ความคิดเห็นที่ 1     ต้นตอของคำว่า "เล่นพิเรนทร์" มาจากพฤติกรรมของ "พระพิเรนทรเทพ" ตำรวจหลวงในสมัยรัชกาลที่ห้า     เมื่อเกิดเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสนำเรือรบเข้ามาคุกคามไทย พระพิเรนทรเทพ  ผู้นี้ฝึกบ่าวไพร่และอาสาสมัครให้ดำน้ำทน เพื่อไปเจาะเรือรบฝรั่งเศสให้จม บางคนดำน้ำแล้วทนไม่ไหวก็โผล่ขึ้นมา คุณพระพิเรนทร์ก็ใช้ไม้ถ่อคอยค้ำคอกดน้ำไว้ ถึงกับมีคนตายจึงต้องเลิกฝึก ตั้งแต่นั้นมา ถ้าใครทำเรื่องประหลาดก็จะพูดกันว่า "เล่นพิเรนทร์" หรือเล่นอย่างพระพิเรนทรเทพผู้นั้นเอง จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ วันรพี 16:39:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Taihen subarashii desu. จากคุณ : * - [ วันรพี 19:24:01 A:58.9.195.78 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 3 พระพิเรนทรเทพ คนที่ฝึกหน่วยทำลายใต้น้ำนี่ สุดท้ายแก โดนปลดถอดยศ หรือไม่ครับ อยากรู้ ว่าบั้นปลายแล้วแกเป็นอย่างไร บ้างครับ จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง - [ วันรพี 23:27:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีอยู่คำหนึ่งเป็นคำร่วมสมัยกับคำว่า "เล่นพิเรนทร์" คือคำว่า "กุ" พจนานุกรม ให้ความหมายว่า "สร้างให้เป็นเรื่องเป็นข่าวขึ้นโดยไม่มีมูล"  "กุ" มีที่มาจากพฤติกรรมของคนเช่นเดียวกับ "พิเรนทร์"   นายกุหลาบ ตฤษณานนท์ เป็นปัญญาชนคนธรรมดารุ่นแรก ๆ ในสยามประเทศ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๗ เมื่ออายุได้สี่ขวบ พระองค์เจ้ากินรี ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงขอไปเป็นบุตรบุญธรรม  เมื่อบรรพชาเป็นสามเณร โดยมีสมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรสเป็นองค์อุปัชฌาย์ ก็ได้ฉายานามว่า เกศโร ซึ่งได้ใช้มาเป็นชื่อหน้าในภายหลัง คือ ก.ศ.ร. กุหลาบ ตามความนิยมที่จะมีชื่อหน้าอย่างตะวันตก เนื่องจากได้มีโอกาสใกล้ชิดเจ้านายและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่มาก จึงมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนมาก ได้อ่านหนังสือตำราภาษาไทยจำนวนมาก และได้แอบคัดลอกหนังสือเหล่านั้น ออกมาพิมพ์เผยแพร่ให้กับบุคคลภายนอก โดยพยายามปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและถ้อยคำของหนังสือใหม่ จึงทำให้ถูกไต่สวนบ่อยครั้ง ในข้อหาแต่งเติมพงศาวดาร ทั้งนี้วัตถุประสงค์หลักของเขา ก็เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสอ่านหนังสือ และมีความรู้ ดังที่เขาได้มีโอกาส คำว่า "กุ" ที่ย่อมาจากชื่อกุหลาบ หมายถึงโกหกขึ้นมา ก็มาจากพฤติกรรมนี้เอง กรมพระสมมตอมรพันธุ์  เรียกหนังสือของนายกุหลาบ ว่า "หนังสือกุ" เพราะจะว่าจริงแท้ก็ไม่ใช่ เท็จทั้งหมดก็ไม่ใช่ เมื่อฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย ในร.ศ. ๑๑๒ เป็นเหตุให้ไทยต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงประชาชนจำนวนมากโกรธแค้นฝรั่งเศสที่รังแกสยาม รวมทั้งนายกุหลาบด้วย แต่ว่าความเคืองแค้นของนายกุหลาบไม่ได้หยุดอยู่แค่ฝรั่งเศส แต่ลามมาถึงพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัว ที่จำต้องสละแขนขาเพื่อรักษาชีวิตของสยามไว้ นายกุหลาบก็แต่งเติมพงศาวดารสุโขทัย เล่าเรื่อยมาถึงตอนจะเสียกรุงศรีอยุธยา ว่าตอนปลายอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ทรงพระนามว่า "พระปิ่นเกศ" มีพระราชโอรสทรงพระนามว่า "พระจุลปิ่นเกศ"  พระจุลปิ่นเกศ ไม่มีความสามารถที่จะรักษาอยุธยาไว้ได้ ถึงเสียบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นก็ตรัสว่า เพียงแต่นายกุหลาบเอาความเท็จแต่งลวงว่าเป็นความจริงก็ไม่ดีอยู่แล้ว ซ้ำบังอาจเอาพระนามพระจอมเกล้ากับพระจุลจอมเกล้าไปแปลเป็นพระปิ่นเกศ และพระจุลปิ่นเกศ เทียบเคียงใส่โทษเอาตามใจ เกินสิทธิ์ในการแต่งหนังสือ  จึงโปรดให้เจ้าพระยาอภัยราชา (ม.ร.ว. ลภ สุทัศน์) เมื่อยังเป็นพระยาอินทราบดีสีหราชรองเมือง เรียกตัวนายกุหลาบมา สั่งให้ส่งต้นตำราเรื่องพงศาวดารเมืองสุโขทัยที่อ้างว่ามีนั้นมาตรวจ  นายกุหลาบจึงสารภาพว่าเป็นเรื่องที่ตนคิดขึ้นมาเอง รัชกาลที่ ๕ มิได้ทรงลงโทษรุนแรงแต่อย่างใด เพียงแต่ทรงมีพระราชประสงค์จะดัดนิสัยให้นายกุหลาบเลิกอวดดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งตัวนายกุหลาบไปอยู่กับผู้จัดการในโรงรักษาคนบ้า ๗ วัน แล้วปล่อยไป http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=29648 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 ส.ค. 49 11:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Tottemo benkyo ni narimashita arigatou gozaimasu. จากคุณ : * - [ 8 ส.ค. 49 12:05:31 A:58.9.195.78 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แล้วก็มาถึงคำว่า "เชย" คำ ๆ นี้มาจากบุคลิกของ "ลุงเชย" ตัวละครในหัสนิยาย เรื่อง "พล นิกร กิมหงวน" ประพันธ์โดย ปรีชา อินทรปาลิต (ป. อินทรปาลิต) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๕๑๐  มีตัวละครสำคัญคือ พล นิกร กิมหงวนและ ดร.ดิเรก สี่คนนี้ดองกันทางเขย คือ เมียของแต่ละคนเป็นพี่น้องกัน บุคลิกของตัวละครจะแตกต่างกัน แต่กลมกลืนกันได้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รวมหัวกันหนีเมียไปเที่ยว บางครั้ง ก็แอบเอาพ่อตาไปด้วย พ่อตาคือ "เจ้าคุณปัจจานึก" บุคลิกเด่นตรง หัวล้าน "ลุงเชย" มีชื่อจริงว่า นายเชย พัชราภรณ์  เป็นพี่ชายของเจ้าคุณประสิทธิ์ บิดาของพล เป็นชาวอำเภอโกรกพระ เปิ่นๆ ไม่ทันสมัย ชื่อเชยจึงถูกยึดมาบอกกล่าวถึงคนที่มีบุคลิกเดียวกับแก  มีอยู่ตอนหนึ่ง ลุงเชยเดินทางจากบ้านนอกมาถึงกรุงเทพ แต่งตัวแบบคนบ้านนอก รองเท้าแตะ เสื้อปล่อยชายแล้วเอาผ้าขาวม้าเคียนพุง กินข้าวก็เปิบด้วยมือ จะข้ามถนนแต่ละครั้งรอเป็นชั่วโมงจนกว่าไม่มีรถอยู่ในสายตา แถมยังบ่นอีกว่า "ไอ้คนบางกอกมันรีบร้อนกันไปไหนจริง ทั้งวันเลย" พอเห็นรถเมล์ขาว ที่มีคนอยู่เต็มรถก็บ่นอีก "ไอ้คนบางกอกมันขี้โรคกันจริง ไม่สบายกันทั้งคันรถเลย" เพราะรถเมล์ขาว มีตราเครื่องหมายคล้ายกาชาดสีแดงติดเป็นสัญลักษณ์ แกก็นึกว่าเป็นรถพยาบาล ตราสัญลักษณ์ของเมล์ขาว ก็เอามาจากลักษณะเหรียญของคนจีน ที่ตอนนั้น"นายเลิศ" หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน มีเหรียญติดกระเป๋ามาเหรียญเดียว จนทำมาหากินร่ำรวย และเป็นเจ้าของรถเมล์ขาว เพื่อรำลึกถึงความเหนื่อยยาก จึงจำลองเหรียญเป็นสัญลักษณ์ของเมล์ขาวทุกคัน ลุงเชยไปไหนมาไหนจะไม่ใช้ถุงหรือกระเป๋า จะใช้ "ชะลอม" ใส่สัมภาระทุกชนิดของแก ความที่แกอยู่บ้านนอก ไม่เคยเห็นตึกสูง ๆ พอมาบางกอกเจอตึกทีไร แกเคยแหงนหน้าขึ้นไปมองแล้วก็นับในใจ ครั้งหนึ่ง แกออกไปคนเดียวไปเจอตึกที่สูงที่สุดในสมัยนั้น อยู่แถวเยาวราช เขาเรียก "โรงแรม ๗ ชั้น" แกก็แหงนมองและตั้งอกตั้งใจนับ ก็มีจิ๊กโก๋มาสะกิดและถามว่า "ลุง..ทำอะไร" แกก็หันไปมองหน้าด้วยความไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก แต่ก็ตอบความจริงไปว่า "กูกำลังนับตึกอยู่ว่ามันกี่ชั้น" จิ๊กโก๋  ได้ทีก็ต้อนฉับพลัน "นับได้ยังไงลุง ที่นี่กรุงเทพนะ เขาห้ามนับ หากนับจะต้องเสียค่าปรับเป็นชั้น ๆ ไป แล้วลุงนับไปกี่ชั้นแล้ว" แกรู้ทันและอาศัยความฉลาดแบบคนบ้านนอกตอบไปว่า "ข้านับไปได้แค่สามชั้นเอง" จิ๊กโก๋แบมือและบอกว่า "งั้นจ่ายเงินมา สามสิบบาทชั้นละ ๑๐ บาท" แกก็ยอมจ่ายโดยดี แล้วเดินหัวเราะกลับบ้าน ไปเล่าให้ลูกหลานฟังว่า "ไหนพวกเอ็งเตือนกูนักเตือนกูหนา ให้ระวังคนบางกอกมันจะหลอกเอา นี่กูไปหลอกมันมาแล้ว หน่อยแน่ ไม่ได้กินกูหร็อก กูนับตึกไปได้หมดแล้ว ๗ ชั้น แต่โกหกมันว่า ๓ ชั้นมันก็เชื่อ แทนที่จะเสีย ๗๐ บาท กูเสียแค่ ๓๐ บาทเอง" จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 ส.ค. 49 15:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นักอ่านชั้น "อุ" มารออ่านค่ะ จากคุณ : AntiSpam - [ 8 ส.ค. 49 16:33:45 A:192.165.213.18 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 8 naze nihongode hanasu no? จากคุณ : je_ten_prie - [ 8 ส.ค. 49 17:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คิดถึงนักอ่านชั้นอะ  โปรดติดต่อนักอ่านชั้นโอ๊ยด้วย ดีใจที่เจอนักอ่านชั้นอุ อิอิ จากคุณ : นักอ่านชั้นโอ๊ย (แสนอักษร) - [ 8 ส.ค. 49 19:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแย้ง กินหงวนไม่ได้เป็นญาติกับใครในกลุ่มสามเกลอเลย แต่สนิทกันมากจนนับญาติกัน จากคุณ : 69 - [ 8 ส.ค. 49 19:30:29 A:58.64.105.143 X: TicketID:120041 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โอโห เก็บความรู้ไม่หวาดไม่ไหว เลยครับ เอกอุที่เดียว ขอบคุณครับ ถ้าอย่างไร รบกวรช่วยต่อเรื่อยๆนะครับ จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง - [ 8 ส.ค. 49 21:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ดีใจที่ได้พบมิตรเก่าอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งคุณ * นักอ่านแดนซามูไร,  คุณAntiSpam นักอ่านชั้นอุ,  คุณแสนอักษร นักอ่านชั้นโอ๊ย โดยเฉพาะคุณ * ขอขอบพระคุณมากที่ติดตามด้วยความชื่นชมมาตลอดตั้งแต่กระทู้สาวใหญ่, เจ้าอินเดีย, สี่แผ่นดิน จนมาถึงกระทู้พระพิเรนทรเทพนี้  สำหรับคำขอของคุณหน้าไม้ใจเย็นยิ่งที่ขอให้ช่วยต่อกระทู้นี้ไปเรื่อย ๆ  ขอฝากต่อไปยังคุณ * นักปั่นกระทู้มือหนึ่งด้วย สุดท้ายขอขอบพระคุณคุณ69 ที่ให้ข้อมูลเรื่องกิมหงวน  ช่วยเล่าหน่อยว่ากิมหงวนลูกเจ้าสัวกิมเบ๊พบรักกับนวลละออลูกคุณนายลิ้นจี่ได้อย่างไร แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 10:01:41 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 9 ส.ค. 49 09:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คิดถึงนักอ่านชั้น อึ ด้วยเหมือนกัน มันมีหลายชั้นนะ ชั้น อึ จะเก่งกว่า ชั้นอะ หรือชั้น อิ จากคุณ : เจ้าสัวกิมเบ๊ - [ 10 ส.ค. 49 04:29:57 A:203.170.228.172 X: TicketID:125111 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมก็ติดตามคุณเพ็ญชมพูอยู่เหมือนกันขอรับ....อ้างชื่อผมบ้างดิ๊(น้อยใจเป็นเหมือนกันนะนี่) คุณ * เธอร่ายภาษาญี่ปุ่นใหญ่เลย สงสัยเพื่อนข้างบ้านเป็นสาวญี่ปุ่นกระมัง?? ไหนๆ พูดถึงลุงเชยในสามเกลอแล้ว น่าจะพูดถึงคุณแห้ว โหระพากุลให้ผมฟังบ้างนะครับ ไม่รู้ว่าคำว่า "แห้ว" ติดทำเนียบดังพร้อมๆ กับคำว่า "เชย" จากนิยายสามเกลอหรือเปล่า ติดตามและทึ่งในความรู้ของคุณเพ็ญเสมอมา จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 10 ส.ค. 49 04:40:41 A:86.140.149.141 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โชคดีเป็นบ้าเลย    นักอ่านชั้นโอ๊ยพึมพัมกับตนเอง อีตา Boran ผ่านมาเมื่อวานนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4607692/K4607692.html Boranbook, Boranbook     ด่วนๆ  แวะด้วย ต้องการความช่วยเหลือ   คุยเรื่อง  กิมหงวนกับนวลละออ  หน่อยนะ   สหายแถวนี้ อยากฟัง คุณนายลิ้นจี่นี่มาทีหลัง จำได้ว่า นวลละออ แรกเจอ กิมหงวน ไม่ถูกชะตาเลย จากคุณ : แสนอักษร - [ 10 ส.ค. 49 07:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ คนอุดร รับประทาน แห้ว นี่มาทีหลังอ่า....ยี่สิบกว่าปีนี้เองมั๊ง จากคุณ : แสนอักษร - [ 10 ส.ค. 49 07:52:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กิมหงวนลูกเจ้าสัวกิมเบ๊พบรักกับนวลละออลูกคุณนายลิ้นจี่ได้อย่างไร ในสามเกลอตอนเกิดสำเพ็ง กิมหงวนเขียนประวัติตัวเองว่า พบนวลละออ ตอนที่คุณนายลิ้นจี่พานวลละออมาซื้อของที่ห้างครับ คุณนายลิ้นจี่ไม่ชอบกิมหงวนตอนแรกเพราะกิมหงวนแอบเขียนจดหมายรักถึงนวลละออ ครับ จากคุณ : boranbook - [ 10 ส.ค. 49 08:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ป. อินทรปาลิต เขียนประวัติตัวเองในหนังสือ "ศาลาโกหก" พ.ศ. ๒๕๐๘ ว่า "ความจริงนักเขียนที่มีคนเขียนประวัติให้คนอ่านนั้นต้องเป็นนักเขียนชั้นเยี่ยมคือชั้น อะ หรือ ชั้น อา สำหรับผมเป็นนักเขียนชั้น อึ ไม่มีใครเขามาขอสัมภาษณ์เขียนประวัติผม ผมก็เลยเขียนเสียเอง ถ้ามีการยกย่องตัวเองบ้างก็ต้องอภัยนะครับ นิสัยของผมก็ออกจะเป็นคนคุยโวโอ้อวดเสียด้วย ยิ่งกินเหล้าเข้าไปแล้วผมพ่นขนาดบ้าน้ำลายทีเดียว" ป. อินทรปาลิตกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าตนเองเป็นนักเขียนชั้นอึ ความจริงนักเขียนชั้นอึอย่างป. อินทรปาลิต เก่งกว่านักเขียนชั้นอะ ชั้นอา เสียอีก  ดังนั้นที่เจ้าสัวกิมเบ๊พูดถึงนักอ่านชั้นอึ จึงค่อนข้างเห็นด้วย   http://www.samgler.org/archives/bio4.htm กู๊ดมอร์นิ่ง คุณคนอุดรฯ อากาศที่อังกฤษตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่ากำลังเจออิทธิพลคลื่นความร้อนอยู่  แล้วก็มาถึงเรื่องคุณแห้ว โหระพากุล ของคุณคนอุดร ฯ นักอ่านแดนผู้ดี   คุณแห้วเป็นคนรับใช้คนสนิทของพล แต่ต่อมาภายหลังมีเจ้านายมากขึ้นจึงต้องทำงานจนไม่ว่างเว้น นิสัยออกจะทะลึ่งนิด ๆ ลามปามหน่อย ๆ รักการทำงานให้เสี่ยกิมหงวนเพราะจะได้เงินทิปเป็นประจำ คำพูดที่ติดปากคือ รับประทาน.... "แห้ว"เป็นคำหนึ่งในหลายคำของพวกนักเรียนนายร้อยรุ่นโบราณ มีความหมายเป็นไปในทำนองจีบไม่ติด   มักใช้ในสำนวนว่า "กินแห้ว" หรือ "แห้วรับประทาน" (อันนี้ไม่ทราบว่าได้รับอิทธิพลจากคุณแห้ว โหระพากุลมาหรือเปล่า)  คำว่า "แห้ว" อยู่ยืนยงคงนานมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีความหมายขยายจาก "จีบไม่ติด" เป็น "ไม่สมหวัง" จนสมัยหนึ่งอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประภัตร โพธิสุธน เสนอให้เปลี่ยนชื่อพืชจาก "แห้ว" เป็น "สมหวัง" สร้างความฮือฮาและฮิฮิได้พอสมควร แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 49 11:41:12 แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 49 11:17:07 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 10 ส.ค. 49 09:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ได้ข่าวว่ากำลังเจออิทธิพลคลื่นความร้อนอยู่ ร้อนเพียงฤดูดอกเจ้า..............ทนเอา ร้อนไม่นานคงบรรเทา............ผ่อนร้อน ร้อนฤดีสิร้อนเร่า...................ไฟดั่ง หมื่นกอง ร้อนรุ่มสุมใจให้.....................หม่นไหม้หมองนานฯ คุณ* ท่าทางคงจะกำลังหากลวิธีเผด็จศึกข้างบ้านให้สงบ สันติวิธีนะซือเฮียๆ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 10 ส.ค. 49 14:51:28 A:86.140.149.141 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นักรบ  นานมามิได้ออกศึก  ย่อมเมื่อยขบ เมื่อศัตรู มาท้าทายอยู่นอกกำแพงเมือง พิณเหลียวอ๋อง(ซิยิ่นกุ้ย)ก็ออกไปนั่งคอยอยู่นอกกำแพงเมือง (ผู้ที่มินิยมชมชอบ พงศาวดารจีน อย่าคิดว่า พิณเหลียวอ๋องชอบดีดพิณ  เป็นตำแหน่ง แม่ทัพใหญ่) มีแค่ปากที่มีศัพท์เกินพจนานุกรมในคลัง  เป็นอาวุธ อ่า...นี่คือความคืบหน้าเท่าที่บังอาจแฝงร่างไปสืบความมา เรื่องจะพัฒนาไปเป็น มหาภารตยุทธ หรืออย่างไร ไม่ต้องติดตาม  ก็จะมารายงานอยู่ดี เพราะฝากถามข้อมูลไว้  *ไม่ตอบให้แต่ลิงค์ จากคุณ : แสนอักษร - [ 10 ส.ค. 49 16:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แหะ แหะ กลอนข้างบนนั้นแต่งไว้นานแล้ว ไม่ได้เอามาจีบคุณเพ็ญฯ นะขอรับ โปรดอย่าเข้าใจผิด แต่งไว้ช่วงฤดูร้อนหน้าหนึ่งหลายสิบปีแล้ว ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ฤดีข้างในกลับร้อนรุ่มกว่า" ตอนนี้อากาศมันร้อนรุ่มมาขึ้นมาอีกครา ประจวบกับนางผู้เป็นดวงใจแห่งข้าต้องรอนแรมไปที่อื่นแค่สองชั่วคืนด้วยกิจอันจำเป็น ฤดีข้าเลยร้อนร่าขึ้นมาพลัน.....จึงต้องครวญบทกลอนที่ตัวเองแต่งไ้ว้ขึ้นมาให้ฟ้าดินได้รับทราบความใด มิมีสิ่งอื่นใดแอบแฝงๆ ต่อคุณเพ็ญแน่นอน ...... วานท่านผู้ชมโปรดเข้าใจตามที่ชี้แจงมา...... จบคำแถลงการณ์ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 10 ส.ค. 49 16:24:02 A:86.140.149.141 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เย็นยะเยียบยะเยือกยาม         เหมันต์ เย็นน้อยกว่าเย็นธรรม์             แน่แท้ เย็นกายเดี๋ยวก็พลัน               กลับร้อน  เร่านา เย็นใจเย็นยิ่งแล้                    เย็นด้วยพุทธธรรม   หวังว่าคุณคนอุดร ฯ คงหาวิธีเปลี่ยน "แห้ว" เป็น "สมหวัง" ได้  ฮิฮิ แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 49 19:32:06 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 10 ส.ค. 49 16:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 กระทู้นี้เริ่มต้นด้วยชื่อคน คือคุณพระพิเรนทรเทพ ตำรวจหลวงสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งต่อมาคำนี้กลายเป็นศัพท์ภาษาไทยในความหมายที่ไม่ค่อยดี อยากจะถามคุณเพ็ญชมพูดูสักหน่อยว่า วัดพระพิเรนทร์นี่ คุณพระพิเรนทร์ท่านเป็นคนสร้างหรือเปล่า ตอนสมัยด็ก ๆ พอได้ยินชื่อวัดพระพิเรนทร์ คอยจะคิดไปว่าพระวัดนี้ท่านมีอะไรพิเรนทร์หรือเปล่า ถึงได้ตั้งชื่อวัดว่าวัดพระพิเรนทร์ จากคุณ : * - [ 10 ส.ค. 49 19:24:31 A:58.9.192.239 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คอมบังวะ  * ซามะ  ดีใจที่ได้มีโอกาสสนทนากันอีกครั้ง หลังจากหายไปเป็นเวลา ๒ วัน วัดที่พระพิเรนทรเทพสร้างมีอยู่ ๒ แห่ง  คือ วัดพระพิเรนทร์ และ วัดใหม่พิเรนทร์ แต่เป็นคนละคนกับพระพิเรนทรเทพซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "เล่นพิเรนทร์" วัดพระพิเรนทร์ วัดพระพิเรนทร์ ตั้งอยู่เลขที่ ๓๒๖ ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีตอนปลาย ราว พ.ศ. ๒๓๐๐ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๗๙ ทรงโปรดให้ พระพิเรนทรเทพ (ขำ อินทรกำแหง ณ ราชสีมา) เจ้ากรมพระตำรวจหลวง บุตรชายเจ้าพระนครราชสีมา ( ทองอินทร์ อินทรกำแหง ณ ราชสีมา ) ให้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัด เจ้าศรัทธาจึงตั้งนามวัดว่า "วัดขำเขมการาม" ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๑๑ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงแปลงนามวัดให้ใหม่ว่า "วัดขำโคราช" ใช้มาถึง พ.ศ. ๒๔๓๐ จึงได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดพระพิเรนทร์" ตามชื่อบรรดาศักดิ์ของเจ้าศรัทธา ผู้บูรณปฏิสังขรณ์ และปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงปู่ขุ่น ( พระเทพคุณาธาร ) อดีตเจ้าอาวาสได้ประกอบพิธียกป้ายวัดขึ้นสู่ซุ้มประตูด้านติดกับถนน วัดแห่งนึ้จึงกลายเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่วไป วัดใหม่พิเรนทร์ เป็นวัดเล็ก ๆ วัดโบราณวัดหนึ่ง ได้สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๘๔ ตั้งอยู่เลขที่ ๖๑๑ ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม อยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนส่วนมากประกอบอาชีพทำข้าวหลามขาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า "วัดใหม่บ้านข้าวหลาม" ครั้นต่อมาทางการ ได้ตัดถนนผ่านหน้าวัด (ถนนอิสรภาพ) ทำให้การคมนาคมไปมาสะดวกขึ้นประกอบกับอยู่ใกล้กับสามแยกโพธิ์สามต้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "วัดใหม่โพธิ์สามต้น" ในอดีตนั้น พระพิเรนทรเทพ และญาติพี่น้องในฐานะผู้สร้างและทำให้วัดมีหลักฐานมั่นคงเพื่อเป็นเกียรติประวัติจึงได้ขนานนามวัดตามบรรดาศักดิ์ท่านว่า "วัดใหม่พิเรนทร์"มาจนถึงปัจจุบัน http://www.paisarn.com/phrapirane.htm http://watmai.atspace.com/history.htm แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 49 08:51:21 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 10 ส.ค. 49 19:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เชื่อแล้วว่าคุณเพ็ญชมพูเป็นชาววัดตัวจริงเสียงจริง อยากถามว่า ไอ้บอดวัดสามปลื้มมีประวัติมาอย่างไรครับ จากคุณ : * - [ วันแม่แห่งชาติ 02:53:34 A:58.9.197.152 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โหโอ เยอะแฮะ ผมขอเซฟเก็บไว้ เล่าให้ลูกหลานฟังนะครับ จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง - [ วันแม่แห่งชาติ 22:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ย้อนอดีตไปในปีพ.ศ. ๒๔๘๕   น้ำท่วมกรุงเทพครั้งใหญ่  มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งเป็นที่สยองขวัญของชาวกรุงเทพ  ทั่วไปคือข่าวจระเข้กินคน จระเข้ตัวนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า "ไอ้บอด" เพราะตามันบอดไปข้างหนึ่ง มันกินคนไปมากมายแบบไม่เลือกหน้า ชาวบ้านจะพยายามล่ามันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ภายหลังพระวัดสามปลื้มจับมันได้ ชาวบ้านช่วยกันขุดบ่อที่วัดสามปลื้มแล้วเลี้ยงมันไว้ จระเข้ตัวนี้เป็นจระเข้ที่ดุมาก จนเล่าลือกันว่าเป็นจระเข้ผีสิง วัดสามปลื้ม เรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า "วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ ถ.จักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์  ปัจจุบันมีรั้วรอบบ่อจระเข้ เคยมีคำล่ำลือว่าสมัยก่อนตอนยังไม่มีรั้วมีคนเมายืนอยู่ขอบบ่อตกลงไปให้จระเข้กินหลายคนเหมือนกัน   ยังมีจระเข้อีกตัวหนึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้ "ไอ้บอดวัดสามปลื้ม" ชื่อ "ไอ้ด่างเกยชัย"   เชื่อว่าคุณ * คงเคยได้ยินชื่อเป็นจระเข้ยักษ์ แห่งคลองบางมุด อ.หลังสวน จ.ชุมพร ที่โด่งดังครึกโครมไปทั่วประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ "ไอ้ด่างเกยชัย" เป็นจระเข้น้ำเค็มมีขนาดลำตัวใหญ่ ความยาวหัวจรดหางกว่า ๙ เมตร โผล่ขึ้นมากัดกินชาวบ้าน และสัตว์นับร้อยชีวิต กระทั่งเป็นข่าวตื่นตระหนก จนทางราชการต้องระดมพลออกตามล่าไอ้ด่างเกยชัยกันครั้งใหญ่ ทว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ กลับฉลาดกว่าสัตว์เลื้อยคลานทั่วไป เพราะเวลาที่คนออกตามล่ามันกลับหายตัวไป พอผู้คนหยุดตามล่ามันก็ออกมาอาละวาดกัดกินผู้คนอีก สุดท้ายบรรดาพรานนักล่าจระเข้ที่มีฝีมือจากทั่วประเทศ ล้วนอาสามาช่วยปราบมัน แต่ไม่ง่ายดายอย่างที่คิด ความดุร้ายของมันทำเอาพรานนักล่าที่บอกว่าแน่ ๆ ต่างขยาดกลัวไปตามกัน ในที่สุดไอ้ด่างเกยชัยต้องจบชีวิตลง ท่ามกลางความโห่ร้องยินดีของชาวบ้านใน จ.ชุมพร ด้วยการอาศัยกระแสความโด่งดังของไอ้ด่างเกยชัย พ่อค้าหัวใสในคาราวานงานวัด จึงได้กุเรื่องซากศพมันขึ้นมา โดยนำจระเข้ที่ถูกสตัฟฟ์มาตั้งโชว์ออกงานวัด เพื่อหวังผลทางการค้า กลายเป็นการอวดซากศพจระเข้ที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งจากกระแสข่าวที่ครึกโครม ทำให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศแห่กันมาชมอย่างคับคั่ง พ่อค้าในงานวัดบางรายเห็นว่ามีรายได้ดี จึงไปหาซื้อซากจระเข้สตัฟฟ์มาตบตาหลอกคนดูที่มาเที่ยวงานบ้าง ฉะนั้นในช่วงเวลาหนึ่งในงานวัดจึงมีโรงแสดงซากจระเข้อยู่หลายโรง ทว่าไม่มีผู้ชมที่ไหนมานั่งพิสูจน์ว่า ตัวไหน คือ ตัวจริง หรือ ตัวปลอม แต่กระแสความดังก็ค่อยซาลงหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี จนที่สุดซากจระเข้สตัฟฟ์ก็ไม่มีค่าอันใดอีกต่อไป เพราะเป็นการกุเรื่องซากจระเข้ขึ้นมาเองจากพ่อค้าหัวใส เนื่องจากไอ้ด่างเกยชัยตัวจริงนั้น โดนระเบิดจนแทบไม่เหลือซาก ไอ้ด่างเกยชัยในงานวัดจึงเป็นตัวปลอมทั้งสิ้น จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 ส.ค. 49 12:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาขอเป็นหางเครื่องคุณเพ็ญชมพู ที่จริงคุณบอดเธอมาเป็นจระเข้วัดสามปลื่มตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ก่อนกี่ปีไม่ทราบ บ่อที่อาศัยของเธอก็ก่อเรียงด้วยหินก้อนโต ๆ ใช้ปูนซิเมนต์ยาแนวแข็งแรง คุณบอดเป็นดาราดังใครก็รู้จักทั้งกรุงเทพ ผู้ใหญ่ที่ไปช้อปปิ้งซื้อผ้าแถวสะพานหัน สำเพ็ง ถ้าพาเด็กไปด้วยก็มักจะถูกเด็กรบเร้าให้พาไปดูพี่บอด ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ตอนน้ำท่วมใหญ่ที่ราบลุ่มภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพ กลายเป็นทะเลไปหมด เหตุเพราะสมัยนั้นยังไม่มีเขื่อนใหญ่ ๆ กักน้ำเอาไว้ที่ภาคเหนือ พอฝนตกมากผิดปกติติดต่อกันเป็นเวลานานที่ภาคเหนือ น้ำก็ไหลมาออกทะเลที่ปากน้ำ บังเอิญเป็นช่วงที่น้ำทะเลขึ้น ก็เลยเอ่อท่วมล้นอยู่เพราะไหลออกทะเลไม่ได้ จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 16:37:47 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ระหว่างนั้นอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเข้ามาเต็มเมืองเพื่อรวมพลจะเข้าไปรบกับสัมพันธมิตรที่พม่า สัมพันธมิตร์เคยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดจุดยุทธศาสตร์ และที่ตั้งทหารญี่ปุ่นในกรุงเทพและจังหวัดอื่น ๆ เหมือนกัน แต่ในระหว่างที่น้ำท่วมสัมพันธมิตรประกาศว่าจะงดทิ้งระเบิดชั่วคราว เพราะคนไทยกำลังลำบากเรื่องน้ำท่วม ตอนนั้นคนก็เป็นห่วงกลัวว่าน้ำจะท่วมบ่อคุณบอดแล้วคุณบอดจะหนีออกมา พวกผู้ใหญ่เวลาเด็กออกไปลุยน้ำท่วมเล่น ก็จะขู่เด็กให้ระวังพี่บอด ไม่ให้ซุกซน จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 16:42:17 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คงจะเหมือนกับที่เคยมีข่าวว่ามีเสือดำไปซ่อนอยู่ที่สุสานรถไฟที่มักกะสันเมื่อสีกยี่สิบปีมาแล้ว พอมีข่าวลือก็มีข่าวคนเห็นเสือดำ มีข่าวว่าสุนัขเลี้ยงชาวบ้านหายไป คนก็หวาดกลัวอยู่ไม่เป็นปกติสุข หนังสือพิมพ์หัวสีต่าง ๆ ก็เล่นข่าวเสือดำมักกะสันขายดิบขายดี ไม่ยอมให้ข่าวเงียบหายไปง่าย ๆ ส่งนักข่าวไปสัมภาาณ์ชาวบัานได้ข่าวมาลงทุกวัน ทางกรมป่าไม้ก็เดือดร้อนเพราะเสือดำเป็นสัตว์ป่า เป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ควบคุมดูแล กรมป่าไม้ก็ส่งทีมไปคอยดักจับ ไปอยู่ตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ก็จับไม่ได้เพราะเสือดำไม่มี ครั้นจะบอกว่าเสือดำไม่มีคนก็ไม่เชื่อหาว่ากรมป่าไม้ไม่มีน้ำยา จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 16:44:36 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อธิบดีกรมป่าไม้สมัยนั้นท่านก็ได้ความคิดจะให้คนหายหวาดกลัว ไปยืมเสือดำมาจากผู้ค้าสัตว์ป่า ที่เขาเลี้ยงเอาไว้ แล้วออกข่าวว่าจับเสือดำได้แล้ว เอาหนังสือพิมพ์ไปถ่ายรูป ตอนเอาไปปล่อยที่เขาใหญ่ก็เอาทีวีไปทำข่าว คนแถวมักกะสันก็เลยนอนตาหลับตั้งแต่นั้นมา ความมาแตกเอาตอนที่พ่อค้าสัตว์ป่าเขาไปทวงเสือดำของเขาคืน กรมป่าไม้ไม่มีให้เพราะเอาไปปล่อยที่เขาใหญ่แล้ว หนังสือพิมพ์ก็ลงเป็นข่าวพิพาทระหว่างกรมป่าไม้กับเจ้าของเสือดำได้อีกหลายวัน เรื่องจรเข้ยังมีต่อ ทั้งคุณบอดและคุณด่างเกยชัย คงจะปั่นกระทู้ได้อีกนานพอสมควร จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 16:50:45 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 32 จระเข้เกิดขึ้นมาในโลกกว่า 250 ล้านปีมาแล้ว ก่อนไดโนเสาร์เสียอีก จระเข้โบราณขนาดยักษ์ยาว 40 ฟุต หรือ 12 เมตร์กว่า ๆ มีชื่อว่า เดอิโนซูคัส สัตว์อื่น ๆ ที่เกิดมารุ่นราวคราวเดียวกับจระเข้รวมทั้งไดโนเสาร์ก็ศูนย์พันธ์ไปหมดแล้ว แต่จระเขัก็ยังมีชีวิตสืบต่อลูกหลานมาจนทุกวันนี้ แสดงว่าจระเข้เป็นสัตว์ที่อดทนสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะเวลาสองร้อยห้าสิบล้านปีได้เป็นอย่างดี จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 17:23:13 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยังมีสัตวประเภทหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นญาติห่าง ๆ ของจระเข้ สืบเชื้อสายมาจากไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้คือ นกและไก่ สัตว์ปีกทั้งหลาย ใช่แล้วครับ ไก่ซีพีที่เรากินกันทุกวันนี้สืบเชื้อสายมาจากไดโนเสาร์ ถ้าไม่เชื่อก็ไปดูเกล็ดที่ตีนของไก่ เป็นเกล็ดของไดโนเสาร์ครับ และอีกประการหนึ่ง ไก่ออกลูกเป็นฟองเหมือนไดโนเสาร์ เรื่องนี้ผมไม่ได้นั่งเทียนคิดขึ้นเอง นักสัตว์ศาสตร์เขายังมีหลักฐานอย่างอื่นอีกมากมายที่แสดงว่า ไก่สืบเชื้อสายมาจากไดโนเสาร์ จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 17:24:56 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ในสมัยโบราณ โลกของเราเป็นแผ่นดินผืนเดียวติดต่อกันหมด ทวีปอเมริกาแยกตัวออกไปทีหลังจากยุโรปและอาฟริกา เพราะฉนั้นจึงมีจระเข้แพร่หลายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลกทั่วไป ในปัจจุบันมีจระเข้อยู่ในประเทศต่าง ๆ ในโลกรวม 91 ประเทศ จระเข้เป็นสัตว์กินเนิ้อ อาหารตามธรรมชาติของจระเข้ได้แก่ปลา แมลง กบ เขียด หอย ปู กุ้ง นก งู เต่า และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เพราะฉนั้นคนจึงไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติของจระเข้ จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 19:19:28 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตามปกติจระเขัจะกลัวคน พอเห็นคนก็หนี นอกจากจระเข้ที่อยู่ในฤดูผสมพันธ์ หรือแม่จระเข้ที่กำลังเฝ้าไข่อยู่ จึงดุร้ายไล่กัดสัตว์รวมทั้งคนที่เข้าไกล้ เพราะมีสัตว์ และนกบางชนิดชอบมาลักไข่จระเข้ และลูกจระเข้ตัวเล็ก ๆ กินเป็นอาหาร จระเข้ผสมพันธุ์ปีละครั้ง ออกมาเป็นไข่ ใช้เวลาฟักประมาณ 80 วันจึงออกมาเป็นตัว จระเช้จะไม่วิ่งไล่ล่าเหยื่อบนบก มักจะซุ่มทำร้ายเหยื่อตอนที่เผลอ จระเข้วิ่งได้เร็วที่สุดประมาณชั่วโมงละ 16 กิโลเมตร์ แต่ส่วนใหญ่จะวิ่งได้ประมาณชั่วโมงละ 10 กิโลเมตร์ ซึ่งคนคนส่วนใหญ่วิ่งได้เร็วกว่านี้ จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 19:22:07 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ฟันของจระเข้มีลักษณะแหลมคมเป็นเขี้ยว มีไว้สำหรับกัด ไม่ได้มีไว้สำหรับตัดแบบฟันปลาฉลาม หรือ ใช้ขบเคี้ยวให้อาหารละเอียดแบบฟันกราม ของคน แพราะฉนั้นเหยื่อที่เหมาะสมของจระเข้ต้องมีขนาดเล็กพอที่จระเข้จะกลืนเข้าไปได้ทีเดียว กระเพาะของจระเข้ก็มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับตัวจระเข้ มีขนาดประมาณเท่ากับหัวคน เมื่อจระเข้ฆ่าเหยื่อที่ตัวโตเกินกว่าจะกลืนลงไปได้ ก็ตะกัดแล้วสะบัดหัวให้เนื้อของเหยื่อฉีก ขาดออกมาเป็นชิ้นขนาดพอจะกลืนได้ หรือมิฉนั้นก็ปล่อยให้เหยื่อเน่าเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาฉีกกินทีหลัง จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 19:25:45 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เป็นความเชื่อของคนโบราณว่า ตอนที่จระเข้จะกลืนเหยื่อจะคาบเหยื่อชูขึ้นเหนือน้ำเป็นการบูชาเทวดาองค์ไหนก็ลืมไปแล้ว แต่ตามความเป็นจริงถ้าจระเขักลืนเหยือในน้ำ กล้ามเนื้อที่ตรงคอจะเปิดออก ทำให้น้ำเข้าไปถึงปอด เป็นอันตรายต่อจระเข้ จึงจำเป็นต้องกลืนเหยื่อเหนือน้ำ กล้ามเนื้อขากรรไกรของจระเข้แข็งแรงมากตอนที่งับหุบ เพื่อที่จะได้ฆ่าเหยื่อให้ตายโดยเร็ว แต่กล้ามเนื้อที่ใช้เปิดปากไม่ค่อยมีกำลัง คนสามารถเอามือจับไม่ให้จระเข้เปิดปากได้ แต่จระเข้คงจะไม่อยู่นิ่ง ๆ ให้คนจับปากปิดไว้เป็นแน่ มีผู้กล่าวว่าสามารถเอายางยืดขนาดที่พอเหมาะรัดปากจระเข้ไว้ไม่ให้อ้าได้ แต่คงจะต้องเป็นยางรัดขนาดใหญ่พอสมควรไม่ใช่ยางรัดเล๊ก ๆ ที่ใช้กันในตลาด จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 19:27:43 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 38 น้ำย่อยในกระเพาะของจระเข้มีสภาพเป็นกรดอย่างแรงจึงสามารถย่อยกระดูกได้ บางครั้งจระเข้จะกลืนกรวดก้อนโต ๆ เข้าไปในกระเพาะเพื่อใช้เป็นลูกบดช่วยในการย่อยอาหาร และช่วยเพิ่มน้ำหนักทำไห้ดำน้ำได้ลึก เคยทราบมาว่าคนจีนใช้ก้อนกรวดที่อยู่ในกระเพาะของจระเข้เป็นส่วนผสมของยาจีนบางชนิด ไม่ทราบว่ามีสรรพคุณอย่างไร ผู้เผด๊จการของอาฟริกาบางประเทศมีบ่อเลี้ยงจระเข้อยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี เมื่อสังหารสัตรูทางการเมืองแล้วก็โยนลงบ่อให้จระเข้กิน เป็นการทำลายหลักฐานได้หมดจด แม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือเอาไว้ให้หมอพรทิพย์ตรวจพิศูจน์ ดีเอ็นเอ จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 19:43:15 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 39 จระเข้สามารถดำอยู่ใต้น้ำได้นานที่สุดประมาณสองชั่วโมง ตามปกติจระเข้จะดำน้ำอยู่ประมาณ 15 นาที จระเข้ที่โผล่ตัวขึ้นมาให้เห็นก็จะถูกคนล่าได้โดยง่าย หมอจระเข้จำเป็นต้องมีวิชาทำให้จระเข้ลอยตัวขึ้นมา ในแถบอินโดจีนถือกันว่าหมอจระเข้ญวนเก่งในเรื่องนี้ มีผู้เล่าว่า เคล็ดลับก็คือ จระเข้แพ้ขมิ้น หมอจระเข้ญวนเอาขมิ้นผงปั้นผสมกับดินเหนียวเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดฟองไข่ แล้วเอาขว้างไปรอย ๆ ให้ทั่วในที่ซึ่งสงสัยว่ามีจระเข้กบดานอยู่ จระเข้ทนไม่ไหวก็จะลอยตัวขึ้นมา ที่จริงเรื่องจระเข้ยังมีเรื่องเอามาเล่าได้อีกมาก แต่กลัวคนอ่านจะเบื่อจึงขอหยุดพัก intermission ไว้ก่อนแล้วจะกลับมาปั่นเรื่องคุณบอดกับคุณด่างเกยชัยใหม่ เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ มีปุจฉาอยากจะถามคุณเพ๊ญชมพูชาววัดตัวจริงเสียงจริง ช่วยกรุณาวิสัชนาให้ด้วยว่า เรื่องเปรตวัดสุทัศน์มีที่มาที่ไปอย่างไร จากคุณ : * - [ 14 ส.ค. 49 20:12:36 A:58.9.198.63 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 40 >>>>ในแถบอินโดจีนถือกันว่าหมอจระเข้ญวนเก่งในเรื่องนี้ อย่าพึ่งสรุปเช่นนั้นเลยท่าน.....แล้ว "ไกรทอง" ของผมล่ะ เอาไว้เสียที่ไหน??...... จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 15 ส.ค. 49 04:02:14 A:217.42.156.125 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอขอบพระคุณคุณ * มากที่อุตส่าห์สละเวลามาช่วยเป็นหางเครื่องเลคเชอร์เรื่องชีววิทยาของจระเข้ และก่อนจะวิสัชนา ปุจฉาของคุณ * เรื่องเปรตวัดสุทัศน์ ขอเล่าเรื่องจากกระทู้ให้จบเสียก่อน กระทู้เริ่มต้นด้วยคำว่า "เล่นพิเรนทร์" ได้วิสัชนาไปถึงคำว่า "กุ"  คำว่า "เชย" ยังเหลืออีก ๒ คำ ซึ่งคิดว่าคุณ* คุณคนอุดรฯ รวมทั้งคุณหน้าไม้ใจเย็นยิ่งคงไม่ชอบแน่ ๆ (หรือชอบ ?)  คือคำว่า "ถั่วดำ" และ "ตุ๋ย  สองคำนี้เป็นเพื่อนกันแต่มีอายุต่างกันถึง ๖๓ ปี ข่าวจาก หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ ๒๐มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ "เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนนี้ เวลา ๑๘ น. ร.ต.ท. แสวง ทีปนาวิณ สารวัตร สถานีตำรวจป้อมปราบ ได้จับตัว นายการุณ ผาสุข หรือ นายถั่วดำ ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ มาไต่สวนยัง สถานีป้อมปราบ เหตุที่นายการุณ หรือถั่วดำ ถูกจับนั้น ความเดิมมีว่า ร.ต.ท. แสวง เห็นห้องแถวเช่า ซึ่งนายถั่วดำ เช่าอยู่ มีเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ถึง ๑๖ ปี อยู่ในห้องมากมาย จึงสงสัยว่า เด็กชายเหล่านั้น จะเป็นเด็กที่ประพฤติในทางทุจริต ร.ต.ท.แสวง ได้ออกสืบสวนอยู่ ๒ - ๓ วัน จึงทราบว่า นายถั่วดำ เป็นคนไม่มีภรรยา และเป็นผู้ชักชวนเด็ก ๆ ผู้ชาย ไปดูภาพยนตร์บ้าง ซื้อของเล่นบ้าง ให้ขนมรับประทานบ้าง แล้วก็พากันมาที่ บ้านพัก ของนายถั่วดำ ก็กระทำการ สำเร็จความใคร่ แก่เด็กชาย ที่พามาเสียก่อน และต่อจากนั้นแล้ว ก็จะจัดเด็กเหล่านั้น รับสำเร็จความใคร่ กับแขกบ้าง เจ้าสัว และจีนบ้าบ๋าบ้าง พวกที่มาต้องเสียเงินเป็นรางวัล ให้แก่นายถั่วดำ เยี่ยงหญิงโสเภณี" จากนั้นชื่อของ "นายถั่วดำ" ก็กลายมาเป็นศัพท์เฉพาะที่รู้ทั่วกันว่า "อัดถั่วดำ" หมายถึง การเสพสมทางทวารหนัก ต่อมาอีก ๖๓ ปี ในพ.ศ. ๒๕๔๑ ก็มีข่าว ข้าราชการชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" ทำมิดีมิร้าย กับเด็กชาย หนังสือพิมพ์ก็ใช้คำ "ตุ๋ย" พาดหัวข่าว แทนความหมายดังว่า จนเป็นที่นิยมใช้กันสืบมา ปัจจุบันไม่มีใครกล้าตั้งชื่อลูกโดยเฉพาะลูกผู้ชายว่า "ถั่วดำ" แน่นอน และในอนาคตเด็กรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า "ตุ๋ย" คงหายากเต็มที ขอปุจฉาคุณ* และคุณคนอุดรฯ หน่อยว่าคำประเภทนี้ (คำแสดงพฤติกรรมที่มาจากชื่อคน ไม่ใช่เฉพาะ "ถั่วดำ" กับ "ตุ๋ย")  ในภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่น (อันนี้เจาะจงถามคุณ *) มีบ้างหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 49 09:24:26 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ส.ค. 49 09:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 42 >>>>>>.....ซึ่งคิดว่าคุณ* คุณคนอุดรฯ รวมทั้งคุณหน้าไม้ใจเย็นยิ่งคงไม่ชอบแน่ ๆ (หรือชอบ ?) คือคำว่า "ถั่วดำ" และ "ตุ๋ย...... เจอลูกนี้เข้า....เล่นเอาซะจุกเสียดหายใจไม่ทั่วท้องไปเลย...... ผมนึกไม่ออกนะว่าภาษาอังกฤษมีการเอาชื่อคนมาใช้ในความหมายประเภทนี้ ไหม......ที่รู้ๆ มีอยู่รายหนึ่งซึ่งทั้งคุณเพ็ญชมพูและท่านอื่นๆ ก็คงรู้แล้วล่ะคือ peeping Tom ที่เจ้าหนุ่มชื่อ Tom แอบดูหญิงสาวเปลือย...... ในพุทธประวัติก็มีเคยมีเรื่องทำนองนี้มาเหมือนกัน.......จนถึงพระพุทธเจ้าต้องบัญญัติอาบัติปาราชิกเพิ่มเติม.....คือหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติอาบัติปาราชิกขึ้นเนื่องจาก มีมารดาของพระภิกษุรูปหนึ่ง นำหญิงสาวมาให้พระลูกชายให้มีเพศสัมพันธ์กันด้วยจุดประสงค์ว่าต้องการมีผู้สืบสกุลเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก ความรู้ถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ตำหนิตักเตือนพระภิกษุรูปนั้น แล้วก็บัญญัติพระวินัยว่าด้วยปาราชิกข้อนั้นขึ้น (สังเกตุว่า พระพุทธองค์จะบัญญัติพระวินัยหลังจากมีเหตุก่อน เพื่อที่จะได้ชี้ให้เห็นโทษของพฤติกรรมนั้นๆ) ต่อมาไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระภิกษุที่มี "องคชาติ" ยาวมาก พระภิกษุรูปนี้ก็เล่น "พิเรนทร์" สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองโดยการสอดใส่องคชาติของตัวในรูทวารของตัวเองอยู่เนืองๆ จนมีการโจษขานไปถึงพระกรรณของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตำหนิภิกษุรูปนั้น พระภิกษุรูปนั้นหัวหมอนิดหนึ่ง สำคัญผิดคิดว่าพระภิกษุที่ต้องวินัยข้อปาราชิกนั้นต้องเสพเมถุนกับเฉพาะสตรีเท่านั้น (ส่วนเล่นทวารตัวเองไม่เป็นไรว่างั้นเถอะ หัวหมอไหมล่ะพระรูปนี้??) จะรอฟังเปรตวัดสุทัศน์.....แหม ถามภาษาญี่ปุ่นจำเพาะเจาะจงเฉพาะคุณ * เลย......ผมก็พอจะอาโนเน๊ะ ได้เหมียนกันนะ....แบบว่าเคยมีกิ๊กเป็นญี่ปุ่นง่ะ.....กร๊ากกกส์ ล้อเล่นครับ (แฟนยืนอ่านอยู่ข้างหลังพึ่งรู้ อิ อิ ) จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 15 ส.ค. 49 15:23:08 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มีคำพังเพยอยู่คำหนึ่งว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" วัดสระเกศ เป็นวัดสำหรับเผาศพคนที่ตายโดยถูกประหารหรือโรคระบาด (โรคระบาดที่ทำให้คนตายกันมากก็คือโรคห่า เกิดระบาดใหญ่ขึ้นสองครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๔ แต่ละครั้งคนตายนับหมื่น) เนื่องจากอยู่นอกกำแพงเมือง โดยขนออกมาทางประตูผี (ปัจจุบันคือสี่แยกสำราญราษฏร์ ใกล้ ๆ ป้อมมหากาฬ ผ่านฟ้า)  เพราะธรรมเนียมปฏิบัติในสมัยนั้น การเผาศพภายในกำแพงเมืองจะไม่ทำกัน ถือว่า เป็นอัปมงคล ยกเว้นศพพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์  ศพคนจนมีจำนวนมากเผาไม่ทัน จึงเป็นอาหารให้พวกแร้งจิกกิน เป็นที่มาของ "แร้งวัดสระเกศ" ส่วน "เปรตวัดสุทัศน์"   มีเรื่องเล่าลือกันว่ามีเปรตสองตัวผัวเมีย อาศัยอยู่แถวนั้น ดึก ๆ ก็ออกมาเดินเล่นจนชาวบ้านรู้จักดี บางคืนก็ร้องกรี๊ดๆให้ได้ยิน ปากเท่ารูเข็ม บางทีก็ชะโงกหน้าไปทักทายชาวบ้านที่นอนอยู่บนชั้นสองของห้องแถวตรงข้ามวัด  จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดลง เปรตก็หายไปทั้งสองตัว ในหนังสือ " เก็บเล็กผสมน้อย " พระพุทธวรญาณ อดีตเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส เล่าว่า "ณ ที่วัดสุทัศน์นั้น พอถึงวันพระก็มีญาติโยมมารักษาศีลฟังธรรมกันและนอนค้างที่ศาลาการเปรียญ หลังที่ยังอยู่บัดนี้เป็นหลังเตี้ย ๆ คล้าย ๆ กับพระอุโบสถวัดประยุรวงศาวาส คืนหนึ่ง เป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ โดยผู้ชายคนหนึ่งออกมาทำธุระนอกศาลา ณ ที่ริมกำแพงด้านทิศตะวันตก ก็มีภาพ เปรตปรากฎพร้อมกับเสียงร้องวี๊ด ๆ โยมคนนั้นจึงปลุกคนในศาลาให้ออกมาดู ต่างก็ช่วยกันภาวนา เปรตตนนั้นก็เตี้ยลง ๆ และหายไปในที่สุด โดยทุกคนต่างก็ไม่ทราบว่าเปรตหายไปด้วยคาถาบทไหน" ส่วนหนึ่งของคนที่เห็นเปรต น่าจะมีที่มาจากเสาชิงช้าสูงขนาดตึกสิบสองชั้นที่ปักหลั่นอยู่ด้านหน้าวัด  ในสมัยโบราณยามค่ำคืนไม่มีไฟฟ้าตามถนนและแนวรั้ววัด อาศัยก็แสงจันทร์แสงดาว  พวกเที่ยวกลางคืน บางทีก็เมามายเดินกลับบ้าน มองเห็นเงาทะมึนของเสาชิงช้าสูงสุดลูกหูลูกตา ก็ตกใจคิดว่า "เปรต" มาขอส่วนบุญ วิ่งหนีกันอลหม่าน จนสมัยนั้นผู้ใหญ่ในย่านนั้นไม่ยอมปล่อยลูกปล่อยหลานออกมาเพ่นพ่านในยามค่ำคืน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 ส.ค. 49 17:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มีชื่อภาษาไทยอีกชื่อหนึ่งความหมายดี สำเนียงเพราะเสียด้วย เป็นชื่อ uni-sex คือชื่อ ลำยอง เคยรู้จักผู้ชายชื่อคุณลำยองคนหนึ่ง แต่ลำยองที่ทำให้ชื่อนี้มีความหมายเป็นอย่างอื่น เป็นเด็กหญิงอายุยังไม่ถึง 15 ปี มีรัฐมนตรีท่านหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยเสียด้วย เป็นอดีตนายทหารพวกเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวง ท่านรัฐมนตรีไปหลับนอนกับเด็กหญิงลำยอง หนังสือพิมพ์รู้เข้าก็ลงข่าวกันเกรียวกราว เรียกว่าคดีลำยอง หนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรี ท่านก็ไม่ปฏิเสธ สมกับเป็นชายชาติทหาร ท่านบอกว่า "ก็เด็กมันอวบอัดใครจะไปรู้ละหว่าว่าอายุยังไม่ถึง 15" เรื่องนี้จำไม่ได้แล้วว่าลงเอยกันประการใด รัฐมนตรีมหาดไทยเป็นนายของตำรวจทั้งประเทศ รัฐมนตรีมหาดไทยสมันโน้นก็อำนาจล้นฟ้า แต่ผลที่ติดตามมาคือไม่มีใครตั้งชื่อลูกว่าลำยองอีกเลย จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 18:43:40 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องชื่อคนที่ผันแปรมีความหมายกลายเป็นอย่างอื่น ในภาษาญี่ปุ่นยังนึกไม่ออก เพราะคนญี่ปุ่นมีชื่อซ้ำกันมาก เหมือนกับฝรั่ง เดิมที ชื่อสกุลของญี่ปุ่น เป็นคำขยานชื่อตัว อย่างเช่น นาย ทะโร่ อาจจะมีอยู่หลายคน แต่คนที่อยู่ในแถบภูเขา ก็อาจเรียกตัวเองว่า ทะโร่ ยามาโมโต้ แปลว่า นายทะโร่ ที่อยู่ในแถบภูเขา เพื่อให้แตกต่างกับ นายทะโร่ ที่ อยู่ในกลางหมู่บ้าน ซึ่งเรียกว่า นาย ทะโร่ นากามูร่า หรือนาย ทะโร่ โมริ ซึ่งอยู่ในป่า ต่อมาลูกหลานของคนเหล่านั้น ก็ใช้ ยามาโมโต นากามูร่า หรือ โมริ เป็นนามสกุลสืบต่อกันมา ถึงแม้จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นแล้ว นามสกุลของคนญี่ปุ่นจึงซ้ากันมากโดยไม่ได้เกี่ยวดองกัน ของฝรั่งก็เช่นเดียวกัน สมมุติว่ามีคนที่ชื่อ จอห์น ในละแวกเดียวกันก็อาจจะมีหลายคน เพราะฝรั่งมักจะตั้งชื่อเรียกตามชื่อในคำภีร์ไบเบิล ชื่อตัวจึงซ้ำกันมาก ไม่มีการไปขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อเท่ห์ ๆ แบบคนไทย คนไหนที่มีอาชีพเป็นช่าง ตีเหล็ก ก็ใช้ชื่อว่า จอหน์ สมิธ จอห์นคนไหนที่มีอาชีพเป็นข่างไม้ก็เรียก จอห์น คาร์เพนเตอร์ คนไหนผมดำก็เรียน จอห์น แบลค คนไหนเป็นนักเล้ยงเหยี่ยวก็เรีกว่า จอห์น ฟอล์คเนอร์ คนไหนมีอาชีพทำเกวียน ก็เรียกว่า จอห์น คาร์ทวไร้ท์ จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 18:47:04 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ทั้งญี่ปุ่นและฝรั่งไม่ค่อยจะมีความคิดเรื่องมงคลนามเหมือนคนไทย ที่เวลาจะตั้งชื่อก็ต้องให้มีตัวอักษรเป็นบริวาร อายุ เดช ศรี มูลละ อุตสาหะ มนตรี แต่พยายามหลีกเลี่ยงตัวอักษรกาลกินี คนที่เกิดวันจันทร์ค่อนข้างตั้งชื่อยากเพราะสระเป็นกาลกินี ชื่อมีแต่พยัญชนะ อ่านยากพิลึก เคยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทยชื่อ คุณ พขร เคยได้ยินโฆษกสถานีโทรทัศน์ อ่านชื่อท่านว่า นาย พะ-ชอน เชยยิ่งกว่าคนที่อ่านปลาเรนโบว์เทราท์ rainbow trout ซึ่งใช้เป็นอาหารเลี้ยงพระราชอาตันตุกะว่า ปลา-เรน-โบ-เท-รา ความผิดส่วนหนึ่งเพราะ ราชบัณฑิตย์สถานท่านห้ามใส่วรรณยุกต์ในคำไทยที่เขียนออกเสียงภาษาต่างประเทศ ถ้าเขียนว่าเรนโบว์เทร้าท์ ใส่ไม้โทเสียหน่อยคนอ่านก็จะได้อ่านไม่ผิด ผู้หญิงฝรั่งที่ชื่อ Lucy ถ้าจะเขียนตามราชบัณฑิตย์ ก็ต้องเชียนว่า ลูซี โฆษกทีวีก็ต้องอ่านว่า ลู-ซี หรือชื่อของแม่พระ Mary ก็ต้องเขียนว่า แมรี คนอ่านก็ต้องอ่านว่า แม-รี จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 18:51:49 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แก้คำผิด เคยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทยชื่อ คุณ พชร ....... จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 18:53:50 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สหรัฐมีพลเมืองประมาณ 250 ล้านคน มีนามสกุลใช้กันอยู่ไม่เกินเก้าหมื่นนามสกุล เพราะฉนั้นจึงซ้ำกันมาก นามสกุลที่ฮิทที่สุดในสหรัฐ 10 อันดับแรก SMITH JOHNSON WILLIAMS JONES MILLER WILSON BROWN DAVIS MOORE นามสกุลที่มีคนใช้น้อยที่สุดในสหรัฐคือ AALDERINK อันดับที่ 88799 ชื่อแรกของผู้หญิง 10 ชื่อ ที่ฮิทที่สุดในสหรัฐ MARY PATRICIA LINDA BARBARA ELIZABETH JENNIFER MARIA SUSAN MARGARET DOROTHY ชื่อแรกของผู้ชายในสหรัฐที่ฮิทที่สุด 10 ชื่อ JAMES JOHN ROBERT MICHAEL WILLIAM DAVID RICHARD CHARLES JOSEPH THOMAS คนที่ชื่อ JAMES ในสหรัฐ ถ้าเป็นคนไทยคงจะชื่อคุณสมชาย จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 18:58:59 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 49 พูดถึงเรื่องมงคลนาม ฝรั่งที่มีนามสกุลต่อไปนี้ ถ้าเป็นคนไทยและอยู่เมืองไทยคงจะไปหาหลวงพ่อมาช่วยผูกดวงคำณวนเลขผานาทีเปลี่ยนนามสกุลใหม่กันแล้ว FOX (186) SAVAGE (582) SLAUGHTER (1011) CROW (1181) PAGAN (1206) CROOK (2069) BADMAN (34293) ตัวเลขในวงเล็บตืออันดับที่คนใช้มากเรียงลงมา นามสกุล CROOK คงไม่ได้หมายความว่าต้นตระกูลเป็นคนคดในข้องอในกระดูก แต่อาจเป็นเพราะต้นตระกูลตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงคุ้งแม่น้ำ (the crook of the river) ในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยมีห้างขายของสำหรับคนชั้นสูง สั่งสินค้าไฮโซมาจากยุโรป ชื่อ ห้างแบดแมนแอนด์โก (Badman and Co.) ไม่ทราบที่มาที่ไป แต่ต้นตระกูลคงไม่ใช่คนเลวแน่นอน นามสกุลนี้ มีคนใช้มากเป็นอันดับที่ 34293 ในสหรัฐ ในญี่ปุ่นเคยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ อินุงุย แปลว่าคนเลี้ยงหมา ถ้าอยู่เมืองไทยคงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็น "สุนัขบริบาล" ก็ตาม ท่านนายกรัฐมนตรีเกรียงศักดิ์ ขมนันท์ ถ้ายังใช้ชื่อว่าสมจิต เหมือนตอนเข้าโรงเรียนนายร้อย อาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ จากคุณ : * - [ 15 ส.ค. 49 19:01:35 A:58.9.185.198 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 50 Badman น่าจะมาจากพวกเยอรมัน (เดา) เพราะ Bad ในภาษาเยอรมันแปลว่า อาบน้ำ อ่านว่า บัด คนเยอรมันมีนามสกุลที่ลงท้ายด้วย man ซึ่งเกิดจากโครงสร้างแบบนี้แบบนี้มากมาย คือเอาคำนาม + man ( man ในภาษาเยอรมันแปลว่าคนเหมือนกัน -"- ถ้าผิดก็ขออำภัย อันภาษาของชาวดอยนั้น ข้าพเจ้าคืนครูไปนานแล้ว) เรื่องที่คุณเพ็ญชมพูเล่า เคยได้ยินคนแก่ที่บ้านเล่าให้ฟังเหมือนกัน แต่นั่นเขามีสำนวนว่า วัดสุทัศน์มีเปรต วัดสระเกศมีผี จากคุณ : AntiSpam - [ 15 ส.ค. 49 20:02:41 A:124.120.96.72 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ไปถามคนแก่ที่บ้าน (ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีนิวาสถานอยู่บริเวณที่คุณเพ็ญชมพูกล่าวมา) เรื่องเปรตวัดสุทัศน์ว่า เคยเห็น หรือเคยเซย์ฮัลโหลกับคุณเปรตตามข่าวลือหรือไม่ คนแก่ที่บ้านหัวเราะหึหึ บอกว่า ไม่เคยคุยด้วย ???? จากคุณ : AntiSpam - [ 15 ส.ค. 49 20:09:27 A:124.120.96.72 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เรียนคุณ * เห็นว่าจะเล่าเรื่อง ด่างเกยชัย อย่าลืมเสีย ไม่รู้จักค่ะ อยากรู้ แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องพี่เข้นั้นชักจะมาก จะเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นก็ไม่เกี่ยง พูดถึงเรื่องคุณสมจิต...เอ มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราคนไหนอีกไหมหนอที่มีชื่อเก่า แล้วเปลี่ยนชื่อเสริมความสง่างาม ขออนุญาตเสริมเรื่องคุณลำยอง เรื่องลำยองนั้น มา ณ บัด now ได้กลายเป็นคำเปรียบเทียบหญิงที่ชอบสะสมสามีเป็นงานหลัก หรืองานอดิเรก บางที เหล่ากระเทยชนก็ใช้คำนี้ในการด่ากันเอง และด่าผู้หญิงที่กระเทยนั้นบาดหมางอยู่ โดยค่า default (บางทีเคยเห็นคำนี้แปลว่า ค่าปริยาย) เมื่อเอ่ยถึงคุณลำยอง (ถ้าจะให้ถึงพระเดชพระคุณก็ต้องเพิ่มศักดิ์ "อี" ให้คุณลำยองด้วย) พฤติเวรของคุณลำยองคือ เล่นไพ่ กินเหล้า มากสามี ด่าเช็ด ซึ่งเป็นพฤติกรรมของตัวละครชื่อ ลำยอง จากนวนิยายเรื่อง "ทองเนื้อเก้า" ของกฤษณา อโศกสิน ผู้รับบทนี้จนโด่งดัง ก็คือ คุณอภิรดี ภวภูตานนท์ แม้ภายหลัง จะมีดาราสาวท่านอื่นมารับบทนี้แทนเธอ แต่มาดคุณลำยองของคุณอภิรดีนั้นยังติดตาเราอยู่ ย้ำ...ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ส่วนเนื้อเรื่องแม่เล่าให้ฟังง่ะ :p เอ๊ะ กระทู้นี้ ชักจะกลายเป็นรายการถกสำนวนไทย ตั้งแต่ พิเรนทร์ กุ ลุงเชย นักอ่าน (จริงๆ ต้องนักเขียน) ชั้นอะ ไอ้บอด จระเข้ (ขวางคลอง) ถั่วดำ ตุ๋ย แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ลำยอง จะมีใครรวบรวมไปพิมพ์ขายแข่งกะคุณวาณิชไหม จากคุณ : AntiSpam - [ 15 ส.ค. 49 20:51:14 A:124.120.96.72 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เรียนคุณ คนอุดรฯ "แหม ถามภาษาญี่ปุ่นจำเพาะเจาะจงเฉพาะคุณ * เลย......ผมก็พอจะอาโนเน๊ะได้เหมียนกันนะ....แบบว่าเคยมีกิ๊กเป็นญี่ปุ่นง่ะ.....กร๊ากกกส์ ล้อเล่นครับ (แฟนยืนอ่านอยู่ข้างหลังพึ่งรู้ อิ อิ )" ฮั่นแน่ อย่างนี้เข้าทำนองเจ้าชู้ประตูดิน... คุณวาณิชอธิบายว่า "ประตูดิน" คือประตูชั้นในของพระบรมมหาราชวังด้านท่าเตียน เป็นที่ซึ่งหญิงชาววังใช้เข้าออก ว่ากันว่าสมัยก่อนหนุ่มชอบไปเตร็ดเตร่แถวนั้นกันมาก หวังจะได้เกี้ยวพาราสีพวกผู้หญิงชาววัง อืมมมมม นับว่าเป็นสำนวนที่มีเบื้องหลังอันคลาสิค ชวนให้ระลึกถึงบรรยากาศหน้าประตูวังยุค คุณเปรม กับ แม่พลอย เลยล่ะ จากคุณ : AntiSpam - [ 15 ส.ค. 49 21:10:54 A:124.120.96.72 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 54 >>>>"แหม ถามภาษาญี่ปุ่นจำเพาะเจาะจงเฉพาะคุณ * เลย......ผมก็พอจะอาโนเน๊ะได้เหมียนกันนะ....แบบว่าเคยมีกิ๊กเป็นญี่ปุ่นง่ะ.....กร๊ากกกส์ ล้อเล่นครับ (แฟนยืนอ่านอยู่ข้างหลังพึ่งรู้ อิ อิ )" ระดับนี้แล้ว.....เข้าเรียกว่าหล่อลากดิน.....ไม่ใช่เจ้าชู้ประตูดิน..... นี่ไปดูเขาวาดลวดลายตามลิงค์นี้ http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3493910/H3493910.html http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3131184/H3131184.html เอาแค่เบาะๆ ไปสักสองลิงค์ก้อพอนะ อิ อิ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 15 ส.ค. 49 22:40:57 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เรียนคุณ AntiSpam ภาษาเยอร์มันคืนครูไปหมดแล้วเหมือนกัน แต่พอจะจำได้อย่างเลือนรางว่าถ้าเกี่ยวกับอาบน้ำ แล้วรู้สึกว่าจะเป็น baden มีเมือง Baden Baden ที่มีบ่อน้าร้อนธรรมชาติสำหรับอาบรักษาโรค เคยอ่านพระราชนิพนธ์ไกลบ้านจำได้ว่ารัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จไปเมืองนี้เพื่อรักษาพระวรกาย ชื่อคนเยอร์มันที่เกี่ยวกับอาบน้ำเห็นจะมี Bademann. Bademas. Bademci. Bademer. Bademian. Bademosi. Baden. Badenach. Badenam. Badenbach ที่ไกล้เคียงกับ Badman มากที่สุดเห็นจะเป็น Bademann ไม่ทราบว่าต้นตระกูลจะเป็นเจ้าของโรงอาบอบนวดแบบคุณ ชูวิทย์ หรือเปล่า จากคุณ : * - [ 16 ส.ค. 49 00:41:02 A:58.9.201.47 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ไหนๆ ก็พูดเรื่องชื่อของคนที่ติดทำเนียบดัง แล้ว ขอปุจฉาถามคุณเพ็ญชมพูต่อนะครับว่าน ตาสี ตาสา ยายมี และยายมา มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ? เห็นคนยกอ้างบ่อยเหลือเกิน....... จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 16 ส.ค. 49 02:44:43 A:86.144.150.118 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ AntiSpam ถามมาว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราคนไหนอีกไหมหนอที่มีชื่อเก่า แล้วเปลี่ยนชื่อเสริมความสง่างาม เรื่องชื่อตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ที่เปลี่ยนนามสกุลนึกออกสองท่าน ท่านแรกเดิมนามสกุล ลำไย เป็นคนเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศหลายประเทศ จนได้รับปริญญาเป็นด๊อกเต้อร์ จัดว่าเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตดีคนหนึ่ง ท่านไปรักกับสาวไทยที่เรียนอยู่ที่ต่างประเทศด้วยกัน ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นชอบด้วย อุปสรรคในความรักไม่มี แต่ตอนที่จะจัดผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ทางฝ่ายหญิงบอกว่า นามสกุลเดิมไม่สมพงษ์กับฝ่ายหญิงจึงขอให้เปลี่ยนใหม่ พระเอกของเราก็ไปจัดการหาโหรมาคำณวนหานามสกุลที่เหมาะสม ตกลงได้นามสกุล พิทยะ ทั้งคู่จึงแต่งงานกัน อยู่กินด้วยกันมาอย่างมีความสุข ประสบความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างดียิ่ง ได้เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคาร และได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านผู้นี้มีนามว่าคุณทนง ส่วนอีกท่านหนึ่งสมัยที่เรียนธรรมศาสตร์ ใช้นามสกุลว่าก้อนแก้ว เรียนจบจากธรรมศาสตร์ก็เข้ารับราชการเป็นตำรวจ สมรสกับบุตรีของท่านผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา มีบ้านอยู่ถนนสามเสนไกล้โรงเรียนราชินีบน เนื่องจากท่านผู้นี้รักอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จึงเปลี่ยนนามสกุล เป็นสันติประภพ มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการและมีความสุขในชีวิตครอบครัวอย่างดี ลูก ๆ เรียนเก่งจบเป็นด๊อกเต้อร์ทุกคน ตัวท่านเองได้รับยศเป็นพลตำรวจเอก และได้ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ท่านผู้นี้คือ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ จากคุณ : * - [ 16 ส.ค. 49 02:47:24 A:58.9.201.47 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ชื่อของตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ของคุณคนอุดรฯ ก็เป็นคนดังชื่อติดอยู่ในทำเนียบเหมือนกัน แต่คนละทำเนียบของชื่อ พิเรนทร์ กุ เชย ถั่วดำ ตุ๋ย ซึ่งเป็นทำเนียบของชื่อที่กลายมาเป็นคำแสดงพฤติกรรมของคน ทำเนียบของชื่อตาสี ตาสา ยายมี ยายมา เป็นทำเนียบของชื่อซึ่งกลายมาเป็นคำที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีลักษณะเดียวกัน   "ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา" เป็นชื่อที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนชั้นรากหญ้า โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาที่อยู่ในชนบท ในเพลง "กลิ่นโคลนสาบควาย" ของคุณไพบูลย์ บุตรขัน ได้พูดถึงตาสีไว้ว่า (ขออนุญาตลงเวอร์ชั่นเต็ม)             เพลงกลิ่นโคลนสาบควาย       อย่าดูหมิ่นชาวนาเหมือนดั่งตาสี       เอาผืนนาเป็นที่พำนักพักพิงร่างกาย       ชีวิตเอยไม่เคยสบาย       ฝ่าเปลวแดด แผดร้อนแทบตาย ไล่ควายไถนาป่าดอน             เหงื่อรินหยดหลั่งลงรดแผ่นดินไทย       จนผิวพรรณเกรียมไหม้แดดเผามิได้อุทธรณ์       เพิงพักกายมีควายเคียงนอน       สาบควายกลิ่นโคลนเคล้าโชยอ่อน ยามนอนหลับแล้วฝันใฝ่             กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาวแห่งชาวบ้านนา       ไม่เลอเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์       หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน       กลิ่นกระแจะจันทน์ หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา             อย่าดูถูกชาวนาเห็นว่าอับเฉา       มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา       ชีวิตคนนั้นมีราคา       ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชากลิ่นโคลนสาบควาย เพลงกลิ่นโคลนสาบควาย แต่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๙๖  ลาวัณย์ โชตามระ เขียนเล่าเอาไว้ใน "ไพบูลย์ บุตรขัน" นักแต่งเพลง "ประวัติการณ์" ว่า...       "...นับว่าเป็นประวัติการณ์ทีเดียวที่เพลงไทยถูกทางการสั่งห้ามออกอากาศโดยอ้างว่าเนื้อเพลงมีข้อความที่ไม่เหมาะสม แสดงถึงความเหลื่อมล้ำแห่งชีวิตของชนชั้น เพลงที่ว่านี้คือเพลงกลิ่นโคลนสาบควายของไพบูลย์ บุตรขัน...       และนี่ก็เป็นประวัติการณ์อีกเหมือนกันที่ว่า พอถึงวันแม่ซึ่งทางการยุคหนึ่งกำหนดให้ถือเอา วันที่ ๑๕ เมษายน ตลอดวันวิทยุก็จะกระจายเสียง แต่เพลงที่เขาแต่งขึ้นอีกนั่นแหละ นั่นคือเพลงชุด "แม่" อันได้แก่ เพลงค่าน้ำนม ที่มีเนื้อร้องขึ้นต้นว่า "แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง..." แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 49 10:24:05 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 49 09:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ชื่อต่อมาน่าจะได้แก่ "แจ๋ว" เป็นชื่อที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนรับใช้โดยเฉพาะเพศหญิง ภรรยาของคุณศักดิ์แห้ว โหระพากุล ชื่อ "คุณแจ๋ว" เป็นคนรับใช้บ้านคุณหญิงเนื่อง สีหราชเกรียงศักดิ์ ภรรยาท่านเจ้าคุณสีหราชฯ  ไม่แน่ใจว่าเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า "แจ๋ว" ในความหมายว่า "สาวรับใช้" หรือไม่   เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีภาพยนตร์เรื่อง "แจ๋ว" เป็นเรื่องสาวรับใช้ ที่ช่วยราชการด้วยการเป็นสายลับ นำแสดงโดย เบ๊นซ์  พรชิตา ณ สงขลา "แต๋ว" และ "ประเทือง" หมายถึง สาวประเภทสอง คำว่า "แต๋ว" ใช้กันมานานแล้ว  ส่วน "ประเทือง" กำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง พร้อมกับเพลง "ประเทือง" ของไท ธนาวุฒิ เพลงประเทือง เธอเป็นใครถูกใจหนักหนา เป็นบุญตาได้มาพบเธอ เจอทีไรกลับไปนอนเพ้อ ตื่นมายังเพ้อ จิตใจไหวหวั่น ทำไงดีจะมีทางลุ้น ยอมลงทุนนั่งรอทุกวัน เธอมองมาสบตากับฉัน ท่าทีเธอนั้น ประมาณเชื้อเชิญ อยากจะ I love you คิดแล้วทำให้ใจมันป่วนปั่น ก็อยากจะ I love you ทั้งที่ในจิตใจยังหวั่น ๆ เธอเอียงอายแต่ทำตาหวาน เป็นสะพานให้เดินข้ามไป ทางมันโรยด้วยกลีบดอกไม้ อดใจไม่ไหว หลบไปเสียเหลี่ยม ตายเป็นตายต้องลองให้รู้ ลองๆดูเผื่อมีลู่ทาง เจอจัง ๆ จ้องมองตาค้าง แค่มองข้างหลังเกือบลืมหายใจ อยากจะ I love you คิดแล้วทำให้ใจมันป่วนปั่น แต่พอเธอหันมา ตาประสานกัน มันจะบ้าตาย เป็นไปได้ไง ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้ายๆๆนี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า นึกไม่ถึงประเทืองเพื่อนฉัน เรียนกันมาไม่มีวี่แวว วันเวลาเปลี่ยนมันไปแล้ว โธ่ไอ้เทืองเป็นแต๋ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่มันไอ้เทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้เทือง ว้ายนี่คุณประเทือง ว้ายนี่นังประเทืองนี่หว่า "คุณลำยอง" ของคุณ * และคุณ AntiSpam  ก็อยู่ในทำเนียบชื่อด้วยเหมือนกัน โดยมีความหมายตามที่คุณ AntiSpam  อธิบาย แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 49 12:51:02 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 49 10:09:21 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 49 10:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เห็นคุณเพ็ญชมพูแวบ ๆ เมื่อสักครู่นี้เอง อยากให้ช่วยหาประวัติของมหากิมเหลียงให้ด้วยครับ ท่านผู้นี้มีประวัติอันน่าสนใจ เคยเป็นเด็กวัด เคยบวชเรียนจนได้เป็นมหา บาเรียน เคยรับราชการไปอยู่ต่างปรเทศ ท่านใช้เวลาศึกษาที่ห้องสมุดในยามว่างจากราชการ เป็นนักเขียนนวนิยาย นักแต่งบทละคร นักแต่งเพลง นักเขียนสุนทรพจน์ เคยเป็นรัฐมนตรี ฯลฯ ประวัติท่านผู้นี้คงจะเขียนได้ยืดยาว เอามาซอยโพสท์ได้อย่างน้อย 4-5 โพสท์อย่างสบาย อย่าลืมว่าเรากำลังปั่นกระทู้กันอยู่นะครับ แล้วขอเพลง มังรายยอดชายของจันทร์ให้คุณสิงห์เหนือหนึ่งเพลงดัวยครับ อยากจะชวนเธอมาช่วยปั่นกระทู้ด้วย มาปั่นเรื่องมีสาระที่นี่รัลรองว่าไม่มีเรื่องให้ต้องถูกยึดไบขับขี่ หรือถูกตามล่าตามล้าง หรือถูกสหบาทาอย่างที่อื่น คุณ AntiSpam เธอมาช่วยปั่นแล้ว เดี๋ยวเธอคงตามมาเอง อ้อ แถมท้าย อยากจะขอเพลงเลือดสุพรรณให้คุณบรรหารด้วยอีกหนึ่งเพลงครับ จากคุณ : * - [ 16 ส.ค. 49 10:53:50 A:58.9.189.144 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เห็นชื่อมหากิมเหลียงแว๊บ ๆ นึกว่าเป็นญาติข้างเตี่ยของอาเสี่ยกิมหงวนเสียอีก แต่พออ่านคำบรรยายสรรพคุณจึงร้องอ๋อว่าท่านมหาคู่บุญของท่านจอมพลป. นั่นเอง ด.ช. กิมเหลียง วัฒนปฤดา  เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดที่แพกลางแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัด อุทัยธานี เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ บิดาชื่อนายอิน  มารดาชื่อนางคล้าย   มีอาชีพค้าขาย อายุ ๘ ขวบเข้าเรียนที่ ร.ร.วัดขวิด ต.สะแกกรัง เมื่อจบประถมศึกษา บิดาได้นำไปฝากให้บวชสามเณรอยู่กับพระมหาชุ้ย วัดมหาธาตุยุวราชสฤษฏ์ อายุ ๑๓ ปี ได้ ศึกษานักธรรมและบาลีจนจบนักธรรมเอกและเปรียญ ๕ ประโยค โดยสอบได้เปรียญ ๕ ประโยคเมื่ออายุ ๑๙ ปี  สอบได้เป็นที่ ๑ ในประเทศได้รับประกาศนียบัตรหมายเลข ๑ จากพระหัตถ์ ของ รัชกาลที่ ๖ อายุ ๒๐ ปีได้อุปสมบทเป็นภิกษุ อยู่เพียงเดือนเดียวก็ลาสิกขาออกมารับราชการ นายกิมเหลียง  วัฒนปฤดา ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายวิจิตร วิจิตรวาทการ และในรับพระราชทานยศเป็นพลตรีหลวงวิจิตรวาทการในที่สุด  รับราชการเป็นนักการทูต เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆในอดีต เช่น เอกอรรคราชทูตไทยประจำ อินเดีย สวิสเซอร์แลนด์ เป็นนักการเมือง เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวง และตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตเป็น ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี ท่านถึงแก่อนิจกรรมในตำแหน่งเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นนักประพันธ์ เพลงที่ท่านแต่งมีอยู่หลายเพลงเช่น เพลงดวงจันทร์ เพลงเลือดสุพรรณ และเพลงปลุกใจให้รักชาติ เช่น เพลงแหลมทอง (แหลมทองไทยเข้าครองเป็นแดนไทยรักกันไว้เราพวกไทยในแดนทอง) เพลง ความรักชาติ ( ความรักอันใดแม้รักแค่ไหนคงไม่ยั่งยืนเช่นรักคู่รัก แม้รักดั่งกลืน ก็อาจขมขื่น ขึ้นได้ภายหลัง) เพลงรักเมืองไทย ฯลฯ นอกจากนั้นท่านยังได้แต่งหนังสือไว้หลายเล่มด้วยกัน เช่น มันสมอง กำลังแปดประการ มหัศจรรย์ทางจิต ประวัติศาสตร์ ฯลฯ   พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ มีบทบาทสำคัญในเรื่องการสร้างสำนึกเรื่องชาตินิยม ตามนโยบายของจอมพลป. พิบูลสงคราม  มีส่วนผลักดันใน การเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก สยาม มาเป็น ไทย  เป็นผู้ประกาศแนวคิด ต่อต้านคนจีน มาโดยตลอดและ ฮือฮามาก ในปาฐกถาองค์สำคัญเมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่บอกว่า คนจีน(ในสยาม) เป็น กาฝาก ยิ่งกว่า ยิวในยุโรป  ทั้ง ๆ ที่หลวงวิจิตรวาทการเองก็เป็นลูกจีน มีส่วนในนโยบายรัฐนิยม  ชื่อผู้ชายก็ต้องให้เป็นชายชาตรี จะหน่อมแน้มอ้อนแอ้นแบบชื่อผู้หญิงไม่ได้  ลองมาดูชื่อคนดังที่ต้องเปลี่ยนชื่อตามนโยบายรัฐนิยมยุคนั้น ในวงเล็บคือชื่อเดิมก่อนเปลี่ยน พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (สมจิตต์ ชมะนันทน์), พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์ (บุญชู บำรุงพงศ์), พล.อ.เสริม ณ นคร (สมหมาย ณ นคร),  พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร (ประจวบ เกลี้ยงกลม), พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (สมบุญ ชุณหะวัณ), พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ (ศรีสุข อุ่นคำ), พล.ต.อ.สุรพล จุลละพราหมณ์ (อำไพ จุลละพราหมณ์),พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ (สิทธิ รอดจัน) เพลงเลือดสุพรรณ เป็นเพลงประกอบละครปลุกใจให้รักชาติเรื่อง "เลือดสุพรรณ" เป็นเรื่องของนางเอกสาวไทยชื่อ "ดวงจันทร์" กับพระเอกหนุ่มทหารพม่าชื่อ "มังราย" (คล้าย ๆ กับ "อังศุมาลิน" กับ "โกโบริ" นะ) แต่งในพ.ศ. ๒๔๗๙ เพลงเลือดสุพรรณ เลือดสุพรรณเคยหาญในการศึก เหี้ยมฮึกกล้าสู้ไม่รู้หนี ไม่ครั่นคร้ามขามใจต่อไพรี ผู้ใดมีมีดพร้าคว้ามารบ มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย เลือดสุพรรณเข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย อยู่ไม่สุขเขามารุกแดนกระหน่ำ ให้ชอกช้ำแสนอนาถชาติไทยเอ๋ย เขาเฆี่ยนฆ่าเพราะว่าเห็นเป็นเชลย จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมพวกไทยเรา อันเมืองไทยเป็นของไทยใช่ของอื่น มาต่อสู้กู้คืนเถอะเราเอ๋ย ถึงตัวตายอย่าเสียดายชีวิตเลย มาเถอะเหวยพวกเรามากล้าประจัญ ส่วนเพลงมังรายยอดชายของจันทร์  หาเนื้อเพลงไม่ได้ แต่รู้สึกท่อนที่ว่า  “มังรายยอดชายของจันทร์ มาด่วนดับชีวันทิ้งจันทร์ไว้แดเดียว” นั้น  มีพวกอารมณ์ขันร้าย ๆ แปลงเป็น "มาด่วนดับชีวัน ทิ้งตังค์ไว้แดงเดียว" ร้องกันให้เกร่อทั่วเมืองในสมัยนั้น แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 49 19:00:59 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 16 ส.ค. 49 17:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เฉียบครับคุณ เพ็ญฯ ขออะไรได้หมด.......ถ้าหัวใจผมว่างผมคงต้องชิงขอหัวใจแล้วล่ะ อิ อิ อิ เผอิญว่าถูกครอบครองเต็มหมดแล้ว รู้สึกว่าพลเอกสายหยุด เกิดผลชื่อเดิมจะเป็น สุดสาย หรือสายสวาท นี่แหละผมจำไม่ได้ ชื่อคนที่ติดทำเนียบดังจากวรรณคดีก็มี วันทอง โมราห์ กากี ได้ไปอีกหนึ่งแล้วขอรับท่าน* จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 16 ส.ค. 49 19:59:53 A:193.195.73.66 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เพลงวันทอง    โดย คนด่านเกวียน       เป็นเรื่องจริงไม่ใช่อิงนิยาย ที่ปู่ย่าตายายเล่าขานนานมา มีหลักฐานบันทึกเป็นตำรา ให้ลูกให้หลานได้ศึกษาเล่าเรียน หนึ่งหญิง สองชาย ผูกพัน เหตุเกิดที่ สุพรรณกาญจนบุรี เรื่องขุนช้าง ขุนแผน และสตรี ที่ชื่อ วันทองหรือหญิงสองใจ หญิงสาว ร่างกาย บอบบาง ได้เสีย นวลเสียนางให้แก่พลายแก้ว แววไว ถอดผ้าเหลือง คืนเดียว ฉับไว ลอบย่องขึ้นไปได้เสียนางพิม อยู่กิน เป็นสามีภรรยา แต่งงานออกหน้าออกตา แต่ขุนช้าง ยังไม่ยอมเลิกรา วันทองถูกบังคับบีฑา จึงตกปาก รับคำ มารดา เข้าพิธีวิวาห์น้ำตานองหน้าไหล ก็ยังไม่ทัน เสียตัว ด้วยความที่ รักผัว ไปรบ แดนไกล แต่ขุนแผน กลับพาสาว เชียงใหม่ มาเหยียบมาย่ำหยามใจวันทอง จึงสูญเสีย ความเป็นกุลสตรี เมื่อหัวล้านหน้าผีใช้แรงขืนใจ อีกไม่นาน ขุนแผน ย้อนมาใหม่ ชิงตัว นางไปอยู่ร่วมชายคา นางเสียคน เพราะไม่ทน แรงชาย อีกทั้งกลัว โทษภัยในพระคุณมารดา สุดท้าย คอจึงหลุด จากบ่า พร้อมคำสาปแช่งด่าว่าเป็นหญิงสองใจ อุทาหรณ์ สอนเตือน ผู้คน ว่าผู้หญิงในสังคมชั้นชน ต้องพลีกาย พลีใจของตน สนองรับกฏเกณฑ์ทุรชน ไร้คน เห็นใจ แม่วันทอง กลายเป็นหญิง ใจสอง สองใจ ใครเล่าทำ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่อิง นิยาย ที่ปู่ย่า ตายายเล่าขานนานมา มีหลักฐาน บันทึก เป็นตำรา ให้ลูก ให้หลาน ได้ศึกษาเล่าเรียน อุทาหรณ์ สอนเตือน ผู้คน ว่าผู้หญิงในสังคมชั้นชน ต้องพลีกาย พลีใจ ของตน สนองรับกฏเกณฑ์ทุรชน ไร้คน เห็นใจ แม่วันทอง กลายเป็นหญิงใจสองสองใจใครเล่าทำ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 17 ส.ค. 49 11:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เพลงโมรา     โดย มาลีฮวนน่า โอ้ว่าความรักความใคร่ มันอยู่กันไม่ได้เลย ครั้นว่าจะทิ้งเธอไป ก็กลัวเธอจะน้อยใจ กลัวเราเองจะเสียใจ โอ้เวรกรรม โอ้เวรกรรม เหมือนนางโมราที่เล่นไฟ เหมือนนางกากีที่ไปกับครุฑรูปงาม ไปสู่วิมานฉิมพลี ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย มีดาบสองเล่มให้เธอเลือก ใจนางโมราเลือกฆ่าผัว ได้ยินเรื่องราวแล้วเศร้าใจ ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ไม่อยากให้เป็นเช่นนางโมรา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 17 ส.ค. 49 15:46:55 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เพลงกากีเหมือนดอกไม้     โดย ไสล ไกรเลิศ โอ้ มาลี นี้ใครชมเล่น กลีบเจ้าเป็น รอยช้ำ ใครทำให้เจ้าเฉา หรือภุมรา แกล้งมาภิรมย์ชมเจ้า มองแล้วพายิ่งเศร้า เจ้าเคยพริ้งเพรา กลับมาอับเฉา เพราะมือ คนชม ใครอยากจะรัก ใครอยากจะดม ใครอยากจะชม นิยม ว่าเด่นดี เปรียบกานดา โสภางามผ่อง โอ้ รูปทองใจทราม มีนามว่ากากี สวยอรชร กลิ่นขจร หอมดังมาลี กรรมของนางเทวี เจ้างามโสภี แต่ใจบัดสี เพราะมีอารมณ์ ใจอยากจะรัก ใจอยากจะชม ใจกลับ ระทม เพราะลมสวาทเอย แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 49 16:01:50 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 17 ส.ค. 49 15:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อา.... กระทู้นิ่งๆ ชำเลืองไปเห็นมหากิมเหลียงของคุณ * ทำไมดิฉันไพล่หวนประหวัดไปถึง "แม่กิมไล้" ก็ไม่ทราบ เข้าทำนองเห็นแก่กิน -"- ทำไมเจ้าตำรับ สังขยาหม้อแกง - custard square (ชื่อนี้ได้มาจากคุณแสนอักษร เธอหยิบเอามาจากพจนานุกรมขนมอีกทีหนึ่งในกระทู้ที่ล่วงผ่านไปแล้ว) ถึงต้องอยู่ที่เพชรบุรี แล้วทำไมผู้ปลุกปั้น custard square อันลือชื่อจึงเป็นแม่กิมไล้ ชื่อก็บอกว่าเอี่ยวๆ กับพ่อกิมหงวนแหงมๆ เป็นฉะนี้แล้ว แปลว่า นโยบายชาตินิยมของมหากิมเหลียงไม่เป็นผลหรือไร ??? ขนมหม้อแกงไทย ที่ถึงแม้จะมีที่มาจากตะละแม่ทอคีมาก็เหอะ ก็ยังเสร็จแม่กิมไล้ ล่าสุดที่ได้ไปเมืองเพชร พบว่า แม่กิมไล้ แตกแขนงกิจการขนมได้อู้ฟู่น่าดู ประหนึ่งเป็นปรากฏการณ์ แม่กิมไล้ลิสซึ่ม แล้วแม่กิมไล้เป็นอะไรกะแม่กิมเลี้ยง ขายขนมเหมือนกันอ่ะ ?????? จากคุณ : AntiSpam - [ 18 ส.ค. 49 00:38:43 A:124.120.96.149 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 67 "ก่อนเกิดพายุใหญ่ บรรยากาศมักสงบเงียบ"  เป็นคำคมของใครคนหนึ่ง อิงปรากฏการณ์ธรรมชาติ หวังว่าพายุใหญ่ *****  คงเกิดขึ้นในไม่ช้า ขนมหม้อแกงที่เพชรบุรีมีเจ้าดัง ๆ อยู่  ๕ แม่ ๑ พ่อ เริ่มจาก ๕ แม่ ได้แก่ "แม่กิมไล้ "แม่กิมลั้ง" "แม่กิมลุ้ย" "แม่บุญล้น" และ "แม่ละเมียด" ส่วนอีก ๑ พ่อ คือ "พ่อเข่ง"  แม่กิมเลี้ยงยังไม่มีในทำเนียบ ได้ประวัติความเป็นมา ไขข้อสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กิมลั้งกับแม่กิมไล้  เธอทั้งสองเป็นพี่น้องกัน กิมลั้งนั้นเป็นพี่ สมัยก่อนโน้นสองสาวช่วยกันพายเรือขายขนมหม้อแกง ตอนนี้ธุรกิจขนมตกทอดมาอยู่ในความดูแลของลูกสาวแล้ว จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 18 ส.ค. 49 08:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ตะละแม่ทอคีมาของคุณ  AntiSpam  น่าจะเป็นคนเดียวกับ มารี กีมาร์ หรือ ชื่อเต็ม ว่า ดอญ่า มารี กีมาร์ เด ปินา ( Dona Marie Gemard de Pina) เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แขกเบงกอล และโปรตุเกส เป็นคุณหญิงของออกญาวิชาเยนทร์ ( คอนสแตนติน ฟอลคอน Constantin Phaulkon ) ชาวกรีก ซึ่งดำรงตำแหน่งเสมือนนายกรัฐมนตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ท่านนายก ฯ ถูกประหารชีวิต คุณหญิงต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ค่ายของโปรตุเกส ได้วิชาทำอาหารโดยเฉพาะขนมหวาน ซึ่งดัดแปลงมาจากขนมของโปรตุเกส เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมฝรั่ง ขนมทองม้วน ขนมหม้อแกง(สมัยก่อนเรียก ขนมกุมภมาศ แปลว่า ขนมหม้อทอง)  จึงได้ รับราชการในวัง ตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง จัดหาอาหารและเก็บผ้าภูษาหลวง มีพนักงานในบังคับซึ่งเป็นผู้หญิงล้วนจำนวนถึง ๒,๐๐๐ คน ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "ท้าวทองกีบม้า" ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าเสือ จนถึง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ   "ท้าวทองกีบม้า"  น่าจะเรียกได้ว่าเป็น "จอมนางแห่งวังหลวง"ของไทยตัวจริง (คู่แข่ง "แดจังกึม" จอมนางแห่งวังหลวงของเกาหลี) จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 18 ส.ค. 49 15:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เรียนคุณ เพ็ญชมพู ยังมีคนดังอีกคนหนึ่ง คือซีอุย ชื่อนี่ผู้ใหญ่เขาเอาไว้ขู่เด็ก จากคุณ : * - [ 19 ส.ค. 49 06:41:26 A:58.9.188.185 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ไปดูพระอภัยมณี    แล้วต่อไปดูสามก๊กซะสองวัน  คุยกันได้ไกลจริงวุ๊ย อิฉันคอยให้กระทู้ ขุนช้างขุนแผนโผล่มาอีกที  แล้วค่อยมาคุยตอน พลายชุมพล ปราบ เถรขวาดก็ได้ จากคุณ : แสนอักษร - [ 21 ส.ค. 49 16:12:16 ]