สามก๊กฉบับลายคราม
ผู้พนมมือถือดาบ (๕)
เมืองฮันต๋งที่เล่าปี่คิดจะเข้ายึดอำนาจเป็นอันดับต่อไปนั้น มีเตียวฬ่อเป็นเจ้าเมือง เตียวฬ่อนั้นไม่ถูกกับเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยง ทั้งสองเมืองนี้ก็เป็นคู่อริกันมาแต่เดิม แต่ก็ระวังตัวกลัวโจโฉจากเมืองฮูโต๋จะยกมารุกรานด้วยเหมือนกัน
เตียวฬ่อจึงคิดจะตีเมืองเสฉวนก่อน เพราะที่ปรึกษาแนะนำว่า แม้เมืองฮันต๋งจะมีผู้คนพลเมืองมากถึงสิบหมื่น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ก็จริงแต่ยังไม่เท่าเทียมเมืองฮูโต๋ของโจโฉ ส่วนเมืองเสฉวนนั้น มีเมืองขึ้นอยู่ถึงสิบสี่เมือง ถ้าได้ครอบครองเมืองเสฉวนแล้ว ก็จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ง่าย
เล่าเจี้ยงได้ข่าวว่า เตียวฬ่อเตรียมยกทัพมาตีก็ตกใจกลัว รีบเรียกที่ปรึกษามาหาทางออกที่ดี ที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อ เตียวสง รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ตัวต่ำเตี้ย ศีรษะรีดังผลมะตูม จมูกก็เฟ็ดฟันก็เสี้ยม ขออาสาหาทางป้องกันเมืองเสฉวน ด้วยลิ้นเพียงสามนิ้ว โดยจะไปเจรจาอ่อนน้อมต่อโจโฉ ขอให้ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง เสียก่อน
แต่เมื่อเตียวสง ไปชักชวนโจโฉนั้น ได้พูดจาผ่าซากไม่ถูกใจโจโฉ จึงให้ทหารขับไล่ออกจากเมืองฮูโต๋ไปเสีย
เตียวสงหนีภัยจากโจโฉ ออกมาจากเมืองฮูโต๋ เพราะปากที่ไม่มีหูรูดของตนเองได้แล้ว ก็ไม่ได้กลับไปยังบ้านเมืองของตนเอง เพราะไม่กล้าเข้าหน้าเล่าเจี้ยง ซึ่งรับอาสามาเจรจาให้โจโฉเป็นพวกด้วย แล้วไม่ได้เรื่องดังที่อวดเอาไว้ จึงทนเก็บความแค้นไว้ในใจ แล้วเลยเดินทางไปหา เล่าปี่ ศัตรูตัวร้ายของโจโฉ ที่เมืองเกงจิ๋วแทน
เมื่อ ขงเบ้ง ที่ปรึกษาคู่ใจของเล่าปี่ ทราบข่าวการเดินทางมาเยือนของเตียวสง ก็รีบวางแผนการต้อนรับอย่างเอิกเกริก โดยให้ จูล่ง ทหารเสือชั้นยอดคุมทหารห้าร้อยมาคอยรับหน้าเมือง แล้วจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน ตามประเพณีเสียก่อน
เสร็จสรรพแล้วจึงพาเข้าไป ถึงจวนที่ใช้ต้อนรับแขกเมือง ก็พบ กวนอู น้องร่วมสาบานของเล่าปี่ คุมทหารร้อยหนึ่งมาประโคมฆ้องกลองม้าล่อคอยรับ และจัดแจงที่หลับที่นอนให้พักให้สบายเสียอีกคืนหนึ่ง
พอรุ่งเช้าจึงพาเตียวสงเดินทางเข้าเมือง ไปประมาณห้าสิบเส้น ก็พบกับเล่าปี่และขงเบ้ง ซึ่งคุมทหารมารอรับอยู่กลางทางด้วยตนเอง ทั้งสองกระทำคำนับเตียวสง แล้วก็เจรจาด้วยถ้อยคำหวานหูแบบลิ้นการทูตว่า
".....แต่ก่อนก็ได้ยินเขาสรรเสริญถึงท่านอยู่ ว่ามีสติปัญญามาก ครั้นจะไปสนทนาด้วยท่าน ก็เป็นหนทางกันดาร ท่านมาบัดนี้เป็นบุญหนักหนา....เหมือนท่านเอาน้ำมาให้เรากิน ซึ่งหอบกระหายอยากก็จะคลาย...."
ว่าแล้วเจ้าของบ้านก็พาท่านทูตรูปทรามเข้าไปในเมือง จัดที่อันสมควรให้นั่ง แล้วก็แต่งโต๊ะเลี้ยงดูกันอีกรอบหนึ่ง เตียวสงก็เลยชักจะเคลิ้มไปกับการต้อนรับอัน โอ่อ่ามโหฬาร และให้เกียรติกันเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้อย่างมากมาย ซึ่งตรงข้ามกับที่ได้รับจากโจโฉราวฟ้ากับดิน
ในการสนทนากันวันนั้น เล่าปี่ก็แกล้งไม่ถามถึงความตั้งใจของเตียวสงในการมาเยือนเมืองเกงจิ๋วครั้งนี้ ได้แต่พูดจาเรื่องอื่น ๆ ยกยอกันไปมา แม้เตียวสง
จะพักอยู่ถึงสามวัน ก็ไม่ได้เจรจาความเมืองกันเลย เตียวสงจึงคำนับขออำลากลับบ้าน
เล่าปี่ก็คุมทหารออกมาส่งนอกเมือง ก่อนจะแยกกันก็จัดโต๊ะมาเลี้ยงอีก เล่าปี่ก็ทำเป็นร้องไห้เสียดายว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก
เตียวสงจึงตกหลุมในความอ่อนน้อมถ่อมตนของเล่าปี่เต็มตัว เผยความในใจว่า
"....ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ คิดว่าจะใคร่มาอยู่ด้วยท่านให้ใช้สอย แต่ว่ายังไม่ได้ท่วงทีชอบกลเลย อนึ่งท่านจะตั้งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ ก็เห็นจะไม่เป็นที่มั่นได้ ด้วยฝ่ายตะวันออกนั้น ซุนกวน ก็เป็นศัตรู ข้างทิศเหนือเล่า โจโฉ ก็จะมาย่ำยี ที่ไหนจะมีความสุข เหมือนท่านอยู่ในกลางใจไฟ..."
เล่าปี่ก็ว่าจนใจที่ทุกวันนี้ไม่มีที่ไหนจะเป็นที่อาศัยได้ดีกว่าเกงจิ๋ว เตียวสงก็หลวมตัวเข้าไปอีกว่า
"....อันเมืองเสฉวนนั้นภูมิฐานก็กว้างขวาง ผู้คนก็มาก ข้าวปลาอาหารสาระพัดจะบริบูรณ์ ผู้มีสติปัญญาทั้งปวงก็นับถือท่าน ว่ามีใจอารีรอบคอบอยู่แม้จะยกทหารไปตีเมืองเสฉวนนั้น แต่ชี้มือไปก็จะได้โดยง่าย...."
เล่าปี่ยังทำใจเย็นแย้งว่า อันเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ก็เป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ได้ทำนุบำรุงราษฎรมาช้านาน ใครจะไปทำร้ายได้ เตียวสงก็เลยเดินหน้าต่อไปว่า
"....ท่านว่านี้ก็ชอบกลอยู่ ข้าพเจ้านี้มิใช่คนขายเจ้าแต่ว่าได้ มาพบท่านแล้ว ก็มีความเอ็นดู จึงบอกตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ให้แจ้ง...."
แล้วก็อธิบายว่า เล่าเจี้ยงนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่เป็นคนโลเล ไม่มีสติปัญญา ไม่รู้จักเลี้ยงคนดี พอเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋งจะยกทัพมารุกราน ผู้คนก็รวนเร แต่ถ้าเป็นเล่าปี่ยกไป คนทั้งปวงก็จะมีความยินดี ตนเองซึ่งเดินทางมานี้ เดิมก็คิดว่าจะไปเข้าพวกโจโฉ แต่โจโฉโอหังถือตัว ลบหลู่ดูถูกสติปัญญา จึงแวะมาหาเล่าปี่และบอกความนี้ให้ ถ้าได้เมืองเสฉวนแล้ว จะคิดอ่านเป็นใหญ่ต่อไปก็คงจะสมปรารถนา
สุดท้ายก็แบไต๋ว่า
......แม้ท่านเต็มใจเอาเมืองเสฉวนมั่นคงจริง ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระทำการข้างในมิให้ขัดกัน..."
เล่าปี่ก็ขอบใจเป็นหนักหนา แต่จนใจด้วยเล่าเจี้ยงเป็นคนแซ่เดียวกัน ขืนทำอย่างนั้นคนทั่วไปก็จะนินทาเอาได้ เตียวสงก็แก้ว่า
".....อันธรรมดาเกิดมาเป็นชาย เมื่อปรารถนาจะ เป็นใหญ่ แม้ได้ทีที่ไหนก็จะทำการที่นั้น อันจะคิดรั้งรออยู่กลัวแต่ความนินทาฉะนี้ นานไปเมื่อหน้าเป็นของผู้อื่นแล้ว จะคิดอ่านทำการต่อภายหลัง ก็จะมิได้ความเดือดร้อนเสียใจอยู่หรือ...."
เล่าปี่ก็ว่าเมืองเสฉวนนั้นลู่ทางกันดารเป็นซอกห้วยธารเขา เดินทางก็ ลำบากยากเย็น จะแก้ไขอย่างไรดี เตียวสงก็เลยควักเอาแผนที่เมืองเสฉวน ส่งให้
เสียเลย ให้ไปดูเอาเองว่าที่ไหนทางไหนเป็นอย่างไร ได้เขียนบอกไว้ในแผนที่อย่างละเอียดแล้ว
แถมยืนยันว่าในเมืองเสฉวนยังมีเพื่อนที่ไว้ใจได้อีกสองคน คือ หวดเจ้ง กับ เบ้งตัด วันหลังจะส่งตัวมาติดต่อด้วย เล่าปี่ก็ยกมือขึ้นคำนับ และยกบุญยอคุณเป็นการใหญ่ แต่เตียวสงก็ตอบว่า
"...ตัวข้าพเจ้านี้ มีความปรารถนาจะหามูลนายที่ดี มีน้ำใจอารีอารอบ ก็ได้เหมือนใจ.....ที่จะตั้งใจให้ท่านทดแทนคุณนั้นหามิได้...."
ว่าแล้วก็คำนับลาไป เล่าปี่ก็ให้กวนอูคุมทหารตามไปส่งถึงร้อยเส้น จึงกลับ
เมื่อเตียวสงกลับไปถึงเมืองเสฉวน ก็แอบไปหา หวดเจ้ง กับเบ้งตัดสองเพื่อนรักก่อน เล่าเรื่องที่ได้ยกเมืองเสฉวนให้เล่าปี่ไปแล้ว เมื่อได้ฟังแล้วต่างก็เห็นชอบด้วยกันเป็นเสียงเดียว
แล้วเตียวสงจึงเข้าไปหาเล่าเจี้ยง เล่าเรื่องให้ฟังว่าได้ไปหาโจโฉที่เมืองหลวงแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะ
"....โจโฉนั้นเป็นศัตรูแผ่นดิน มีน้ำใจอันหยาบช้านัก อันความชั่วของ โจโฉ จะพรรณามิรู้สิ้น บัดนี้ก็มีน้ำใจกำเริบจะมา ทำร้ายแก่เมืองเราอีก....."
เล่าเจี้ยงก็หารือว่าจะทำอย่างไรดี เตียวสงก็แนะให้เป็นไมตรีกับเล่าปี่เสีย เพราะเมื่อจิวยี่เผากองทัพของโจโฉเสียหายไปแปดสิบสามหมื่น ที่ปากอ่าวเมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่ก็มีส่วนช่วยทำการด้วย โจโฉจึงกลัวความคิดของเล่าปี่อยู่ คราวนี้ก็จะได้มาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน และเตียวฬ่อก็จะไม่สามารถมาทำร้ายได้
เล่าเจี้ยงก็เห็นด้วยตามเคย เพราะคิดจะมีไมตรีต่อคนแซ่เดียวกันอยู่แล้ว เตียวสงจึงเสนอให้หวดเจ้งถือหนังสือไปให้เล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว ขอให้ยกทหารมาช่วยป้องกันเมืองเสฉวน และให้เบ้งตัดคุมทหารห้าพัน ยกไปคอยรับเล่าปี่ที่กลางทาง ถ้า เล่าปี่มาถึงเมื่อใด ก็ให้เชิญเข้ามาในเมืองเสฉวนได้เลย
มีที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงอีกคนหนึ่ง ชื่ออุยก๋วนรู้ว่าเล่าเจี้ยงจัดแจงจะดำเนินการตามที่เตียวสงแนะนำ ก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบจากบ้านมาถึงเหงื่อท่วมตัว
ร้องคัดค้านว่า ทำไมจึงมาเชื่อเตียวสง เอาเมืองเสฉวน และเมืองบริวารอีกสิบเอ็ดหัวเมือง ไปยกให้ผู้อื่นเสียอย่างง่ายดาย
เล่าเจี้ยงก็ว่าเล่าปี่เป็นคนแซ่เดียวกัน หวังจะให้มาช่วยป้องกันรักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข อุยก๋วนก็แย้งว่า
"...เล่าปี่กับท่านเป็นแซ่เดียวกันก็จริงแต่ว่าเป็นคนเจ้าปัญญาความคิดแยบคายนั้นมาก เหมือนหนึ่งเสือเฒ่าจำศีล แสร้งทำน้ำใจอารีรอบคอบ ให้คนนับถือ ลือชาปรากฎ เห็นแต่ภายนอกมิรู้ก็ว่าดี อันน้ำใจเล่าปี่นั้นคด....."
แล้วชี้แจงต่อไปว่า เล่าปี่นั้นยังมีขงเบ้ง และเดี๋ยวนี้ก็ได้บังทองเป็นที่ปรึกษาอีก มีกวนอู เตียวหุย จูล่ง อุยเอี๋ยน ฮองตง เป็นทหารเอกมีฝีมือเข้มแข็ง ถ้าเข้ามาแล้วก็เหมือนเอาราชสีห์มาไว้ในกรง เหมือนช้างน้ำมันอยู่โรงเดียวกัน ก็คงจะอยู่ไม่ได้ ชักสงสัยว่าเตียวสงจะคิดไม่ซื่อ ไปพูดจาตกลงทำสัญญา ยกเมืองให้เล่าปี่ไปเสียแล้วก็ได้ จึงมาล่อลวงท่านอย่างนี้ ขอให้จับเตียวสงฆ่าเสีย
อันเมืองเสฉวนนี้เป็นเมืองภูเขา ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาย่ำยีได้ ทั้งโจโฉและเตียวฬ่อ ไม่เห็นจะยากแค่รักษาด่านไว้ไม่ให้ผ่านได้ ก็จะเบื่อหน่ายใจยกกลับไปเอง
เล่าเจี้ยงไม่ยอมเชื่ออ้างว่า
"...อันธรรมดาศึกมาติดเมืองจวนจะได้แล้วจะถอยเสียนั้น ก็หามีอย่างไม่ เหมือนเพลิงลามไหม้ติดขนคิ้ว ร้อนจักษุอยู่แล้ว จะมิดับเสีย และจะนั่งอยู่ให้เพลิงดับเองนั้นได้หรือ...."
ที่ปรึกษาอีกคนชื่อ อองลุย ก็ช่วยห้ามว่า ถ้าเชื่อเตียวสงจะมีอันตรายแน่เพราะ
"....เตียวฬ่อนี้ถึงจะเป็นศัตรูท่านก็เหมือนกับหูดสิว อันเป็นที่ภายนอก แต่จะเอาเล็บสกิดเสียก็จะหายไป อันเล่าปี่จะเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองนั้น เหมือนวัณโรคอันเป็นยอดขึ้นในอก ยากที่จะรักษาได้ ด้วยเล่าปี่อันเป็นคนอกตัญญูมิได้รู้จักคุณคน โจโฉเอาไปเลี้ยงไว้ ยังกลับคิดร้ายแก่ผู้มีคุณ แล้วไปอาศัยซุนกวนเล่า ก็ชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว....."
เล่าเจี้ยงก็ตวาดเอาว่า เล่าปี่เป็นคนแซ่เดียวกัน ที่ไหนจะคิดทำร้ายพี่น้อง แล้วให้ทหารจับตัวสองที่ปรึกษาฝ่ายค้านออกไปเสีย และเร่งให้ดำเนินการต่อไปตามที่เตียวสงแนะนำเป็นการด่วน
เมื่อ หวดเจ้ง ไปถึงเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็จัดการต้อนรับ เป็นอย่างดี เอาอกเอาใจเหมือนอย่างที่ทำกับเตียวสง และคิดที่จะยกไปเมืองเสฉวนตามคำเชิญ แต่ก็ยังเกรงคำครหานินทาว่าเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ แย่งชิงเอาจากญาติแซ่เดียวกัน เป็นการผิดธรรมเนียม ใจคอก็รวนเรอยู่
จนได้บังทองยุยงส่งเสริมว่า
".....อันซึ่งท่านตั้งอยู่ในความสัตย์นี้ ก็เป็นที่เทวดามนุษย์สรรเสริญควรอยู่แล้ว แต่แผ่นดินทุกวันนี้มิได้เป็นปรกติเกิดจลาจลต่างๆ คนกุมอาวุธรักษาตัวมิวางมือ ซึ่งท่านจะถือความสัตย์ให้มั่นคงอยู่นั้นก็มิได้ธรรมดาภัยมาถึงตัว ก็ย่อมรักษาตัวก่อน...."
เล่าปี่ก็เลยตัดสินใจเด็ดขาด ให้เกณฑ์กองทัพยกไปกับบังทอง อุยเอี๋ยน ฮองตง ส่วนขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ให้อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว พอยกกองทัพไปได้ ประมาณสองพันเส้นก็พบ เบ้งตัด คุมทหารห้าพันมาคำนับรับรอง แล้วแจ้งให้เล่าเจี้ยงทราบ เล่าเจี้ยงก็เตรียมขบวนแห่ จะออกมารับเล่าปี่ที่ตำบลโปยเสีย
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
6 ก.ค. 49 05:33:09
]