ความคิดเห็นที่ 1 ก๊ากกกก ผมยินดีจัดหาพาราเซตามอลให้ฟรีๆครับสำหรับคนที่ปะทะคารมกับเฮียแท่น นอกจากตรรกะและมุมมองที่แตกต่างแล้ว แกพิมพ์เร็วมากกกกกกกก ยังกะเอาปืนพกไปยิงสู้กับเอ็มสิบหก เถียงไม่ทันอ้ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 1 ส.ค. 49 08:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณค่าาา จอมยุทธน้ำเมานามว่า พี่แท่น ณ ห้องนี้นี่เอง ที่กะลังโชว์เพลงดาบอยู่ จากคุณ : rien - [ 1 ส.ค. 49 08:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 3 '..........ทัศนคติในแง่ไม่ค่อยดีกับการเรียนแปล ....' ตีความเจตนารมย์ผิดนะ........... เราเพียงแต่พยายามจะบอกว่า เราสนใจในเรื่องการสอนภาษาอังกฤษทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสอนการแปล" ........... และพยายามที่จะบอกว่า ให้นักอยากแปลลองลงเรียนหลักสูตรการแปล (ในเชิงทฤษฎี) จากมหาลัยไป พร้อมๆกับเรียนการแปล (ในเชิงปฏิบัติ) จากเราไป พร้อมๆกันเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ ...... แต่อยู่ดีๆมีคนที่เรียนปริญญาเอกการแปลจากมหาลัยในอังกฤษมา quote ข้อความใน textbooks ของเธอ .......จนเราเวียนหัว ไม่อยากคุยด้วย ......... จริงๆแล้วเราอยากจะบอกว่า ถ้าเราจะสอนการแปล เราจะสอนอย่างไร........ แล้วปัญหาที่จะเกิดขึ้น น่าจะมีอะไรบ้าง (แบบว่าคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าในฐานะที่เป็นนักแปลมาหลายปี) ........แล้วพอเจอปัญหาแบบนี้แล้ว ผู้สอนจะแก้ปัญหาอย่างไร.......... แต่ผลปรากฎว่า คู่กรณีของเราได้แต่ quote passages จาก textbooks แล้วก็ถามเราว่า "รู้จักคนชื่อนั้น ชื่อนี้ม่ะละ" ....ให้ตายสิ......เราก็ยอมรับว่า "ม่ะเคยได้ยินง่ะ" ........ขอบใจที่บอกว่าพวกเขามีตัวตนนะ แต่เราก็ be fair นะ .....คือว่าเราคิดว่า คู่กรณีมีสิทธิทุกประการที่จะ quote อะไรก็ได้.......หากแต่ว่า citing หรือ quotations เหล่านั้นมันจะต้อง มี educational value และมันจะต้องนำมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอนการแปลได้ด้วย .......ม่ะใช่ว่าหยิบยกขึ้นมาเพื่อข่มอีกฝ่ายหนึ่งว่า "เพราะคุณม่ะเคยเรียนการแปลในมหาลัยมา คุณจึงม่ะเคยได้ยินชื่อพวกเนี้ย" ......... ตกลงเรากำลังจะบอกว่า จากประสบการณ์การแปลแบบลงมือแปลจริงๆนั้น ......ถ้าเราจะสอนการแปล เราจะสอนอย่างไร และเราจะคาดเดาไปล่วงหน้าเลยว่าจะมีปัญหาอย่างไรบ้าง แล้วเราจะแก้อย่างไร............. แต่พอเจอวิธีการที่คู่กรณีใช้ เราเลยไม่อยากเผยความลับในเรื่องการเรียนการสอนการแปล .........เนื่องจากว่า อีกฝ่ายหนึ่ง "ไม่คิด" ได้แต่ "quote" .........แล้วเราก็ได้แต่ "คิด".......มันเหนื่อยอ่ะ........ เลยคิดว่า I shall concede........ ลองไปอ่านดูต่อดิ.....(เราเขียนอะไรเพิ่มไว้ และแก้สะกดผิด คคห เก่าๆ ไปบ้างพอสมควร).....เราพยายามจับประเด็นที่สำคัญๆ ...........แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้แต่ลอกกากตำราลูกเดียว..........เลย เราชักม่ะอยากคุยด้วยแระ........ฮือๆๆๆๆๆ............. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:47:19 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:46:19 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:45:33 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:44:36 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:42:25 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 1 ส.ค. 49 21:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุยไปเถอะเฮีย....ได้ความรู้ดีออก น้องเขาสวยด้วยน๊าาาา....จาบอกให้ จากคุณ : ฎร - [ 1 ส.ค. 49 22:57:23 A:86.140.175.70 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หมายความว่าถ้าไม่สวยนี่ไม่ควรคุยด้วยใช่ไหม? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ส.ค. 49 00:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามคุณสักวันหนึ่งไปอ่านมาแล้วครับ ผมอ่านห้องนี้บ่อยๆไม่เคยคอมเมนต์ซะที วันนี้ขอหน่อยเหอะ คุณแท่นสีจะยกประเด็นมาแย้งเค้าทั้งที ทำไมยกมาแค่ประเด็น citation ล่ะครับ เค้าพูดอะไรตั้งเยอะ แล้วที่เค้ายกมาก็เพื่อแย้งคุณ ไม่ได้ยกมา for the sake of citation ซักหน่อย แมนๆหน่อยสิครับ อย่า gloss over เพื่อให้ตัวคุณดูดีเลย ผมว่าคนไปอ่านเค้าก็คงสรุปเองได้แหละ ว่าเหตุผลใครถึงกว่ากัน เอ ผมอาจจะลำเอียงก็ได้เพราะผมก็พวกทำเอกเหมือนกัน (teaching english as a foreign language) จะให้ผมมาพูดเรื่อง thesis ตัวเองแบบเจาะลึกกลางเว็บบอร์ดคงไม่เอาหรอกครับ เพราะมีทั้งพวกจ้องจะขโมยไอเดีย (ดูกระทู้แนะนำห้องนี้สิ)แล้วก็ผิดกฏด้วยถ้ามหาลัยรู้หรือจะเอาไป publish ที่ไหน มันต้องไม่เคยเอาไปเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน เค้าก็บอกแล้วว่าเค้าทำวิจัยเรื่องอะไร คิดคอนเซปต์อะไรอยู่ คนเรียนถึงระดับนี้ถ้าเอาแต่ลอกก็ไปไม่รอดหรอกครับ (เห็นพูดถึงพระเทพด้วย ไม่รู้ว่าเป็นนร.ทุนอานันท์หรือเปล่า) ผมแวะไปดูบล็อกคุณแล้วครับ ยอมรับว่าไอเดียน่าสนใจ วันหลังจะพยายามเข้ามาอีก เผื่อได้ไอเดียไปคิดวิธีการสอนแบบแปลกๆ จากคุณ : alessandro - [ 2 ส.ค. 49 02:55:00 A:86.134.189.113 X: TicketID:124553 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แหม ตัวจริงเสียงจริงก็ไม่ยอมโชว์ตัวนะครับ คุณ alessandro ทำเป็นมวยซุ่มไปได้ วันหลังคอมเมนต์ให้บ่อยขึ้นหน่อยสิครับ จะได้เกิดมุมมองและความรู้ที่มีมิติมากขึ้นทั้งเชิงกว้างเชิงลึก เป็นประโยชน์กับคนอ่านมากขึ้น เห็นแต่มิติของผมกับเฮียแท่นแก ก็ออกจะปลาร้าเต็มทีแล้ว ยินดีต้อนรับสู่วงไพบูลย์ครับ แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 13:24:00 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ส.ค. 49 06:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จริงๆแล้วในกระทู้นั้น ประเด็นหลักที่เราพูดก็คือ เราไม่ได้ลำเอียงหรือมีอคติต่อการสอนการแปลในมหาลัย เราเพียงพูดแค่ว่าถ้าเราสอนการแปล (ไม่ว่าสอนที่ไหนก็ตาม) เราจะสอนให้นักเรียนหัดเรียนด้วยตัวเองโดยการให้ข้อมูลที่จำเป็น ไม่ใช่มากาง textbooks หรือ cite พวก authorities ทั้งหลาย ทึ่คุณ alessandro พูดว่า "........เพราะมีทั้งพวกจ้องจะขโมยไอเดีย ........" เข้าใจผิดแล้ว เราแค่อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้กันว่า ถ้าเราสอนการแปลเราจะสอนอย่างนี้ (ซึ่งก็กล่าวโดยสรุปไปแล้วในกระทู้ดังกล่าว).....ไม่เห็นจะต้องมีการเอางานวิจัยมาตีแผ่กลางเว็บเลย.......คุณจับประเด็นเราผิดเสียแล้ว เราก็ได้สรุปไปแล้วว่าหลักการสอนโดยย่อของเรา จะทำอย่างไร เราไม่เห็นกลัวโดนใครลอกเลียนเลย........... ถ้าเราจะโฆษณา course การสอนภาษาอังกฤษของเรา เรากล้าแปะโฆษณากลางเว็บเลยว่า ใช้เครื่องมืออะไร ใช้วิธีการและขั้นตอนอย่างไร ใครอยากลอกเลียนก็เชิญได้เลย.......... เนื่องจากว่าเวลาลงมือสอนกันจริงๆผู้สอนแต่ละคนจะผลิตนักเรียนออกมาเก่งไม่เท่ากัน ตัวแปรมันอยู่ที่ความรู้และประสบการณ์ของผู้สอน ส่วนเรื่อง citations ที่เรากล่าวถึงในกระทู้นั้น ที่เราบ่นๆเรื่องนี้ก็เพราะว่า ไม่เห็นคู่กรณีเราจะพูดอะไรที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการเรียนการแปลในมหาลัยจะทำให้ผู้เรียนประกอบอาชีพในการแปลได้ดีเลยแม้แต่สักนิด มันเป็นเพียงแค่การอ้างชื่อ authorities มาเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้.......แต่เราไม่เห็นขวัญเสียเลย เนื่องจากจุดยืนของเราก็คือว่า .........ถ้าเราสอน เราสอนอย่างที่เราให้รายละเอียดไปแล้ว ส่วนถ้าคนอื่นจะสอนด้วย citations พวกนั้นก็ลองทำ experiments กันก็ได้ โดยการแยกกันสอนคนละกลุ่มแล้วพิสูจน์จากผลที่ได้.......... ส่วนเรื่องที่คุณพูดว่า "แมนๆหน่อยสิครับ อย่า gloss over เพื่อให้ตัวคุณดูดีเลย " ต้องถือว่าเป็นความลำเอียง..........ในลักษณะของ academia versus self-taught translators อย่างแน่นอน ส่วนประเด็นที่คุณ สักวันหนึ่ง พูดเอาไว้นั้นคือ "อยากให้อ่านสิ่งที่คุณ Sa-idian บอกมากๆเลยค่ะ นี่คือส่วนสำคัญที่คนเรียนการแปลจะได้เรียนรู้ ได้ศึกษา อย่างที่บอกว่ามันเป็นการเรียนในเชิงของศาสตร์ มากกว่าจะเรียนเพื่อประกอบอาชีพ เป็ยวิชาการมากกว่าวิชาชีพ ดังนั้น คนที่จบแปลอาจจะแปลได้ไม่ดี ขณะที่บางคนแปลได้ดีโดยที่ไม่ต้องเรียนมาเลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด" ดังนั้น (ไม่ใช่เราพูดนะ) แต่เป็นคุณ สักวันหนึ่ง พูดเองว่า "ถ้าใครไฝ่ฝันอยากมีอาชีพเป็นนักแปลต้องไม่ไปเรียนการแปลที่มหาลัย" ..........ไม่รู้ว่า statement ของคุณ สักวันหนึ่ง เมื่อใช้ deduction แล้วมันออกมาหมายความว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่ ............ถ้าใช่ก็ไม่รู้ว่าจะถกกันไปทำไมในกระทู้นั้น เนื่องจากว่ากลายเป็นการคุยกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป (นี่คิดในเชิงตรรกะนะ) แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 11:47:41 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 2 ส.ค. 49 11:45:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณฎรฯ & คุณ Alessandro (Safina ด้วยป่าว) คะ ธ่อ... คุณยังอยากจะให้เขาแย้งกันต่อไปทำไม เห็นๆ กันอยู่แล้วว่า พูดกันคนละเรื่องเดียวกัน คนหนึ่งขึ้นเหนือ คนหนึ่งลงใต้ .... ถ้าอยากจะให้คุยต่อ เพื่อเผยแผ่ความรู้ ก็น่าจะหา common ground มากกว่า เรื่องที่เป็นประเด็นนั้น คุยกันตาย ก็ไม่ได้เรื่อง เพราะคุยกันคนละเรื่อง มองจากมุมที่ต่างกัน อิฉันเข้าใจที่คุณแท่นพยายามจะสื่อ และอิฉันก็เข้าใจที่คุณ Sa-ฯ พยายามจะสื่อเช่นกัน แต่ทั้งสองคนนี้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ต่างคนต่างกำลังพยายามจะสื่อ สงสัย กำลังเลือดขึ้นหน้า ใส่แว่น(อัต)ตากันทั้งคู่ แปลกใจจริงๆ ว่า ทำไมคุยกันดีๆ ไม่ได้ Tansy - Can't you keep cool, calm and collected at the same time? จากคุณ : o;] - [ 2 ส.ค. 49 17:43:44 A:61.47.103.217 X: TicketID:012689 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หลับแต่หัววัน แล้วเพิ่งตื่นขึ้นมาเนี่ย ......... เคารพความเห็นคุณ o;] แต่อยากจะบอกว่า......แท้จริงแล้วเราโคตรที่จะ cool เลย แถมยังสนุกอีกด้วย.....มันเป็นกิจกรรมคลายเครียดจากการแปล....นั่นก็เพราะอีตาคนอุดรดันมาให้ข้อมูลเราว่าเรากำลังทะเลาะกับผู้หญิงที่สวยมากๆ......... เราก็เลยรู้วิธีการที่จะ infuriate เธอด้วยคำพูดที่โหดร้ายกว่า tactics ที่ "เจ้าหนอน" มันเคยใช้อีกหลายเท่า..... แต่แล้วเราก็มาคิดว่า มีคนๆเดียวในโลกนี้ที่เราปะทะคารมแล้วไม่มีทางชนะได้ นั่นก็คือ "อาหลิน" แฟนเก่าเรานั่นเอง ไม่ว่าจะปะทะกันบนเว็บหรือโดยการเผชิญหน้ากัน...... ความพ่ายแพ้ของเราต่ออาหลินในครั้งนั้นทำให้เราป่วยทางจิตไปนานถึง 3 เดือน.........พอหายป่วยนะ ..........เรา stronger than ever........ตอนนี้เราประสาทแข็งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า...........การที่จะทะเลาะกับคนแล้วเครียดมันเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา.......เราจำภาพที่อาหลินพูดอะไร sarcastic ออกไปแล้วยิ้มแล้วหัวเราะร่วนพลางหันมาดูอาการโกรธจนเสียสติของเรา จนเราหัดท่าเพลง (ของแฟนเก่าเรา) ที่เรียกว่า "ทะเลาะกับคนไปพลางยิ้มแล้วหัวเราะร่วนไป"....ได้สำเร็จ..... และเราเชื่อว่าถ้าเราไม่หยุดนะ คุณSa-ฯ มีทางลงเอยเข้าไปพักผ่อนสมองใน asylum เอาได้ง่ายๆ........ เรามี plans to launch assaults อยู่ใน arsenal ของเราเพียบเลยนะ ........ที่พูดเนี่ย เรามั่นใจมั่กๆ ไม่ใช่คุยโวนะ ........ แต่เรากำลังอ่านประวัติ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แล้วเจอข้อความว่า "สันติภาพโลกจะเกิดขึ้นได้จากการรักษา ‘ความสุขเล็กๆในใจ’ ของทุกคนที่จะระวังไม่ให้มีการกระทบ ที่กระเทือน และกระแทกออกไปให้คนอื่นเจ็บปวดเพราะเรา" แล้วเราคิดถึง 3 เดือนที่เราป่วยทางจิต (ตอนพ่ายแพ้อาหลิน) ..... เราก็เลยคิดที่จะปล่อยคุณSa-ฯ ให้รอดจากอาการบาดเจ็บไป............ แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 03:26:47 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 3 ส.ค. 49 03:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อนุโมทนา จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 3 ส.ค. 49 08:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ลำลึกเกินบรรยาย ลำลึกเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ จากคุณ : จุย - [ 3 ส.ค. 49 14:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ tansy คะ ในประโยคว่า "เชื่อว่ามีหลายคนที่มีทัศนคติในแง่ไม่ค่อยดีกับการเรียนแปล" เราคงไม่ได้ตีเจตนารมณ์คุณผิดหรอกค่ะ เราบอกว่า "หลายคน" ค่ะ แปลว่า "ไม่ใช่ทุกคน" ด้วยความเคารพนะคะ แต่คุณมักจะมีนิสัย ชอบคิดว่าสิ่งที่คนอื่นพูดในแง่ลบมันคือการโจมตีคุณ ทั้งที่ความจริงคุณไม่ใช่ผู้รับสารที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารด้วยด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายกับเราหรือคิดว่าเราตีความหมายคุณผิดนะคะ เพราะคำว่า "หลายคน" ที่เราใช้ ไม่มีคุณรวมอยู่ในนั้นแต่แรกแล้ว จากคุณ : สักวันหนึ่ง - [ 3 ส.ค. 49 16:10:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กำลังจะมาสะกิดเฮียแท่นสีว่า เลิกเหอะ...ถ้าความเห็นไม่ลงรอยกันพูดกันไปมีแต่จะสร้างรอยร้าวฉาน ป้านวลเหมือนจะรู้ใจ ขอบคุณครับ เผอิญผมรู้จักทั้งสองท่าน แม้ปัญญาอาจจะน้อยกว่า ก็พอจะรู้จุดยืนของทั้งสองท่าน ที่แซวๆ ว่าน้องเขาสวยนั้น ก็กำลังจะพยายามทำให้น้ำตกตะกอนน่ะ แล้วค่อย "ถอนสายบัว" จากหนองน้ำในภายหลัง ขุ่นนิดขุ่นหน่อย ช้ำนิดช้ำหน่อยก็คงแฟร์กันทั้งสองฝ่าย.......เฮียแท่นก็ไว้หน้าน้องเขาบ้างเถอะนะเฮีย.... ส่วนเรื่องจะจีบน้องเขานั้น คงเป็นไปไม่ได้ บอกได้คำเดียวว่า "ซอรี่" น้องเขามีชายในดวงใจแล้ว........ว่าก็ว่านะ.. คิดจะปิ๊งสาวทั้งที ก็เล่นบทหวานอย่าง "แซม ยุรนันท์" มั่งดิ๊ (หรือไม่ก้อลองไปถามสิงห์เหนือ เสือสำอางค์ดู) เห็นแต่บท "เปี๊ยก พิศาล อัครเสนี" ทั้งปีทั้งชาติ แล้วสาวเจ้าที่ไหนจะไปทนทานไหว.......เจอของจริงอย่างหนูหลินเข้า เผ่นป่าราบเลยเห็นไหม? คิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรามั่งดิ๊.....ป่านนี้น้องเขาคงระบมไม่น้อย... จากคุณ : ฎร - [ 3 ส.ค. 49 16:27:08 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ้อ เราแค่บอกว่านักแปลที่แปลได้ดี โดยไม่ต้องเรียนแปล "มันไม่ใช่เรื่องแปลก" แค่นั้นค่ะ ไม่ได้แปลว่า ถ้าใครไฝ่ฝันอยากมีอาชีพเป็นนักแปล "ต้อง" ไม่ไปเรียนการแปลที่มหาลัย เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด จากคุณ : สักวันหนึ่ง - [ 3 ส.ค. 49 16:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ้าถ้างั้นต้องเขียนภาษาไทยให้ชัดเจนมากกว่านี้  ม่ายงั้นตีความได้ว่าคนพูด contradicts herself เรากล้าประกาศกลางเว็บได้เลยว่า ทุกวันนี้เราแปลไทยเป็นอังกฤษผิดมากกว่าแปลอังกฤษเป็นไทยผิดหลายๆเท่า.... เราเคยอ่านต้นฉบับภาษาไทยไม่รู้เรื่องแล้วโทรไปถาม  บริษัท หรือหน่วยงานตามหมายเลขโทรศัทพ์ที่อยู่บนหัวจดหมาย.......ปรากฏว่า โดนตะคอกกลับมาว่า "คุณไปได้เอกสารชุดนี้มาจากไหนกัน" ........ เราเลยรีบวางหูเลย.......สมัยนั้นมันไม่มีโทรศัพท์โชว์เบอร์ ม่ายงั้นละยุ่งเลย เข้าใจว่าลูกค้าเราขโมยเอกสารชุดนั้นมาโดยวิธีการที่เรียกว่า industrial espionage เป็นที่รู้กันในวงการแปลว่า  feasibility study ในโครงการใหญ่ๆระดับหลายๆพันล้าน  เมื่อถูกแปลจากไทยเป็นอังกฤษแล้วส่งไปให้หน่วยงานหรือบริษัทหรือสถาบันต่างๆในต่างประเทศพิจารณา  แล้วเขาหัวเราะว่า "ไร้สาระ" สิ้นดีเลย   กรณีแบบนี้มีมากมายเลย  เพราะนักแปลอ่านภาษาไทยแล้วเข้าใจผิดหมด .......บางทีเอกสารมันมีตั้ง 500 หน้าแต่ทุกบรรทัด คนเขียนภาษาไทยอ่านรู้เรื่องคนเดียว  นักแปลไม่มีทางแปลได้ถูกต้อง......... บางทีคนเขียนภาษาไทย  พยายามเขียนให้หรูหรามากๆ จนนักแปลไม่รู้ว่าคนกัดหมา หรือหมากัดคน.......วิธีแปลไทยเป็นอังกฤษที่แม่นยำที่สุด ก็คือแปลไทยเป็นไทยก่อน (ลดความหรูหรา ที่เขียนข้ามวัฒนธรรมไม่ได้) แล้วส่งกลับไปลูกค้าดูว่าแปลไทยเป็นไทยถูกหรือเปล่า ถ้าแปลผิดก็ให้ลูกค้าแก้มา  แล้วจึงค่อยแปลเป็นอังกฤษ ความจริงเราไม่ได้มีความคิดในแง่ลบต่อการเรียนการสอนการแปลในมหาลัย......แต่เนื่องจากว่าเราเป็นคนที่พยายามหัดแปลแล้วแปลไม่ได้ จึงตั้งคำถามว่า "ถ้าจะสอนการแปลจะสอนอย่างไร"  แล้วพอลงมือแปลจริงๆแบบลองผิดลองถูก เราก็พอที่จะจับแนวทางได้ว่าจะสอนอย่างไร เราก็สนใจว่าคนอื่นเขาจะสอนอย่างไร จึงอยากที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน........ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากจะบอกให้นักวิชาการรู้ว่าในการลงมือแปลจริงๆปัญหามีอะไรบ้างเพื่อว่าจะนำไปแก้ไขได้ในการเขียนหลักสูตร ไม่ได้ต้องการที่จะเปิดศึกน้ำลายกับใคร..........ถกกันไปถกกันมาจนออกนอกเรื่อง  เราเลยไม่มีโอกาสเสนอแนวคิดอะไรดีๆในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆในชีวิตจริง ....... และเราก็เลยไม่มีโอกาสที่จะบอกว่า วิธีการสอนการแปลที่ดีที่สุด (ไม่ว่าจะสอนที่ไหน) ก็คือสอนว่าผู้เรียนจะเรียนการแปลด้วยตัวเองอย่างไร ...........เป็นการสอนให้คิดเอง  ไม่ใช่สอนให้กางตำราลูกเดียว........... ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือ  ไม่ว่าคุณจะเรียนการแปลจากสถาบันไหน หรือจากตำราเล่มไหน หรือแม้กระทั่งเรียนด้วยตัวเองก็ตาม  ........ แต่ถ้าคุณไม่มีความรู้ในเรื่องที่คุณกำลังจะแปล คุณก็ไม่มีทางที่จะแปลมันได้เลย......... ดังนั้นในยุค information explosion นี้ ........เราเชื่อว่าการสอนการแปลที่ดีที่สุด จะต้องสอนให้ผู้เรียนเรียนเอง สอนแนวทางที่ถูกต้องที่จะพัฒนาความรู้รอบตัว ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์  ทักษะการค้นหาข้อมูล  กระตุ้นให้นักแปลหมั่นเสริมฐานรากความรู้ของตนเองทั้งทางด้านภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง ให้แข็งแกร่งกว่าเดิมอยู่เสมอๆ........... เราตั้งใจจะพูดแบบนี้ออกมา แต่พูดออกมาไม่ได้  เพราะอะไรก็รู้ๆกันอยู่แล้ว .......... แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 49 13:58:20 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 49 13:17:28 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 49 13:05:32 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 49 13:03:42 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 4 ส.ค. 49 12:56:58 ]