ Joan Harkness เสนอ ณ York University แคนาดา เมื่อปี 2002 ในหน้า 95 เขาบรรยายเกี่ยวกับประเทศไทย เขาบรรยายว่า "...This power resets to a certain extent within the office itself, but this particular king also has a respect beyond that owed just to his royal birth and ascendancy to the kingship in 1946 when his brother King Ananda Mahidol (Rama VIII) was killed. The monarchy is expected to continue. However, unless his daughter Sirindhorn, the Crown Princess, becomes Queen (an unprecedented deviation from primogeniture in Thai history), the Crown Prince Vajiralongkorn will become King and will not bring the same moral stature and respect to the position that his father enjoys." ที่เอามาให้อ่านนี้ไม่ได้มีจุดประสง๕อะไรมากไปกว่าที่อยากจะบอกว่า ในข้อมูลที่ฝรั่งรับทราบเขาก็คิดว่าสมเด็จพระเทพฯ เป็น Crown Princess แม้กระทั่ง encyclopedia ก็ยังบันทึกไว้อย่างนี้ เราน่าจะมีการผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้ชาวโลกได้รับทราบนะครับ จากคุณ : ธันยาทิตย์ - [ 16 มิ.ย. 49 21:21:02 A:220.237.10.243 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบพระคุณคุณเจโตมากครับผม ที่ได้กรุณามาให้ความกระจ่าง และผมก็คิดเช่นเดียวกับคุณเจโตมาตั้งแต่ต้น   หากแต่มีบางท่านมาแสดงความเห็นในแง่ของกฎมณเฑียรบาล ผมก็เลยสงสัยและสอบถามดู เพื่อความกระจ่าง และคำตอบของคุณเจโตก็ชัดเจนดีมากครับ ขอเรียนว่าที่ถามมาทั้งหมด มิใช่ "ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" และไม่ได้ "มีสิทธิมาจัดลำดับ" แต่ประการใดทั้งสิ้น ในฐานะข้าแผ่นดินผมมีแต่ความจงรักภักดีโดยไม่มีที่สงสัยแต่อย่างใดเลย จะทรงพระกรุณาตั้งพระองค์ใดก็ไม่มีความเห็นอะไรทั้งสิ้น ความจริงไม่อยากจะเอ่ยอ้างพระนามที่เป็นตัวบุคคลด้วยซ้ำไป หากแต่อยากจะสอบถามในแง่ของ "วิชาการ" มากกว่า จริงอยู่ในความเห็นข้างบนผมอาจเอ่ยอ้างพระนามเพราะคิด (เอาเอง) ว่าน่าจะใช่อย่างที่ตัวเองคิด แต่เมื่อมีผู้อ้างกฎมณเฑียรบาลมาแย้ง ผมก็อยากทราบว่าจริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร หาใช่ว่าผมหรือท่านใดในที่นี้จะมานั่งจัดลำดับเอาเองแต่อย่างใดไม่ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราคงไม่มีสิทธิไปทำอะไรเช่นนั้น เราเพียงแต่แสดงความเห็นแบบผู้ที่ไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าไม่รู้ และต้องการแสวงหาความรู้จริงเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่นใด และเมื่อคุณเจโตได้กรุณามาให้ความกระจ่างก็เป็นพระคุณมาก และผมหมดข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ขอบคุณอีกครั้งครับผม จากคุณ : วศินสุข - [ 17 มิ.ย. 49 00:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เห็นด้วยกับคุณเจโตคะ และดิฉันก็เชื่อในพระบรมราชวินิจฉัยของในหลวงว่าพระองค์จะทรงเลือกบุคคลที่ดีที่สุดเพื่อชาวไทยและประเทศชาติ จากคุณ : คนไทย - [ 17 มิ.ย. 49 01:41:21 A:84.81.98.159 X: TicketID:118125 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณ คุณสำรวย คุณวศินสุข คุณคนไทย ที่เข้าใจน่ะครับ ผมไม่ได้มองกว่าเป็นเรื่อง "ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" หรือว่า "มีสิทธิมาจัดลำดับ" หรอกครับ แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ "ไม่รู้" มากกว่า พอไม่รู้มันก็ "มั่ว" เลยครับ   คนโน้นอ้างโน่น คนนี้อ้างนี่ อีลุงตุงนังไปหมด ผมอาจจะพูด และใช้สำนวนให้แรงไปหน่อย แต่ตีแรงๆ จะได้เข้าใจได้ง่ายครับ ^^ เพราะคุยกันมาเยอะแล้วเรื่องนี้ แม้แต่เรื่องที่คุณ ธันยาทิตย์ ยกมา ก็แสดงให้เห็น "ความไม่รู้" ของฝรั่งคนนั้น และ "ความเข้าใจไปเอง" ของสังคมฝรั่ง ครับ จากคุณ : เจโต - [ 17 มิ.ย. 49 08:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อคนไทย "ไม่รู้ และเข้าใจไปเอง" หรือ "ฝรั่งไม่รู้และเข้าใจไปเอง" ผมว่าเราน่าจะมีวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นที่ "เข้าใจ" "อย่างถูกต้อง" เพื่อยุติการวิพากษ์วิจารณ์ หรือการตั้งข้อสงสัยในสังคม ถึงแม้บางเรื่องเป็นเรื่องไม่ควรพูด ผมเชื่อว่าทุกท่านที่อ่าน ที่เขียนในกระทู้นี้ ก็มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุดด้วยกันทั้งสิ้น บางคนถามเพราะความห่วงใยในอนาคตของประเทศชาติ และที่สำคัญบางคนที่มาถามในที่นี้เป็นเยาวชนยุคใหม่ ที่เกิดหลังจากการสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เขาอาจจะเกิดความสงสัยได้ ว่าทำไมมีพระยศสูงกว่าเจ้าฟ้าพระองค์อื่น และบางคนที่มาตั้งกระทู้อื่นๆ คงเป็นเยาวชนรุ่นหลังจริงๆ เพราะไม่รู้จักพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เป็นต้น เมื่อเขาได้ยิน ได้ฟังมา เขาก็เกิดความสงสัย อยากรู้ เป็นธรรมดาของมนุษย์ และถ้าใครมีข้อมูลที่ถูกต้อง ก็น่าจะช่วยให้ความรู้เขาอย่างถูกต้อง ดีกว่าเขาไปวิพากษ์วิจารณ์กันในมุมมืด ซึ่งอาจจะได้รับข้อมูลผิดๆ และเอาไปเผยแพร่ผิดๆ ได้น่ะครับ จากคุณ : ธันยาทิตย์ - [ 17 มิ.ย. 49 15:07:25 A:129.94.6.29 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 ครับ สรุปแล้วเราก็รับทราบกันแล้วว่าไม่มีการจัดลำดับการสืบราชสันตติวงศ์เหมือนอย่างประเทศอังกฤษ แต่ผมคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีกระทู้ชนิดนี้เกิดขึ้นอีก และก็จะมีคน "คิดว่า" ตัวรู้ (เหมือนผม) มามั่วอีก ก็ต้องเข้าใจนะครับ การให้ทานนั้นยิ่งใหญ่ ยิ่งการให้ "วิทยาทาน" ก็ยิ่งยิ่งใหญ่กว่า แต่อยากให้ผู้ตอบ ตอบด้วยความเมตตา เช่นครูบาอาจารย์ตอบลูกศิษย์ มากกว่าจะมาตำหนิกันอ่ะครับ จากคุณ : วศินสุข - [ 18 มิ.ย. 49 01:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 53 การจัดลำดับที่ยกตัวอย่างกันมา เค้าหมายถึงในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงแต่งตั้งรัชทายาท จะมีเกณฑ์ในการสืบสันตติวงศ์อย่างไร ปัจจุบันมีพระรัชทายาทแล้ว ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : canon - [ 18 มิ.ย. 49 02:18:34 A:221.128.98.102 X: TicketID:056401 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณเจโตอ่านกฎมณเทียรบาร มาตรา ค แล้วหรือยังละครับ ก่อนออกมาตำหนิคนอื่นนะครับ ไม่มีใครเถียงว่าพระมหากษัตริย์จะเลือกไม่ได้ ตามพระราชอัธยาศัย เพราะนั้นคือ มาตรา 5 ใน กฎมลเฑียรบาลว่าด้วยการสืบพระสันติวงศ์ 2467 การออกมาตำหนิคนอื่น โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง ใช้แต่ความรู้สึกตัวเอง ไม่เหมาะสมหรอกครับ และสมัยหลัง ร.7 สละราชสมบัติ ท่านก็เคยทำบัญชีลำดับการสืบสันติวงษ์ไว้ และก็เรียงเหมือนที่ผมเรียงมาให้ดูนั่นแหละ คนที่เขาเรียงลำดับสิทธิทางกฎหมายนะครับ กฎหมายยุโรปเขาก็เขียนไว้แบบไทย (คือ ร. 6 ยกร่างกฎหมายโดยได้แบบอย่างมาจากยุโรป) แล้วยุโรปเขาก็อ่านกฎหมายแล้วก็เรียงลำดับสิทธิได้ (กรณีที่พระมหากษัติริย์ไม่ทรงแต่งตั้งไว้) การตำหนิคนอื่นเพื่อให้เห็นว่าตนเองจงรักภักดีกว่านี่ ผมว่าไม่ถูกต้องนะครับ เหมือนยกตนข่มท่าน ยกว่าตัวเองรู้ที่ควรกว่า ซึ่งก็เป็นการคิดเอาเองของตนทั้งสิ้น ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมาย ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรอ้างอิงสนับสนุนความเห็นของตนเองทั้งสิ้น การอ้างธรรมเนียมเอง โดยไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์มาก่อน เอาแต่เพียงคิดเอาเอง นั้นไม่สมควรหรอกครับ ก่อนตำหนิคนอื่นก็ศึกษาประวัติศาสตร์ ศึกษากฎหมายให้ดีก่อนนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 04:09:29 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 03:54:39 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 03:52:53 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 18 มิ.ย. 49 03:49:31 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมไม่อยากให้ใคร แสดงอาการตำหนิคนอื่นโดยไม่รู้ ดุจยกตนข่มท่าน เหมือน "คุณเจโต" ก็เอา กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 มาลงให้ดู คนที่เขาเรียง เขาเรียงให้ดูตามมาตรา 8 นั้นแหละ ไม่เห็นจะมีอะไรควรไม่ควร เพราะกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน และเพื่อเป็นความรู้ของประชาชน ไม่ใช่อะไรก็ทำให้เป็นความลับ เสียหมด ทั้งๆ ที่กฎหมายเขามีไว้ชัดเจน ไม่ได้มีใครคิดเอาเอง แบบคุณเจโต --------- หมวดที่ ๓ ว่าด้วยการทรงสมมุติและทรงถอนพระรัชทายาท ---------- มาตรา ๕ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และพระราช สิทธิที่จะทรงสมมุติเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งให้เป็นพระรัชทายาท สุดแท้แต่จะทรงพระราชดำริเห็นสมควรและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้ว่า ท่านพระองค์นั้นจะสามารถสืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ แต่การที่สมมุติเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์ให้เป็นพระรัชทายาทเช่นนี้ให้ถือว่าเป็นการเฉพาะพระองค์ของพระรัชทายาทพระองค์นั้น หมวดที่ ๔ ว่าด้วยลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติวงศ์ ----------- มาตรา ๘ ถ้าหากว่ามีเหตุอันไม่พึงปรารถนา คือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลงโดยมิได้ทรงสมมุติพระรัชทายาทไว้ก่อนแล้วไซร้ ท่านว่าให้เป็นหน้าที่ท่านเสนาบดีอัญเชิญเสด็จเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์ที่ ๑ ในลำดับสืบพระราชสันตติวงศ์ ดังได้แถลงไว้ในมาตรา ๙ ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ที่ได้เสด็จสวรรคตลงแล้วนั้นต่อไป แต่ผู้ที่จะอัญเชิญขึ้นทรงราชย์เช่นนี้ต้องมิใช่ผู้ที่ ตกอยู่ในเกณฑ์ ยกเว้นที่ปรากฏอยู่ในมาตรา ๑๑ และ ๑๒ แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ มาตรา ๙ ลำดับชั้นเชื้อพระบรมราชวงศ์ซึ่งจะควรสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น ท่านว่าให้เลือกตามสายตรงก่อนเสมอ ต่อไม่สามารถจะเลือกทางสายตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่สนิทมากและน้อยเพื่อให้สิ้นสงสัย ท่านว่าให้วางลำดับสืบราชสันตติวงศ์ไว้ดังต่อไปนี้ (๑) สมเด็จหน่อพุทธเจ้า (๒) ถ้าแม้ว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้าหาพระองค์ไม่แล้ว ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จหน่อพุทธเจ้าและพระอัครชายาของสมเด็จหน่อพุทธเจ้าพระองค์นั้นขึ้นทรงราชย์ หรือถ้าพระราชโอรสพระองค์ใหญ่หาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์รอง ๆ ต่อไปตามลำดับพระชนมายุ (๓) ถ้าแม้ว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้าหาพระองค์ไม่แล้ว และไร้พระราชโอรสของท่านด้วย ก็ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอัครมเหสี (๔) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ หาพระองค์ไม่แล้ว แต่ถ้ามีพระโอรสอยู่ ก็ให้อัญเชิญพระโอรส โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒ แห่งมาตรานี้ (๕) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระอัครมเหสีหาพระองค์มิได้แล้ว และไร้พระราชโอรสของท่านด้วยไซร้ ก็ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์อื่น ๆ ในสมเด็จพระอัครมเหสี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๖) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระอัครมเหสีหาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองถัดลงไปตามลำดับชั้นพระอิสริยยศแห่งพระมารดา หรือถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ สลับกันตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๗) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองหาพระองค์ไม่สิ้นแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุด หรือถ้าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นหาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น แต่ถ้าแม้ว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุดนั้นหาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของท่านก็หาไม่ด้วยแล้ว ก็ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมา หรือพระโอรสของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๘) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมาจากพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ (๙) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระอนุชาพระองค์ที่ควรได้ทรงเป็นทายาทนั้นหาพระองค์ไม่เสียแล้ว ท่านว่าให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้นตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒ แห่งมาตรานี้ (๑๐) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระอนุชาพระองค์ใหญ่หาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของท่านก็หาพระองค์ไม่อีกด้วยไซร้ ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระชนนีพระองค์ที่ถัดลงไปตามลำดับพระชนมายุ หรือพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ อนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๑๑) ถ้าแม้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระชนนีหาพระองค์ไม่สิ้นแล้วและพระโอรสของสมเด็จพระอนุชานั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓, ๔ และ ๖ แห่งมาตรานี้ (๑๒) ถ้าแม้สมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนีก็หาพระองค์ไม่สิ้นแล้ว และโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้นก็หาไม่ด้วยแล้วไซร้ท่านว่าให้อัญเชิญพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอหรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอตามลำดับสลับกันโดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๗ แห่งมาตรานี้ (๑๓) ต่อเมื่อหมดพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอ อีกทั้งหมดพระโอรสของท่านนั้น ๆ แล้วไซร้ ท่านจึงให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอและพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือพระโอรสและเชื้อสายของท่านพระองค์นั้นตามลำดับแห่งความสนิทมากและน้อย โดยอนุโลมตามข้อความที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ ถึง ๑๒ แห่งมาตรานี้ ------------- จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 18 มิ.ย. 49 04:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้าการตอบของผมเป็นการตำหนิ หรือยกตนข่มท่าน ก็ขอโทษไว้ด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นครับ อาจจะใช้คำที่แรงไปหน่อย แต่ก็ยืนยันว่าเพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจน อาจเป็นเพราะผมเจอกระทู้ลักษณะนี้บ่อย แล้วสุดท้ายก็หาข้อสรุปกันไม่ได้ และผมก็ไม่เคยบอกว่าเป็นเรื่องลับ เป็นเรื่องฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอะไรเทือกนั่นน่ะครับ แค่บอกว่า มันมั่ว ครับ ต้องขออภัย ผมชี้แจงไว้หลังสุดแ้ล้วในคำตอบ 48 เรื่องจัดสาย จัดลำดับเป็นเรื่องของสภา เป็นเรื่องที่จะเกิดเมื่อไม่มีพระมหากษัิตริย์ ไม่มีพระรัชทายาท (โดยใช้กฏมณเฑียรบาล) เราจะช่วยจัดผมก็ไม่ได้ว่าไร แต่ควรจะเป็นตอนนั้น ถ้าพระมหากษัตริย์ยังดำรงอยู่ ก็อ้างมาตรา ๕ ได้เลยครับ แล้วก็จบตรงนั้น เพราะทรงดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ จากคุณ : เจโต - [ 18 มิ.ย. 49 08:24:23 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตามมาอ่าน  ขอบพระคุณอย่างสูง ทั้งคุณประชาชน(ไทย) และคุณเจโต ครับ จากคุณ : วศินสุข - [ 18 มิ.ย. 49 11:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 58 นี่ถ้าเป็นสมัยก่อนมีหวังประหารเจ็ดชั่วโคตร ไปแล้ว แม้กระทั่งการกล่าวพระนามก็ยังต้องโทษเลย ทำไรกันเนี่ย จริงๆ ควรปล่อยเป็นไปตามกาลสมัยจะดีกว่าไม่น่าวิจารณ์เลยเถิดต้องมาอธิบาย กันยาวเลยเถิดว่าถ้า king and crown ไม่อยู่ แบบนี้มิบังควรกันนะครับกระทู้ไม่ได้ชี้นำไปขนาดนั้น ผมอ่านแล้ว ป่าวตำหนิใครแต่หยุดเถียงกันได้แล้วอ่ะไม่เกิดประโยชน์เหมือนไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ไงไม่รู้ ถ้ารักพระองค์ท่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องแบบนี้เลยครับ มาอวยพร ให้พระองค์ทรงอยู่กับเราไปนานๆ จะดีกว่า ทรงพระเจริญ ครับ จากคุณ : dd (ganewisidth) - [ 23 มิ.ย. 49 10:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ตามมาอ่านด้วย ดีจังเลยครับ ขอบคุณคุณวศินสุข / เจโต ณ ที่นี้ครับ จากคุณ : sayako (SayaKo) - [ 25 มิ.ย. 49 17:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ตามที่ผมเคยได้อ่านในหนังสือ ศิลปและวัฒนธรรม เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพฯ มีพระชนมายุ4รอบ เขาได้บอกไว้ว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ เจ้าฟ้าสิริธรเทพรัตนราชสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาค ขึ้นเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นพดลเศวตฉัตร7ชั้น เสมอสมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระบรมราชินี  และมีนัย ว่า พระองค์มีสิทธิในราชบัลลังค์ โดยสามารถใช้สิทธินี้ขึ้นเป็นราชินี ได้ ถ้านับกันจริงก็คงเป็นรัชทายาทอันดับสอง รองจากสมเด็จพระบรมฯ อ่านมาจากหนังสือศิปวัฒนธรรมครับ จากคุณ : บอย (chatree_citi) - [ 7 ก.ค. 49 23:52:22 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ในกรณีที่ไม่ทรงมีพระราชโอรส หรือมิได้ทรงแต่งตั้งองค์พระรัชทายาทไว้ และหากจะต้องเสนอพระนามพระราชธิดา ให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศอัญเชิญขึ้นทรงราชย์นั้น เฉพาะพระราชธิดาในพระมหากษัตริย์ที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี เท่านั้นครับ ที่จะทรงมีสิทธิที่จะถูกเสนอพระนามต่อสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเพียงเท่านี้ ก็คงจะพอเข้าใจนะครับ จากคุณ : บดีสิริ (บดีสิริ) - [ วันอาสาฬหบูชา 08:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ฉะนั้น แม้ว่าจะมีเจ้านายที่ทรงเป็นถึงพระโอรสองค์ใหญ่ หรือพระธิดาองค์ใหญ่ในองค์พระรัชทายาท ที่ประสูติจากพระวรชายา (ในกฎมณเฑียรบาล เรียกว่า พระอัครชายา )ในองค์รัชทายาทด้วย แต่ถ้าองค์พระมหากษัตริย์หรือองค์พระรัชทายาท ยังทรงราชบัลลังก์หรือยังทรงพระชนมชีพอยู่ ไม่ว่ากฎมณเฑียรบาลจะได้ระบุเอาไว้อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควร "ทึกทัก" เอาเองครับ ว่าเจ้านายพระองค์ใดจะได้เป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ต่อจากองค์พระรัชทายาท ในกรณีที่ไร้รัชทายาท การที่เราจะลำดับว่าเจ้านายฝ่ายหน้าหรือฝ่ายใน พระองค์ใดที่จะทรงเป็นรัชทายาทที่มีสิทธิ ิสืบสันตติวงศ์ต่อไปนั้น จะต้องเข้ากับเงื่อนไขในกฎมณเฑียรบาลตามความเห็น ที่ 61 ครับ หรือเราพูดได้ง่าย ๆ ว่า ถ้ามีองค์พระรัชทายาทที่ทรงแต่งตั้งไว้อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดเรื่องรัชทายาทลำดับถัดไปหรอกครับ จากคุณ : บดีสิริ - [ วันอาสาฬหบูชา 08:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ตามความเห็นของผมนะครับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชอิสริยยศ "เสมอ" กับสมเด็จพระยุพราช แต่ "เสมอ" นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า จะทรง "เป็นรัชทายาท" เสมอไปนะครับ เนื่องจากเรามองค์พระรัชทายาทอยู่แล้ว นั่นคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จากคุณ : บดีสิริ - [ วันอาสาฬหบูชา 08:27:15 ]