ความคิดเห็นที่ 72
ขอตอบในหลายๆประเด็นพร้อมกันนะครับ
1) ที่นี่คือโต๊ะประวัติศาสตร์ เพราะฉนั้นผมจะพยายามพูดและวิจารณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในแง่มุมทาง ประวัติศาสตร์ จะพยายามกล่าวพาดพิงถึงการเมืองให้น้อยที่สุด
2) เรื่องที่คุณก๊าบป. กล่าวอ้างว่าไพร่ยากจน ต้องขายตัวเป็นทาสนั้น เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ใครเป็นเจ้ามือ ผมจะลองเอาข้อมูลบางอย่างให้คุณดู 2.1)นาย ครอเฟิร์ด ทูตอังกฤษ จดใ้ว้เมื่อปี 2365 ว่ารัฐบาลไทยขณะนั้น มีรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย 260,000 บาท 2.2)สมัย ร.3 400,000 บาท 2.3)สมัย ร.4 500,000 บาท 2.4)สมัย ร.5 6,755,276 บาท (พศ.2459)
ผมอยากจะบอกว่าที่คนต้องฉิบหายขายตัวจนต้องกลายเป็นทาสเพราะเล่นการ พนันนั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก หนำซ้ำการมองแบบนี้ ก็เป็นการมองแบบปลายเหตุเสียด้วยซ้ำ ที่บอกว่าเป็นปลายเหตุ ก็เพราะคุณต้องไปสืบดูว่า ทำไมชาวบ้านถึงมัวแต่เล่นการพนันจนไม่สนใจที่จะตั้งใจทำมาหากิน ข้อแรก ชาวนาหมดปัญญาที่จะทำไร่ทำนาได้อีกต่อไป เพราะปัญหา ที่ดินเสื่อมโทรม ขาดน้ำที่จะใช้ในการทำนา ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เหตุเพราะว่า ที่นาที่อุดมสมบูรณ์ ได้ถูกจับจองโดย เจ้าและกลุ่มขุนนางจนหมดแล้ว เรื่องนี้มีหลักฐานชั้นต้นสำหรับยืนยัน อยู่มากมาย ข้อสอง ชาวบ้านทนการขูดรีดภาษีอากร จากทางการไม่ไหว จนต้อง ขายตัวเป็นทาส เพื่อใช้หนี้ภาษีอากร อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ผมจะยกตัว อย่างให้ดู
อากรค่าน้ำ คืออากรที่เก็บจากการ จับปลา ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเล ในสมัย ร.3 เก็บได้ปีละ 56000 บาท ร.4 ปีละ 70000 บาท ลองมาดูรายละเอียดสักหน่อย โพงพางน้ำจืด โพงพางละ 12 บาท สวิงกุ้งสวิงปลา เก็บคนละ 12 สต. ฉมวกคนละ 12 สต. เบ็ดราว คนละ 50 สต. เบ็ดธรรมดา 100 คัน คิด 50 สต. นี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ยังมี ภาษี อากร ส่วย และฤชา ที่พิศดาร พันลึก อีกมากจนคุณๆมิอาจคาดฝัน เลยทีเดียว เหตุเพราะชาวบ้านทนต่อการขูดรีดภาษีไม่ไหว จนต้องขายตัวเป็นทาส เพื่อชดใช้ค่าภาษี เพราะถ้าไม่มีจ่าย ก็จะถูกจับกุมคุมขัง ลงโทษทรมาน ถ้าหามาให้ไม่ได้แล้วจริง ก็จะกลายไปเป็นทาสหลวง ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเห็น ว่าการขายตัวไปเป็นทาสน้ำเงิน ยังจะดีเสียกว่ากลายเป็นทาสหลวง และนี่ก็คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
3)การที่มีกลุ่มผู้ดีเก่า หลงเหลืออยู่ในสังคมปัจจุบันนั้น ก็เพราะ ข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์ ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องยอมรับ บุคคลเหล่านี้ ว่าเป็นบุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ทุกประการ แต่คุณก็ต้องยอมรับด้วยความเข้าใจด้วยว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งก็แน่นอนอยู่เช่นกันว่า ผลประโยชน์ของคนเหล่านี้มักจะขัดแย้ง กับผลประโยชน์ของชาวบ้านรากหญ้าอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ถ้าจะพูดถึงกลุ่มนักวิชาการบางจำพวกซึ่งมองไม่เห็นหัวของชาวบ้าน แล้วละก็ อาจจะต้องสาวประวัติศาสตร์กันจนถึงก่อนยุคทาสเสียอีก คงน่าเบื่อไม่น้อย ที่พูดถึงคนเหล่านี้
ถ้าประเด็นไหน ผมยังตอบไม่ครบ หรือยังครอบคลุมไปไม่ถึง ก็โปรด ถามย้ำมาอีกทีก็แล้วกัน
ด้วยความนับถือ
จากคุณ :
Ritti Janson (Ritti Janson)
- [
27 ก.ค. 49 17:07:27
]
|
|
|