ความคิดเห็นที่ 1 คำว่า "เลซอง" (Liaison) อาจจะฟังแปลกหู ถ้าแปลเป็นภาษาไทยว่า "เจ้าหน้าที่ประสานงาน" หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวกแก่พระประมุขระหว่างที่ทรงประทับอยู่ในเมืองไทย ตั้งแต่เสด็จลงจากเครื่องบินกระทั่งส่งเสด็จนิวัติประเทศ ในงานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากมีพระประมุขและตัวแทนพระองค์เสด็จฯมาร่วมงานถึง 25 ราชวงศ์ จึงต้องมีการเตรียมการถวายการต้อนรับ ถวายการอารักขาอย่างสมพระเกียรติ ฉะนั้น ผู้ที่รับหน้าที่เป็นเลซองจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นระดับเอกอัครราชทูต ผู้อำนวยการกองต่างๆ จากกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังจัดทีมไว้ประจำแต่ละโรงแรมที่ประทับด้วย มีหัวหน้าคณะเป็นระดับรองอธิบดีไว้ประสานงาน หากพระประมุขแต่ละประเทศทรงมีพระราชประสงค์ใดเป็นพิเศษเกี่ยวกับที่ประทับ เมื่อแต่ละพระองค์เสด็จเข้าที่ประทับ เลซองจะอยู่ประจำห้องปฏิบัติการที่ตั้งขึ้นเพื่อเตรียมรับภารกิจต่างๆ ที่จะเข้ามา ติดต่อยืนยันหมายกำหนดการต่างๆ ทั้งในส่วนงานพระราชพิธี และหมายส่วนพระองค์ รวมถึงต้องเตรียมเอกสาร หรือสิ่งของต่างๆ ที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เนื่องจากเป็นการรวมพระราชวงศ์จากทั่วโลก จึงมีการเสด็จฯพบปะกัน เลซองต้องคอยประสานงานอำนวยความสะดวก เพราะการเสด็จฯพบกันนั้น บางครั้งไม่ใช่หมายล่วงหน้าที่มีการกำหนดไว้แน่นอนมาก่อน ชาญ จุลมนต์ ผู้อำนวยการกองสันติภาพความมั่นคงและการลดอาวุธ กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเลซองประจำพระประมุขประเทศสวาซิแลนด์ เล่าว่า ที่หลายๆ คนให้ความสนใจคือ ผู้ตามเสด็จฯที่ใส่ชุดประจำชาติสวาซิแลนด์ และมีการร้องตะโกนเป็นภาษาท้องถิ่น บางคนเข้าใจว่าเป็นหมอผีปัดรังควาน เจ้าหน้าที่ทางสวาซิแลนด์อธิบายว่า จริงๆ แล้วเป็นการถวายพระพรให้พระมหากษัตริย์แคล้วคลาดจากภัยอันตราย ให้มีความเจริญ ขณะเดียวกันก็เป็นการย้ำเตือนว่าพระประมุขมาจากเผ่าพันธุ์ใด บรรพบุรุษของพระองค์ที่สวรรคตไปแล้วนั้นได้เฝ้าดูอยู่ ขอให้พระองค์ได้มีทศพิธราชธรรมในการบริหารแผ่นดินให้ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และผู้ที่สวมชุดประจำเผ่าที่เห็นก็ไม่ใช่ผู้ติดตามธรรมดาๆ แต่เป็นถึงเจ้าชาย ที่เป็นพระญาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและการค้า และเอกอัครราชทูตสวาซิแลนด์ประจำประเทศไทย ถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ "พิธีนี้จะทำทุกแห่งที่กษัตริย์ปรากฏพระองค์ ออกจากที่หนึ่งที่ใดก็จะร้องถวายพระพร เช่นที่โรงแรม เข้าห้องเสวย เข้าห้องแสดงนิทรรศการ ผมสังเกตว่าคนรอบข้างทั้งที่ใส่ชุดประจำเผ่าและไม่ได้ใส่ชุดประจำเผ่า ก็จะช่วยกันร้องตะโกนในภาษาท้องถิ่นของเขา ซึ่งตอนแรกคนที่เห็นอาจจะรู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงคนตะโกนร้อง แต่พอครั้งที่สองครั้งที่สามก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องวัฒนธรรมของเขา" ผอ.ชาญอธิบาย จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ด้าน ภัทราวรรณ เวชชศาสตร์ ผู้อำนวยการกองสนเทศเศรษฐกิจ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเลซองมกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เล่าถึงเจ้าชายที่ทรงกุมหัวใจของสาวไทยในขณะนี้ว่า ทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม "ท่านทรงเขียนแถลงการณ์ส่วนพระองค์ถึงในหลวง ซึ่งท่านทรงเขียนเดี๋ยวนั้นเลย ทรงบรรยายว่าตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทรงรู้จักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากเพื่อนคนไทย และก็ได้ทรงติดตามพระกรณียกิจของพระองค์มาโดยตลอด ทรงประทับพระหทัย และมีดำริว่า ในหลวงของเราเป็น Treasure of Thailand (สมบัติของแผ่นดิน) และท่านจะทรงดำเนินรอยตามพระองค์ท่าน ตอนที่ท่านประทับที่ภูเก็ต ท่านได้เข้าเฝ้าพระราชาและพระราชินีจากสวีเดน ซึ่งตอนนั้นเลซองฝ่ายสวีเดนบอกดิฉันมาว่าให้แต่งกายในชุดลำลองไปเฝ้าฯ พอถึงเวลานัด ท่านเดินออกมา ท่านใส่สูท เจ้าหน้าที่ภูฏานว่าพระองค์มีพระประสงค์จะแสดงความเคารพกษัตริย์และราชินีสวีเดน "ท่านเป็นผู้ที่มีน้ำพระทัยมาก ทรงห่วงเจ้าหน้าที่ที่ถวายการรับเสด็จเสมอ ทุกวันหลังจากเราส่งท่านถึงที่ประทับแล้ว ท่านจะเดินย้อนออกมาเพื่อที่จะบอกว่าขอบคุณ ท่านตรัสแบบนี้ทุกวัน" ผู้อำนวยการภัทราวรรณเล่าถึงความเป็นเจ้าชายในฝันของสาวไทยว่า เริ่มรู้สึกว่าเจ้าชายทรงเป็นที่สนอกสนใจของประชาชนตั้งแต่ขบวนรถผ่านถนนราชดำเนิน แล้วประชาชนได้เห็นพระพักตร์ท่านใกล้ๆ แล้วสื่อก็เริ่มลงรูปเยอะขึ้นๆ "ยิ่งตอนที่เสด็จฯไปภูเก็ตเป็นการส่วนพระองค์ ปรากฏว่า สาวๆ มาอยู่เต็มสองข้างทางตอนที่ท่านจะขึ้นเรือ ท่านก็ทรงยกมือไหว้หมด "มีสื่อมวลชนจำนวนมากขอสัมภาษณ์เจ้าชายจิกมี แต่ทรงมีกำหนดการของพระองค์ ก็เลยไม่ประทานให้สัมภาษณ์ใครเป็นการเฉพาะ "ท่านคงทราบว่าท่านเป็นที่สนใจ แต่ดิฉันคิดว่าท่านคงไม่ได้ทรงมองว่าตัวเองป๊อปปูล่าร์ มากไปกว่าเป็นการทำให้ประเทศภูฏานเป็นที่รู้จักมากกว่า "อย่างวันสุดท้ายที่ประทับอยู่ในเมืองไทย ทางสถานทูตภูฏานบอกดิฉันว่า ท่านทรงโทร.มาขอบคุณ ท่านทรงมีความสุขมาก และเป็นความสำเร็จที่ท่านก็ไม่ได้คาดคิด กลายเป็นพระองค์ท่านที่ทำให้ประเทศภูฏานเป็นที่รู้จักของคนไทย แล้วก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูฏานดีขึ้น "เวลานี้คนสนใจประเทศภูฏานเพิ่มมากขึ้น ถึงขนาดมีสื่อจะไปทำหนังสือเกี่ยวกับภูฏาน เขาโทร.มาถาม ก็เลยบอกว่าต้องติดต่อผ่านสถานทูตภูฏานประจำประเทศไทย" ทางด้าน นริศโรจน์ เฟื่องระบิล ผู้อำนวยการกองวัฒนธรรมสัมพันธ์ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เลซองในสมเด็จพระราชินีโซเฟีย ตัวแทนพระองค์จากประเทศสเปน และ พลอย คุ้มทุกทิศ เจ้าหน้าที่การทูต 3 กองวัฒธรรมสัมพันธ์ ผู้ช่วยเลซอง เล่าถึงความประทับใจกับการทำหน้าที่ครั้งนี้ว่า นอกจากเสด็จฯมาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติแล้ว ท่านได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of the Golden Fleece เป็นเครื่องราชฯตระกูลหนึ่งซึ่งเก่าแก่และหายาก และมีบุคคลที่ได้ครอบครองมีจำนวนน้อย แสดงถึงความเป็นมิตรของราชวงศ์ชั้นสูง "เป็นความปลาบปลื้มของทั้งผมและพลอย ที่ได้เห็นเครื่องราชฯ ซึ่งโอกาสที่คนธรรมดาได้เห็นก็ยังมีน้อย แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของสเปนเองเขาก็ยังมาขอดู เพราะยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน" ผ.อ.นริศโรจน์เล่าต่อไปว่า พระองค์ท่านทรงเป็นกันเอง และทรงเรียบง่าย ไม่ถือพระองค์ อย่างวันหนึ่งเราก็จัดขบวนรถไว้ ปรากฏท่านมีพระประสงค์จะเสด็จ (เดิน) ไปเอง ทรงเดินไปตามฟุตปาธไปเรื่อยๆ แม้จะอากาศร้อนแค่ไหน เราก็ถวายอารักขาเต็มที่ ระหว่างทางเดินสวนกับคณะของกษัตริย์สวีเดน ท่านทรงสัมผัสพระหัตถ์กับพระราชินีซิลเวีย แล้วก็หันไปจับมือกับตำรวจเกียรติยศ ซึ่งเป็นตำรวจไทย ตำรวจก็ตกใจ ถอดหมวกไม่ทันเลย หรืออย่างมีอยู่วันหนึ่งท่านทรงมีพระประสงค์เฟอร์นิเจอร์ไปประดับพระตำหนัก เป็นตู้ที่มีความลดหลั่นเป็นชั้นๆ ทอดพระเนตรหาตามนิตยสาร ทราบว่ามีที่ร้าน Yesterday Once Again ฟังจากชื่อร้านเราก็นึกว่าจะเป็นร้านบูติคที่แต่งสวยงาม สุดท้ายไปพบว่าเป็นร้านกึ่งโรงงานห้องแถว เป็นขายส่ง ไม่มีโชว์รูม เป็นร้านเปิดโล่งแล้วมีป้ายไม้เก่าๆ เขียนชื่อร้าน "ร้านค่อนข้างโทรม แต่ท่านก็เสด็จฯไป ไม่ถือพระองค์ ชาวบ้านแถวนั้นรู้ว่าราชินีสเปนเสด็จฯมาก็ยืนเข้าแถวกันเต็ม หาดอกไม้เท่าที่มีมาถวาย บางคนเอามาเป็นกระถาง พอท่านเสด็จฯกลับ เจ้าหน้าที่จากสเปนหอบหิ้วดอกไม้กลับกันพะรุงพะรังเลย ส่วนมากจะเป็นมาลัย รู้สึกว่าท่านจะเก็บกลับหมด เพราะท่านโปรดมาลัยไทย" ทางด้านพลอยเล่าเสริมว่า วันที่เสด็จฯกลับจากทอดพระเนตรขบวนเรือ ระหว่างประทับในรถ ทอดพระเนตรตำรวจเกียรติยศของเราใส่ริสท์แบนด์ "เรารักในหลวง" ตรัสถามว่าอะไร พอดีตำรวจเกียรติยศมีก็เลยเอามาถวาย ท่านทรงใส่เลย และมีรับสั่งซื้ออีกประมาณ 20 อัน "เมื่อท่านเสด็จฯกลับโรงแรมโอเรียนเต็ล วันนั้นที่โอเรียนเต็ลเป็นงานชุมนุมพระราชวงศ์ คือจะแบ่งออกเป็นราชวงศ์รุ่นชันษาเยาว์และรุ่นชันษาสูง วันนั้นเราได้เฝ้ากษัตริย์ต่างๆ แบบสมใจนึกเลย เพราะมีถึง 14 พระราชวงศ์ จะแบ่งเป็นโซนๆ ถ้าห้องแบมบู บาร์ เป็นห้องฟังเพลงแจ๊ซ หรือห้องดินเนอร์บุฟเฟ่ต์ จะมีเจ้าชายภูฏาน เจ้าชายนอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยียม โมร็อกโก แล้วท่านจะเป็นกันเองมาก เดินตักข้าวกันเอง เสร็จแล้วก็นั่งคุยกันเฮฮา "ส่วนรุ่นชันษาสูงจะอยู่ที่ห้องรีเจนซี่ รูม จะมีกษัตริย์ ราชินี สวีเดน พระจักรพรรดิ พระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่น และพระราชินีโซเฟีย ซึ่งเลซองต้องประสานว่าพระองค์จะเสด็จฯทางไหน เมื่อเสด็จฯถึงโรงแรมแล้วต้องจัดเตรียมห้องรับรองไว้หรือไม่ ฯลฯ "ถ้าฟังวิทยุสื่อสารแล้วจะสนุกมาก เพราะเดี๋ยวก็บอกว่า ขบวนรถคันนี้มาแล้ว คนนี้มาแล้ว" ผู้ช่วยเลซองเล่าด้วยความประทับใจ สำหรับสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2 บิน อัล-ฮุสเซน แห่งราชอาณาจักรอัชไมต์จอร์แดน แม้จะประทับอยู่ในเมืองไทยเพียง 2 วัน คือ 12-13 มิถุนายน แต่ ศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองอาเซียน 3 กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า ช่วงเวลาที่ได้ถวายงานในฐานะเลซองประจำพระองค์ เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต "ทรงมีพระจริยวัตรงดงาม ไม่ทรงถือพระองค์ พระพักตร์มีรอยยิ้มตลอดเวลา ส่วนในเรื่องการทรงงาน ทรงมีแนวคิดในเรื่องการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนมาก จึงทรงชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักเช่นกัน "ดังนั้น แม้จะต้องเสด็จฯกลับจอร์แดนในคืนวันที่ 13 มิถุนายน เพราะต้องทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่จอร์แดนในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เสด็จฯเข้าร่วมงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ "ทางราชสำนักจอร์แดนประทับใจกับการต้อนรับและเตรียมการของฝ่ายไทยมาก เพราะเข้าใจว่าเราประสานงานให้เต็มที่แล้ว จึงไม่มีปัญหา "ตอนส่งเสด็จแล้วประตูเครื่องบินปิด ผู้ช่วยเลซองของผมบอกเลยว่า เห็นเครื่องบินขึ้นแล้วน้ำตาจะไหล คือโล่งใจที่ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรบกพร่อง และดีใจ ปลื้มใจที่ได้ถวายงานแด่องค์พระประมุขที่เสด็จฯมาร่วมถวายพระเกียรติในหลวงของเรา งานนี้จะสำเร็จไม่ได้ถ้าทุกฝ่ายไม่ช่วยกัน และต้องขอบคุณทีมเลซองของผมด้วย" ผ.อ.ศศิวัฒน์บอกยิ้มๆ สิ่งที่ได้จากงานนี้ยังมีมิตรภาพแถมมาอีก มีการชักชวนให้เยี่ยมเยียนกันและกันหลังงานพระราชพิธี "เมื่อก่อนผมมีความรู้เกี่ยวกับจอร์แดนน้อยมาก แต่จบงานนี้ผมรู้จักมากขึ้น มีเพื่อนเป็นคนจอร์แดน รู้สึกว่าจอร์แดนไม่ใช่ประเทศที่ไกลเลย" ผ.อ.ศศิวัฒน์ปิดการสนทนาด้วยความประทับใจ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นพระประมุขอีกประเทศที่เสด็จฯร่วมงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มี พิษณุ สุวรรณะชฏ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเลซองประจำพระองค์ ตลอดเวลา 4 วันที่มีโอกาสถวายงาน ผอ.พิษณุบอกว่า พระองค์ทรงตรงเวลามาก ก่อนถึงเวลาตามหมายกำหนดการของพระองค์ เลซองจะทูลเชิญพระองค์ผ่านราชเลขาธิการของพระองค์ ไม่เกิน 10 นาที ก็ทรงพร้อมเสด็จฯตรงเวลาตามที่กำหนดในหมาย กษัตริย์กัมพูชายังทรงโปรดความเรียบง่าย พระองค์ทรงเคารพ ศรัทธา และเชื่อมั่นในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก ระหว่างที่ประทับในไทย พระองค์ไม่ทรงมีพระราชประสงค์อื่นใดนอกเหนือจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพระราชทาน หรือรัฐบาลไทยจัดถวาย ทรงโปรดที่จะใช้เวลาในห้องประทับ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี พระองค์ทรงโปรดศิลปะ ดังนั้น ทีมเลซองจึงจัดดีวีดีภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ คอนเสิร์ตเพลงคลาสสิค การแสดงนาฏศิลป์ต่างๆ ฯลฯ จำนวนมาก เพื่อให้พระองค์ทอดพระเนตร ส่วนทางโรงแรมก็เปลี่ยนโทรทัศน์ให้เป็นจอพลาสมา เพื่อให้พระองค์ทรงทอดพระเนตรอย่างสำราญมากขึ้น ทั้งยังจัดเครื่องออกกำลังกายไว้ในที่ประทับด้วย "พระองค์ทรงโปรดเสวยพระกระยาหารเพียงวันละมื้อ ที่ทรงโปรดมากคือก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และสลัดผัก ส่วนขนมหวานทรงโปรดข้าวเหนียวมะม่วงน้ำดอกไม้ "เราซื้อข้าวเหนียวร้านที่รสชาติหวานมันกลมกล่อมแถวทองหล่อ ส่วนมะม่วงซื้อแถวตลาด อ.ต.ก. วันที่จะเสด็จฯกลับ เจ้าหญิงอรุณรัศมี พระภคินีในกษัตริย์กัมพูชา ทรงมีรับสั่งว่าอร่อยมาก คณะทำงานจึงซื้อข้าวเหนียว 3 กิโลกรัม และมะม่วงน้ำดอกไม้ 1 กล่องใหญ่ ตอนแรกคนขายไม่รู้ว่าเราซื้อให้ใคร ไปบอกทีหลัง เขาดีใจมาก" ผอ.พิษณุเล่า กษัตริย์กัมพูชายังทรงมีพระจริยวัตรงดงาม เวลาที่ทรงเสด็จเข้า-ออกห้องบรรทมทุกครั้ง ก็จะทรงยิ้มแย้ม ทรงทักทายคณะทำงานตลอด ทรงหยุด และหันมาขอบพระทัยทุกคนที่ถวายงาน บางครั้งทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาพนมมือรับไหว้ ทำให้ทุกคนที่เห็นประทับใจในความไม่ถือพระองค์ และความเป็นกันเองของพระองค์ วันสุดท้ายก่อนเสด็จฯกลับกัมพูชา พระองค์ทอดพระเนตรเห็นตนดูแลความเรียบร้อยอยู่ จึงให้เข้าเฝ้าฯ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังพระราชทานของที่ระลึกแก่คณะฝ่ายไทย "ผมได้รับพระราชทานขันน้ำและพานรองเงินแท้ ถึงจะเป็นขันเปล่า แต่ผมคิดว่าบรรจุน้ำพระทัยไว้เต็มเปี่ยม" ผอ.พิษณุเล่าด้วยความปลาบปลื้ม ส่วนเลซองประจำสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตแห่งประเทศญี่ปุ่นคือ สิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 4 กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เล่าว่า ตลอดเวลาที่ได้ถวายงาน ผ.อ.สิงห์ทองพบว่า ทั้ง 2 พระองค์ทรงมีพระจริยวัตรงดงามมาก ไม่ทรงถือพระองค์ และทรงมีความรอบรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยเป็นอย่างดี "เมื่อพระองค์เสด็จฯศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา จะมีส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงการค้าระหว่างอยุธยา-ญี่ปุ่น ทรงซักถามอย่างคล่องแคล่ว ทรงทราบถึงพระนามและความสำคัญของกษัตริย์อยุธยาหลายพระองค์ ทรงทราบชื่อชาวญี่ปุ่นที่มารับราชการสมัยนั้น พระองค์ใส่พระทัยกับการบรรยาย และสถานที่ที่เสด็จฯไปอย่างมาก" ผอ.สิงห์ทองกล่าว ก่อนเสด็จฯกลับ สมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี ทรงโปรดฯให้คณะทำงานฝ่ายไทยเข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาถึง 20 นาที "ทรงเล่าถึงความประทับใจในการเสด็จฯเยือนไทยครั้งก่อนๆ และครั้งนี้ ทรงตรัสว่าฝ่ายไทยเตรียมการต้อนรับดีมาก ทรงชมด้วยว่า ขบวนเรือพระราชพิธีงดงามมาก "ทางญี่ปุ่นบอกว่า ตามปกติเมื่อพระองค์เสด็จฯต่างประเทศ จะทรงใช้เวลาประทับในประเทศนั้นๆ อย่างนานก็ 3 คืน 4 วัน แต่ครั้งนี้ประทับในเมืองไทยถึง 4 คืน 5 วัน นับเป็นสถิติใหม่" ผอ.สิงห์ทองเล่า งานนี้ไม่ใช่แค่เลซองที่ประทับใจ เพราะชาวไทยทั้งประเทศก็อยู่ในความรู้สึกเดียวกันด้วย จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10345 เตรียมประมูลเบนซ์ราชอาคันตุกะ เดมเลอร์ฯเชิญชวนเศรษฐีลงชื่อจอง อ้อนรัฐลดภาษีดึงราคาไม่ให้แพงเกิน เดมเลอร์ฯได้ฤกษ์ประมูลขายเบนซ์รับพระราชอาคันตุกะทั้ง 28 คัน เปิดให้เศรษฐีที่สนใจลงทุนได้แล้ว พร้อมนำรายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯถวาย "เบนซ์ ทองหล่อ"เผยรถเจ้าชายจิกมีฯถูกหมายตามากที่สุด อ้อนรัฐลดภาษีหนุน ไม่งั้นราคาประมูลแพงลิ่ว เกินคันละ 11 ล้านแน่ แหล่งข่าวจากบริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ตัดสินใจนำรถเบนซ์ เอสคลาส 350 ที่ใช้รับรองพระราชอาคันตุกะที่มาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประมาณ 28 คัน มาเปิดประมูลให้กับลูกค้าที่สนใจ โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดว่าจะใช้วิธีการประมูลอย่างไร ซึ่งรถแต่ละคันที่นำออกประมูลจะมีการระบุด้วยว่าถูกใช้รองรับราชอาคันตุกะจากประเทศใด โดยบริษัทจะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการประมูลขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดให้ผู้ในสนใจเข้าร่วมประมูลสามารถมาลงชื่อกับดีลเลอร์ของบริษัทแล้ว คาดว่าจะมีผู้สนใจจำนวนมาก นายวสันต์ โพธิพิมพานนท์ ประธานกรรมการบริษัท เบนซ์ ทองหล่อ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เบนซ์ ทองหล่อเป็นดีลเลอร์ของเดมเลอร์ฯ ได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าสนใจจะเข้าร่วมประมูลจำนวนมาก แต่กำลังรออยู่ว่าทางรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนในการลดภาษีรถล็อตดังกล่าวลงมาเหลือเท่าไร เพราะหากตั้งราคาประมูลเริ่มต้นตามราคาปกติ คือ ประมาณ 11 ล้านบาทนั้น มีผู้สนใจร่วมประมูลบางรายเห็นว่าเป็นราคาค่อนข้างสูง จึงเห็นว่าควรมีการลดภาษีลงมา ส่วนจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะพิจารณา "ก่อนหน้านี้เคยมีการหารือกับภาครัฐเช่นกันว่าจะช่วยลดภาษีลงมา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป นอกจากนี้ จากการสอบถามลูกค้าบางรายมีความสนใจจะจองราชพาหนะของเจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏานด้วย" นายวสันต์กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เดมเลอร์ไครสเลอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้เสนอตัวนำรถยนต์เบนซ์ เอสคลาส 350 สำหรับใช้รับรองพระราชอาคันตุกะที่เสด็จฯมาร่วมในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 9-12 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นรถจำนวนทั้งสิ้น 28 คัน เป็นสีบรอนซ์เงินและสีดำ โดยเป็นรถที่นำเข้าเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเดิมบริษัทกำหนดว่าหลังเสร็จพระราชพิธีจะมีการนำรถยนต์ส่งกลับไปจำหน่ายในประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยด้านขวาเหมือนกับประเทศไทย แต่ปรากฏว่ามีผู้สนใจแสดงความจำนงจองซื้อรถดังกล่าวเข้ามาจำนวนมาก จึงทำให้ทางบริษัทตัดสินใจที่จะเปิดประมูลขาย แต่มีขั้นตอนในการประมูลค่อนข้างมาก เนื่องจากจะต้องขออนุญาตไปยังประเทศที่มีพระราชอาคันตุกะเข้าร่วมในพระราชพิธี ทำให้มีขั้นตอนขออนุญาตผ่านสถานทูตหลายแห่ง ทำให้ขั้นตอนการประมูลล่าช้า ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดแถลงข่าวในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10327 เจ้าชายตองกาเทิดทูน"ในหลวง" ทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย "ธงทอง"เผยมกุฎราชกุมาร"ตองกา"ยกย่อง"ในหลวง"เป็นพระมหากษัตริย์ประชาธิปไตย ชท.วอนพ่อค้าแม่ค้าอย่าฉวยโอกาส ค้ากำไรเกินควรจากของที่ระลึกครองราชย์ 60 ปี นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง "พระราชอำนาจพระมหกษัตริย์ไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใจความตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงนำหลักนิติศาสตร์ มาใช้ในบริหารพระราชภาระของพระองค์ ตามหลักประชาธิปไตยมาโดยตลอด ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ 60 ปี ที่ผ่านมา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงศึกษาค้นคว้าหลักของประชาธิไตยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยพระองค์เอง เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวของประเทศไทยที่อยู่ภายใต้หลักประชาธิปไตย "ตั้งแต่วันแรกที่ในหลวงขึ้นครองราชย์ไม่มีวันใดที่ทำให้ประชาชนชาวไทยผิดหวัง ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถ้านึกถึงพระเจ้าอยู่หัวสมัยอยุธยามีไม่กี่พระองค์ที่เราจำได้ แต่องค์ที่จำได้จนถึงปัจจุบันเพราะพระองค์ทำคุณงามความดี ผมมีโอกาสได้เข้าเฝ้าถวายงานมกุฎราชกุมาร ประเทศตองกา ซึ่งพระองค์รับสั่งถึงในหลวงของเราว่า จากการศึกษาประวัติของในหลวงพบว่า พระองค์เริ่มทรงสนใจด้านวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อพระองค์ต้องขึ้นครองราชย์ จึงหันมาศึกษาด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ แต่พระองค์ไม่ได้เรียนเพื่อเอาปริญญา ไม่มีพระมหากษัตริย์ในโลกนี้เรียนเพื่อเอาปริญญา พระองค์เรียนเพื่อปฏิบัติงานในภาระหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราช เพราะไม่ว่าจะระบบการปกครองแบบใดจำเป็นต้องใช้กฎหมายในการทำงานบริหารพระราชาภาระทั้งสิ้น" นายธงทองกล่าว และว่าช่วงขึ้นครองราชย์ เคยรับสั่งกับสื่อมวลชนต่างประเทศว่าสถาบันพระมหากษตริย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่แข็งตรึงอยู่กับที่ตลอดไป นายธงทองกล่าวว่า เราควรระมัดระวังในเรื่องพระราชอำนาจเพราะพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องสอดคล้องกับประชาธิปไตย อย่าได้สับสนกับวิถีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวในหลวงยังทรงระมัดระวังพระองค์เอง น.ส.ปอรรัชม์ ยอดเณร รองโฆษกพรรคชาติไทย กล่าวว่า พรรคชาติไทยได้รับร้องเรียนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการจำหน่ายของที่ระลึกเนื่องในวโรกาสในหลวงทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ได้แก่ เสื้อ เหรียญ ธนบัติ แสตมป์ทอง ถือเป็นการค้ากำไรเกินควร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้พ่อค้าแม่ค้าอย่าฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากความจงรักภักดีต่อในหลวง ด้านนายพัลลภ สันติพันธุ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์การถ่ายภาพประจำประเทศไทย บริษัท โกดัก (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากงานเสร็จสิ้นพระราชพิธีเฉลิมฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จนถึงขณะนี้ประชาชนจำนวนมากสนใจจัดเก็บภาพถ่ายในงานพระราชพิธีต่างๆ ทั้งไว้บูชาและเป็นที่ระลึก โดยเฉพาะการอัดขยายภาพขนาดใหญ่ตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป ได้รับความนิยมมาก และจนถึงวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทได้กระจายสินค้าประเภทกระดาษอัดภาพให้กับร้านโกดัก เอ็กซ์เพรส และร้านถ่าย-อัดภาพที่ร่วมจำหน่ายสินค้ารวมกว่า 1,000 ร้านจนหมดสต๊อคแล้ว "ทั้งนี้ คาดว่าช่วงดังกล่าวทำให้ยอดขายช่วงปกติสำหรับกระดาษขนาดใหญ่ 8-12 นิ้วเฉลี่ยที่ 100,000 ใบต่อเดือน เฉพาะช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาน่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มเป็นเท่าตัวหรือประมาณ 200,000 ใบ" นายพัลลภกล่าว และว่า จะสั่งสินค้าไปยังโรงงานผลิตในประเทศจีน มารองรับกับความต้องการของตลาด คาดว่าจะเข้ามาช่วงต้นสัปดาห์นี้ ส่วนการอัดภาพขนาดเล็กตั้งแต่ 3-6 นิ้วยังได้รับความนิยมเช่นกัน และน่าจะเพิ่มจากยอดการพิมพ์ที่ 1 ล้านใบต่อเดือนมากขึ้นด้วย ความต้องการอัดภาพน่าจะได้รับความนิยมจากประชาชนนานกว่าการจำหน่ายเสื้อเหลือง ด้าน นายเอนก ศรีชีวะชาติ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ซึ่งให้บริการนำนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ (เอาท์บาวน์) ว่าเร็วๆ นี้ ทีทีเอเอ มีแผนเปิดการท่องเที่ยวไปประเทศภูฏาน เตรียมเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอโควต้านำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับกระแสคนไทยที่ถามถึงการเดินทางไปเที่ยวภูฏาน หลังจากการเสด็จมาเยือนไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะของมกุฎราชกุมาร จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน (เจ้าชายจิกมี) มาร่วมงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ทั้งนี้ ภูฏานยังเป็นประเทศที่ยังไม่เปิดให้เข้าไปท่องเที่ยวได้อย่างอิสระ และต้องขออนุญาตจากรัฐบาลก่อน "ในแต่ละปีภูฏานจะรับนักท่องเที่ยวแค่ 5,000 คนเท่านั้น และยังเก็บค่าเข้าประเทศสูงถึงคนละ 250 เหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือ 10,000 บาท ขณะนี้เนปาลกำลังมีปัญหาการเมืองในประเทศ ทำให้จุดมุ่งหมายอาจต้องไปภูฏานแทน สำหรับการจัดแพคเกจทัวร์จะจัดเป็นทัวร์ระยะยาว ร่วมกับประเทศเนปาล โดยมีเวลา 4 วัน แพคเกจราคา 50,000-60,000 บาท" นายเอนกกล่าว จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10327 29 ราชันย์ของโลก คอลัมน์ โลกสองวัย บางกอกเกี้ยน ห่างหายจากน้องหนูไป 3 สัปดาห์ คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) คิดถึงทุกคนที่เป็นแฟนใจจะขาด สามสัปดาห์ที่ขาดหายไปจากพื้นที่ตรงนี้ เพื่อให้กองบรรณาธิการจัดนำสนอเรื่องราวเนื่องในวโรกาสฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวงของเราได้เต็มที่ น้องหนูคงทราบดีแล้วว่า นอกจากจะเป็นงานฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยแล้ว รัฐบาลยังได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์จากทั่วโลกเสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมฉลองงานครั้งนี้ด้วย ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 29 ประเทศ มี 6 ราชวงศ์ ดังนี้ ราชวงศ์แห่งเอเชีย มี 5 ราชวงศ์ ดังนี้ 1.ราชอาณาจักรไทย มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์ 9 มิถุนายน 2489 2.ประเทศเนการาบรูไน ดารุสซาลาม มีสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดดาอูละห์ เสด็จขึ้นครองราชย์ 5 ตุลาคม 2510 3.ราชอาณาจักรกัมพูชา มีพระบาทสมเด็จบรมนาถนโรดม สีหมุนี เสด็จขึ้นครองราชย์ 14 ตุลาคม 2547 4.ประเทศมาเลเซีย มีสมเด็จพระราชาธิบดี (ยัง ดิเปอตวน อากง) ที่ 12 ตวนกู ไซอิด ซีราจุดดิน อิบน์ อัลมาร์ฮุม ตวนกู ไซอิด ปุตรา จามาลุลลาอิล เสด็จขึ้นครองราชย์ 13 ธันวาคม 2544 5.ประเทศญี่ปุ่น มีสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เสด็จขึ้นครองราชย์ 7 มกราคม 2532 ราชวงศ์แห่งยุโรป มี 10 ราชวงศ์ ดังนี้ 1.ราชอาณาจักรเบลเยียม มีสมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบรต์ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ 9 สิงหาคม 2536 2.ราชอาณาจักรเดนมาร์ก มีสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ 14 มกราคม 2513 3.ราชรัฐลิกเตนสไตน์ มีเจ้าชายฮันส์ อดัม ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ 13 พฤศจิกายน 2532 4.ราชรัฐลักเซมเบิร์ก มีแกรนด์ดยุก อองรี เสด็จขึ้นครองราชย์ 7 ตุลาคม 2543 5.ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ มีสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ เสด็จขึ้นครองราชย์ 30 เมษายน 2523 6.ราชอาณาจักรนอร์เวย์ มีสมเด็จพระราชาธิบดีเฮรัลด์ที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ 17 มกราคม 2534 7.ราชรัฐโมนาโก มีเจ้าชายอัลแบรต์ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ 6 เมษายน 2548 8.ราชอาณาจักรสเปน มีสมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาลอสที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ 22 พฤศจิกายน 2518 9.ราชอาณาจักรสวีเดน มีสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ เสด็จขึ้นครองราชย์ 15 กันยายน 2516 10.สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ มีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ 6 กุมภาพันธ์ 2495 ราชวงศ์แห่งเอเชียใต้ มี 2 ราชวงศ์ ดังนี้ 1.ราชอาณาจักรภูฏาน มีสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2515 2.ราชอาณาจักรเนปาล มีสมเด็จพระราชาธิบดีกิเนนทรา บีร์ บิกรัม ชาห์ เดว์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2544 ราชวงศ์แห่งแปซิฟิก มี 2 ราชวงศ์ ดังนี้ 1.รัฐเอกราชซามัว มีพระราชาธิบดีมาลิเอโทอา ทานูมาฟิลี ที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2505 2.ประเทศตองกา มีสมเด็จพระราชาธิบดีตาอูฟาอะฮาอู ทูโปอู ที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2508 จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5681 ชาวต่างชาติเข้าใจทำไม"เรารักในหลวง" วันจันทร์ที่แล้ว ริมฝั่งสวนสันติชัยปราการแน่นไปด้วยประชาชนที่มาชมขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ใช่คนไทยเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติหลายชาติหลายภาษาที่มารอชมด้วย "ถึงแม้จะไม่รู้ภาษาไทย แต่ก็อยากทราบว่าคนในเรือเขาพูดอะไรกัน เสียงเพราะดี รู้แต่เพียงว่านี่เป็นพิธีสำหรับร่วมเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปีของกษัตริย์ไทยที่ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะครองราชย์ยาวนานขนาดนี้" หลุยซ่า ราสมัสเซน สาวน้อยวัย 24 ปี จากสหราชอาณาจักรพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและว่า น่าทึ่งและน่าแปลกใจที่เห็นคนไทยรักในหลวงมากมายเช่นนี้ คงเพราะพระองค์ท่านทรงงานหนักมาตลอด 60 ปี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน "ใช่" กุมาร สิริวาธนา เลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชจากประเทศศรีลังกา เล่าว่าเดินทางมาหลายประเทศ ไม่เคยเห็นความรู้สึกใดและที่ใดในโลกที่จะมีพสกนิกรจงรักภักดีพระมหากษัตริย์ขนาดนี้ ทุกแห่งหนตำบลในประเทศไทยมีแต่พระบรมฉายา ลักษณ์ มีธงประดับ ทุกคนพูดและพูดถึงแต่พระองค์ และร่วมใจสวมเสื้อสีเหลือง   "ผมรู้ดี เสื้อสีเหลืองที่ชาวไทยทุกคนร่วมกันสวมใส่เพื่อร่วมฉลองนั้น สืบเนื่องจากวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งคือวันจันทร์ และสีประจำวันจันทร์คือสีเหลือง เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงกันใส่ ผมซึ่งเป็นคนต่างชาติที่เห็นถึงพระราชกรณียกิจอันมากมายและชื่นชมในพระองค์ก็ใส่ด้วย รู้สึกดีและภูมิใจแทนคนไทยทุกคนจริงๆ ที่มีพระองค์ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร" คู่สามีภรรยาในครอบครัวสมิธจากสหรัฐอเมริกา กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ภูมิใจแทนคนไทยทั้งประเทศที่มีกษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระวรกายทำงานเพื่อประชาชนของพระองค์ ทรงทำทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่โครงการที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม น้ำ การศึกษา พระองค์ทรงพัฒนาทำให้คนของพระองค์มีการศึกษา ลดช่องว่างระ หว่างคนจนกับคนรวย สร้างความสมดุลให้กับประเทศ ที่สำคัญพระองค์ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงไม่มีอะไรน่าเคลือบแคลงกับสิ่งที่พระองค์ทำ ต้องยกย่องว่าเป็น "กู๊ดเวิร์ก กู๊ดเพอร์ซัน" จริงๆ นายเดเนียลและนางลินดา สเตน มาร์ก จากสวีเดน กล่าวว่า แม้เราจะรักพระมหากษัตริย์ของเรา แต่ไม่เหมือนกับที่ประชาชนไทยรักและแสดงออก น่าประทับใจเป็นที่สุดด้วยการที่พระองค์ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะกล่าวอ้างได้ว่าทรงทำเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์ของคนไทย เพื่อพัฒนาพสกนิกรของพระองค์ น่าเคารพและศรัทธาจริงๆ นางเคธี่ ฟรานซ์ สาวแคนาดาวัย 43 ปี กล่าวว่า "อยู่เมืองไทยมาปีครึ่ง รู้สึกได้ถึงความรักของคนไทยและเห็นหลายโครงการส่วนพระองค์ที่เรียกว่าโครงการพระราชดำริ มีแต่โครงการที่ทรงทำเพื่อคนไทยของพระองค์ทั้งนั้น พระองค์ทรงขยันและทำงานหนัก ทำให้รู้ว่าทำไมคนไทยรักพระองค์ เมืองไทยน่าอยู่จริงๆ...ไอ เลิฟ เดอะ คิง ทู" จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:54:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10326 สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 พระประมุขแห่งสวาซิแลนด์ "จะนำแนวทางของพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้" สุทธาสินี จิตรกรรมไทย / เรียบเรียง ธิติ วรรณมณฑา / ภาพ ห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปวงชนชาวไทยมีโอกาสได้ชื่นชมพระประมุข พระราชวงศ์ชั้นสูง และผู้แทนพระองค์จาก 25 ประเทศทั่วโลก ที่เสด็จพระราชดำเนินมาร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี หนึ่งในเหล่าพระประมุขที่เสด็จฯมาด้วยพระองค์เองคือ "สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3" แห่งราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ ซึ่งเสด็จฯพร้อมด้วย "เจ้าหญิงลาดูเบ" พระชายา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในทวีปแอฟริกา ที่ปกครองประเทศด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 ประสูติเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2511 ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ 67 ในสมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 แห่งราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ หลังจากที่พระองค์ประสูติได้ไม่กี่เดือน สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 ก็พระราชทานพระนามให้พระโอรสลำดับที่ 67 ว่า "มาโกเซติเว" อันหมายความถึง "กษัตริย์แห่งชาติทั้งมวล" พระนามนี้แสดงถึงความปีติยินดีของสมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 และพสกนิกรของพระองค์ เพราะสวาซิแลนด์ได้เอกราชหลังจากมีอังกฤษปกครองอยู่เป็นเวลานาน เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา 4 พรรษา ทรงปรารถนาจะเข้าร่วมในกรมทหารราชองครักษ์ ซึ่งหนึ่งปีให้หลัง ความปรารถนาของพระองค์ก็เป็นความจริง โดยทรงเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารที่อายุน้อยที่สุดของกองทัพอุมบัตโฟ แห่งราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ จากนั้นใน พ.ศ.2519 พระโอรสมาโกเซติเว ก็ทรงเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนมาซุนดัฟวีนี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 ทรงตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถานศึกษาของพระราชวงศ์ สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 ทรงใช้เวลาว่างจากพระราชกรณียกิจต่างๆ กับพระโอรสมาโกเซติเวเป็นส่วนใหญ่ ทรงถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสวาซิแลนด์ให้พระโอรสมาโกเซติเวได้รับทราบและเพื่อให้พระโอรสมาโกเซติเวทราบถึงการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ พระโอรสมาโกเซติเว ทรงมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ทรงมีความสามารถในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิชาภาษาอังกฤษ วิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาเศรษฐศาสตร์ภายในประเทศเป็นอย่างยิ่ง ถึง พ.ศ.2525 ประชาชนชาวสวาซิแลนด์ก็ได้รับทราบข่าวร้ายเมื่อ สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 เสด็จสวรรคต ที่ประชุมสภาของสมาชิกราชวงศ์จึงเลือกพระโอรสมาโกเซติเว ขึ้นเป็นกษัตริย์สวาซิแลนด์พระองค์ใหม่ ความที่พระองค์เพิ่งมีพระชนมพรรษาเพียง 14 พรรษา พระองค์จึงต้องทรงเลือกการศึกษาก่อนที่จะปกครองประเทศ พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นศึกษาในสถานศึกษาที่นักเรียนทั่วโลกนิยมมาเล่าเรียนกันอย่าง "โรงเรียนเชอร์บอร์น" ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ เพื่อนำวิชาความรู้มาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ   กีฬาโปรดของพระองค์เมื่อครั้งศึกษา ณ ประเทศอังกฤษคือ ปาลูกดอก ว่ายน้ำ รักบี้ และฟุตบอล นับได้ว่าทรงพระปรีชาสามารถในด้านกีฬาอีกประการนอกเหนือจากด้านการเรียน เมื่อพระองค์มีเวลาว่างก็จะเสด็จฯไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรป เพื่อทอดพระเนตรความก้าวหน้าต่างๆ ซึ่งบางอย่างสามารถนำมาปรับใช้ภายในราชอาณาจักรของพระองค์ ระหว่างนั้น พระราชมารดาของพระองค์คือ "ราชินีอินโกสิกาติ เอ็นทอมบิ ทัฟวาลา" ก็ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารใน พ.ศ.2526 และใน พ.ศ.2529 ก็ทรงขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ โดยมีพระราชมารดาร่วมปกครองราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ด้วย "สวาซิแลนด์" เป็นประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่มีปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ ตามสถิติระบุว่าชาวสวาซิแลนด์ถึงเกือบร้อยละ 40 ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 ก็ไม่ทรงนิ่งนอนใจ แต่ทรงสนพระทัยและทรงมีบทบาทอย่างมากในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในสวาซิแลนด์ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 ทรงมีพระราชไมตรีอันดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประเทศไทย จึงเสด็จฯมาร่วมงานครั้งนี้ ช่วงบ่ายของวันที่ 12 มิถุนายน 2549 ทรงเข้าร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ถัดมาช่วงเย็น ทรงเสด็จฯทอดพระเนตรความงดงามของขบวนเรือพระราชพิธีทั้ง 52 ลำ ยามลอยลำอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ราชนาวิกสภา รวมถึงทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ หอประชุมกองทัพเรือในช่วงค่ำ วันที่ 13 มิถุนายน 2549 ทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงถวายพระกระยาหารค่ำ ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยมิตรไมตรีอันดียิ่ง วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระราชาธิบดีที่ 3 เสด็จฯไปยังโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ ในโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 ทรงเริ่มด้วยการเยี่ยมชมโรงโคนม แล้วเสด็จฯต่อไปยังโรงนมยูเอชทีสวนจิตรลดา ทอดพระเนตรขบวนการบรรจุกล่องและหีบห่อก่อนนำออกจำหน่าย จากนั้นทอดพระเนตรศูนย์ผลิตภัณฑ์นมซึ่งประกอบด้วย โรงเนยแข็ง โรงนมผง และโรงนมเม็ด ต่อมาทรงเยี่ยมชมโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดา ทรงรับฟังการบรรยายขั้นตอนการสีข้าวและส่วนประกอบที่ได้จากการสีข้าว อันเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้ชาวนารวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ สีข้าวและแบ่งไว้รับประทานเอง หากเหลือให้นำออกจำหน่ายสร้างรายได้ ซึ่งช่วยลดปัญหาการโก่งราคาของพ่อค้าคนกลาง ก่อนทรงเยี่ยมชมโรงบดแกลบ ต่อมาช่วงเย็น สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ 3 เสด็จฯยังโรงแรมดุสิตธานี ทรงโปรดฯให้สื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนจากสวาซิแลนด์เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิดเพื่อพระราชทานสัมภาษณ์ ระหว่างพระราชทานสัมภาษณ์ พระองค์ทรงมีพระพักตร์ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา แสดงถึงพระราชอัธยาศัยอันดีของพระองค์ ยังความยินดีแก่ผู้เข้าเฝ้าฯเป็นอย่างยิ่ง "นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสวาซิแลนด์-ไทย ให้แน่นแฟ้นขึ้น..." - "ทรงมีความประทับใจต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยอย่างไร?" ต้องขอแสดงความยินดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และขอแสดงความยินดีกับประชาชนชาวไทย โอกาสนี้ไม่เพียงแต่สำคัญต่อปวงชนชาวไทยเท่านั้น หากแต่เป็นโอกาสอันสำคัญยิ่งของประชาชนทั้งโลก เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น ข้าพเจ้า พระประมุขและพระราชวงศ์ชั้นสูงจากทั่วโลก จึงมารวมกันเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสอันสำคัญนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาเยือนประเทศไทย ข้าพเจ้าได้เห็นสถานที่ต่างๆ เห็นการพัฒนาในด้านต่างๆ เห็นโครงการต่างๆ มากมาย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่ม และโครงการเหล่านั้นก็กระจายไปสู่ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทย แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นเรื่องสำคัญ โครงการของพระองค์ช่วยเหลือประชาชนชาวไทยอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความเสียสละอันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ไทย กิจกรรมบางอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกระทำด้วยพระองค์เอง เช่น การไถนา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างมาก นอกจากนี้โครงการต่างๆ ยังแสดงถึงความเอาพระราชหฤทัยใส่ในความเป็นอยู่ของราษฎรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงต้องการให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งโครงการต่างๆ นั้นสามารถช่วยเหลือประชาชนชาวไทยได้จริง ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เยี่ยมชมโครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการต่างๆ เหล่านี้สามารถเป็นตัวอย่างให้กับสวาซิแลนด์ได้ เนื่องจากสวาซิแลนด์และไทยมีพื้นฐานในการเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะคิดหาหนทางเพื่อนำแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้กับราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ - "ทรงมีความประทับใจต่องานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีอย่างไร?" ข้าพเจ้าขอกล่าวชมเชยการจัดพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เป็นการเตรียมงานที่ดีและน่าประทับใจ การจัดเตรียมงานทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นไปอย่างดีที่สุด พระราชพิธีในวันต่างๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพอันดีระหว่างประเทศไทยกับมวลประเทศที่มาร่วมในพระราชพิธีครั้งนี้ - "ความสัมพันธ์ระหว่างสวาซิแลนด์-ไทยในมุมมองของพระองค์" ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ข้าพเจ้ามาเยือนประเทศไทย ทุกครั้งที่มาเยือนข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศไทยมีการพัฒนาอยู่ตลอด ประชาชนชาวไทยต่างทำงานหนักเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ข้าพเจ้าหวังว่าโอกาสนี้จะช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างสวาซิแลนด์-ไทยดียิ่งขึ้น ร่วมมือกันได้อย่างดี มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์หลายด้านระหว่างกัน เช่น การค้า การลงทุน ฯลฯ - "พระองค์ทรงมีโครงการช่วยเหลือประชาชนในราชอาณาจักรสวาซิแลนด์หรือไม่" มีหลายโครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีมาตรฐานชีวิตดีขึ้น เช่น การจัดตั้งมูลนิธิ ซึ่งมูลนิธิจะริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องอื่นต่อไป - "พระองค์ทรงช่วยเหลือประชาชนจากการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี/เอดส์อย่างไร?" ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี/เอดส์เป็นปัญหาใหญ่ที่แพร่ขยายไปทั่วโลก ประชาคมโลกต่างจับตาดูปัญหานี้อย่างใกล้ชิดและพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไม่หยุดยั้ง องค์การสหประชาชาติก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหา มีโครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอชไอวี/เอดส์มากมายที่ลงสู่พื้นที่ ต้องยอมรับว่าปัญหาเอชไอวี/เอดส์เป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาที่ซับซ้อน แก้ไขยาก แต่ความพยายามที่จะให้ปัญหาบรรเทาเบาบางลงก็ยังคงมีอยู่ไม่หยุดยั้งเช่นกัน สิ่งที่ต้องทำคือ ให้ความรู้กับประชาชนชาวสวาซิแลนด์อย่างต่อเนื่องถึงอันตรายของเอชไอวี/เอดส์ รวมถึงต้องให้ความรู้กับคนที่มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์ด้วยว่า จะใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อที่มีอยู่ในตัวได้อย่างไร ต้องพยายามให้ผู้คนที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์สามารถเข้าถึงการรักษาได้ เพราะปัจจุบันนี้มีไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตลง เพราะไม่มียาคอยพยุงอาการ ปัญหาเอชไอวี/เอดส์ยังก่อปัญหาอื่นตามมาอีก เช่น ทารกที่เกิดจากบิดามารดาที่มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์ จะไม่มีคนดูแล ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เป็นเรื่องที่ทุกประเทศในโลกต้องร่วมมือกันแก้ไขและร่วมกันต่อสู้กับปัญหานี้ จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10326 นับถือ"ในหลวง"แรงกล้า เจ้าชายภูฏาน ออกแถลงการณ์ส่วนพระองค์ ความทรงจำล้ำค่าร่วมงาน60ปี ซาบซึ้งคนไทย-ปลื้มทะเลภูเก็ต มกุฎราชกุมารภูฏาน ออกแถลงการณ์ส่วนพระองค์ เผยทรงนิยมชมชอบและนับถือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแรงกล้า ระบุเป็นพระมหากษัตริย์ล้ำค่าของแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน หนึ่งในพระราชอาคันตุกะที่เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้พระองค์อยู่ระหว่างการเสด็จเยือนภูเก็ต ได้มีแถลงการณ์ส่วนพระองค์ระบุว่า พระองค์มีความนิยมชมชอบและนับถืออย่างแรงกล้าต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ซึ่งเปรียบประดุจดังทรัพย์อันล้ำค่าแห่งแผ่นดินไทย "การเฉลิมฉลอง 60 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติของพระองค์นับเป็นบรรณาการอันคู่ควรแด่กษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอตทัคคะ และนับเป็นความทรงจำอันล้ำค่าและงดงามมากที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และทรงพระเกษมสำราญอยู่เสมอ"แถลงการณ์ระบุ ผู้สื่อข่าวรายงานพระราชกรณียกิจของ มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน ซึ่งเสด็จฯเยือนจังหวัดภูเก็ตเป็นการส่วนพระองค์เป็นวันที่สองว่า ในช่วงเที่ยงได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากที่ประทับโรงแรมอมันปุรี ต.เชิงทะเล อ.ถลาง ไปยังโรงแรมศรีพันวา ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าเทียบเรือสถาบันวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งและป่าชายเลน ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ประทับเรือพระที่นั่งซึ่งเป็นเรือยอชต์ชื่อ ISA เสด็จพระราชดำเนินไปยังเกาะไม้ท่อน เพื่อเป็นการพักผ่อนตามพระราชอัธยาศัย และเล่นกีฬาทางน้ำ โดยมีนายอุดมศักดิ์ อัศวรางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตส่งเสด็จ หลังจากที่เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเกาะแห่งนี้มาแล้ว เนื่องจากทรงประทับใจในความสวยงามและเงียบสงบของเกาะแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเกาะภูเก็ต 6 กิโลเมตร ทั้งนี้ การเสด็จฯไปยังเกาะไม้ท่อนในครั้งที่ 2 เป็นการเปลี่ยนแปลงจากหมายกำหนดการเดิมซึ่งจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังเกาะราชา แต่เนื่องจากคลื่นลมแรงจึงยกเลิก ส่วนพระราชกรณียกิจของพระราชาธิบดี คาร์ลที่ 16 กุสตาฟ และสมเด็จพระราชินีซิลเวีย แห่งสวีเดน ซึ่งเสด็จฯมาประทับที่จังหวัดภูเก็ตเป็นการส่วนพระองค์ที่โรงแรมตรีศาลา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยในช่วงบ่ายของวันนี้ (17 มิ.ย.) ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมความงามทัศนียภาพและธรรมชาติบริเวณหาดรายัน อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับที่ประทับ ทั้งนี้ ในช่วงค่ำทั้งสองพระองค์ได้ทูลเชิญมกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน ร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำที่โรงแรมตรีศาลา ซึ่งเป็นที่พระทับด้วย ด้านพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 และสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ แห่งราชอาณาจักรเลโซโท ที่ยังคงเสด็จเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในไทยนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. ทั้งสองพระองค์เสด็จยังวัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีนายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำเหล่าข้าราชการ ชาวเชียงใหม่ และนักเรียนชาวไทยภูเขาเผ่าม้งจำนวน 50 คน เต้นระบำพื้นเมืองตามจังหวะดนตรีของชนเผ่าถวายการต้อนรับด้วยความสนุกสนาน ซึ่งทั้งสองพระองค์ประทับชมการแสดงด้วยความสนพระทัย ก่อนเข้านมัสการพระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุฯ ซึ่งได้ถวายพระพรและถวายกรอบรูปพระธาตุดอยสุเทพฯ เป็นของที่ระลึก หลังจากเสด็จฯลงมาตีฆ้องชัยพระองค์ละ 3 ครั้ง และเสด็จฯรอบพระธาตุดอยสุเทพฯ โดยสนพระทัยซักถามประวัติความเป็นมาและศิลปะที่มีรูปแบบที่สวยงามของวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ จากนายสหวัฒน์ แน่นหนา ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ก่อนที่จะเสด็จฯทอดพระเนตรจุดชมวิวซึ่งในวันนี้สภาพอากาศปลอดโปร่ง สามารถมองเห็นความสวยงามของเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ระหว่างการเสด็จเยี่ยมชมวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศเฝ้าฯรับเสด็จ พร้อมทั้งขอฉายพระรูป ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงให้ความเป็นกันเอง และโบกพระหัตถ์ทักทายตลอดเวลา โดยใช้เวลาประทับอยู่ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพฯกว่า 1 ชั่วโมง และเสด็จฯกลับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ดาราเทวี สถานที่ประทับแรม เวลา 15.00 น. ทั้งสองพระองค์เสด็จถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่งเที่ยวบินที่ทีจี 113 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กลับกรุงเทพมหานคร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นำเจ้านายฝ่ายเหนือ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ถวายการส่งเสด็จฯอย่างสมพระเกียรติ โดยมีนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์บรรเลงเพลงพื้นมืองและฟ้อนสาวไหมถวาย ขณะเดียวกัน พสกนิกรชาวไทยยังคงประทับใจและปลื้มปีติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยถึงแม้พระราชพิธีจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากพากันสวมใส่เสื้อสีเหลือง ให้ความสนใจไปชมนิทรรศการเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่อีกจำนวนมากต่างหาซื้อภาพแห่งความประทับใจของงานพระราชพิธีไปเก็บไว้เพื่อเป็นที่ระลึกและสิริมงคล ทั้งนี้ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถ่ายทอดพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงก็ยังดำเนินต่อไป ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน มีการจัดอภิปรายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า ปรัชญาการทรงงานและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะใช้ธรรมะ คือธรรมชาติแก้ไขปัญหาธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งถูกออกแบบมาให้มีกลไกการแก้ปัญหาในตัวเอง และยังทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ล้มเหลวหรือสร้างปัญหาอื่นตามมา เช่น การแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียในบึงมักกะสัน เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนากล่าวอีกว่า เป้าหมายของพระราชกรณียกิจต่างๆ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม หรือความร่ำรวยที่มาพร้อมความสุขแท้จริงของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ที่พระองค์ทรงมุ่งหมายคือ ทรงเคยรับสั่งว่า สาเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินต้องเหนื่อยยากทำงานอย่างหนักจนทุกวันนี้ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ และเมื่อเขายากจนอยู่นั้น เขาจึงไม่มีอิสรภาพเสรีภาพ แล้วเขาจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร นายสุเมธกล่าวอีกว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่ทรงยึดถือเป็นหลักแก้ปัญหาประเทศมาช้านาน ซึ่งหลักนี้ไม่ใช่ไม่ต้องการให้ร่ำรวย แต่ต้องร่ำรวยอย่างยั่งยืนด้วยไม่ใช่ยืนบนทุนนิยมที่จะล้มไปกับวิกฤตเศรษฐกิจ ดังนั้น การดำรงชีวิตต้องใช้สติและปัญญานำหน้า และพิจารณาหลักพอประมาณ มีเหตุผล กล้าหาญ สร้างภูมิคุ้มกันและมีคุณธรรมจริยธรรม ด้านประชาชนยังคงทยอยไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จัดแสดงขึ้น ณ อาคารมานุษยนาควิทยาทาน ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยในโอกาสนี้ทางวัดได้นำที่บูชาพระบรมฉายาลักษณ์ทรงผนวช โดยเสด็จพระราชกุศล โครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามวัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในราคาภาพละ 50 บาท มาจำหน่ายให้กับประชาชน โดยกำหนดให้ซื้อได้ไม่เกินคนละ 10 ภาพ ซึ่งประชาชนต่างต่อแถวแย่งกันซื้อจำนวนมาก และได้จำหน่ายหมดในเวลา 1 ชั่วโมง ส่วนบริเวณด้านในอาคารที่จัดแสดงนิทรรศการนั้น เนืองแน่นไปด้วยประชาชน โดยภายในงานนิทรรศการมีการจัดแสดงถึงพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัว โดยห้องฉายภาพยนตร์ทรงผนวช และพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ประชาชนยังได้ร่วมลงนามถวายพระพรแด่พระเจ้าอยู่หัว ส่วนในต่างจังหวัดนั้น ประชาชนต่างหาซื้อพระบรมฉายาลักษณ์และนำพระบรมฉายาลักษณ์ไปใส่กรอบรูปตามร้านรับทำกรอบรูป อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ ร้านทำกรอบรูปหลายแห่งในตัวเมืองมีประชาชนจำนวนมากนำพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในวันที่เสด็จออกมหาสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน รองลงมาคือพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายร่วมกับพระประมุขและพระราชวงศ์ 25 ประเทศ ไปให้ร้านรับทำกรอบรูปใส่กรอบให้ โดยภาพส่วนใหญ่จะตัดจากหนังสือพิมพ์ ขณะที่บางคนก็ได้มาขอซื้อพระบรมฉายาลักษณ์กับทางร้านแต่ไม่มีจำหน่ายให้ นายวิสูตร ประวัติเมือง เจ้าของร้านโชคดีบรรณาสานต์ ซึ่งเป็นเอเย่นต์ร้านขายหนังสือพิมพ์รายใหญ่ จ.พิจิตร เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากจากหลายอำเภอเข้ามาสั่งจองหนังสือพิมพ์รวมภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระราชพิธีฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ตราตรึงในดวงใจปวงชนชาวไทย โดยหลายคนมารอเข้าคิวซื้อตั้งแต่ช่วงเช้า บางรายสั่งจองล่วงหน้า ถ้าหนังสือพิมพ์ฉบับไหน มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ขอให้เก็บเอาให้เพื่อจะนำไปเป็นที่ระลึกและเป็นภาพมงคลหาดูได้ยาก และจะจัดเก็บใส่กรอบไว้เป็นที่ระลึกในดวงใจพร้อมกับเก็บไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ซึ่งตนได้สั่งหนังสือพิมพ์เพิ่มเป็นจำนวนมากแล้ว เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนชาวพิจิตรต่อไป จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10324 เสียงจาก"พระสหาย" พระราชาธิบดีแห่งเลโซโท ผู้ทรงสมถะเป็นที่สุด การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของเหล่าบรรดาพระราชอาคันตุกะทั้ง 29 ประเทศ ครั้งนี้ นอกเหนือจากพระภารกิจการถวายพระพรแล้ว หลายพระองค์ยังถือโอกาสมาเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญในประเทศไทย ทว่า...สำหรับพระราชาธิบดีแห่งเลโซโท การเสด็จฯมาร่วมงานครั้งนี้ ยังนับเป็นโอกาสอันดีที่พระองค์จะได้ทรงพบกับ "พระสหายเก่า" คนไทย หลังจากที่จากกันไปมากกว่า 20 ปี "ตื่นเต้นและดีใจมาก ที่พระองค์ท่านทรงปลีกเวลามาพบ" รศ.สหธน รัตนไพจิตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในพระสหายเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เจือด้วยแววประหม่าเล็กน้อย ก่อนที่จะถึงเวลานัดพบ รศ.สหธนเล่าย้อนถึงการเริ่มต้นรู้จักว่า เมื่อปี พ.ศ.2527 สามารถสอบชิงทุนของรัฐบาลได้ไปศึกษาต่อระดับมหาบัณฑิต ในสาขานิติศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยบริสโตล ประเทศอังกฤษ ซึ่งนักศึกษาต่างชาติที่ไม่ได้ศึกษาวิชากฎหมายอังกฤษในระดับปริญญาโทนั้น จำเป็นต้องผ่านหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบกฎหมายอังกฤษเสียก่อน ซึ่งชั้นเรียนครั้งนั้นมีนักศึกษาจำนวน 6 คน ความสัมพันธ์ของนักศึกษาจึงค่อนข้างแน่นแฟ้น สนิทสนมเป็นอย่างดี รศ.สหธน รัตนไพจิตร-ดร.รุ่งแสง กฤตยพงษ์ "การเรียนในปีแรกนั้น ถือว่าทุกคนอยู่ในภาวการณ์กดดันเป็นอย่างมาก นั่นเพราะหากตกเพียงวิชาเดียวก็หมายความว่า ตกหมดทุกวิชา นั่นจะทำให้ไม่สามารถเรียนในปีที่สอง กลายเป็นเรียนไม่จบ แต่การศึกษาของพระองค์ถือว่าโดดเด่นที่สุด ทรงไม่เคยขาดเรียนแม้แต่สักชั่วโมงเดียว ทุกวิชา ทรงมีความตั้งใจเรียนอย่างมาก เมื่อไม่เข้าใจก็จะทรงสอบถามกับพระอาจารย์หรือไม่ก็ค้นหาคำตอบในห้องสมุด" พระสหายคนนี้เล่าถึงพระจริยวัตรของพระราชาธิบดีแห่งเลโซโทว่า พระองค์ทรงเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย ทรงอ่อนน้อมถ่อมตนกับทั้งพระสหายและพระอาจารย์ พระองค์ไม่เคยประกาศหรือบอกให้ใครทราบว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ในฐานะมกุฎราชกุมารแห่งเลโซโท แม้แต่พระสหาย ทรงแนะนำพระองค์เพียงว่าทรงมีพระนามว่า "โมฮาโด" ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางเพราะเมื่อเรียนเสร็จแล้ว พระสหายคนไทยจะขอยืมเลคเชอร์พระองค์แทบจะทุกครั้งเนื่องจากพระองค์ทรงใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วสามารถจดโน้ตได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งพระองค์ก็ทรงให้ยืมทุกครั้ง เมื่อจบชั้นเรียน จะต้องนั่งทบทวนหนังสือ ช่วยกันติวส่วนที่ไม่เข้าใจ ที่ห้องสมุดด้วยกันทุกวัน "พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พระองค์ท่านเป็นมกุฎราชกุมาร เพราะความเรียบง่าย และสมถะของพระองค์ ทรงเสด็จฯด้วยลำพังพระองค์เดียวไม่มีราชองครักษ์แม้แต่คนเดียว ทรงเสวยพระกระยาหารแบบเรียบง่าย เข้าโรงอาหารของมหาวิทยาลัย และทรงชอบเมนูปลาทอดและมันฝรั่งซึ่งหาได้ตามร้านข้างถนนทั่วไป" นอกจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่มีต่อพระสหายทุกคนแล้ว ความประหยัดก็สร้างความประทับใจให้ทุกคน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ทรงใช้อย่างประหยัด และเน้นราคาถูกไม่ว่าจะเป็นปากกา ก็ทรงใช้เพียงแค่ราคาแท่งละ 10 บาท สมุดก็ทรงเลือกที่มีเนื้อที่เขียนมากกว่าการประดับตกแต่งสวยงาม พระองค์ไม่โปรดการช็อปปิ้งเป็นที่สุด ขนาดกล้องถ่ายรูปทรงยังต้องมาขอยืมจากพวกเราอีกด้วย" เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าฯ รศ.สหธน พร้อมด้วย รุ่งแสง กฤตยพงษ์ พระสหายร่วมรุ่นอีกคนหนึ่ง ประโยคแรกที่พระราชาธิบดีแห่งเลโซโทตรัสก็คือว่า พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทรงมีพระชนมายุเพิ่มขึ้น และทรงซักถามสารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำเสียงห่วงใยในฐานะพระสหาย อย่างไม่ถือพระองค์ พร้อมกับเผยว่า เมื่อทราบว่าจะมีพระภารกิจที่เมืองไทยนั้น พระองค์ก็คิดถึงพระสหายคนไทยเป็นลำดับต้นๆ ว่าจะยังคงพักอยู่ไหม แต่ก็ไม่ทราบว่าจะติดต่ออย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่ทูลว่ามีพระสหายขอเข้าเฝ้า ก็ทรงปลีกเวลามาทันที และพระองค์ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และทรงให้คำมั่นกับพระสหายว่า ครั้งหน้าคงจะมีเวลาได้พูดคุยกันมากกว่านี้ "ทุกวันนี้ผมยังแปลกใจว่า ทำไมพระองค์ท่านต้องมาเรียนอยู่ในสภาวะที่กดดันอย่างมาก เพราะการศึกษาที่บริสโตล สำหรับประชาชนนั้น ถือว่าจำเป็นต้องขวนขวายเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง แต่สำหรับในสถานะอย่างพระองค์ไม่จำเป็นต้องเรียนแบบยากลำบากขนาดนี้ก็ได้ นั่นคงเป็นเพราะทรงต้องการพัฒนาความสามารถของพระองค์ให้เพิ่มมากขึ้น" เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่จะ "ประทับ" อยู่ในหัวใจของ "พระสหาย" และคนไทยทั่วประเทศที่ได้ทราบถึงความเป็นกันเองและความสมถะดั่งเช่นสามัญชนทั่วไป จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:57:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10324 กษัตริย์เลโซโทสนพระทัย"ปลูกป่า" ตร.เผยคนทำดีถวายในหลวงคดีวูบ   คลิกชมภาพประกอบ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานพระวโรกาสให้เจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรภูฎาน เข้าเฝ้าฯ ณ ห้องรับรอง หน่วยบินเดโชชัย 3 ดอนเมือง ก่อนเจ้าชายวังชุก เสด็จฯเยือน จ.ภูเก็ต พระราชาธิบดีเลโซโททรงสนพระทัยโครงการหลวงปลูกป่าลดความแห้งแล้ง ทรงเน้นซักถามข้อมูลทำฝาย โฆษก ตร.เผยคนทำดีถวาย สถิติคดีลดวูบ แม่ค้าถวายทุเรียนกษัตริย์ไม่คิดเงิน บอกร่วมต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ชง ครม.หาที่ตั้งพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระมหากษัตริย์ และผู้แทนพระองค์ใน 3 ราชวงศ์ ยังคงมีหมายกำหนดการเสด็จฯทอดพระเนตรโครงการหลวง และเสด็จฯพักผ่อนพระอิริยาบถในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ภายหลังเสด็จฯมาร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลอง 60 ปีการครองราชย์ โดยเวลา 10.30 น. วันที่ 15 มิถุนายน สมเด็จพะราชาธิบดีเลตซีที่ 3 และสมเด็จพระราชินี แห่งราชอาณาจักรเลโซโท เสด็จฯมายังศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฝ้าฯรับเสด็จ โดยมีนายสมพล พันธุ์มณี เลขาธิการ กปร. ถวายรายงานข้อมูลของศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านการเกษตรตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีอยู่ทั้งหมด 6 แห่งทั่วประเทศ จากนั้นเสด็จฯเยี่ยมชมนิทรรศการในอาคารและนิทรรศการกลางแจ้งในพื้นที่กว่า 17 ไร่ ซึ่งศูนย์ห้วยฮ่องไคร้ร่วมกับ กปร. จำลองงานการเกษตรที่สำคัญจากศูนย์ทั้ง 6 แห่ง มาจัดแสดง นายประดับ กลัดเข็มเพชร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ เปิดเผยว่า ระหว่างเสด็จฯทอดพระเนตรนิทรรศการ ทรงแย้มยิ้มและให้ความสนพระทัยซักถามข้อมูลตลอดทาง โดยทรงสนพระทัยเป็นพิเศษในส่วนของการจำลองศูนย์ศึกษาการพัฒนาพื้นที่ อ.ภูพาน จ.สกลนคร ซึ่งเป็นเรื่องของการปลูกป่าเพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้ง ทาง พ.ต.ท.ทักษิณถวายรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำฝายและการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าตลอดระยะ ทรงอำลา - สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น ทรงโบกมือทักทายผู้ที่มาส่งเสด็จกลับประเทศ ที่สนามบินกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ก่อนเสด็จฯกลับ ทั้งสองพระองค์ได้ร่วมปลูกต้นสารภีองค์ละ 1 ต้น ไว้ที่บริเวณลานด้านหน้าอาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติในหลวงแบบถาวรเพื่อเป็นที่ระลึก ก่อนเสด็จฯไปเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ร้านอาหารฝรั่งเศส "เลอคริสตอล" ริมแม่น้ำปิง ใน อ.เมืองเชียงใหม่ โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณตามขบวนเสด็จฯด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากนี้เหลือพระประมุขเพียงสามประเทศเท่านั้นที่ยังอยู่ในประเทศไทย พระประมุขและพระราชอาคันตุกะได้ตรัสชมเชยตำรวจในเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำวิจัยเปรียบเทียบคดีอาญาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547-2548 กับช่วงมหามงคล 1-14 มิถุนายน พบว่ามีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เดือนมิถุนายน ปี 2547 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 700 กว่าคดี มิถุนายน 2548 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 800 กว่าคดี แต่ในขณะเดียวกัน ในปีนี้มีเหตุเกิดเพียง 20 คดีเท่านั้น เช่นเดียวกันกับคดีปล้นทรัพย์ในปี 2547 กับ 2548 มีคดีเกิดขึ้น 200 กว่าครั้ง แต่ในปีมหามงคลนี้ในช่วงเดียวกันมีคดีเกิดขึ้นเพียง 6 ครั้งเท่านั้น ถือว่าประชาชนคนไทยทุกคนร่วมทำความดีฉลองในงานครั้งนี้ ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงพระราชพิธีก็ถือว่าน้อยกว่าช่วงเวลาปกติ **รับมือคนชื่นชอบเจ้าชายภูฏานที่ภูเก็ต "กษัตริย์บางพระองค์เสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์ไปที่สวนจตุจักร เพื่อไปซื้อทุเรียน ปรากฏว่าแม่ค้าไม่ยอมคิดเงิน โดยแม่ค้าบอกว่าท่านเป็นแขกของในหลวงมาร่วมงาน ฉันในฐานะที่เป็นคนไทยก็ต้องดูแลแขกของในหลวง เกร็ดต่างๆ เหล่านี้จะให้ตำรวจทุกหน่วยที่มีส่วนร่วมเขียนทุกอย่างที่พบเห็นมาลงในหนังสือพร้อมบรรจุภาพต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นตำนาน คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก่อนแจกจ่ายให้ทุกหน่วยงาน" พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าว และว่า มีพระราชินีพระองค์หนึ่งตรัสถึงการจัดระบบขบวนเสด็จฯว่า "เขาทำได้อย่างไรนี่" เพราะการจัดขบวนให้เข้าตามเงื่อนเวลา เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือทำงานกันอย่างดียิ่ง เกือบจะเรียกว่าไม่มีอะไรติดขัด พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พระราชอาคันตุกะบางพระองค์ยังไม่เสด็จฯกลับ ตำรวจต้องอารักขาอย่างดีที่สุดต่อไป โดยเฉพาะเจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารของภูฏาน ทรงเป็นที่ชื่นชอบของสุภาพสตรีโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก ดังนั้น การเสด็จฯไปภูเก็ตก็ต้องเตรียมการรับอย่างเต็มที่ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า รัฐบาลจะจัดทำพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติเป็นการถาวร เนื่องจากที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ชั่วคราว และมีประชาชนบางคนไม่สามารถไปร่วมงานได้ อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะใช้พิพิธภัณฑ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คลองหลวง หรืออาคารผู้โดยสาร สนามบินดอนเมือง เมื่อย้ายไปสุวรรณภูมิแล้ว เป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติดี คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีขอมติจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ด้าน พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า งานแสดงมัลติมีเดียและพลุเฉลิมพระเกียรติสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่เมืองทองธานี วันที่ 17 มิถุนายนนี้ พร้อมแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ มีที่จอดรถนั่งชมการแสดงกว่า 10,000 ที่นั่ง ยืนชมได้ 20,000-30,000 คน ถือเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายในการเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี ซึ่งจะพยายามจัดให้ยิ่งใหญ่ที่สุด รวมการจุดพลุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งจะไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 17:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60ปี : พระราชอาคันตุกะ แห่ง 'ราชอาณาจักรกัมพูชา' กัมพูชา หรือที่เรียกกันติดปากว่า เขมร เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยมายาวนาน อีกทั้งยังมีระบอบการปกครองแบบประชา ธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกันกับประเทศไทย อีกด้วย เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหโมนีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (His Majesty Preah Bat Samdech Preah Borom neath Norodom Sihamoni of the King of Kingdom of Cambodia) ในฐานะพระราชอาคันตุกะ เสด็จฯ เข้าร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ในครั้งนี้ด้วย พระองค์ทรงเป็นพระราช โอรสในสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (พระอิสริยยศปัจจุบัน คือ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร) กับพระราชินีนโรดม มณีนาถ   สีหนุ (พระอิสริยยศปัจจุบัน คือ พระมหาวีรกษัตรี นโรดม มณีนาถ สีหนุ พระวรราชมารดาแห่งชาติเขมรในเสรีภาพ ความมีคุณค่า และศุภมงคล) เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 ตามมติของสภาราชบัลลังก์แห่งราชอาณา จักรกัมพูชา และพระราชพิธีราชา ภิเษก ขึ้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 7 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นับแต่พระองค์ด้วงซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2388 พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหโมนี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2496 ณ กรุงพนมเปญ ปัจจุบันมีพระชนมพรรษา 53 พรรษา (ปี 2549) ยังไม่ทรงอภิเษกสมรส ทรงสำเร็จการศึกษาด้านนาฏกรรม ดนตรี และการละครจากสถาบันศิลปะกรุงปราก (National Con servatory of Prague) เมื่อปี 2514 โดยทรงสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมด้วยคะแนนดีมาก และทรงได้รับรางวัลที่ 1 จาก การศึกษานาฏกรรมคลาสสิกจากสถาบันศิลปะกรุงปราก ทรงสำเร็จการศึกษาวิชานาฏกรรม ดนตรี และการละคร ชั้นสูงจากสถาบันศิลปะการดนตรี กรุงปราก (Academy of Musi cal Art of Prague) เมื่อปี 2518 โดยทรงทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อเรื่องแนวคิดและการบริหารโรงเรียนสอนศิลปะในราชอาณาจักรกัมพูชา อีกทั้งทรงศึกษา  ต่อด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชา ชนเกาหลี ระหว่างปี 2518–2519 ไม่ปรากฏหลักฐานว่า เคยเสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทย การเสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยครั้งนี้ นับเป็นการเสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะพระประมุขแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักร กัมพูชา มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2493 (ค.ศ. 1950) ปัจจุบัน เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ คือ นายปิยวัชร นิยมฤกษ์ และเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย คือ นายอึง เซียน (Ung Sean) การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เยือนกัมพูชา เมื่อ มิถุนายน 2544 ลงนามในความตกลงการเจรจาและได้มีการตั้งคณะทำงานร่วม เรื่องความร่วมมือในเขตทับซ้อนทางทะเล สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐ มนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และภริยา เดินทางเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาลระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2544 พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เยือนกัมพูชาระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม 2549 โดยย้ำถึงความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชาว่า อยู่ในระดับที่ดีมีการติดต่อประสานงานระหว่างกันเป็นไปด้วยความราบรื่น ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา นับได้ว่าพัฒนาขึ้นอย่างมากและดำเนินไปบนพื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจระหว่างกัน ทั้งนี้ การประชุมคณะ รัฐมนตรีร่วมไทย–กัมพูชาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม–1 มิถุนายน 2546 ที่เมืองเสียมราฐและจังหวัด อุบลราชธานี (ซึ่งถือเป็นสัญ ลักษณ์ของการนำความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชากลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์แบบภายหลังการเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในกรุงพนม เปญเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2546) และการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี–เจ้าพระยา– แม่โขง (Ayeyawady–Chao Phraya–Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ที่เมืองพุกามเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสามประเทศ โดยเฉพาะกับกัมพูชา ซึ่งความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดในระดับนานาประเทศด้วย ในปี 2547 กองทัพเรือไทยได้จัดหมู่เรือรบ 2 ลำพร้อมกำลังพล 189 นาย ไปเยือนกรุงพระสีหนุ ระหว่างวันที่ 13–18 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอันจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยในทะเลต่อไป นอกจากนี้ ยังมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายกัมพูชาอนุญาตให้เรือรบไทยไปเยี่ยมเยียนเมืองท่าของกัมพูชานับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทาง การทูตระหว่างกันเมื่อปี 2493 ด้านความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมไทย–กัมพูชา ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เพื่อเป็นกลไกในการขยายความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย–กัมพูชาให้กระชับแน่น แฟ้น และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการ ดำเนินความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดย มีนายเตช บุนนาค ที่ปรึกษาสำนักราชเลขาธิการ (อดีตปลัด กระทรวงการต่างประเทศ) เป็นประธานฝ่ายไทยและนายสอน ซัมนาง นายกราชบัณฑิตยสถานของกัมพูชา เป็นประธานฝ่ายกัมพูชา สำหรับกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานโดยนายเตช บุนนาค ไปทอดถวาย ณ วัดอุณาโลม กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 5–6 พฤศจิกายน 2546 รวมทั้งการ จัดประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย–กัมพูชา ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ครั้งที่ 1 ที่กรุงพนมเปญและเมืองเสียมราฐ ระหว่างวันที่ 18–21 พฤษภาคม 2547 เพื่อร่วมกำหนด นโยบาย/หลักการพื้นฐาน และพิจารณาแผนปฏิบัติการประจำปีในการขยายความร่วมมือด้านวัฒน ธรรมระหว่างสองประเทศ การ จัดคณะสื่อมวลชนกัมพูชาสาขาต่าง ๆ มาเยือนไทยระหว่างวัน ที่ 9–15 มิถุนายน 2547 และระหว่างวันที่ 6–13 กันยายน 2547 ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ เขมร-ไทย ประเทศบ้านพี่เมืองน้อง ได้เชื่อมสายสัมพันธ์อันดีให้ยั่งยืนสืบต่อไป. ทีมวาไรตี้ http://www.dailynews.co.th จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 18:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระราชอาคันตุกะแห่ง...มาเลเซีย    ประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับประเทศไทย มาเลเซีย  นอกจากจะมีดินแดนใกล้ชิดติดกัน ในด้านความสัมพันธ์ประเทศมาเลเซียและประเทศไทยต่างมีสายสัม พันธ์แน่นแฟ้นใกล้ชิดกันมายาวนาน   ในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี สมเด็จพระราชาธิบดี ตนกู ไซด์  ซิราจุดดิน อิบนี อัลมาร์ฮุม ตนกู ไซด์ ปุตรา จามาลูล ลาอิล แห่งมาเลเซีย (His Majesty Tuanku Syed Sirajuddin Ibni Al-Marhum Tuanku Syed Putra Jamalullail of Malaysia) และ สมเด็จ พระราชินี ประไหมสุหรี อากง ตนกู เฟาเซียห์ บินติ อัลมาร์ฮุม เติงกู อับดุลราชิดแห่งมาเลเซีย (Her Majesty the Raja Per maisuri Agong Tuanku Fauziah binti Al-Mar hum Tengku Abdul Ra  shid of Malaysia) พระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีจะเสด็จฯ ร่วมงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดี ตนกู ไซด์ ซิราจุดดิน อิบนี อัลมาร์ฮุม ตนกู ไซด์ ปุตรา จามาลูลลาอิล เป็นพระราชโอรสใน Tuanku Syed Putra Ibni Al-Marhum Syed Hassan Jamalullail อดีตสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 3 และราชารัฐปะลิส กับ Tengku Budriah binti Al-Marhum Tengku Is mail เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2544 เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พระองค์ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2486 ณ เมืองอะราว รัฐปะลิส ปัจจุบันมีพระชนมพรรษา 63 พรรษา ทรงอภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2510 กับสมเด็จพระราชินี ประไหมสุหรี อากง ตนกู เฟาเซียห์ บินติ อัลมาร์ฮุม เติงกู อับดุลราชิด ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สายสุลต่านรัฐกลันตันและตรังกานู มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 2 พระองค์  ทรงสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยวิชาการทหาร Sand hurst สหราชอาณาจักร เมื่อปี 2508   การเสด็จฯเยือน ราชอาณาจักรไทยพระ องค์เคยเสด็จฯเยือนพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีฯเป็นการส่วนพระองค์หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเสด็จฯเยือน ราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ที่ 12 แห่งมาเลเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย ประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเล เซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2500 มีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่งคือ สถานกงสุลใหญ่  ณ เมืองปีนังและสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู รวมทั้งมีสถานกงสุลประจำเกาะลังกาวี นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานส่วนราชการต่าง ๆ ที่ตั้งสำนักงานอยู่ภายใต้สถานเอกอัครราชทูตฯและหน่วยงานไทยที่ตั้งสำนักงานในมาเลเซียในส่วนหน่วยงานของมาเลเซียในประเทศไทย ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียและสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำ จ.สงขลา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซีย พัฒนาแน่นแฟ้นมีความใกล้ชิดกันมายาวนาน ที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่าง ๆ ทั้งระดับพระราชวงศ์ชั้นสูง รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ในการเยือนของผู้นำระดับสูงฝ่ายไทย เมื่อวันที่  8 กันยายน 2544 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จเยือนมาเลเซีย จากนั้นวันที่ 25 เมษายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯเยือนรัฐกลันตันอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของสุลต่านแห่งรัฐกลันตัน เพื่อทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำในวโรกาสที่สุลต่านแห่ง รัฐกลันตันทรงครองราชย์ ครบ 25 ปีและเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯเยือนรัฐกลันตัน เพื่อทรงร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ในวโรกาสพิธีอภิเษกสมรสของ มกุฎราชกุมารรัฐกลันตัน กับ น.ส. กังสดาล พิพิธภักดี   ส่วนการเยือนของพระราชวงศ์มาเลเซีย เมื่อ วันที่ 27-30 มีนาคม 2543 สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเล เซียเสด็จฯเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   ในระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนกันอย่าง ต่อเนื่องหลายครั้ง อาทิ นายกรัฐมนตรีของไทยเยือนมาเลเซียร่วมพิธีเปิดซีเกมส์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 ปี 2546 ปลายเดือนกรกฎาคมนายกรัฐมนตรีเยือนเกาะลังกาวีเพื่อประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) ครั้งแรกวันที่ 9-10 สิงหาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนมาเลเซียในฐานะผู้แทนพิเศษหารือ  เรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคง ฯลฯ   ทางด้านมาเลเซียวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2545 ดาโต๊ะ ซรี ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการวันที่ 16 มกราคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี  นายกรัฐมนตรีมาเล เซียเยือนไทยอย่างเป็นทาง การในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ปีเดียวกันวันที่ 5 สิงหาคม ดาโต๊ะ ซรี ไซด์ ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเป็นประธานร่วมในการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 1 และไม่นานมานี้วันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2548  ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและภริยาเยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาลเป็นต้น ในงานเฉลิมฉลอง สิริราชสมบัติครบ 60 ปีการเสด็จฯมาเยือนของสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซียครั้งนี้ นับเป็นนิมิตหมายอันดีสานสายสัมพันธ์สองประเทศที่มีต่อกันมายาว นานแน่นแฟ้นยั่งยืน. ทีมวาไรตี้ http://www.dailynews.co.th จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 18:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ฉลองสิริราชสมบัติครบ60ปีพระราชอาคันตุกะแห่ง...บรูไน    ทุกครั้งที่สื่อในต่างประเทศจัดอันดับความร่ำรวยของกษัตริย์ ทั่วโลก สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ แห่งบรูไนไม่เคยหล่นจากอันดับต้น ๆ รายงานจากนิตยสารฟอร์บส์ ของสหรัฐฉบับตีพิมพ์วันที่ 22 พฤษภาคมนี้  เผยการจัดอันดับความร่ำรวยของผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปรากฏว่า สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ ร่ำรวยอันดับ 2 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 760,000 ล้านบาท ขณะที่กษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบียติดอันดับ 1 มีทรัพย์สิน 798,000 ล้านบาท ทรัพยากรสำคัญของประเทศที่ทำให้ร่ำราย คือน้ำมัน เนการาบรูไนดารุสซาลาม มีน้ำมันมากเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย จึงมีรายได้หลักจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รายได้จากการส่งออก น้ำมันดิบและก๊าซมีมูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยส่งออกไปญี่ปุ่น อังกฤษ ไทย สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ และการที่ราคาน้ำมันในตลาด โลกเพิ่มขึ้นในรอบปี 2547 และ 2548 ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่นอยู่ บ้าง เช่น การผลิตอาหารและเครื่องมือ การผลิตเสื้อผ้า เพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจาก ขาดช่างฝีมือ ตลาดเล็ก ความไม่กระตือ รือร้นของราชการ ผู้คนในประเทศบรูไนค่อนข้างสุขสบาย เพราะรัฐมีระบบสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ โดยรัฐให้หลักประกันด้านการศึกษา การเคหะและการรักษาพยาบาล และไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ ทำให้บรูไนไม่ต้องประสบปัญหาทางการ เมือง อย่างไรก็ดีปัญหาสังคมที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่ การแก้ปัญหา แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและปัญหาการว่างงาน พื้นที่ของประเทศทั้งหมด 5,765 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 357,800 คน (ปี 2547) มีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีพระมหากษัตริย์หรือสุลต่านเป็นพระประมุขปกครองประเทศ ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ เป็นพระราชโอรสพระองค์โต  ใน สุลต่าน เซอร์ มูดา โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน สมเด็จพระราชาธิบดีพระ องค์ที่ 28 แห่งบรูไนฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2510 ทรงเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง ผู้นำทางศาสนาอิสลามแห่งเนการาบรูไนดารุสซาลามตั้งแต่ปี 2527 ถึงปัจจุบัน พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2489 ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ปัจจุบันมีพระชนม พรรษา 60 พรรษา (ปี 2549) ทรงศึกษาวิทยาลัยวิชาการทหารแซนด์เฮร์ต สหราชอาณาจักร ระหว่างปี 2509-2510 พระราชกรณียกิจ และทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2504 ทรงอภิเษกสมรสกับมเหสี 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระราชินีราชา อิสตรี เป็งงีรัน อานัก ฮัจญะห์ ซาเลฮา เมื่อปี 2508 มีพระราชโอรส 2 พระองค์ และพระราชธิดา 4 พระองค์ และอภิเษกสมรสกับ พระมเหสีเป็งงีรัน อิสตรี ฮัจญะห์ มาเรียม เมื่อปี 2524 มีพระราชโอรส 2 พระองค์ และพระราชธิดา 2 พระองค์ อย่างไรก็ตาม ทรงหย่ากับพระมเหสีเป็งงีรันฯ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2546 ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับ นางสาวอัสรีนาส มัชฮาร์ ฮาคิม อดีตผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ช่อง TV 3 ชาวมาเลเซีย วัย 26 ปี (เมื่อปี พ.ศ. 2548) โดยได้ทรงจัดพิธีสมรส ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่ไม่ได้มีการประกาศเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในเนการาบรูไนดารุสซาลาม พระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ ทรงมีความเชื่อมั่นในพระ องค์สูง โปรดกีฬากลางแจ้ง โดยเฉพาะโปโล สควอช แบดมินตัน การเล่นเรือใบ และการขับรถยนต์และเครื่องบิน โปรดอาหารตะวันตก โปรดขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง เป็นพระประมุขที่มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ของประชาชน และมักจะเสด็จฯ ไปเยี่ยมหน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งเสด็จเยี่ยมหมู่บ้านต่าง ๆ เสมอ โปรดการเสด็จฯ ประพาสต่างประเทศ เช่น เสด็จฯ เยือนซาอุดีอาระเบียเพื่อทรงร่วม พิธี อุมเราะห์ และพิธีฮัจญ์ เป็นประจำทุกปี และเสด็จฯ เยือนสหราชอาณาจักรเป็นการส่วนพระ องค์เป็นประจำทุกปี โดยปกติเป็นช่วงก่อนเวลาการฉลองวันพระราชสมภพ (15 กรกฎาคม) ทรงเป็นกันเองกับข้าราชบริพาร โปรดให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ ในวันสำคัญ ทางศาสนาอิสลาม เช่น วันฮาริรายา สนพระทัยและทรงเคร่งในศาสนา เช่น จะทรงสวดมนต์ที่สุเหร่าทุกวันศุกร์ช่วงเวลาเที่ยง ทรงเชิญแขกต่างประเทศไปร่วมงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี ไทยกับบรูไนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2526 ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและดำเนินด้วยดีตลอดมา มีการแลก เปลี่ยนการเยือนระดับราชวงศ์และผู้นำระดับสูงเสมอ ทั้งสองฝ่ายมีทัศนคติที่ ดีต่อกัน ไม่เคยมีความบาดหมางทางประวัติศาสตร์ และมักเป็นพันธมิตรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียนและกรอบสหประชาชาติ สำหรับการเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย พระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ เสด็จเยือนราชอาณา จักรไทย อย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 ครั้ง ครั้งแรกระหว่างวันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2531 และครั้งที่ 2 เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีและพระมเหสีแห่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคม 2545 เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยแบบ Working Visit ระหว่างวันที่ 15-17 พฤษภาคม 2541 เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมประชุม ASEAN-UN Summit ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการประชุม UNCTAD X ระหว่างวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2543 เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียนและผู้นำอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ซึ่งราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าภาพ ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2546 เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเศรษฐกิจ เอเปค ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยเป็นการส่วนพระองค์ พร้อมด้วยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่ง  เนการาบรูไนดารุสซาลาม โดยเป็นแขกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐ มนตรี ระหว่างวันที่ 16-18 เมษายน 2548 จนถึงวันนี้ไทยกับบรูไนยังคงมี ความสัมพันธ์ระดับประเทศที่แนบแน่น และดูเหมือนจะยาวนานตลอดไป. ทีมวาไรตี้ http://www.dailynews.co.th จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 18:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ฉลองสิริราชสมบัติครบ60ปีพระราชอาคันตุกะแห่งญี่ปุ่น    ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชวงศ์ “ไทย-ญี่ปุ่น” ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องในพระราชกรณียกิจของสองราชวงศ์ ซึ่งมีการเสด็จพระราชดำเนินเยือนตอบแทนซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องและแน่นแฟ้น เนื่องในมหาวโรกาสฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช สมเด็จพระจักร พรรดิอากิฮิโตแห่งญี่ปุ่นพร้อมด้วยสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะได้ทรงตอบรับและเสด็จฯ มาร่วมในพระราชพิธีครั้งนี้ด้วย สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2476 ที่กรุง  โตเกียว ท่ามกลางความปลาบปลื้มของพสกนิกรทั่วประเทศ ในฐานะพระราชโอรสองค์แรกแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะและสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุน ทรงมีพระเชษฐภคินี 4 พระ องค์ พระอนุชา 1 พระองค์ และ พระขนิษฐา 1 พระองค์ ทรงสำเร็จการศึกษาขั้นต้นในระดับประถมและมัธยมที่กักกุชูอิน ซึ่งต่อมาก็คือโรงเรียนสำนัก พระราชวังอิมพีเรียล สถาบัน ศึกษาเอกชน ในปี 2495 ทรงเข้ารับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ มหาวิทยาลัยกักกุชูอิน คณะรัฐศาสตร์และเศรษฐ ศาสตร์ ในปีเดียวกันนั้นทรงเข้ารับการสถาปนาเป็นองค์มกุฎราช กุมาร ซึ่งพระองค์ก็ทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ ปี 2496 ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ครั้งแรกในฐานะองค์มกุฎราชกุมารด้วยการเสด็จฯ ไปร่วมพิธีสถาปนาการขึ้นครองราชสมบัติ ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ต่อมาในวันที่ 10 เม.ย. 2502 ทรง เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ น.ส.  มิชิโกะ โชดะ บุตรสาวของนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียง ด้านการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศในฐานะ องค์มกุฎราชกุมารนั้น รวมแล้ว กว่า 37 ประเทศทั่วโลก ส่วน 6 ครั้งที่ผ่านมา ของการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตและสมเด็จพระจักร พรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่นนั้น ประกอบไปด้วย ครั้งที่ 1 เมื่อเดือน ธ.ค. 2507 เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนขณะทรงเป็นองค์มกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงแห่งญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 เมื่อเดือน มิ.ย. 2514 ครั้งที่ 3 เมื่อเดือน มิ.ย. 2519 ครั้งที่ 4 เมื่อเดือน ก.พ. 2524 ครั้งที่ 5 เมื่อเดือน มี.ค. 2526 และครั้งที่ 6 เมื่อเดือน ก.ย. 2534 เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น สำหรับรายละเอียดของหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมื่อครั้งที่ 6 นั้นมีดังนี้ วันที่ 26 ก.ย. 2534 เสด็จฯ ออกจากกรุงโตเกียวช่วง เช้าถึงกรุงเทพฯ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถวายกุญแจเมือง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน วันที่ 27 ก.ย. 2534 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตเสด็จฯ ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิ โกะเสด็จฯ ไปยังศูนย์ศิลปาชีพ จากนั้นพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ และงานเลี้ยงรับรอง ช่วงบ่ายเสด็จฯ ไปยังศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พระราชทานอนุญาตให้ชาวญี่ปุ่น ผู้มีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศไทยเฝ้าฯรับเสด็จฯ ช่วงค่ำ สมเด็จพระ จักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นเจ้าภาพถวายพระกระยาหารค่ำพระราชทานตอบแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักบรมพิมาน วันที่ 28 ก.ย. 2534 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครถวาย มาลัยที่ระลึก รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสม เด็จพระราชินี เสด็จฯ ออกจาก กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานพิษณุโลก ช่วงบ่ายเสด็จฯ ต่อไป ยังอุทยานประวัติศาสตร์จังหวัดสุโขทัย ถวายพระกระยาหารค่ำและงานแสดงแสงสี เสด็จฯ ออกจากจังหวัดพิษณุโลกต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเสด็จฯถึงแล้ว เข้าพำนักที่โรงแรมเชียง ใหม่ออร์คิด วันที่ 29 ก.ย. 2534 ช่วงเช้าเสด็จฯ เยือนเมืองเก่า   จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงบ่ายเสด็จฯ ไปยังศูนย์วิจัยเกษตรและการพัฒนา ช่วงค่ำผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพถวายพระกระยาหารค่ำ จากนั้นเสด็จฯกลับมาประทับยังโรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด วันที่ 30 ก.ย. 2534 เสด็จฯ ออกจากจังหวัดเชียงใหม่ ต่อไปยังประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 7 ม.ค. 2532 จากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จ พระจักรพรรดิฮิโรฮิโต สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตจึงเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นสมเด็จ พระจักรพรรดิองค์ที่ 125 แห่งญี่ปุ่น มีพิธีสถาปนาการเสด็จขึ้น ครองสิริราชสมบัติ ณ พระราชวังอิมพีเรียล ในวันที่ 12 พ.ย. 2533 มีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 158 ประเทศ รวมทั้ง สมาชิกพระราชวงศ์ องค์ประมุข องค์การระหว่างประเทศ ร่วมพิธี ส่วนสมเด็จพระจักร พรรดินีมิชิโกะมีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2477 ณ กรุงโตเกียว ทรงเป็นบุตรสาวคนโตของนายฮิเดซาบูโระ กับ นางฟูมิโกะ โชดะ ซึ่งครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงทั้งด้านอุตสาหกรรมและวิชาการ ทรงสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนไซอิน และศึกษาด้านวรรณคดีอังกฤษจากมหา  วิทยาลัยฮาร์ท ทรงสนพระทัยด้านศิลปะและดนตรี นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอีกประการหนึ่งคือ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ภายในพระราชวังอิมพีเรียล เพื่อนำไหมมาทอเป็นผ้าไหมสำหรับฉลองพระองค์ ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดิทรงสนพระทัยด้านวิถีชีวิตธรรมชาติและการอนุรักษ์ โดยเฉพาะในเรื่องปลานั้น ทรงเคยแนะนำเรื่องการเลี้ยงปลานิลให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำ ไปเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ของไทยด้วย พระองค์ยังทรงปลูกข้าวภายในพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจ ที่ทรงปฏิบัติเป็นกิจวัตร การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงปรารถนาที่จะได้มีโอกาสได้มีพระราชปฏิสันถารกับนิสิต ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจะเสด็จฯ ไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งพระองค์ ยังไม่เคยได้เสด็จฯ มาเยือนเลย  เพราะเป็นสถานที่สำคัญทาง ประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งญี่ปุ่น  กับไทยมีความสัมพันธ์กันมา ช้านานกว่า 600 ปีแล้ว ตั้งแต่ สมัยอยุธยา และในปี 2550  จะเป็นปีครบรอบ 120 ปี ของ การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่นกับไทย. จากคุณ : mcpan - [ 9 ก.ค. 49 18:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณคุณ mcpan มากครับ ที่ได้นำสิ่งดี ๆ มาให้อ่านกัน จากคุณ : วศินสุข - [ วันอาสาฬหบูชา 00:15:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 น่าประทับใจครับ จากคุณ : น่ารักอย่างกะยักษ์วัดแจ้ง - [ วันอาสาฬหบูชา 01:51:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณที่รวบรวมมาให้อ่าน  ดีมากๆเลยค่ะ... จากคุณ : ทะลเรียบถึงมีคลื่นเล็กน้อย - [ วันอาสาฬหบูชา 17:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบพระคุณด้วยคนค่ะ  เพิ่งมีโอกาสได้แวะเข้ามาอ่าน  :) จากคุณ : kenzen - [ 16 ก.ค. 49 12:14:34 ]