ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 10 หน้า 32
สโมสร
ชัชพล ไชยพร คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
แทบทุกตารางนิ้วของพระบรมมหาราชวังนั้น เป็นที่ก่อกำเนิดหน้าประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์มิรู้กี่ร้อยกี่พันฉาก พื้นที่แต่ละส่วนจึงล้วนมีอดีตความเป็นมาอันยาวนานหลากยุคหลายสมัย และแม้ว่าบัดนี้ พระบรมมหาราชวัง จะนับเป็นโบราณสถานสำคัญของบ้านเมืองแห่งหนึ่ง แต่มิได้หมายความว่าเป็นโบราณสถานที่หยุดนิ่งโดยปราศจากการซ่อมสร้างต่อเติมอีกต่อไป เพราะพระที่นั่ง พระตำหนัก ตลอดจนอาคารน้อยใหญ่ในสถานที่อันเป็นหัวใจของพระมหานครแห่งนี้ ยังคงถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ และสมประโยชน์ใช้สอยเรื่อยมาตราบกระทั่งปัจจุบัน
พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ที่ผ่านไปนั้น มีงานสำคัญงานหนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นในวันท้ายสุดของหมายกำหนดการ ได้แก่ งานถวายพระกระยาหารค่ำแด่พระประมุขและพระราชวงศ์จาก ๒๕ ประเทศ เมื่อวันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
หลายท่านคงแปลกใจว่าในพระบรมมหาราชวังมีพระที่นั่งชื่อนี้ด้วยหรือ ครั้นได้ชมการถ่ายทอดสด เห็นภาพทั้งภายนอกและภายในพระที่นั่งแล้ว ก็อาจยิ่งเกิดข้อกังขาเพิ่มเติมขึ้นอีกว่าพระที่นั่งองค์นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ภูมิประวัติ
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นใน อยู่ระหว่างหมู่พระมหามณเฑียรทางด้านตะวันออก กับหมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาททางด้านตะวันตก ส่วนพื้นที่สนามหลังทางด้านใต้ของพระที่นั่งติดกับพระตำหนักของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ภูมิสถานที่ตั้งของพระที่นั่งองค์นี้ มีความเป็นมายาวนานนับแต่แผ่นดินรัชกาลที่ ๓ กล่าวคือ แต่เดิมเป็นบริเวณที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักถวายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมราชชนนี คือสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม ในรัชกาลที่ ๒) เมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย เสด็จสวรรคตแล้ว ก็พระราชทานแก่พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าละม่อม พระราชธิดาพระองค์ที่ ๒๖ ในรัชกาลที่ ๓ ประทับสืบมา อนึ่ง พระองค์เจ้าละม่อมนั้นในที่สุดได้รับพระราชทานเฉลิมพระนามเป็น "สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร"
สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ทรงชุบเลี้ยงหม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ ๓ ไว้องค์หนึ่ง มีนามว่าหม่อมเจ้าหญิงรำเพย เป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (พระองค์เจ้าศิริวงศ์ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๖ ในรัชกาลที่ ๓) ผู้เป็นพระโสทรเชษฐภราดา คือพี่ชายของสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ร่วมพระชนนีเดียวกัน
หม่อมเจ้าหญิงรำเพย ประทับร่วมอยู่กับพระปิตุจฉา ณ สถานที่แห่งนี้แต่ทรงพระเยาว์ ต่อมาได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในรัชกาลที่ ๔ ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ มีพระนามาภิไธยสุดท้ายในกาลต่อมาที่ สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี
แม้เมื่อทรงเป็นพระนางนาฏราชเทวีในรัชกาลที่ ๔ แล้ว สมเด็จพระเทพศิรินทราฯ ก็ยังคงประทับอยู่ ณ พระตำหนักเดิมในบริเวณนั้น กระทั่งประสูติพระราชโอรสธิดา ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑลโสภณภควดี สมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนตรัศมี และสมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงศ์ ครั้นสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ จึงได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบสนองพระองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิราช
ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระตำหนักเก่าลง แล้วสร้างพระราชมณเฑียรสถานใหม่ ปรากฏกระแสพระราชดำริในศิลาพระฤกษ์ว่า "พระตำหนักเดิมนี้เป็นชัยภูมิมงคลสถานที่ประสูติของพระองค์ และเป็นที่เสด็จประทับสืบมาตามลำดับ มิมีผู้อื่นเข้ามาเจือปนจนถึงตลอดเวลาได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้เคยเสด็จประทับอยู่เป็นที่สบายแต่เดิมมา"
จากคุณ :
รวียศ
- [
3 ส.ค. 49 12:20:15
A:10.2.26.4 X:203.99.253.8 TicketID:058324
]