ความคิดเห็นที่ 1 คนจะแปลได้เก่งต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1.มีความอยากแปล พระท่านเรียกว่า ฉันทะ อันที่จริงจะทำอะไรได้สำเร็จหรือได้ดีมันก็ต้องมีน้องๆของฉันทะติดสอยห้อยตามมาด้วยคือ วิริยะ จิตตะ และ วิมังสา ทั้งหมดนี้เรียกว่า อิทธิบาท 4 แต่มันเริ่มต้นด้วยความอยากหรือความสนใจในกิจกรรมนั้นมาก่อนเสมอ 2.มีทักษะภาษาต้นทางในระดับดีมาก อ่านต้นฉบับได้เข้าใจแตกฉานปรุโปร่งว่าคนเขียนต้นฉบับเขาต้องการสื่ออะไร มีนัยอย่างไร 3.มีทักษะภาษาปลายทางในระดับดีมาก สามารถถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการอ่านต้นฉบับออกมาเป็นภาษาปลายทางได้อย่างแยบคาย สละสลวย สื่อต้นฉบับได้อย่าง ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน การแปลนั้นต้องอาศัยทักษะในสองข้อนี้เป็นหลักเลย ถ้ายังอ่านไปเปิดดิคเทียบคำศัพท์ไป เห็นจะต้องบอกว่ายังห่างไกลกับการเป็นมืออาชีพ เพราะการแปลนั้นมันไม่ใช่การเทียบคำศัพท์คำต่อคำ มันต้องการความเข้าใจในบริบทด้วยเสมอ ถ้าแค่เทียบศัพท์คำต่อคำ คอมพิวเตอร์มันก็ทำได้ และป่านนี้นักแปลก็คงสูญพันธุ์เพราะคอมพิวเตอร์แทนหมดแล้ว แต่คุณเคยเห็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แปลได้ถูกต้องสละสลวยไหมล่ะครับ? ดังนั้น ตามที่คุณบอกมาว่า "ความรู้ งูๆปลาๆ" นั้น ผมก็ไม่ทราบว่าจริงๆคืออย่างไร คุณถ่อมตัวหรือไม่ แต่ถ้าทักษะทางภาษาทั้งสองทางเป็นระดับงูๆปลาๆจริงๆละก็ เห็นจะเหนื่อยหน่อยนะครับ ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม ก็ขอเป็นกำลังใจให้บากบั่นพากเพียร สักวันมันต้องสำเร็จจนได้แหละน่า 4.มีความรู้รอบตัวกว้างขวาง เพื่อประกอบการสร้างความเข้าใจในการอ่านต้นฉบับและความสามารถในการถ่ายทอดเป็นภาษาปลายทางได้อย่างถูกต้อง ความรู้รอบตัวนี้อาจจะอยู่ในรูปของการได้อ่านได้รับฟังได้ดูได้รู้ได้เห็นมาด้วยตนเอง ในรูปของตำราหรือเอกสารอ้างอิงต่างๆ ยิ่งมีมากและใกล้มือเท่าไรก็ยิ่งดี นักแปลเก่งๆแถวนี้ผมเห็นมีดิคกันบานเบอะทุกคน ขนาดมีดิคมีตำราอ้างอิงกันคนละเยอะๆบางครั้งก็ยังจนตรอกต้องมาถามคนอื่นกันบ่อยๆ เพราะไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง 5.ลงมือแปลเป็นการ่ฝึกฝนเพิ่มพูนทักษะ อยากแปลแต่ไม่ลงมือ รอให้เก่งเองเห็นจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งแปลมากก็ยิ่งเก่ง การเรียนแปลในสถาบันต่างๆระดับปริญญาโทนั้นเขาเอาคนที่มีคุณสมบัติทั้งห้าข้ออยู่แล้วไปเพิ่มเติมขีดความสามารถให้เหมือนเสือติดปีก เขาถึงต้องทดสอบคัดเลือกก่อน เขาไปแนะนำหลักการและทฤษฏีเพื่อให้ไปต่อยอดเป็นผลในทางปฏิบัติได้ง่ายและถูกทาง เขาไม่ได้ไปฝึกทักษะเรื่องภาษาเป็นหลักนะครับ นั่นเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่คุณควรมีอยู่ก่อน ส่วนการเรียนที่อื่นผมไม่ทราบเพราะไม่เคยมีใครมาเล่าให้ฟังและตัวเองไม่เคยเรียน ว่าแต่ที่ว่าอยากแปล คุณอยากแปลอะไร? แปลวรรณกรรม? แปลเพลง? แปลบทกวี? แปลเอกสาร? แต่ละอย่างมันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยของมัน แล้วจะแปลไปทำไม? แปลเป็นอาชีพ หรือ แปลเอาไว้อ่านคนเดียว หรือ แปลเอาไว้ไล่แจกเพื่อนฝูงให้ช่วยกันอ่าน? ถ้าจะแปลเป็นอาชีพนั้นนอกจากเงื่อนไขข้างต้นก็ยังต้องมีเงื่อนไขการรู้จักลู่ทางในการประกอบอาชีพเพิ่มเข้ามาด้วย ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ ต้องมีความรู้ทางธุรกิจตามสมควร ต้องรู้จักวงการ รู้จักตลาด รู้อุปทานอุปสงค์ แต่เหนืออื่นใด คุณอยากเริ่มต้นแปลก็ลงมือแปลไปเลยสิครับ ไม่ต้องรออะไรหรอก ผมก็ไม่เคยเรียนทางภาษา ผมไม่เคยเรียนแปล ผมก็ยังแปลได้ อาศัยครูพักลักจำมาเยอะ และความอยากแปลแค่นั้นแหละ การลงมือแปลทำให้ได้เห็นของจริง ปัญหาจริง สร้างสมประสบการณ์ ก็เหมือนอยากเป็นนักมวยแชมเปี้ยนโลกน่ะแหละครับ ไม่ยอมใส่นวมขึ้นเวที ชาติหน้าตอนบ่ายๆโน่นแหละถึงจะได้เป็น แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 49 11:18:10 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 49 11:06:09 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ส.ค. 49 11:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เพิ่งนึกออกว่ามีคนใจดีมาแปะลิงก์ของ สนพ.ที่ต้องการนักแปล http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4599700/K4599700.html จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ส.ค. 49 11:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มีลิงก์มาฝาก แต่อ่านแล้วอย่าตกใจขวัญหนีดีฝ่อนะครับ อ่านประเทืองปัญญา http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4576771/K4576771.html จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ส.ค. 49 11:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ้ะ วันนี้ใจดี ไปค้นเจอกระทู้เก่าๆ ทำลิงก์ให้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4590191/K4590191.html จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ส.ค. 49 12:53:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เย้!!! หลังจากที่ยุพี่อ้อ อยู่เป็นนาน สองนาน สามนาน สี่นาน จนคนยุเริ่มเหี่ยว พี่อ้อก้อมาตั้งกระทู้แล้ววว แทบจะกระโดดตัว(ไม่)ลอย(แต่ปูนแตก) นู๋บอกแย้ววว ว่าลุงป้าน้าอาแถวนี้ม่ะโหดหรอกค่ะพี่ แค่ดุ เข้มงวด เท่านั้นเอง แต่คนดุยังม่ะเข้ามาเม้น หุๆๆๆ เอาเหอ ถ้าเกิดมีไรขึ้นมาเดี๋ยวนู๋จะมาช่วยเก็บศพพี่แระกัน (ถ้านู๋ถูกยำต่อทำไงเนี้ย) พี่ก็ช่วยหลอกหลอนให้นู๋ทีแระกัน กริๆๆๆ ปล.ลุงแอ๊ด เปิดหลักสูตรสอนแกรมม่ากระทู้นู๋ด้วย เรียกร้องๆๆ จากคุณ : i_tua_yung - [ 26 ส.ค. 49 23:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณลุงแอ๊ดมากค่ะ (ขออนุญาตเรียกตามน้องเตยนะคะ) ที่ให้คำแนะนำ ระดับภาษาไม่อยากประเมินเองค่ะ บอกได้ว่าเวลาอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ก็อ่านจบรู้เรื่องนะคะ แบบไม่ต้องสนใจหาคำศัพท์ที่ไม่รู้เรื่อง อ่านเพื่อความบันเทิงซะมากกว่า ที่ไปหามาอ่านก็อยากเก่งภาษาอังกฤษนี่แหละค่ะ โดยงานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เป็น copywriter ที่บริษัทเล็กๆ ค่ะมีใช้ภาษาอังกฤษบ้างนิดหน่อย แต่รู้สึกว่าแค่นิดๆหน่อยๆเนี่ยตัวเองยังไม่ได้เรื่องเลย รู้สึกละอายเหมือนกันค่ะ เลยต้องลุยมาหาท่านผู้รู้ ที่สนใจอยากศึกษาก็เป็นพวกวรรณกรรมค่ะ เพราะสนุกมีเรื่องราว ที่หนูโทรไปถามก็เป็นพวกสถาบันคอร์สระยะสั้นน่ะค่ะ คิดในแง่ร้ายว่าเรียนสัปดาห์ละครั้งๆละไม่กี่ชั่วโมงก็คงประมาณแนะๆนำให้งานทดลองแปลแก้ไขวิจารณ์ พอจบหลักสูตรยังจะขอคำแนะนำกับอาจารย์ได้อีกหรือ มันเป็นธุรกิจไปซะแล้ว (คิดมากไปหรือป่าวไม่รู้ค่ะ) แต่ยังไม่เคยลองไปเรียนเลยค่ะ เพราะคิดว่า ถ้าเริ่มด้วยตัวเองได้ก็จะดีกว่า อาจต้องการคำแนะนำ คำวิจารณ์จากท่านผู้รู้ค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับลุงแอ๊ดไว้เลยนะคะ หนูคงต้องมารบกวนลุงแอ๊ด เป็นระยะๆ แน่นอนค่ะ ขอบคุณน้องเตย ที่ตามมาดูแล ตามที่สัญญาว่าจะมาช่วยเก็บศพ ตอนนี้คงยังไม่ถึงขั้นเป็นศพให้เก็บ ไว้เละๆเน่าๆ พี่จะส่งกลิ่นไปเรียกนะจ๊ะ จากคุณ : รักปิดรักเปิด - [ 27 ส.ค. 49 22:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ที่จริงเมื่อไม่นานมานี้มีเว็บน่าสนใจมากคือเว็บวรรณกรรม http://www.wanakam.com ซึ่งมีการเปิดประกวดการแปลโดยเอาวรรณกรรมคลาสสิกมาให้นักแปลหน้าใหม่ได้ประกวดกัน มีคนแจ้งเกิดไปหลายคนแล้ว น่าเสียดายว่าล่มไปเสียแล้ว แต่ว่าเว็บยังเข้าได้ให้อ่านผลงานแปลที่ได้เปิดประกวดไปแล้ว คุณลองไปเอาต้นฉบับมาแปลและเทียบกับสำนวนที่ชนะเลิศ นอกจากได้ฝึกทักษะแล้วก็ยังเป็นการได้เรียนรู้สำนวนดีๆอีกด้วย คนที่เคยชนะประกวดนั้นบางท่านก็อยู่แถวๆนี้แหละ อ้อ สำหรับตัวยุ่ง ถามอะไรไม่ค่อยเข้าใจในกระทู้นั่นน่ะ ลองยกตัวอย่างเป็นรูปธรรมหน่อยซิ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 ส.ค. 49 23:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่ท่านประธานแอ๊ด ปากเกร็ดแปะไว้ใน #3 แล้วที่ท่านพูดว่า "มีลิงก์มาฝาก แต่อ่านแล้วอย่าตกใจขวัญหนีดีฝ่อนะครับ อ่านประเทืองปัญญา" เรา click แล้วไปไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นกระทู้อะไร แต่พอดูหมายเลขมัน เราจำได้ว่าเป็นกระทู้ที่เราถกกับนักศึกษาปริญญาเอกในมหาลัยในประเทศอังกฤษนั้นเอง ........ เราก็แปลกใจว่า ตอนแรกมีคนเก็บกระทู้นี้เข้าคลัง แต่อยู่ดีๆมีคน "เส้นใหญ่" สั่งลบกระทู้นี้ได้ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ..........ทั้งๆที่มันมี education value และน่าจะประเทืองปัญญาสำหรับผู้คนที่อยากเข้าสู่วงการแปลบ้างมากทีเดียว............. แต่เผอิญเรา saved ไว้ในคอมฯเรา ....เราเลยงัดเอามาทำเป็น action replay ให้ .......... และเราขอตั้งชื่อกระทู้นี้ว่า "Self-taught Translator versus Academia" หวังว่าคงประเทืองปัญญาบ้างไม่มากก็น้อย ข้อความอยู่ข้างล่างนี้ ...................................................................... จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:51:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ใครรู้บ้างค่ะว่าจะเรียนแปลได้ที่ไหน ใครรู้บ้างค่ะว่าจะหาท่เรียนแปลได้ที่ไหน  คืออยากเป็นนักแปลมากเลย  แต่ภาษาอังกฤษยังไม่ดีเท่าไหร  ผู้รู้ทุกท่านช่วยตอบทีค่ะ จากคุณ : nymph_1155  - [ 28 ก.ค. 49 18:27:21 ]   -------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 1   ส่วนใหญ่เขาจะไปเรียนปริญญาโทการแปลที่จุฬาหรือธรรมศาสตร์....... แต่เราเรียนการแปลด้วยตัวเองโดยการหาตัวอย่างการแปลเก่าๆมาศึกษา.......เช่นอ่านหนังสือต้นฉบับเทียบกับหนังสือฉบับแปล (กรณีที่เป็นแปลหนังสือ) และอ่านประมวลกฎหมายหรือพระราชบัญญัติเทียบกับคำแปล (กรณีที่เป็นแปลเอกสาร) จากนั้นเราดูทีวีไทย เช่นดูข่าว พอเขาอ่านช่าวเป็นไทยเราก็แปลเป็นภาษาอังกฤษในใจตามที่เขาพูด และดูที่วีฝรั่ง (จากจานดาวเทียมหรือจาก UBC) พอเขาพูดฝรั่งเราก็แปลเป็นไทยในใจตามที่เขาพูดไป variation of sentence patterns เป็นอาวุธสำคัญที่สุดของนักแปล .......เราฝึกตัวเราเองให้เขียนประโยคภาษาอังกฤษหลายๆประโยคให้มีความเหมายเหมือนๆกัน และทำเหมือนๆกันกับภาษาไทย......... เราฝึกใช้คอมพิวเตอร์ทุ่นแรงในการแปล ในการแปลคุณต้องหาข้อมูลเป็น.....หาจาก dictionaries, encyclopedias และ google เทคนิคพวกนี้เป็นทักษะเฉพาะตัว..........คน 100 ใช้อาวุธพวกนี้ได้เเก่งไม่เท่ากัน.......นักแปลมืออาชีพบางคนมีเคล็ดลับที่หลักสูตรการแปลนึกไม่ถึง การสอนการแปลปริญญาโท 2 ปี .........ต้องสอนให้นักศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองให้เป็น และสอนให้เรียนภาษาอังกฤษกับภาษาไทยด้วยตัวเองให้เป็น ..เพราะว่า....จะสอนให้แปลเก่งทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ ............ มันเหมือนกับสอนเทคโนโลยี ....มันมีหลายแขนง......ต้องสอนอะไรที่เป็นความรู้พื้นฐานให้ผู้เรียนช่วยตัวเองได้..........จากนั้นผู้เรียนก็บินเดี่ยวได้........ ไวยกรณ์เป็นเรื่องจำเป็นในการแปล แต่การสอนไวยากรณ์ในการแปลไม่ใช่สอนให้เติมคำในช่องว่างแบบข้อสอบ..... ยกตัวอย่างการสอนไวยากรณ์ในการแปล เช่นในการตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษ.......คำศัพท์ตัวหนึ่งมีหลายความหมาย แต่จะฟันธงไปว่าในบริบทมันแปลว่าอะไร บางที preposition เป็นตัวตัดสิน........และบางที paragraphs ก่อนหน้านั้น ..จะให้ contextual clues...หรือถ้าเป็นหนังสือยากๆ contextual clues ดันไปอยู่ตั้งหลายบทก่อนหน้านั้น....... เทคนิคการแปลของเราเป็นสิ่งที่เราคิดค้นขึ้นมาเองเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเจอต้นฉบับที่หินๆและเจอกำหนดเวลาส่งงานที่โหดๆ.........มันเป็นเทคนิคที่ไม่เหมือนกับที่นักวิชาการหรือนักอักษรศาสตร์สอนกันในมหาลัย.......... ถ้าคุณใจเรียนการแปลปริญญาโทก็ติดต่อมหาลัยอย่างที่ว่านั่นแหละ .....รู้สึกว่านอกจากจุฬากับธรรมศาสตร์แล้วยังมีที่รามฯกับที่มหิดลอีกด้วย.......... แต่ถ้าคุณสนใจเทคนิคเฉพาะตัวที่ไม่เป็นหลักวิชาการแบบในมหาลัย แต่เป็นวิธีการนอกมหาลับที่เราคิดค้นขึ้นเองในช่วง 10 กว่าปีที่ตะลุยงานแปลตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ มา (เป็นท่าเพลงลับ) ..........แล้วอยากเรียนกับเรา ...ไม่ได้ปริญญานะ.......แต่รับรองแปลได้ฉลุยเลย...........ก็ลองติดต่อเรามา...........ตอนนี้เรามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ต้องแปลให้สำนักพิมพ์ (เซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว) แต่เรามัวแต่ไปหาเงินจากการแปลเอกสาร.......(ที่ได้เงินไวๆกว่า) ..........ถ้าคุณสนใจจะเรียนการแปลกับเรานะ เราจะให้คุณแปลหนังสือเล่มที่ว่านี้ไปเลย .........แล้วเราจะ edit แล้วแนะแนวว่าจะต้องปรับปรุงภาษาอังกฤษและลีลาการแปลอย่างไร..........ซึ่งในขณะเดียวกันคุณจะไปลงเรียนปริญญาโทการแปลที่จุฬา ธรรมศาสตร์ รามฯ หรือมหิดล (ถ้าคุณคิดว่าปริญญาโทจำเป็นในการประกอบอาชีพ) เราก็ตามใจคุณ ....และมันก็จะเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีด้วยว่าเราสอนการแปล (จากประสบการณ์นอกมหาลัย) ได้ดีกว่ามหาลัยสอนคุณหรือไม่.......... ตอนนี้เราอายุมากแล้ว .......อยากถ่ายทอดวรยุทธ์เหล่านี้ (ท่าเพลงแปลกๆ) ให้เด็กรุ่นหลังๆ......... ถ้าสนใจก็ติดต่อมา ...........ไปเก็บ email address ได้จาก blog ของเรา จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 00:21:34 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 2   ถ้าระดับปริญญาโท เค้าจะเรียนกันในแง่ของศาสตร์ค่ะ มีทฤษฎีต่างๆมากมายที่ต้องเรียนรู้ ไม่ได้สอนแปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือ ถ้าสนใจแค่แปลวรรณกรรม แนะนำให้ไปเรียนคอร์สสั้นๆค่ะ ที่อมรินทร์ก็มี แล้วก็ที่อ.มนันยาสอน จำไม่ได้ว่าที่ไหน ลองเสิร์ชดูค่ะ จากคุณ : สักวันหนึ่ง  - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 09:46:19 ]     ความคิดเห็นที่ 3   ขอบคุณ คุณ "สักวันหนึ่ง" ที่กรุณาชี้แนะเรื่องราวที่เราไม่รู้เกี่ยวกับปริญญาโทการแปล ที่คุณว่า "ไม่ได้สอนแปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือ" เผอิญเราสอนแปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือเสียด้วยสิ เหตุผลก็คือว่า โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ linguistic differentiation ระหว่าง source language และ destination language โดยคำนึงถึง semantic and syntactic restrictions ของแต่ละภาษา วิธีการเช่นนี้ทำให้นักแปลสามารถแก้ปัญหาเรื่อง cultural differences ได้ และสามารถ simplify ภาษาต้นทางให้ง่ายต่อการแปล...... โดยเชื่อว่าการเจาะทะลวงรากฐานการเขียนประโยคเป็นการวาง foundation ที่แข็งแกร่งเพื่อให้ผู้เรียนค่อยๆพัฒนาทักษะจนกลายเป็นนักแปลที่ bilingual มากที่สุด.....โดยการแนะแนวทางในเชิงปฏิบัคิให้ไปเรียนรู้ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้สอนได้ในที่สุด ที่แน่ๆก็คือว่า ถ้าผู้เรียน bilingual อยู่แล้วคือเขียนทั้งสองภาษาได้ดีเหมือนภาษาตัวเอง เหมือนมีพ่อเป็นฝรั่งมีแม่เป็นไทย   การสอน "แปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือ" ก็คงไม่จำเป็น   แต่เผอิญหาผู้เรียนที่ bilingual อยู่แล้วไม่ค่อยมี  ดังนั้นเราจึงค่อนข้างหัวโบราณในการสอนเขียนประโยคแบบเด็กๆ......... ลองไปอ่านดูใน link ข้างล่างนี้  นี่คือตัวอย่างการสอนการแปลแบบสอนเด็กเขียนหนังสือของเรา  ควรมิควรแล้วแต่คุณ "สักวันหนึ่ง" หรือท่านผู้อื่นจะพิจารณาลงความเห็น http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&group=2 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:38:15 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:28:24 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:18:19 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 14:26:03 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 14:24:36 ]   ความคิดเห็นที่ 4   เราเชื่อว่าเนื้อหาสาระสำคัญที่สุดในการสอนการแปล  ไม่ว่าจะสอนที่ไหนอย่างไร  จะต้องเป็น 1. ชี้แนวปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะของผู้เรียนให้เข้าสู่ความเป็น bilingual ให้มากที่สุด.... 2. ชี้แนวทางในการค้นหาข้อมูลเองให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่คุณ "สักวันหนึ่ง" บอกว่า "ถ้าสนใจแค่แปลวรรณกรรม แนะนำให้ไปเรียนคอร์สสั้นๆค่ะ " มันก็แล้วแต่ว่าวรรณกรรมประเภทไหนด้วย  ลองไปอ่านวรรณกรรมชุดนี้ที่นักศึกษาปริญญาโทท่านหนึ่งกำลังทำวิทยานิพนธิ์สิ ........เรียนจบแล้วน่จะได้ดอกเตอร์เลย เพราะยากชมัด........ เป็นเรื่อง Paradise Lost  .........หาต้นฉบับบนเว็บก็มี  หรือลองเข้าไปดูในห้องรวมพลนักแปลดิ.........ขนาดพวกเซียนการแปลหลายคนระดมกำลังกันช่วยกันตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษ (เพื่อการแปลเป็นไทย) แต่ทุกคนก็ยังมึนหัวกันไปตามๆเลย..........รู้สึกวรรณกรรมเรื่องนี้มันจะเก่าประมาณ 300 - 400 ปี ...................... links สองอันข้างล่างนี้เป็นกระทู้ที่พวกยอดฝีมือในการแปลผนึกกำลังกันช่วยตีความต้นฉบับภาษาอังกฤษเรื่อง Paradise Lost.........ลองเข้าไปอ่านดูสิ.........ได้ความรู้ดี http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4514056/K4514056.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4480048/K4480048.html แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:58:17 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 14:42:40 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 14:40:33 ] ความคิดเห็นที่ 5   น่าเสียดาย link อันล่างไปไม่ได้  คงเป็นเพราะกระทู้ตกขอบไปแล้ว และไม่มีคน saved เอาไว้ จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 14:45:08 ]     ความคิดเห็นที่ 6   จริงๆแล้วนักศึกษาที่ทำปริญญาโทเรื่อง Paradise Lost นี้เป็นนักแปลหนังสือที่มีผลงานมามากแล้ว (ซึ่งรู้จักกับเราเป็นการส่วนตัว) ....... เราคุยกับเธอหลังไมค์  แล้วเราแสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า  การทำวิทยานิพนธ์เรื่อง Paradise Lost ได้สำเร็จแล้วรับปริญญาโทไปนั้น จะเป็น academic achievement ที่สวยหรู.............แต่ถ้าเธอเอาเวลาที่เสียไป (เกินกว่า 2 ปี) มาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานความรู้ของเธอให้ขยับเข้าไปสู่ความเป็น bilingual มากกว่านั้น  ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้เธอกลายเป็นนักแปลที่อินทรีย์แก่กล้ามากกว่าเดิม......เธอก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับเราแต่เธอบอกว่า "ที่ต้องทำก็เพราะมหาลัยกำหนดให้ทำวิทยานิพนธ์ชุดนี้ และเธอก็รักผลงานชุดนี้ด้วย" .....ซึ่งก็เป็นเรื่องดี  หากแต่ต้องออกแรงมากโขอยู่ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:31:58 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:20:38 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 14:57:07 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 7   การเรียนปริญญาโทการแปล "เค้าจะเรียนกันในแง่ของศาสตร์ค่ะ มีทฤษฎีต่างๆมากมายที่ต้องเรียนรู้ ไม่ได้สอนแปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือ" แบบที่คุณ สักวันหนึ่ง quoted เอาไว้นั้น ........ก็นับว่ามีประโยชน์ทางด้าน academic achievement ....จบมาก็อาจเป็นอาจารย์หรือเป็นนักวิชาการทางด้านการแปลได้......หรือจะค่อยๆหัดแปลไปเรื่อยๆให้เก่งกว่าเดิมแล้วกลายเป็นนักแปลมืออาชีพก็ยังได้..... ส่วนนักแปลมืออาชีพหลายๆคนที่ไม่เคยเรียนทฤษฏีการแปล  แต่เรียนการแปลด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ....ก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ..........ซึ่งก็นับว่าเป็น "ศาสตร์และศิลป์" ที่มีเนื้อหาสาระไม่แพ้หลักสูตรการแปลในมหาลัยเช่นกัน  ..........ดังนั้น เวลาเราสอนการแปลให้ตัวเอง  เราจึงใช้ผลงานของนักแปลเก่าๆมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อหาทางเข้าใจแนวคิดของผู้แปลว่าเขาคิดอย่างไรจึงแปลออกมาได้ดี หรือไม่ได้ดี......... ตัวอย่างการแปลที่ดีและที่เลว ใช้สอนการแปลได้ดีหมด..... บางครั้งเราจะแกล้งแปลผิดแล้วแปะไว้ให้คนอ่านเล่นเพราะว่ามันสนุกคลายเครียดดี.......แล้วจากนั้นจึงค่อยเฉลยว่า "ตอนแรกเราโง่แปลผิดไปอย่างไร แล้วแก้ไขแล้วเป็นอย่างไร"  นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะลดความน่าเบื่อหน่ายในการเรียนรู้......ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ๆที่ unconventional ....... แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 15:14:59 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 15:12:31 ]  ความคิดเห็นที่ 8   การสร้างบทเรียนการแปลจากสถานการณ์จริง  ที่ไม่ใช่ทฤษฏี ก็มี academic value เช่นกัน  เช่นการประเมินความได้เปรียบเสียเปรียบในสถานการณ์ต่างๆ..... เมื่อคืนนี้เราคุยกับนักแปลอาวุโสท่านหนึ่ง......เธอกำลังแปลงานให้สถานทูตแห่งหนึ่ง  ภาษาไทยเธอแตกฉานมากเนื่องจากชอบอ่านวรรณคดีไทย ภาษาอังกฤษเธอดีมากเพราะเธอเคยเรียนหนังสืออยู่ในสหรัฐมาหลายปี  หากแต่ว่าภาษาอังกฤษของลูกชายเธอเก่งกว่าของเธอ(เพราะลูกชายไปโตต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆ) .......เธอจึงให้ลูกชายเธอ edit คำแปลภาษาอังกฤษของเธอให้สวยกว่าเดิม  โดยการเอาต้นฉบับภาษาไทยให้ลูกชายอ่านประกอบ  แต่มันไม่เป็นผลดีเนื่องจากการที่ลูกชายเธอไปโตในออสเตรเลีย แล้วย้ายไปพำนักอาศัยในอังกฤษ (ตอนนี้มาเยี่ยมบ้านในเมืองไทย) ทำให้เขา (ลูกชายเธอ) อ่านต้นฉบับภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง .... วิธีการที่เราแนะนำเธอก็คือ  ไม่ต้องให้ลูกชายอ่านภาษาไทยเลย แค่แม่เล่าเรื่องเป็นภาษาไทยให้ลูกชายไปเลย (แปลไทยเป็นไทยด้วยปากเปล่า) จากนั้นพอลูกเข้าใจทุกอย่างจึงให้ลูกชายลงมือ edit คำแปลภาษาไทยของคุณแม่ได้เลย...... วิธีการเช่นนี้เป็นการ exploit resources และจุดแข็งของทุกคนที่มีส่วนร่วมด้วย.......... เมื่อทำเสร็จแล้วในการมองย้อนกลับไปว่า "ทำอย่างไรจึงจะให้คุณแม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าลูกชาย และให้ลูกชายเก่งภาษาไทยเท่าคุณแม่"  ในการพัฒนาความเป็น bilingual ..........นี่คือหัวใจของการพัฒนานักแปลที่อินทรีย์แก่กล้า...............ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าจะบรรจุอยู่ในหลักสูตรการแปล .......... การเป็น bilingual ไม่ใช่หมายถึงว่าจะสอนนักแปลเขียนประโยคแบบเด็กๆแต่เพียงเท่านั้น  หากแต่ว่า....ความเป็น bilingual นั้นจะต้องทำให้นักแปลเขียนภาษาทั้งสองภาษาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ .........และการที่จะได้มาซึ่งทักษะเหล่านี้  จะต้องได้มาโดยการ "ลงมือปฏิบัติเท่านั้น ไม่มีทางที่จะได้มาจากการเรียนรู้แต่เพียงทฤษฏี" ..... ในการพัฒนาทักษะของนักแปลนั้น บางครั้งมิใช่กระทำได้แค่เพียงหัดเขียนประโยคแต่เพียงเท่านั้น  แต่ถ้าย้อนกลับไปฝึกทักษะพื้นฐานทั้งหมดตั้งแต่การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน...........มันจะทำให้ใช้ภาษาได้ถูกธรรมชาติมากยิ่งขึ้น .............. แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:21:56 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 15:55:21 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 15:54:50 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 15:52:33 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 15:48:24 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 9   และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงฝึกแปลโดยการฝึกการเป็นล่ามในใจ โดยการฟังทีวีไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ และฟังทีวีฝรั่งแล้วแปลเป็นไทยในใจ ......... นั่นก็เป็นเพราะว่าในอดีต.......นักแปลอาวุโสท่านหนึ่งที่จบ English Literature มาจากมหาลัยดังๆของไทย   ที่เคยทำงานแปลในบริษัทแปลกับเรา  เคยช่วยเรา edit คำแปลของเราเวลาแปลอังกฤษเป็นไทย ......ตอนที่เราไปฝึกงานแปลช่วงหนึ่งหรือสองปีแรกในบริษัทแปลแห่งหนึ่ง .....(เนื่องจากเลือกที่จะเรียนการแปลโดยการลงมือปฏิบัติจริง (และได้เงินในขณะเรียนด้วย) จึงไม่ได้ไปเรียนปริญญาโทการแปล) พอเธอ edit คำแปลภาษาไทยของเราเสร็จแล้ว เราลุ่มหลงความงดงามของประโยคที่เธอแก้ไขไว้ ....จนถึงกับต้องนำไปเก็บเข้าแฟ้มไว้........เพื่อทำการศึกษาโดยเป็นการส่วนตัว ......เราพยายามศึกษาแนวคิดว่า เธอคิดอย่างไรจึงแปลออกมาได้ไพเราะห์เช่นนั้น...... แต่ในช่วงเวลานั้นที่เราทำงานกับบริษัทแปลแห่งนั้น เผอิญมีงานด่วนให้แปลภาพยนต์  ปรากฎว่านักแปลอาวุโสท่านนั้นฟังภาษาอังกฤษในภาพยนต์ไม่ทัน (เธอฟังได้แต่บทสนทนาที่ฝรั่งตั้งใจพูดให้ช้าเพื่อให้คนไทยฟังทันเท่านั้น) .................เราก็รู้สึกแปลกใจว่า คนที่ไม่ bilingual แบบนี้ แต่แปลเก่งแบบนี้จะมีข้อบกพร่องอะไรหรือไม่...........?? จากนั้นอีกหลายปีต่อมาหลังจากที่เราสอนตัวเอง "เหมือนสอนเด็กเขียนประโยค" .........และเรียนรู้ท่าเพลงอะไรมาเพิ่มเติมในเชิงปฏิบัติอีกหลายท่าเพลง  แล้วมีโอกาสได้เห็นผลงานแปลของนักแปลอาวุโสท่านนั้นอีก............แล้วพบว่า ประโยคภาษาอังกฤษที่มันกลับหัวกลับหางกับภาษาไทย (ที่เขียนภาษาไทยไม่ได้) นั้น คล้ายๆกับตัวอย่างการแปลที่เราให้ไว้ใน link นี้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&group=2 ผลปรากฎษว่ากลายเป็นเธอแปลออกมาไม่ได้ดี  ........ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เธอ "ยังคิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้คล่องเท่าเจ้าของภาษา"  ดั้งนั้นการที่จะแยกส่วนต่างๆของประโยคภาษาอังกฤษ (แบบที่เราจะสอนเด็กเขียนประโยคนั้น) เธอยังทำไม่ได้  ...........ดังนั้น เมื่อเจอสถานกาณ์เช่นนี้จึงทำให้คำแปลภาษาไทยของเธอออกมา "ผิดธรรมชาติ" ............... สถานการณ์จริงเหล่านี้  ถึงแม้จะไม่สวยหรูเป็น academic achievement เหมือนกับการเรียนแบบ ที่ว่า "เค้าจะเรียนกันในแง่ของศาสตร์ค่ะ มีทฤษฎีต่างๆมากมายที่ต้องเรียนรู้ ไม่ได้สอนแปลเหมือนสอนเด็กเขียนหนังสือ" แต่ในการนำสถานการณ์จริงมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ภาคปฏิบัตินอกมหาลัยนั้น มันมี academic value ที่ไม่แพ้ทฤษฏีที่เรียนกันในมหาลัย............ สรุปแล้ว การศึกษาสถานการณ์จริงเพื่อประเมินความได้เปรียบเสียเปรียบ ของนักแปลแต่ละคน  นับได้ว่าจำเป็นอย่างยิ่งในการผลิตนักแปลที่มีคุณภาพดีออกมา แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:25:24 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:15:49 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 16:03:34 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 15:50:39 ]  ความคิดเห็นที่ 10   สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการแปลไทยเป็นอังกฤษ  ความลับจากประสบการณ์จริงก็คือ คนไทยส่วนใหญ่พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (บางทีพูดโกหกโดยไม่รู้ตัว) ......... ดังนั้นการลงมือวิเคราะห์ประโยคภาษาไทยจริงๆ  ในการสอนจากสถานการณ์จริงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ  ลองตามไปดูตัวอย่างการแปลไทยเป็นอังกฤษ ใน links ข้างล่างเหล่านี้ดู ........จะเห็นได้ว่า   การวิเคราะห์และสังเคราะห์ linguistic differentiation ระหว่าง source language และ destination language โดยคำนึงถึง semantic and syntactic restrictions ของแต่ละภาษา ทำให้นักแปลสามารถแก้ปัญหาเรื่อง cultural differences ได้ และสามารถ simplify ภาษาต้นทางให้ง่ายต่อการแปล...... http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=9 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=10 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=11 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=12 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:37:51 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:29:06 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 16:37:49 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:54:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 11   นี่เป็นตัวอย่างการสอนการแปลเพิ่มเติม "โดยการสอนเด็กเขียนประโยค" http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=6 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=13 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=14 ตัวอย่างสุดท้ายเป็นแนวคิดที่ "ฉีกแนวแบบสร้างสรรค์ท่าเพลงใหม่สุดในการแปลขึ้นมา"  นั่นก็คือ application of the daoist's law of the five elements to translation (การนำทฤษฏีปัญจธาตุของนักพรตเต๋า มาใช้ในการแปล) เพื่อให้วิเคราะห์สภาพจิตของผู้เขียนภาษาต้นทางได้ ว่าผู้เขียนคิดอย่างไรจึงเขียนประโยคที่มี characteristics บางอย่างออกมา  ซึ่งข้าพเจ้าคิดค้นขึ้นมาได้ในขณะเมาสุรา............5555555555 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=8 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 16:47:43 ]   ความคิดเห็นที่ 12   เผอิญเราเขียนตำราการแปลไว้ (เพิ่งเริ่มเขียน) ก็เลยเอามาแปะให้ดูว่า approach ของเรา (ที่เป็นนักแปลมืออาชึพ) แต่ไม่ใช่อาจารย์มหาลัยหรือนักวิชาการมันต่างกันอย่างไร .......สงสัยของขึ้นแฮะ.......หุๆๆๆๆ กลไกในการแปลอังกฤษเป็นไทย ความเป็นมา         หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนโดยนักวิชาการหรือนักภาษาศาสตร์  หากแต่เขียนโดยนักแปลมืออาชีพที่แปลงานด่วนให้บริษัทแปล และลูกค้าส่วนตัว  เป็นจำนวนมาก   มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี   ประสบการณ์ที่สะสมมาถูกนำมาประมวลผล   ว่าจะนำไปใช้ในการเรียนการสอนการแปลได้อย่างไร   ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงมีเนื้อหาสาระในเชิงปฏิบัติมากกว่าในเชิงทฤษฎี หลายๆท่านอาจเชื่อว่าทักษะในการแปลนั้นเป็นพรสวรรค์   แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นพรแสวง   และเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง   โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทางด้านภาษาในระดับหนึ่ง   มีแผนการเรียนรู้และค้นคว้าด้วยตนเองที่ดี   อีกทั้งมีความเพียรพยายามอย่างไม่ลดละ       หนังสือเล่มนี้ตั้งใจไว้ว่าให้ท่านที่สนใจอยากเป็นนักแปลสามารถใช้เป็นคู่มือในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง   แต่กระบวนความคิดในหนังสือเล่มนี้ก็สามารถนำไปใช้สอนการแปลภาคปฏิบัติได้ในห้องเรียนของสถาบันการศึกษาได้ด้วยเช่นกัน             มีการกำหนดขั้นตอนต่างๆในการเรียนรู้เอาไว้ตามลำดับเหตุผล และลำดับเวลา อีกทั้งยังได้แนะนำผู้เรียนในเรื่องการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น dictionaries, references, software และ Internet (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง search engines) ฯลฯ การสอนการแปล มีความคล้ายคลึงกับการสอนgทคโนโลยี นั่นก็คือว่าไม่มีอาจารย์ท่านใดที่จะประสบความสำเร็จในการสอนให้นักศึกษาเรียนรู้เทคโนโลยีทุกสาขาได้  ในทำนองเดียวกัน ไม่มีอาจารย์ท่านใดที่จะสอนให้นักศึกษารู้วิธีการแปลในหลายๆสาขาวิชาการได้ ดังนั้น จึงต้องสอนให้นักศึกษารู้วิธีค้นข้อมูล  ซึ่งเข้าข่ายของการสอนให้ผู้เรียนจับปลาได้เอง  แทนที่ผู้สอนจะเอาปลาไปแจกให้ทุกวัน หนังสือเล่มนี้จะแนะนำวิธีการในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ส่วนต่างๆของประโยคของ source language (ภาษาต้นทาง)  กับ destination language (ภาษาปลายทาง)  ในขณะที่จะแนะนำวิธีหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ความสำเร็จในการสอนการแปลไม่ใช่อยู่ที่การเอา passages ยากๆมาให้นักศึกษาแปล  แล้วมาเฉลยคำแปลกันในห้องเรียนแต่อย่างเดียว  (เพราะว่าถ้านักศึกษาแปลผิดกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้สอนให้นักศึกษาเตรียมตัวจนพร้อมก่อนที่จะลงมือแปล)     หากแต่ว่าความสำเร็จในการสอนมาจากการถ่ายทอดกระบวนความคิดของผู้สอน (ว่านักแปลคิดอย่างไร)  จึงได้แปลไปเช่นนั้น  และถ้าไม่แปลเช่นนั้น   มีทางแปลเป็นอย่างอื่นพลิกแพลงไปได้กี่อย่างบ้าง   ส่วนความสำเร็จของผู้เรียนนั้น  ขึ้นอยู่กับจำนวนเวลาที่ทุ่มเทให้กับการลงมือแปลจริงๆ  โดยพยายามหาทางพลิกแพลงรูปประโยค (variations of sentence patterns) ของ source language (ภาษาต้นทาง)  กับ destination language (ภาษาปลายทาง)  ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้         ในบทสุดท้ายได้กล่าวถึงเรื่องการเรียนการสอนการแปลไทยเป็นอังกฤษเอาไว้โดยย่อ  เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงปัญหาหลักในเรื่องนี้   เมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบท่านคงพอที่จะคลำทางถูกในการเรียนการแปลอังกฤษเป็นไทยได้ด้วยตัวเองตามขั้นตอนในเชิงตรรกะได้ไม่ยากนัก  แต่การเรียนการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้นจะต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่านี้อีกหลายเท่า   นั่นก็คือต้องมีการ unlearning and relearning......โปรดอ่านสุดท้ายเพื่อดูรายละเอียด         การแปลที่ดีต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์   หนังสือเล่มนี้ตั้งใจที่จะเผยความลับในเรื่อง “กลไกในการแปล” ว่าทำอย่างไรจึงจะแปลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ  (ซึ่งเป็นศาสตร์ล้วนๆ) โดยการใช้ logic (ตรรกะ) ร่วมกับ probability (ความน่าจะเป็นไปได้)   ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่ mechanical (เชิงกล)  แต่จะไม่พูดอะไรเรื่องศิลป์มากนัก  เนื่องจากเชื่อว่าส่วนที่เป็นความงดงามในเชิงศิลป์นั้น   ผู้เรียนการแปลน่าที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของเขาเองมากกว่า จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 17:55:33 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 13   อารัมภบท: การแปลสอนกันได้ด้วยหรือ? อารัมภบท การแปลสอนกันได้ด้วยหรือ?         เมื่อหลายปีมาแล้วฉันทำงานเป็นนักแปลอยู่ในบริษัทแปลแห่งหนึ่ง   บริษัทนั้นมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษอยู่ด้วย  และที่นั่นเขาสอนการแปลกัน   ในขณะที่ตัวเองนั่งแปลงานอยู่หน้าคอมฯนั้น  ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินลงมาจากโรงเรียนสอนภาษา   เป็นอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้มาสอนการแปล   อาจารย์ท่านเดินวนไปวนมาอยู่ แล้วก็ปรารภกับตัวท่านเองว่า  “เอ  สอนการแปล?  มันสอนกันยังไงหว่า?   มันสอนกันได้ด้วยหรือ?” ......เมื่อฉันได้ยินเข้าก็หูผึ่งแล้วคิดเหมือนๆกันว่า   “มันเป็นไปได้หรือที่จะสอนการแปลได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอนในเชิงตรรกะ?”   นั่นก็เพราะว่าตัวเองไม่เคยเรียนการแปลอังกฤษเป็นไทยในสถาบันการศึกษามาก่อน  หากแต่ไปสมัครงานในบริษัทแปล   แล้วลงมือแปลเลย  โดยให้นักแปลเก่งๆรุ่นลายคราม (ในบริษัทที่ทำงานอยู่ในขณะนั้น) edit (ตรวจทานแก้ไข)  แล้วฉันก็ขอส่วนที่เขา edited เสร็จแล้ว  เอากลับไปใส่แฟ้มไว้เพื่อทำการศึกษาและพัฒนาทักษะในการแปลของตนเอง  ........แล้ว (ฉันรำพึง) “การสอนการแปลในห้องเรียน  มันจะทำอย่างไรกันหนอ?”  .............         ในช่วงนั้น ฉันมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง   เป็นนักแปลเหมือนๆกัน   เขาจบปริญญาโทอิเล็กทรอนิกส์   เคยทำงานในตำแหน่งใหญ่ๆ  เงินเดือนมากโข   แต่อยู่ดีๆเกิดคลั่งอยากจะเป็นนักแปลจนขึ้นสมอง   ถึงกับยอมลงทุนมาฝึกงานเป็นนักแปลประจำในบริษัทเดียวกับฉัน  เพราะหวังที่จะได้ทักษะการแปลที่ดีเพื่อเอาไปทำงานเป็น freelance translator (นักแปลอิสระ)   ในช่วงนั้นเขาไปลงเรียนการแปลที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง   ฉันสนิทสนมกับเขาก็เลยขอเขาอ่านบทเรียนที่เขาได้มาจากหลักสูตรการแปลของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น  ในการสอนแปลอังกฤษเป็นไทย  ส่วนใหญ่มันจะเป็น passages (ข้อความ) ภาษาอังกฤษสั้นๆ  ที่ให้นักศึกษาลงมือแปลเป็นไทยไปเลย   พอแปลเสร็จ   แล้วอาจารย์ก็จะเฉลยใน classroom จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 17:57:22 ]   ความคิดเห็นที่ 14   พอฉันอ่าน passages เหล่านั้นแล้วก็รู้สึกขำอยู่ในใจ  ขำที่ว่าใน passage แต่ละ passage  มันจะมีคำศัพท์หรือรูปประโยคเด็ดๆที่อาจารย์ช่างสรรหามาอย่างชาญฉลาดเพื่อหลอกให้นักศึกษาแปลผิด  ฉันจินตนาการไปได้เลยว่าตอนเฉลยใน classroom คงมีรายการเฮฮาปาร์ตี้กันเมื่อนักศึกษาเห็นว่าตัวเองหรือเพื่อนๆแปลผิดแบบจังๆกัน  ........ แล้วฉันก็คิดไปไกลกว่านั้น   นั่นก็คือว่า  passages ในภาษาอังกฤษ  ที่มีทั้งคำศัพท์และรูปแบบประโยคอันสุดแสนจะพิศดารในโลกนี้   คงมีจำนวนมากมายพอๆกับจำนวนดวงดาวบนท้องฟ้าเลยทีเดียว   เมื่อเรียนจบหลักสูตรการแปลที่ว่านั้นนักศึกษาจะไปตีความประโยคยากๆที่ยังไม่ได้รับการสอนใน classroom  ได้อย่างไรกัน.........???? Passages ยากๆที่ว่า  ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นเอามาสอน   มีทางไหมที่นักศึกษาจะแปลให้ถูกหมดโดยไม่โดนหลอก  น่าคิดนะ?   คงมีสิน่า  ถ้านักศึกษา smart หรือเก๋าเอามากๆแบบระดับหักปากกาเซียนนะ   อาจารย์ไม่มีทางหลอกเด็กได้สำเร็จหรอก......  smart แบบไหน?     ก้อคนที่จะแปลผิดน่ะ  แปลผิดเพราะเปิดดิกอังกฤษเป็นไทยก็ต้องแปลผิดจังๆน่ะซี (โดนอาจารย์หลอกสำเร็จ)   นั่นก็เพราะว่าคำศัพท์หรือรูปประโยคพวกนั้น  มันหาในดิกอังกฤษเป็นไทยไม่มี   จะหาให้เจอต้องหาในดิกอังกฤษเป็นอังกฤษ (บางทีต้องหาหลายเล่ม  หรือต้องลงทุนไปหาจาก Internet กว่าจะหาเจอ)   เท่านั้น   เนื่องจากว่าดิกที่ฝรั่งทำ   มีความจุคำศัพท์และรูปประโยคตัวอย่างมากกว่าหลายเท่า   นั่นก็เพราะว่าดิกไทยมักจะทำโดยคนๆเดียว  ส่วนดิกฝรั่งทำด้วยทีมงานของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวิชาการแขนงอื่นๆเป็นจำนวนหลายร้อยคนระดมกำลังกันทำ  และ lexicographers (คนทำดิกชันนารี) พวกนี้เขาทำงานกันทุกวัน (ตรวจสอบแก้ไขปรับปรุง)  เพื่อออกเป็น edition ใหม่มาเรื่อยๆนั่นเอง         ดังนั้น  ในการสอนการแปลที่ถูกต้องในเชิงตรรกะ   ก่อนที่อาจารย์จะหลอกนักศึกษาก็ควรหลอกแบบยุติธรรม   นั่นก็คือควรสอนก่อนว่าจะใช้ dictionaries (ที่ฝรั่งทำ) หรือจะใช้ Internet   ค้นหาศัพท์แบบไหนกัน  แล้วจึงค่อยเอา passages ยากๆมาหลอกให้นักศึกษาแปลกัน           ในการเฉลยคำแปลใน classroom นั้น การที่จะบอกว่า passage ภาษาอังกฤษ ที่ให้แปลนั้นพอแปลออกมาแล้ว  มีคำศัพท์ หรือสำนวน ที่มีความหมายพลิกแพลงเช่นไร  จึงแปลออกมาได้คำแปลภาษาไทยเช่นนี้    นักศึกษาเกือบทุกคนจะนั่งอ้าปากหวอตาเยิ้มราวกับว่าซึ้งในรสพระธรรมเนื่องจากคำแปล (คำเฉลย) ของอาจารย์  ช่างมีความงดงามหยดย้อยในเชิงกวี (มีทั้งศาสตร์และศิลป์) เสียเหลือเกิน  แต่พอให้นักศึกษาไปลองแปลเอง (แปลเรื่องใหม่)  พอแปลออกมา  มันก็ยังห่างไกลจากฝีมืออาจารย์เหลือเกิน  ถามว่าเพราะอะไร?  คำตอบก็คือว่า  นักศึกษายังไม่เก่งเท่าอาจารย์  มันก็ถูก   ถามว่าทำอย่างไรจึงจะเก่งเท่าหรือเก่งกว่าอาจารย์ได้  คำตอบก็คือว่า  ต้องฝึกแปลบ่อยๆ    มันก็ถูกอีกนั่นแหละ (ถ้าตอบว่า “เป็นไปไม่ได้” ก็เอาหนังสือเล่มนี้ไปเผาทิ้งได้เลย)   ถามว่าบ่อยๆเนี่ย  อีกกี่ปี่กว่าจะทาบรัศมีอาจารย์ได้  คำตอบก็คือว่าอีกหลายปี   กี่ปีล่ะ  .......คำตอบก็คือว่า  มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน   มันก็ถูกอีกนั่นแหละ   อ้อ  แล้วอย่าลืมพรแสวงด้วยนะ  มันก็ถูกอีกนั่นแหละ ..........ถามว่า  แทนที่จะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี – 10 ปีหรือนานกว่านั้น  มีทางย่นระยะเวลาในการพัฒนาทักษะการแปลหรือไม่? ............. อ้า!  เป็นคำถามที่ดีมากๆ   มีสิ  ทำอย่างไร?   คำตอบ in a nutshell (แบบสรุปสั้น) ก็คือว่า   ผู้สอนต้องมีการถ่ายทอดกระบวนความคิดของตัวเองให้ผู้เรียน  คงคล้ายๆกับ reverse engineering นั่นเอง  reverse engineering เป็นการขโมย concepts (แนวความคิด) ของ software อันหนึ่ง  เพื่อเอาไปผลิตเป็น software ใหม่อีกตัวหนึ่งที่มี functions ที่คล้ายคลึงกันหรือดีกว่าต้นฉบับ  ........ ซึ่งในกรณีของการสอนการแปล  ไม่ใช่การขโมย  หากแต่เป็นอาจารย์ถ่ายทอดกระบวนความคิดในเชิงตรรกะเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจว่า อาจารย์มีกระบวนความคิดอันแยบยลอย่างไร  (คล้ายๆกับการเฉลยโจทย์คณิตศาสตร์นั่นเอง)   จึงแปลออกมาได้ดีเช่นนั้น (สวยงามหยดย้อยจนมันนหยดติ๋งๆ)   ซึ่งจะพูดถึงกระบวนการนี้   ในบทที่ลงมือ “ชำแหละประโยคใน source language (ภาษาต้นทาง)   และ destination language (ภาษาปลายทาง) แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 49 17:59:42 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 17:58:25 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 15   การเรียนการสอนการแปลมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี   เพราะอะไร?   ศาสตร์ต่างๆเป็นจำนวนมากมายหลายสาขาได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   คงไม่มีอาจารย์ท่านใดที่ฝันเฟื่องที่จะสอนนักศึกษาให้รู้เรื่องศาสตร์ต่างๆเหล่านั้นได้ทุกแขนง    ถ้าอย่างนั้นจะสอนอะไรเล่า?   คำตอบก็คือสอนศาสตร์พื้นฐานบางแขนงที่จำเป็นและถัดจากนั้นก็ต้องสอนให้นักศึกษา "ค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง"  ภาษาอังกฤษก็เหมือนเทคโนโลยี นั่นก็คือมีศัพท์ใหม่ๆเกิดขึ้นเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในแต่ละปีเนื่องจากว่าเป็นภาษาที่มีคนใช้กันในหลายๆประเทศ   ดังนั้นคงไม่มีอาจารย์ท่านใดฝันเฟื่องที่จะสอนนักศึกษาให้รู้ศัพท์ วลี หรือประโยคที่แปลกๆพิศดารทั้งหมดที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษได้  ดังนั้นจึงต้องถ่ายทอดความรู้พื้นฐานบางอย่างให้ และแนะนำว่า  นักศึกษาจะไปค้นคว้าเองต่อไปได้อย่างไรในอนาคต จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:00:38 ]     ความคิดเห็นที่ 16   บทที่ 1 ความรู้ต่ำสุดที่จะต้องมี  ก่อนที่จะมาเป็นนักแปล         บนกระดานข่าวตามเว็บต่างๆ  มักจะมีผู้ที่สนใจการแปลตั้งคำถามว่า  “จบ....(วุฒิการศึกษา).......อยากเป็นนักแปลจะไหวไหม?”  หรือ “ต้องมีความรู้อะไรบ้างก่อนที่จะเป็นนักแปลได้”           คำตอบก็คือ  ในกรณีของการแปลอังกฤษเป็นไทยผู้แปลควรมีทักษะด้าน reading comprehension (อ่านเอาเรื่อง) ที่ดีพอสมควร ประกอบกับความสามารถในการเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ (ที่ฝรั่งทำ) เพื่ออ่าน definitions (นิยาม) ของ entry (คำศัพท์ที่ให้ไว้ใน dictionary)  แต่ละ entry  การที่จะอ่าน definitions เหล่านี้รู้เรื่องได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะรู้ศัพท์พื้นฐานที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน         ศัพท์พื้นฐานที่ผู้อยากเป็นนักแปลควรรู้มีกี่คำ?   คำตอบก็คือประมาณ 2,000 คำ  ถ้าใครอยากดูหน้าตาศัพท์พวกนี้ก็ไปเปิดดู Oxford Advanced Learner's Dictionary (OALD) ที่ท้ายๆเล่มจะมี list คำศัพท์ที่มีชื่อเรียกว่า Defining Vocabulary  มันคือคำศัพท์ที่ OALD (และดิกชันนารีอังกฤษ-อังกฤษส่วนใหญ่) ใช้ในการเขียนนิยามหรือคำจำกัดความของคำศัพท์ทั้งหมดที่มีอยู่ในดิกชันนารีแต่ละเล่ม           กฎเหล็กในการแปลอังกฤษเป็นไทยก็คือ  จะต้องตีความต้นฉบับโดยอาศัย dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษสถานเดียว   เพราะอะไร?  เพราะว่า เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ยังไม่มีดิดชันนารีอังกฤษเป็นไทย เล่มไหนที่จุคำศัพท์ และตัวอย่างประโยคเอาไว้มากพอที่จะช่วยให้นักแปลรอดพ้นจากการแปลผิดได้  ดังนั้น หลักการที่จะต้องยึดมั่นก็คือต้องใช้ดิกชันนารีอังกฤษเป็นอังกฤษหลายๆเล่มในการตีความต้นฉบับให้ถูกต้อง  แต่ใช้ดิกชันนารีอังกฤษเป็นไทยเพื่อ cross reference (การอ้างอิงข้ามกลับไป) หรือเพื่อการเลือกคำภาษาไทยที่เหมาะสมเท่านั้นเอง จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:01:30 ]     ความคิดเห็นที่ 17   ในกระบวนการแปล สิ่งที่แน่ๆ ก็คือว่า นักแปลจะต้องอ่านต้นฉบับให้เข้าใจเสียก่อนจึงจะลงมือแปลได้ ดังนั้น นักแปลจึงต้องมีทักษะในเรื่อง reading comprehension มากพอสมควร   สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงให้เข้าประเด็นโดยทันทีก็คือ  การแปลผิดอย่างแรงเนื่องจากผู้แปลอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ   และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือว่าขณะที่แปลไปผู้แปลยังหลงเชื่อสนิทว่าตัวเองแปลถูก แต่ที่แท้จริงแล้วคำแปลออกมาเป็นคนละเรื่องกันไปเลย  โดยที่ผู้แปลไม่รู้ตัวเลย  ในยุคอินเตอร์เน็ตนี้ มีนักแปลหลายท่าน “โดนยำใหญ่” บนเว็บไปแล้ว โดยมีมือดีไปแฉกลางเว็บว่า “แปลผิด”  ผู้ที่ยำนักแปลบนเว็บ บางท่านก็บอกว่า “ติเพื่อก่อ” แต่บางท่าน ทั้งๆที่บอกว่าติเพื่อก่อ แต่พอน้ำเสียงข้อความที่เขียนพวกเขาเขียนออกมาก็ส่อให้เป็นว่า “ทำไปเพื่อความสะใจ”   เลยตอนนี้ นักแปลหลายๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักแปลหน้าเก่าหน้าใหม่ (ที่แปลหนังสือออกตีพิมพ์) ต่างก็หวาดหวั่นกันว่าจะโดนยำใหญ่บนเว็บจนบางทีถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับกันไปตามๆกัน   การแปลผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้เกิดจากการเปิด dictionary อังกฤษเป็นไทย (แค่เล่มเดียว)  แล้วแปลไปตามตัวอักษรนั่นเอง  ซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่ผิดๆ นั่นก็คือการสอนให้นักเรียนหรือนักศึกษาท่องศัพท์เป็นคำๆโดดๆ  บางโรงเรียนหรือบางสถาบันบอกว่าให้ “ท่องดิกชั่นนารีอังกฤษเป็นไทยทั้งเล่มเลย”  โหเรียนอะไรกันดุเดือดจนปานนั้น  พวกเราถอยก่อนจะดีกว่า  ไม่ไหว ไม่ไหว ..... เอาอย่างนี้ดีกว่า จะบอกให้ว่าถ้าใครท่องดิกชันนารีอังกฤษเป็นไทยได้ทั้งเล่ม (เหมือนที่มีคนอ้างว่าทำได้) นะ ท้าพนันได้เลยว่า  “ก็ยังแปลภาษาอังกฤษทุกประโยคในโลกนี้ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”   เพราะอะไร?  คำตอบก็คือว่า “คำศัพท์ในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ ไม่ได้แปลเป็นคำโดดๆ แต่แปลเป็นกลุ่มคำ”   นั่นก็หมายความว่า คำศัพท์ภาษาอังกฤษตัวเดียวกัน เมื่อใช้รวมกับกลุ่มคำกลุ่มหนึ่งก็จะมีความหมายอย่างหนึ่ง (หรือหลายอย่าง) แต่พอไปใช้รวมกับกลุ่มคำกลุ่มอื่นๆก็จะแปลเป็นอย่างอื่นไปคนละเรื่องกันไปเลย   ดังนั้น ในการอ่านภาษาอังกฤษให้เข้าใจ ผู้แปลจะต้องรู้บ้างพอสมควรว่าคำศัพท์แต่ละคำใช้เขียนประโยคพลิกแพลงอย่างไรได้บ้าง  ซึ่งถ้ารู้มากมายหลายรูปแบบ (จำตัวอย่างประโยคได้มากมาย)  นักแปลผู้นั้นก็จะแปลไทยเป็นอังกฤษได้ดีพอสมควร  แต่ถ้าไม่รู้พลิกแพลงมากนัก ก็พอจะแปลอังกฤษเป็นไทยได้  และรอดจากการแปลผิดได้มากพอสมควร โดยการค้นข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงต่างๆนั่นเอง จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:03:16 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 18   เพื่อเป็นการสาธิตให้เห็นว่าคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมักจะเปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆโดยขึ้นอยู่กับรูปแบบของประโยค  จะยกตัวอย่างคำว่า account ให้ดู  หลายๆคนคงร้องอ๋อว่า "หมู" สุดๆเลย มันแปลว่า "บัญชี" แต่แท้จริงแล้วคำว่า account เมื่อรวมกับคำอื่น เป็น phrases แล้วคงนำมาสร้างประโยคที่มีความหมายหลากหลายต่างๆได้มากมายก่ายกอง ลองไปดูใน link นี้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&blog=1 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:05:19 ]     ความคิดเห็นที่ 19   คำแนะนำ: ควรสรรหา dictionaries ชนิดแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ ที่มีตัวอย่างประโยคให้ เพื่อจะได้เรียนรู้การใช้งานคำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง     เช่น Oxford Advanced Learner's Dictionary Cambridge Advanced Learner's Dictionary Longman Dictionary of Contemporary English และ Collins Cobuild Advanced Learner's Dictionary         ขอ commercial break (พักโฆษณา) สักหน่อย ......ในบรรดา dictionaries ทั้ง 4 เล่มนี้ แนะนำว่าให้ซื้อแบบเป็นเล่มแล้วมีแผ่น CD ติดมาด้วย  เอาไปลงโปรแกรมแบบ full (คือลงครบหมดทุกอย่าง)  เวลาเปิดหาศัพท์เปิด software บนคอมพิวเตอร์จะเร็วกว่าเปิด dictionary ที่เป็นสมุดเป็นเล่มๆเป็นไหนๆ  ....แล้วไอ้ dictionary ที่เป็นหนังสือเป็นเล่มๆล่ะ จะเอาไปทำอะไรดีเอ่ย  อ๋อ...ก็เอาไปไล่แจกพวกคนที่ชอบถือหนังสือภาษาฝรั่งเดินเท่ๆยังไงล่ะ ..........         ถ้าจะให้ rating กันละก้อ  ตอนแรกฉันหลงรัก Oxford Advanced Learner's Dictionary  (OALD) มากที่สุด เพราะคิดว่ามัน romantic มากที่สุด  เนื่องจากว่าได้ยินข่าวเขาเล่าลือว่า OALD ช่วยให้ Oxford University Press รอดพ้นจากการล้มละลายได้ แต่ครั้นพอ Longman Dictionary of Contemporary English รุ่นใหม่ออกมา  ก็ต้องเทคะแนนให้ Longman จนหมดสิ้นหัวใจเลยทีเดียว  เนื่องจากว่าเขาจัดลำดับหมวดหมู่ของคำศัพท์และตัวอย่างประโยคเอาไว้ได้อย่างเป็นระบบมากที่สุด  แต่ขอติว่าน่ารำคาญที่ software ของ Longman กินทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์มากเกิน  เลยอย่าซุบซิบบอกใคร  ......คือจะซุบซิบบอกว่า  ถ้าใครใช้ ADSL Internet ละก้อ  แทนที่จะเสียเงินซื้อ  ไปใช้ของฟรี on line กลับจะหาศัพท์ได้เร็วกว่าเสียอีก.............ฮั่นแน่ะ  เล่นให้ข้อมูลพาผู้ผลิตเจ้งไปตามๆกัน จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:06:28 ]     ความคิดเห็นที่ 20   ตามที่ได้สาธิตไปแล้วว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำนั้น มีรูปแบบการใช้งานเฉพาะตัวของมัน นั่นก็คือพอใช้รวมกับกลุ่มคำหนึ่งก็มีความหมายหนึ่ง พอใช้รวมกับกลุ่มคำอื่นก็เปลี่ยนความหมายไป การรวมกลุ่มกันแล้วแปลได้ใจความตามธรรมชาติของภาษาอังกฤษ เราเรียกว่า collocation ยกตัวอย่าง collocations ของคำว่า raise raise your hand ยกมือคุณขึ้น raise crops ปลูกพืช raise pigs เลี้ยงหมู raise an issue หยิบยกประเด็นขึ้นมา pay raise การเขึ้นเงินค่าจ้าง.... นี่เป็นภาษามะกัน ภาษาอังกฤษเขาใช้ pay rise ซึ่งถ้านักแปลไม่รู้จัก collocations เหล่านี้ดีพอ พอแปลออกมาแล้วก็คงจะได้คำแปลตลกๆให้ขำกลิ้งกันไปตามๆกันเป็นแน่แท้  เช่น “หาบพืช” หรือ “แบกหมู” เป็นต้น         Dictionaries ประเภท learner’s ที่ให้ตัวอย่างประโยคตามที่แนะนำไปแล้วข้างบนนี้  ช่วยนักแปลได้มากในเรื่องตัวอย่างการที่เจ้าของภาษาอังกฤษจะใช้คำศัพท์พลิกแพลงในการสร้างประโยคอย่างไรบ้าง  ซึ่งจะช่วยชีวิตนักแปลที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดดิกอังกฤษเป็นไทยแปลตรงตัวเด๊ะๆ  ให้สามารถตีความประโยคภาษาอังกฤษได้แม่นยำกว่าเดิม   แต่ทว่า dictionaries ประเภทนี้ก็ยังจุคำศัพท์ไม่มากพอ  อ้าวแล้วกัน  ยุ่งละสิ  แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นนักแปลกันเสียทีหนึ่ง?   คือจริงๆแล้วนักแปลควรมีอาวุธครบมือมากกว่านี้   ดังนั้น จึงจะพูดถึง dictionaries ที่สำคัญเล่มอื่นๆกัน  แต่ก่อนอื่นขอมี  commercial break (พักโฆษณา)  ก่อน         ควรใช้ dictionary ในรูปแบบใด? .......เมื่อสมัยฉันหัดแปลใหม่ๆคอมพิวเตอร์ยังใช้ DOS อยู่   เวลาเจองานยากๆเข้าก็ต้องวาง dictionaries นับสิบๆเล่มไว้รอบกาย  บางทีเปิดหลายๆเล่มคาไว้  เพื่อเปรียบเทียบ definitions และเพื่อ cross references ซึ่งกันและกัน  บางทีหันไปหันมาจนเวียนหัว  แล้วทำปากกาหายในที่สุด (น่าโมโหจริงๆ)  พอแปลเสร็จส่งไปให้พนักงานพิมพ์ดีดพิมพ์  ปรากฎว่าพิมพ์มาผิดเพียบเลย    เพราะลายมือฉันเหมือนไก่เขี่ย.............  (อันนี้น่าเศร้าจนแทบจะต้องบรรเลงเพลงธรณีกรรแสง  แล้วร้องไห้บอกกับตัวเองว่าจะเลิกคิดเป็นนักแปลเสียจะดีกว่า......เพราะว่าสมัยนั้นฉันยังพิมพ์ดีดไม่เป็น)   แต่บัดนี้มีข่าวดี (ที่ท่านผู้อ่านทราบแล้ว) จะบอกให้  นั่นก็คือว่า  เมื่อคอมพิวเตอร์หันมาใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Windows พวก lexicographers จากหลายๆค่ายจึงพัฒนา dictionaries ในรูปแบบของ software ที่เก่งฉกาดมากมายออกมาแข่งขันกัน   ตัวฉันเองใช้ dictionaries ที่เป็น software โดยทั้งหมด  ยกเว้นศัพท์หมวดบางสาขาวิชาการซึ่งหาซื้อเป็น software ไม่ได้ แต่หาซื้อได้เป็นเล่มๆเท่านั้น   เพราะอะไร?   เพราะต้องการใช้ multitasking ของ Windows เพื่อเปิด dictionaries ที่เป็น software ไว้หลายๆเล่มพร้อมๆกันยังไงล่ะ         เคยอ่านเจอคนถามบนกระดานข่าวบนเว็บบ่อยๆว่า “อยากเป็นนักแปลค่ะ  ไม่ทราบว่าจะใช้ talking dictionary ยี่ห้อไหนดีคะ?”   คำตอบก็คือว่า  “ไม่เอาสักยี่ห้อเดียวเลยนะหนู  เพราะถ้าไปเจองานแปลที่ยากๆเข้า  พอหาศัพท์ไม่เจอบ่อยๆเข้า   หนูจะลงเอยใช้ค้อนทุบ talking dictionary จนพังพินาศป่นปี้ไปหมด”   พอตอบไปไม่นานก็มีกองเชียร์ Manchester United.....เอ้ยไม่ใช่.....มีกองเชียร์ talking dictionaries (ไม่รู้ว่าเป็นพวกเซลส์หรือเปล่า)  เข้ามาแย้งว่า “หาศัพท์ยากๆเจอสิ  เพราะเดี๋ยวนี้เขามีการ์ดให้เปลี่ยน  ซึ่งการ์ดแต่ละตัวก็เป็น dictionary เล่มต่างๆกันออกไป  แถมยังเล็กกระทัดรัดพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า”   คำตอบว่าทำไมไม่เห็นด้วยอย่างแรง  ก็คือว่า “ถ้าคุณกำลังแปลงานที่ serious มากๆและอยู่ภายใต้ความกดดันของเวลา  คุณมัวแต่มานั่งเปลี่ยนการ์ดนี่คุณแปลไม่ทันแน่ๆ   แล้วอีกอย่างหนึ่งพอเปลี่ยนการ์ดแล้ว  คุณก็ยังเปิด dictionary ได้แค่เล่มเดียว  แต่ในการแปลงานที่โหดๆ  บ่อยครั้งที่คุณต้องเปิด dictionaries หลายๆเล่มคาไว้พร้อมๆกัน  เพื่อเปรียบเทียบ definitions และเพื่อการทำ cross references ซึ่งงานนี้ต้องยกนิ้วให้ multitasking ของ Windows  ส่วนเรื่องการพกพาก็ซื้อ notebook computer สิเครื่องหนึ่งหนักแค่ 1 กก. ยังมีเลย  และต่อไปในอนาคตคงจะมีเบาๆมากๆกว่านี้ออกมาขาย    ....มันแพงนะ....ใช่....แต่อย่าลืมว่าเราคุยกันแค่เรื่องว่า dictionaries ในรูปแบบไหนใช้ในการแปลได้คล่องแคล่วว่องไวที่สุดนะ  ไม่ใช่คุยเรื่องราคาค่างวด...... แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่องราคาพวกเราก็ต้องหวังว่าในอนาคตอันใกล้ๆนี้คงจะมี notebook ตัวใหม่ๆที่ทั้งน้ำหนักและราคาจะเบาๆกว่านี้ออกวางตลาดกัน” จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:09:02 ]     ความคิดเห็นที่ 21   หลังจาก commercial break เสร็จไปแล้ว  คราวนี้จะแนะนำ dictionaries ที่จุคำศัพท์เป็นจำนวนมากให้ท่านลองซื้อหาไปใช้กัน Webster’s New World Dictionary on CD เป็น software ที่ออกมาค่อนข้างนานแล้ว แต่น่าจะยังคงมีขายอยู่ตามท้องตลาด   dictionary นี้มีความจุมากกว่าพวก learner’s dictionaries ทั้งหลาย  จุดเด่นของเล่มนี้ก็คือมีศัพท์กฎหมาย ศัพท์วิทยาศาสตร์ และอื่นๆมากพอช่วยให้รอดตายได้  มีชื่อสถานที่สำคัญๆต่างๆในโลก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเมืองในประเทศจีนมีตัวสะกดแบบ Pinyin ให้ด้วย   Microsoft Encarta on DVD   เป็น software ที่มีทั้ง encyclopedia (สารานุกรม)  Encarta Kids (สำหรับเด็ก)  และ Encarta Dictionary Tools ให้ด้วย  ในตัว Encarta Dictionary Tools ไม่ใช่จะมีแต่เฉพาะ dictionary อังกฤษเป็นอังกฤษเท่านั้น  แต่จะมีทั้ง thesaurus และ dictionaries ที่แปลอังกฤษเป็นเสปน ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาเลียน และแปลภาษาพวกนี้กลับไปเป็นอังกฤษอีกด้วย Britannica Encyclopedia on DVD อันนี้มีลักษณะคล้าย Encarta คือมีทั้ง encyclopedia และ dictionary ด้วย  ลูกเล่นก็แตกต่างออกไปตามสไตล์ของแต่ละค่าย Oxford English Dictionary (OED) นี่คืออาวุธอันทรงพลัง   มีเนื้อหาทั้งหมด 23 volumes (เป็นสมุดเล่มใหญ่ขนาดประมาณสมุดโทรศัพท์ 23 เล่ม)  มีคำศัพท์และตัวอย่างประโยคตั้งแต่ยุคหลายร้อยปีมาจนถึงยุคปัจจุบัน  ....แต่ควรใช้เป็นรูปแบบของ DVD ซึ่งลงโปรแกรมแบบ full (คือลงครบทุกอย่าง)  บนคอมพิวเตอร์แล้วใช้งานได้โดยไม่ต้องใส่แผ่น  มีตัวอย่างประโยคจากดึกดำบรรพ์เป็นหลายๆร้อยปี  มาจนถึงประโยคที่ใช้กันในปัจจุบัน เมื่อท่านมี learner’s dictionaries 4 เล่มที่ว่า กับ dictionaries ความจุสูงอีก 3 เล่มที่ว่านี้แล้ว  ท่านก็จะมีอาวุธอันทรงพลังอยู่ในมือ ถามว่าแค่นี้พอแล้วหรือยัง?   คำตอบก็คือว่า  ยังไม่พอ  ........ควรมี dictionaries อังกฤษเป็นไทย   ไทยเป็นอังกฤษ   และพวกศัพท์หมวด  ของอีกหลายๆค่ายเอาไว้   จากนั้นก็ควรใช้ google  ค้นหาพวก online dictionaries ที่มีให้ใช้ฟรี  เมื่อใช้ประกอบกันจะทำให้ท่านมีเครื่องมือที่ครบครันในการแปล ขออภัย dictionaries ดีๆหลายๆค่ายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง  ไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้ค่าโฆษณา  หากแต่คิดว่าตอนนี้เอาเป็นว่า แนะนำพวก dictionaries ดาวเด่นไปพลางๆก่อน  แล้วพอมีข่าวคืบหน้า  เช่น links ของฟรี  ก็จะไปให้ข้อมูลไว้บน website หรือ blog ของผู้เขียนต่อไป......ในบทต่อไปเราจะเข้าประเด็นการแปลกันจริงๆ จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:10:29 ]     แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 23:58:00 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความคิดเห็นที่ 22 บทที่ 1 การแปลคืออะไร?         เคยมีคนถามว่า What is Mathematics? (คณิตศาสตร์คืออะไร?) แล้วก็มีคนตอบว่า  It’s a game played with many meaningless marks on paper according to certain rules.  (เป็นเกมที่เล่นกันโดยมีเครื่องหมายอะไรต่อมิอะไรที่ไร้ความหมายเต็มหน้ากระดาษตามกฏเกณฑ์บางอย่าง.....แต่สงสัยตอนนี้คงเล่นกันบนคอมพิวเตอร์เสียแล้ว)  ซึ่งตอนนี้เกมแบบนี้คงไปเล่นกันบนคอมพิวเตอร์เสียแล้ว             ถ้าเราจะถามว่า  “การแปลคืออะไร?”  ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี  เหมือนๆกับก่อนที่เราจะเล่นอะไรสักอย่างหนึ่งเช่น “หมากรุก”  เราก็ควรที่จะรู้วัตถุประสงค์ของเกมที่ว่ากันก่อนที่จะลงมือเล่น           ก่อนที่ท่านจะอ่านต่อไปก็ลองปิดหนังสือแล้วคิดด้วยตัวท่านเองก่อน  ว่า “การแปลคืออะไร?”   มันน่าจะมีหรือไม่มีกติกาอะไรบ้าง   เมื่อรวบรวม concepts ต่างๆได้แล้วจึงค่อยกลับมาเปิดดูคำตอบ  .............. แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 03:05:18 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 18:11:37 ]   ความคิดเห็นที่ 23   ภาษาอังกฤษดีแล้วภาษาไทยก็ต้องดีด้วยนะ บางเล่มอ่านแล้วอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะคนแปลอ่อนภาษาไทยนี่แหละ เรียกว่า"ดูถูก"คนแปลคนนั้นไปเลยก็ได้ ถ้าเห็นชื่อนี้แปลเรื่องอื่นอีกก็ไม่ซื้อแล้ว ไปซื้อภาษาอังกฤษอ่านเอาสบายใจกว่า คุณจขกท. นี่ก็เห็นยังใช้ภาษาไทยไม่ค่อยถูก ถ้าไม่รู้ว่าผิดตรงไหนอ่านกระทู้แนะนำด้านบน จากคุณ : 69 - [ 30 ก.ค. 49 09:53:58 A:58.64.101.22 X: TicketID:120041 ]     ความคิดเห็นที่ 24   เข้ามาลงชื่อเรียนการแปลมหาวิทยาลัยหลังเที่ยงคืย จากคุณ : * - [ 30 ก.ค. 49 10:07:45 A:58.9.193.41 X: TicketID:105682 ]       ความคิดเห็นที่ 25   เห็นกระทู้นี้แล้วอยากตอบ แต่เห็นคห.ของคุณ tansy แล้วสนใจมากกว่า ก็คิดอยู่นานน่ะค่ะ ว่าจะอยากจะ comment คุณ tansy แต่เห็นว่าคุณมั่นใจในสิ่งที่คุณเขียนเลยไม่ค่อยแน่ใจว่าจะ comment ดีหรือเปล่า ต้องออกตัวก่อนว่าเราเป็นนร.ปริญญาเอกทาง Comparative literature ที่ลอนดอน หัวข้อ thesis ของเราก็เกี่ยวกับวรรณคดีกับการแปลนี่แหละค่ะ เลยคลุกคลีกับ academia ด้านการแปลมาก็หลายปีอยู่ เราทึ่งในสิ่งที่คุณ tansy จะทำ และคิดว่าจะมีประโยชน์มากกับผู้ที่คิดจะเป็นนักแปลในภายหน้า เราอ่านดูแล้วเราเข้าใจว่าคุณ tansy ตั้งใจจะเขียนออกมาในรูปแบบหนังสือ how to ใช่ไหมคะ เพราะดูจากสำนวนภาษาแล้วหนังสือน่าจะออกไปในแนวนั้น เราอยากเสนอว่า คุณ tansy น่าจะทำ research อีกหน่อยว่า scholar ทางด้านการแปลนี้เค้าเคยเขียนหรือเสนอความคิดเกี่ยวกับการแปลไว้ว่าอย่างไร เพราะหลายๆประเด็นที่คุณ tansy เขียนมา ก็เคยมีนักวิชาการเขียนไว้แล้วหลายท่าน อย่างประเด็นเรื่อง collocation ทางการแปลจะบรรจุไว้ในหมวดหมู่ cohesion and coherence ซึ่งเป็นการมองในเชิง textual semantic เรื่องนี้เสนอขึ้นโดย Michael Halliday ซึ่งเป็นเจ้าของทฤษฏี Systemic functional Grammar แล้วก็มีนักวิชาการด้านการแปลเอาไปวิจัยต่อให้เข้ากับการแปล โดยเฉพาะ Professor Mona Baker นี่เขียน textbook อันหนึ่งเอาไว้ พูดถึง textual semantic ไว้อย่างละเอียดมาก ถ้าสนใจลองไปอ่านดูนะคะ ชื่อ In other words จริงๆถึงแม้จะเป็นหนังสือแนว How to เราคิดว่าคุณควรใช้คำที่ standard อย่างที่ academia ทั่วโลกเค้าใช้กัน อย่างคำว่า Source Language (SL) กับ Target Language (TL) ซึ่งไม่ใช่ Destination language อย่างที่คุณใช้ เราคิดว่าถ้าคุณใช้คำที่ standard หน่อย ต่อไปหนังสือของคุณก็จะเป็นหนังสือที่นำมาอ้างอิงได้ เอามาตั้งในห้องสมุดมหาวิทยาลัยได้ ที่เราสนใจมากๆคือ หนังสือของคุณจะเป็นหนังสือที่เขียนโดยใช้ประสบการณ์เชิงประจักษ์ (empirical study) มาถ่ายทอด แต่ถึงกระนั้น ถ้าคุณทำการค้นคว้าอีกน่อย อ้างอิงงานที่เคยมีคนวิจัยไว้แล้ว งานของคุณก็จะนำไปอ้างอิงต่อได้สบายๆเลยค่ะ อีกอย่างที่เราเสนอคือ คุณสนใจจะมาเรียนเพิ่มเติมด้านการวิจัยการแปลอีกสักหน่อยไหมคะ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเรา (ซึ่งดังมาก ใครทำวิจัยด้านนี้ก็ต้องร้องอ๋อ ถ้าได้ยินชื่อเค้า) เค้าร่วมมือกับอาจารย์จากมหาวิยาลัย Manchester และ Edinburgh จัด summer school ชื่อว่า Translation research summer school ปีหน้าจะจัดที่ลอนดอน (University College London) นี่แหละค่ะ คนที่มาเรียนส่วนใหญ่จะจบโทกับเอกด้านภาษา วรรณคดี หรือแม้แต่การแปลมากันแล้วจากทั่วโลก หรือบางคนก็เป็นนักแปลมืออาชีพ มาเรียนเพื่อ update ความรู้ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติ ประสบการณ์กับนักแปลจากชาติอื่น ปีนี้เราเป็น administrator ให้กับ summer school เลยรู้ข้อมูลดี เราคิดว่างานของคุณน่าจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ translation and pedagogy นะคะ หรือ translator training ซึ่งงานวิจัยทางด้านนี้ คนทำส่วนใหญ่เป็นคนจีน แล้วงานวิจัยด้านการสอนการแปลนี่ที่จีนพัฒนาเร็วมาก อย่าหาว่าเมาธ์เลย เราว่าเนื้อหาที่สอนที่ศูนย์การแปลที่อักษร จุฬาฯ ยังสู้ที่ Beijing Foreign Studies ไม่ได้ แล้วเราก็โชคดีที่ได้คุยกับนร.ป.เอกดวยกันเลยรู้ว่าที่ไหนทำวิจัยกันไปถึงไหนบ้าง ถ้าคุณสนใจ คิดจะทำเชิงวิจัยอย่างจริงจัง จะลองมาเรียนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่นี่ได้ค่ะ ลองไปดูที่เว็บไซต์นี้นะคะ http://www.researchschool.org/ ค่าเรียนสำหรับคนที่ออกเงินเองคือ 680 ปอนด์ ไม่รวมค่าที่พักและอาหาร (ถ้ามีสปอนเซอร์คือ 975) เวลาเรียนสองสัปดาห์ช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนค่ะ หรือถ้าจะติดต่อเราก็หลังไมค์มาได้เลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 18:23:11 จากคุณ : Sa-idian  - [ 30 ก.ค. 49 18:19:25 ] แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 23:58:17 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 26   อยากให้อ่านสิ่งที่คุณ Sa-idian บอกมากๆเลยค่ะ นี่คือส่วนสำคัญที่คนเรียนการแปลจะได้เรียนรู้ ได้ศึกษา อย่างที่บอกว่ามันเป็นการเรียนในเชิงของศาสตร์ มากกว่าจะเรียนเพื่อประกอบอาชีพ เป็ยวิชาการมากกว่าวิชาชีพ ดังนั้น คนที่จบแปลอาจจะแปลได้ไม่ดี ขณะที่บางคนแปลได้ดีโดยที่ไม่ต้องเรียนมาเลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด การหัดแปลลองผิดลองถูกเองก็ทำได้ค่ะ แต่นักแปลก็จะได้ความรู้แง่ของวิชาชีพ จะไม่รู้ว่า Baker คือใคร Newmark คือใคร มีบทบาทอย่างไรต่อวงการแปลทั่วโลก แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่นะคะ บางคนอาจมองว่าไม่จำเป็นต้องทราบก็ได้ มันแล้วแต่ว่าเราเทความสำคัญให้กับอะไร แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลายหรอกค่ะ ยังไงก็ดีกว่าไม่รู้นะคะ ปล. เห็นด้วยค่ะว่าหลักสูตรของจุฬายังต้องปรับปรุงอีกมาก จากคุณ : สักวันหนึ่ง  - [ 30 ก.ค. 49 19:59:45 ]       ความคิดเห็นที่ 27   นี่คือ concepts ของเราเรื่อง translation แบบ คนเรียนแบบมวยวัด .......คิดๆเขียนๆไว้เป็นภาษาอังกฤษ ยังไม่มีเวลาแปลเป็นภาษาไทย เด๋วว่างๆจะมาแปลให้ Not having studied for a Master’s Degree in translation at famous university, I have to adopt an unconventional approach. Basically, from mathematical point of view, this is how I look at translation: A sentence in source language containing A(5), B((10), C(4), D(6), E(13) and F(15); where A, B, C, D, E and F are the words in such a sentence and 5, 10, 4, 6, 13 and 15 are the possible meanings of each word in the destination language, hence the number of sentences that can be constructed in the destination language shall be equal to 5 x 10 x 4 x 6 x 13 x 15 minus the number of semantic and syntactic restrictions, of course. How did I arrive at this mathematical expression? Well, I looked at the flowchart made by a Russian chess grandmaster cum computer programmer who was trying to teach computer to play chess many years ago. At the time of making the first move, each chess player has 20 possibilities; therefore, the possibilities of making the second moves are 20 x 20 = 400. After that, how the game proceeds depends on how each player chooses all the subsequent moves at each stage and the number of illegal moves must be subtracted from the number of possible moves, of course. The subtraction of illegal moves from the number of possible moves is in some way analogous to the subtraction of semantic and syntactic restrictions from the number of sentences that can be formed in the destination language. Now, let’s look at translation from spiritual point of view: Let’s say at one time I was an American lawyer and I drew up a contract in English language. After that, I died and reincarnated in the form of a Thai citizen. As a Thai, I can remember the contents of that contract and I can render them into perfect Thai .well, that is translation, from spiritual point of view! แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 22:40:59 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 22:30:50 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 20:55:29 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 20:32:58 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 30 ก.ค. 49 20:25:57 ] ความคิดเห็นที่ 28   In response to your comment: "ต้องออกตัวก่อนว่าเราเป็นนร.ปริญญาเอกทาง Comparative literature ที่ลอนดอน หัวข้อ thesis ของเราก็เกี่ยวกับวรรณคดีกับการแปลนี่แหละค่ะ เลยคลุกคลีกับ academia ด้านการแปลมาก็หลายปีอยู่" I must say that I have spent my time in the United Kingdom as a 'Bookmaker Manager', not as an "academician"; later I fell in love with translation; therefore, I had no choice, but to adopt a new and unconventional approach to satisfy my curiosity. May the matter rest upon you judgment. แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 21:11:48 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 21:07:01 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 21:06:12 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 49 21:05:50 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 30 ก.ค. 49 21:05:05 ]   ความคิดเห็นที่ 29   I'm well aware that some people use the terms 'source text' or 'source language' and 'target language'. Anyway, the terms 'source language' and 'destination language' 'used by me are also used by other translators and academics. While a Master's Degree or a Doctorate in translation is an impressive academic achievement, it is far from necessary. What counts more than anything else is 'ability.' This can be attained through on-the-job experience and self-study. I find on-the-job experience and self-study more challenging than university's courses; I can express myself far more creatively without being shackled by the inflexible rules laid down by some intructors who often brainwash their students. If all translators are taught in a traditional manner, the world will only see monotonous regularity in translation works. There are born and bred bilinguals who have a greater capability to discern the subtleties and nuances in their languages than someone who learns their second language later in life can ever hope to have. Likewise, Heaven has been kind to me. I happened to come up with very unique and unconventional translation styles that could never be adopted through traditional and academic pursuit. One Russian translator said: "Translation is like a woman, if she is beautiful, she is not faithful; if she is faithful, she is not beautiful." We shall ignore the blatant sexism in the statement and see one of the kernels of truth in translation: Practical experience gained in one's real life can help create more colorful translation works; it is easier to strike a balance between fidelity to the source lanugage and readability in the destination language by breaking certain inflexible rules. This is an unfaithful translation of mine based on my personal knowledge of bookmaking (that is not taught at university). It has to be unfaithful to help Thai readers understand and enjoy the book far better. To read it click the link below. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=23&group=5&blog=3 This is a comparison between the Dao De Jing rendered by an academic and by a daoist. Each version of the translations has its own distinctive flavors and merits. The academic translation has a potpourri of literary styles; mine a potpourri of daoist and Hindu concepts. To read it click the link below. http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=07-2006&date=31&group=1&blog=1 แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 49 11:55:16 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 31 ก.ค. 49 11:49:45 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:59:09 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 30   I'm afraid that Khun Tansy might not get what I'm trying to say. I'm not against your so-called 'unconventional' way of practising translation. I do believe that it is a marvelous gift that each translator has his or her own way of recreating a text in another language. Don't get me wrong. I have an impression that you're already more than ready to take me as a stern academic who despises empiricist practitioners. In fact, I believe that translation should not be rigid at all and should allow people to demonstrate their own creativity when dealing with translation. Honestly, I'm not a big fan of equivalence theorists such as Nida. You can have my words for that. The point I'm trying to convey is, if you are to present your work on 'how to translate' to the public, you should have the decency to combine your original work in a standard, 'referencialble' fashion, so that the reader won't get confused of the term you use. I'm still convinced that your use of 'destination language' is still limited to a very specific group. If you're kind enough, please enlighten me on who or what kind of academic use such term in their works. Because as far as I know, it was in around 1920 that the term SL and TL were introduced and it became standard during the 60s. I'd love to see the bibliographies of the persons you claim to use such term. If you really 'know' translation academia, I believe that you wouldn't criticise it of trying to rid translators of their creativity or 'unconventional' way of translation. I guess you don't know the very famous name in translation 'Lawrence Venuti' who encourages translators to 'foreignise' their translation rather than 'domesticate' it. The one important thing you have to understand the translation academic is that it does not try to impose any prescription on the way you should translate. Rather, it promotes the study of various ways of translation in different contexts. One of the translation schools, the 'descriptive' school, is a great example of this. It studies the styles and norms of translation in different contexts to see a particular stylistic/syntactic preference. However, the bottom line of translation academia is that it won't force translators to translate in a particular way, but it is curious to know how or why the translator comes to a particular style. Rather, if you were to study translation in academia, you would get to know a lot of choices other than your own, or even elaborate or customise your very unique way of translation. At the end the day, it is you who've got to choose, not your teacher. แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 49 19:15:16 แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 49 19:11:50 จากคุณ : Sa-idian  - [ 31 ก.ค. 49 19:07:20 ]   ความคิดเห็นที่ 31   As for the methods you listed down, I do appreciate your attempt to be original, that’s a very fundamental characteristic of an artist. However, if you want to be accepted in the wider public, you have to be sure that your ‘theory’ is scientifically valid or proveable, it should not be just valid in your head. I still doubt your application of chess method and wonder that to what extent it can apply to real texts. But I’m not saying that it is by all means impossible, but I just want want to see if it’s really applicable to actual translation.Your spiritual explanation was supposed to be humourous but if you read Walter Benjamin’s ‘The task of the translator’, you will be marvelled at how he came to the concept of ‘afterlife’ to explain his concept of translation, which is widely accepted in academia and professionals alike. He compares translation to afterlife which gives the original text a chance to continue living, but in the form of translation. It is not just that that he talks about, he also talks about ‘pure language’ and how translation can contribute to the achievement of the ‘pure language’. I will not go on talking about him but if you’d like, get hold of the article and enjoy. Also, about the ‘Les belles infideles’ bit you mentioned, it is not actually the Russian translator who is solely responsible for saying that. The ‘beautiful but unfaithful’ metaphor of translation is the characteristic of translation discourse in the Neo-classical age, and many translators’ names are associated with it, for example Schleimarcher. It can be dated back to the days of St. Jerome, the patron saint of translators, who famously discussed the notion of word-for-word and sense-for-sense translation of relegious tracts. I hope you do not find this comment offensive. This is what we call ‘discussion’ in academia, isn’t it? And to reiterate my point, I appreciate your originality, but you should also lend your ear to the experience of those who have thought out the concepts ages ago. The academia does not try to lay out rules for anyone to follow, but it encourages you to be critical with every method, including your own. There is no concept that is readily available, it must undergo a number of challenges and tests before it is accepted. Nothing is all black nor all white, just as the academia is not all black and your own experience is not all white. Long live the grey! แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 49 19:24:17 แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 49 19:09:06 จากคุณ : Sa-idian  - [ 31 ก.ค. 49 19:08:15 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 23:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ความคิดเห็นที่ 32   เยี่ยมครับ!! คุณ Sa-idian เป็นนักเรียนทุนปริญญาเอกศึกษาที่อังกฤษ ฉกาจฉกรรจ์ทั้งภาษาอังกฤษ ไทย บาลี สันสกฤษ รวมทั้งปรัชญา ส่วนเฮียแท่นสี ประสบการณ์การใช้ชีวิตในอังกฤษเกือบยี่สิบปีผ่านชีวิตโชกโชน...... นับเป็นการนำเสนอสองขั้วที่"แตกต่าง"ของวิธีการแต่ "เหมือนกัน" บนจุดมุ่งหมาย นับว่าเป็นการนำเสนอและการแลกเปลี่ยนที่น่าชมน่าติดตาม ต่อครับๆ....จะรออ่านด้วยความระทึก จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 1 ส.ค. 49 01:06:52 A:86.140.175.70 X: TicketID:109703 ]       ความคิดเห็นที่ 33   ปูเสื่อ  ตั้งหมอนขวาง  ชงชาจีน คอยด้วยความระทึกใจพลันเหมือนกันค่ะ จากคุณ : แสนอักษร  - [ 1 ส.ค. 49 07:32:33 ]       ความคิดเห็นที่ 34   ขออนุญาตแจมด้วยคนนะคะ ธรรมดาก็เป็นนักแปลและล่ามด้วยความจำเป็น แต่มีอยู่ 1 ปีที่ว่าง ไม่มีภาระรับส่งลูก เลยไปลงเรียนปริญญาโทแปล (ขอไม่บอกว่าที่ไหน) แต่เลิกเรียน ด้วยเหตุผลที่เจอการสอนในลักษณะที่คุณแท่นสีพูดถึง อาจารย์เข้ามาแล้วก็แปล bla bla แล้วพยายามที่จะบอกนักเรียนว่า วิธีหรือสิ่งที่อาจารย์แปลนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง บอกให้นักเรียนทำตามอย่าง และถ้านักเรียนพยายามที่จะแปลอย่างที่คิด เพราะคิดว่า naunces ไม่เหมือนกัน ก็มักจะเจอการอธิบายประเภท เธอจะรู้ดีกว่าฉันได้อย่างไร ฉันอยู่ในวงการนี้มานาน ประมาณนั้น รวมไปถึงว่า เธอรู้ไหมว่าฉันทำงานแปล/ล่ามมานานแค่ไหน ได้เงินชั่วโมงละเท่าไร bla bla เป็นไปได้มาก ๆ อย่างหนึ่งคือ อาจารย์หรือสิ่งแวดล้อมในการเรียนของคุณ Sa-idian นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา สำหรับคนทั่วไป เพราะคงจะน้อยคนนัก ที่จะมีโอกาสได้เรียนถึงระดับที่คุณ Sa-idian  กำลังเรียนอยู่และ/หรือ ในสถานที่ สิ่งแวดล้อมที่คุณ Sa-idian  กำลังพบอยู่ คิดว่าจากสิ่งที่เห็นมาเองทำให้ชื่นชมและคิดว่าเข้าใจ ในการติดตามกระทู้นี้อย่างมาก ๆ เลยค่ะ คุณคนอุดรคะ รอรูปอยู่นะ จากคุณ : scuba734  - [ 1 ส.ค. 49 07:34:06 ]       ความคิดเห็นที่ 35   Hear, hear. Long live the grey!!   จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด   - [ 1 ส.ค. 49 08:46:02 ]        ความคิดเห็นที่ 36   กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด อยากได้ """ Oxford English Dictionary (OED) นี่คืออาวุธอันทรงพลัง   มีเนื้อหาทั้งหมด 23 volumes (DVD) """ มากๆ เลยค่าาาาา ไ่ม่ทราบว่าแผ่นแคสเป้อร์นี้มีวางขายแถวไหนเหรอค้าาาาาา ขอบคุณค่าาาาา   จากคุณ : rien   - [ 1 ส.ค. 49 08:52:50 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:00:33 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 37   I'm not here to quibble over the use of technical terms.  Anyway, I searched the terms 'target language' and ‘destination language' from Google just to satisfy my curiosity and I found 79,800,000  and 35,100,000  respectively.  The famous Wikipedia uses the term ‘destination language’ too on this webpage http://en.wikipedia.org/wiki/Category:Translators_by_destination_language So, if I'm wrong, I have at least 35,100,000 friends. I shouldn't feel too lonely. You said: ‘Your spiritual explanation was supposed to be humourous but if you read Walter Benjamin’s ‘The task of the translator’, you will be marvelled at how he came to the concept of ‘afterlife’ to explain his concept of translation, which is widely accepted in academia and professionals alike.’ My reply: There is no reason for me to marvel at Walter Benjamin’s concept of ‘afterlife, ’ but it’s you who should marvel at my reincarnation concept because I have come up with it without having to take translation courses like you; it means I’m a truly creative and imaginative person by nature. On the other hand, I marveled at the way you used the word ‘marvel.’ -- It sounds a bit confusing, doesn’t it? -- You see, I believe that in English we do say ‘somebody marvels at something’ ‘somebody marveled at something’ but we do not say ‘somebody is marveled or will be marveled at something’ This is because the word ‘marvel’ means ‘to feel or express great surprise or admiration at something; to be very surprised or impressed by something’ It is different from the word ‘surprise.’  In English we do say ‘somebody is surprised’ ‘somebody was surprised’ ‘somebody will be surprised’ We might find it difficult to continue this discourse because you are enjoying unfair advantages over me.  You’re quoting passages from your textbooks at leisure -- less time and efforts.  I’m presenting to you in a logical order the solutions to teaching problems that I have found by trial and error during my translation career of 15 years-- greater time and efforts.   It is absolutely unfair! แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 20:02:58 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 09:38:44 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 09:38:04 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 09:29:54 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 09:24:43 ]   ความคิดเห็นที่ 38   คุณ ริน เอ่ยปากทั้งที ไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย อิฉันจะไปแจ้งที่ศูนย์การแปลนิคกี้  นิคกี้ แอนด์ โคให้ค่ะ จากคุณ : แสนอักษร  - [ 1 ส.ค. 49 09:43:02 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 39   Watch out!  While you're going back in time as far as 1920 Khun Khon Udon is secretly developing a computer program for machine translation.  I wonder if I shall marvel at his tremendous success. What the hell am I talking about?  Welll, it makes sense, I suppose.  As I said, the law of probability can be applied to translation. The simple equation I derived from an analogy between translation and chess can definitely  be used to write a program for machine translation. The computer of twenty years ago could not beat any chess grandmaster, but the computer of today can do it.  One day you will get the shock of your life when you find out that Khun Khon Udon has successfully written a very sophisticated computer program for state-of-the-art machine translation. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 09:56:42 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 09:53:51 ]   ความคิดเห็นที่ 40   ยัยริน - เห็นว่ามีขายตามพันทิพนะ จะเอามาหนุนนอนอีกล่ะสิ ... อ่านแล้วขอประมวลออกมาว่า น่าสนใจ ฝ่ายหนึ่ง - ภาคปฎิบัติล้วนๆ อีกฝ่ายหนึ่ง - ภาคทฤษฎี 99.90% อืม... มันอยู่ที่ว่า - คุณจะเอาความรู้นั้นมาใช้ทำอะไร - หรือเปล่า??? ถ้าจะยึดเป็นอาชีพหลัก อาชีพรอง - ไม่ต้องเรียนด้านแปลมาโดยเฉพาะก็น่าจะได้ ขอแค่มีใจรัก (passion) และความอุตสาหะ(perseverance) และถ้าโชคดี ก็บวก พรสวรรค์ ด้วย ถ้าจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์ ก็คงต้องหนักไปด้านทฤษฎี มากกว่าด้านปฏิบัติ เพราะจะมุ่งไปด้านวิชาการ อย่างไรก็ดี ในความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ถึงต่างคนต่างมองจากต่างมิติ แต่ถ้าบวกแล้วหารสอง มันคงจะดีกว่า มุ่งไปทางด้านใดด้านหนึ่งเป็นแน่ จากคุณ : o;] - [ 1 ส.ค. 49 11:47:46 A:61.47.108.160 X: TicketID:012689 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ความคิดเห็นที่ 41   Hear, hear. ตัวจริงมาแย้ววววว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด   - [ 1 ส.ค. 49 12:16:56 ]      ความคิดเห็นที่ 42   ขออนุญาตออกนอกเรื่องนิดหนึ่ง เพราะนานๆ ได้มีโอกาสเจอคนรู้จักมักหน้าที่กระทู้นี้ เรียนคุณริน ถ้าเจ๊แสนอักษรติดต่อนิกกี้ไม่ได้ ก็ติดต่อไปที่ผมนะ ผมมีแผ่นต้นฉบับอยู่จะอัดไปให้ แล้วแผ่นโคลนนิ่งคอมพ์ที่ส่งไปให้ใช้ได้ผลไหมครับ? เรียนเจ๊สกูบ้า คุณคนอุดรคะ รอรูปอยู่นะ >>> ตัวจริงผมก็เห็นแล้ว ยังขอรูปอีก อืมมม์....แซวเล่น กำลังจะส่งไปให้ครับ แต่ลืมอีเมล์เจ๊ ขออีเมล์ด้วยครับ เรียนคุณป้านวล แผ่นดิสก์ recover ไฟล์ต่างๆ ในเครื่องคอมในกรณีคอมพ์เสียยังนอนนิ่งอยู่ที่บ้านผม รอแต่จะส่งไปให้ป้าครับ อีเมล์ล่าสุดส่งไปให้(ขอโทษที่ตอบป้าช้าไปหน่อย แบบว่าผมทุเร่ศ(too late)เอง ไม่รู้ได้รับหรือยัง? เรียนคุณ sa-idian บอกข่าวช้าไปหน่อย แต่คิดว่าคงไม่ช้าเกินไป วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคมที่จะถึงนี้ พวกเราจะมีงาน Thai Summer Fair ถ้ามีเวลาก็ลงไปจะ หรือจะกริ๊งกร๊างไปบอกล่วงหน้าก็ได้จะได้นัดเจอกัน ต่อครับ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 1 ส.ค. 49 14:07:59 A:86.140.175.70 X: TicketID:109703 ]       ความคิดเห็นที่ 43   มีโฆษณาคั่นด้วยแฮะ ... คุณริน คุณสกูบ้า คุณป้านวล คุณ sa-idian ... คุณคนอุดรฯรออยู่ที่เต๊นท์ประชาสัมพันธ์ครับ มาเซฟไว้ก่อน พอดีตาเจ็บ อ่านไม่ไหว ซาบซึ้งมาก อ่านไป น้ำตาไหลปรากๆ ถ้าสองแนวทางนี้ขัดแย้งกัน ก็คงหาข้อยุติไม่ได้ ถ้าจะให้เป็นประโยชน์ นักวิชาการลองฟังนักปฏิบัติดูว่าในมุมมองของการทำงานนั้น มีตรงไหนที่วิชาการเข้าไปสนับสนุนได้บ้าง เราจะช่วยพัฒนาวงการหรือนักแปลได้อย่างไร เรียกว่า เอาความรู้ที่ได้มาทำประโยชน์ ผลตอบแทนที่ได้รับคือนักปฏิบัติจะเป็นเหมือนเข็มทิศบอกว่า เอ๊ะ ตรงนั้นตรงนี้น่าสนใจนะ มีทำวิจัยหรือยัง คล้องกับความจริงไหม ถ้ายังไม่ได้ทำ ลองพิจารณาซิ ประมวลออกมาเป็นองค์ความรู้ดีไหม นักปฏิบัติก็ลองปรึกษานักวิชาการดูว่าสิ่งที่ตนได้รู้ได้ศึกษามานั้นมีสิ่งใดบกพร่องทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก มีข้อมูลทางการศึกษาอันไหนมาสนับสนุนได้ไหม เรื่องที่เราสนใจเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่บนเวที มีไฟส่อง มีกองเชียร์ ท่านจะให้เป็นเวทีสัมมนาเพื่อปิดช่องว่างระหว่างกัน หรือจะให้เป็นเวทีมวย k1 ก็สุดแท้แต่จะกรุณาครับ กองเชียร์เอาทั้งนั้น (กริ๊งงงงงงงงงงงง เอ้า..พี่เลี้ยงลง) จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์   - [ 1 ส.ค. 49 14:55:53 ]       ความคิดเห็นที่ 44   ขออนุญาตใช้พื้นที่นอกเรื่องด้วยคนค่ะ เรียน คุณคนอุดรฯ ทราบ ครือ... ลืมไปเสียสนิทเลยอ่ะ ไม่ได้เปิดเมล์มานานแล้ว ขออำไพๆ เดี๋ยวจะตอบน้า _/\_ ว่าแต่ เจ้าต้นฉบับที่ว่ากับยัยรินนั้น เอาบีบอัดขึ้นไปรเวทเว็บชั่วคราว ให้ไปดาวน์โหลดเองได้ป่ะ ครือ... เห็นใช้กันจัง อยากรู้อยากเห็นง่ะ เรียนคุณแสนอักษรทราบ เรื่องที่คุยในอีกกระทู้ด้านล่างนี้ เดี๋ยวจะไปเลือกกระทู้ว่างๆ ตอบในห้องยำแซ่บค่ะ จากคุณ : o;] - [ 1 ส.ค. 49 15:03:32 A:61.47.108.160 X: TicketID:012689 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 45   Hi Khun o;] .......what a pleasant surprise! I must point out that the main purpose of writing these messages is to state clearly my new approach to translation teaching.  I laid emphasis upon on-the-job experience and  self-study because I studied translation successfully by working as a trainee translator in a translation company.   Translation can be taught without any pedantic insistence on rigorous academic standards. Ironically, a lot of people prefer complicated teachings to learner-friendly lessons.  They are well prepared to study certain theories that can never be applied in real work situation. I'm a professional translator, not an academic.  I don't teach pedagogic principles. I intend to advise beginners about what simple steps to take to become a self-taught translator.  I am not a very good translator, but I am a very good English teacher.  I can teach my student to become a better translator than I am. จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 20:05:30 ]       ความคิดเห็นที่ 46   (ขออนุญาตจขกท. พี่แท่นสี และคุณ Sa-idian นอกเรื่องนิดนึงนะ ) ขอบพระคุณคุณแสนอักษร คุณพี่คนอุดรฯ มากๆ ค่ะที่กรุณา (แผ่น UIU ที่ส่งมาให้รินนั้น รินลองใช้แล้วมันไม่สำเร็จค่ะ มันแฮ้งค์ไปเลย แต่รินลองไปสองสามครั้งเอง ยังไม่ได้หาทางกำจัดจุดอ่อนค่ะ คงต้องลองใหม่อีกที ขอบคุณค่ะ) ป้านวลขา แผ่น DVD มันจุตั้ง 4 กิ๊กนะป้า แค่่ดาวน์โหลดก็หน้ามืดแล้ว (กว่าจะได้มาหนุนหัว ) มิพักต้องพูดถึงคนอัพโหลดนะคะป้า คุณพ่อโปรเจ็กต์คะ เต๊นท์ประชาสัมพันธ์มันอยู่ไหนอ้ะ? จากคุณ : rien   - [ 1 ส.ค. 49 20:06:04 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 47   The translation of the IT age is not the same as what it was in 1920.  We are using different tools and we are working under different environment. I usually come across difficult texts or books that I can not translate due to my lack of general knowledge. You can take all the translation courses and read all the translation textbooks in this whole wide world and still end up being unable to translate many kinds of texts or books due to lack of knowledge of what you are translating.   Therefore, I would rather acquire new general knowledge and more advanced computer skills than take the courses and/or read the textbooks that you recommended. Not only do I apply the concepts of probability and reincarnation to translation, but I also apply the law of the five elements, martial arts, yoga, macrobiotics, meditation, etc. to translation. When I translated very old novels I held many séance sessions to communicate with the spirits of the dead authors.  A clairvoyant has used telepathy to locate a dead body for Scotland Yard before.  The end justifies the means.  My background is very different from yours.  I’m a rebellious person.  That’s why my methods are very unconventional. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 20:14:01 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 20:07:29 ]    ความคิดเห็นที่ 48   séance is meant to be 'seance' ........sorry I couldn't get the accent mark to appear. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 20:13:06 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 20:11:04 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:06:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 49   I do not enforce my views on anyone, but, personally, I am quite certain that the cited works of the authorities on translation cannot help many aspiring translators realize their dreams. Don't forget that many learners in Thailand are not highly proficient in English. Therefore, they need simplified lessons, good advice on use of computer technology for speedy improvement of their English and proper guidelines on their future self-study, not the courses that you are taking in London.  It takes too many years for a Thai learner to prepare himself or herself for expensive overseas university programs. Your textbooks and courses may suit you and some people, but they don’t suit me and other people.  My lessons have been designed for someone who is not as fortunate as you are.  You recommended expensive and difficult courses and books to beginners because you misunderstood my honest and humble intentions.   Lengthy discourse cannot prove anything. The proof of the pudding is in the eating.  Let me teach my students from a rather low level first.  I am preparing teaching materials for some students.  Give me a fair amount of time. I shall let you know the feedback and the outcomes in due course.   May the matter rest upon your good judgment. จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 20:21:38 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:06:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 50   Wow, when I came back there're already a number of comments waiting for me to enjoy. That worths a wait though. P'Kon Udorn Ka, I've never studied Pali so I don't want to be overqualified here (in fact French is my third language ka.) For Khun Tansy, thank you for enlightening me of the term 'destination language'. I did bring this to my colleagues and they all said that it is rather used inconsistently. As for the wikipedia example you've brought to me, it is used to explain the type of translator's job rather than explaining the process of translation. My concern is, as I stated countlessly, your work will be reliable if it is endorsed with standard use of the term. I am by no means against the content of your methodology, just want to comment on the outlook of it. Also, thank you for explaining the word 'marvel' to me. I must have confused it with the french 's'emerveiller' (as this is a pronominal verb, many English counterparts will have the auxilliary 'be' to accompany it e.g. s'etonner - to be astonished). That always happens when you learn more than two languages. It quite tarnishes my goodwill a bit when you use the word 'unfair' for my suggestion. But that helps me understand your attitude. I just tried to explain to you that if you read more in the field, you will get a chance to elaborate your thought further. If I make you feel that I have underestimated your great intellect, then I have nothing to say but please accept my apology. Also the fact that I refer (not quote) to the textbook doesn't mean that I cannot think by myself, otherwise I wouldn't be able to do a PhD at all. My thesis is about Orientalism and translation of Bhagavad Gita and Sakuntala and I've been developing the framework called 'virtuality' to explain the power relations exhibited in the discourse of Orientalism. One of my articles will get published soon, but it will be in France--otherwise, I'd invite you to comment on it. I'm also translating a French novel, but it may take longer time before it's published due to the priority of my research. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:47:35 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:45:14 จากคุณ : Sa-idian  - [ 1 ส.ค. 49 20:30:39 ]   ความคิดเห็นที่ 51   It seems that you're still trying to use 'unconventional' and 'textbook' allusion to differentiate my method from yours... Well, let's say I'm keep saying that there's a grey area where you use both textbook and creativity to learn translation... and that's translation academia in the 21st century. Please don't accuse the academia for what it is not. It's a bit tiring to keep emphasising the same point already mentioned. I just use 1920 to show you that the term has been in use for a long time, but I don't use it to say that the academia is still like what it was in the 1920s. (I know you're a great speaker of English, you should have understood the meaning with no difficulty). Let me tell you about the translation academia nowadays, it now includes computer-assisted analysis of style and rhetorics. There are software such as wordsmith, multiconcord, etc. which help learners understand the particular styles of translation. As for machine translation, The European Union has long developed the machine since it needs to issue documents in many European languages. Imperial college, our 'sister' college, plays an important part in developing it. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:09:24 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:06:51 จากคุณ : Sa-idian  - [ 1 ส.ค. 49 20:45:27 ]   ความคิดเห็นที่ 52   This is the example of machine-translated text from French: French original "Le rapport biannuel sur la coordination des activites en faveur des PME et de l'artisanat rendra compte des progres accomplis natamment grace a l'etablissement et a la comparaison de donnees sur le taux de participation des PME aux programmes communautaires tant en nobre de projets qu'en volume budgetaire et a l'introduction, le cas echeant, de mesures susceptibles d'augmenter la participation des PME. Machine translation The biannual report on the coordination of the activities for the SMEs and for the craft industry will give an account of the progress achieved in particular thanks to the establishment and thanks to the comparison of data on the rate of participation of the SMEs in the Community programmes both in number of projects and in budgetary volume and in the introduction, if necessary, of specific measure likely to increase the participation of the SMEs. Source: Andrew Chesterman & Emma Wagner, 2002 That's machine translation in Europe, very precise, but still lacks a certain 'human' touch. But if you consider the situation of the EU who has to issue thousands of documents every day, the machine does help a lot indeed. Now China and Japan are developing their machine translators, and I must say that they are miles ahead of us, Thai people. The acedemia gives me a great opportunity to sample this machine and understand the software mentioned above. I have a little hope of collaborating with my scientist friend in the future. If you really think your chess method could really help, why don't you write it down and propose to the software expert to develop it into a software? That would really benefit the public and prove that your theory is workable. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 22:03:21 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:03:44 จากคุณ : Sa-idian  - [ 1 ส.ค. 49 21:01:22 ]   ความคิดเห็นที่ 53   Maybe it is just that I refer too much to my environment -- a London university-- which is much different from Thailand. I have heard my friends who take MA in translation at both CU and TU and all said the same story--the teachers are dominating and you can't have your own ideas. If that's the academia in you mind, then it doesn't apply to my case. I've been in an open-minded, intellectual, challenging academic environment for a long time, so I can assure you that the academia is not rigid at all. As long as you can prove your point, and listen to other people's comment, you survive. This is also what I fear most when I have to go back and teach in Thailand. I don't believe that there's one way to translate everything, and I don't like giving rules for students to follow. I'd love to hear their own opinions but many teachers still love to dominate the class, which I'm truly against. And as you can imagine, when new lecturer comes to the department and tries to change the syllabus, he/she will be often frowned upon. When I was granted an audience with Pra Thep, she told me to 'improve' the academia in Thailand. You know what, I find your comments and others such as khun พ่อโปรเจ็กต์ and Khun scuba734 very resourceful about the situation of the field of translation in Thailand. That needs to be improved so that both the professionals and the academics understand one another and can as well benefit from the knowledge of the other. จากคุณ : Sa-idian  - [ 1 ส.ค. 49 21:24:38 ]       ความคิดเห็นที่ 54   Last but not least, I believe that it is the translators' job to bridge the 'gap', but if they are so full of their own importance, this 'gap' will eventually becomes much larger and unbridgeable. The translation's root 'translatio' in Latin and 'metaphora' in ancient Greek mean 'to carry across'. If you don't learn how to carry your understanding across the boundary of yourself, then you just translate within yourself, not the other--what's the point to translate then? Translation teaches me to listen to others, that there is more truth beyond yourself, that's why I listen to you, and may I reiterate, I appreciate your originality. There's a grey area out there; it just waits for you to carry yourself across yourself to reach it. This I could say no more. PS. P' Kon Udorn, I'd love to go there but I'm still struggling with this new essay. I'll keep in touch with you. When I rid myself of this burden I will find a chance to see Dorset ka. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 21:37:41 จากคุณ : Sa-idian  - [ 1 ส.ค. 49 21:34:51 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 55   I must praise you for the improvement of you most recent writings -- they are well edited.   I must admit that you have plenty of resources that I don't have.   I engaged in this discourse because I wanted to share my experience in translation teaching with others. I wanted to say how I would teach translation, what kind of problems I expected to encounter and how I would go about finding solutions to such problems. Now, the discourse has turned out to be 'academia' versus 'self-taught translators' and it has no educational value. I don't mind continuing this discourse for the sake of proving your points and my points. However, you are dealing with the issues that are truly irrelvant.   Besides, a few customers and one publisher are pressurizing me into completing my translation assignments.  Therefore, I shall end this discourse to avoid financial crisis. I'm not running away because you have totally convinced me that your courses, textbooks, citations, etc. are more suiperior to my on-the-job expeirence and self-study, but I'm running away to make some money.  How sad! To put it in black and white, I want to say that I'm determined to continue this discourse to prove my points, provided that I have all the necessary means. As I said, you're enjoying unfair advantages over me; you have more time and money.  If you want to prove your points I challenge you to compete with me at the same level.   If this competition takes place, many people such as translators and learners shall reap the benefits.   I cannot compete with you  on pantip due to lack of time and money, not due to lack of expertise.   As I said, 'The proof of the pudding is in the eating.' It is therefore requested that our discourse be advertised publicly in order to seek funding. I hereby challange you to compete with me in the teaching of translation to university students at Master's Degree level.   You can choose a top rank university in Thailand and I shall be pleased to pick a lower rank university.  And we shall see the outcomes.   I am stating that I want to be paid for engagement in this discourse and having your theories and  my on-the-job experience/self-study tested for the benefit of posterity. I hope some university presidents or boards of trustee are reading our threads. แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 23:26:48 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 23:25:33 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 49 23:12:38 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 1 ส.ค. 49 23:08:40 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ความคิดเห็นที่ 56   Ummm If you go back and read all the thread again, you'll see for yourself where the digression started. For my part, I just answered your questions and supplied you with my corpus -- that's all. Actually I didn't improve anything in my writing. I'm just myself. This is not an assignment and I didn't edit anything apart from minor spelling mistakes. (Give me a break! this is Pantip, not a viva exam!) I'm not here to find faults with grammatical issues, nor to assert my superiority complex. I'm not gonna compete with you. I hate the win-lose solution. Why don't you and me colloborate and we all win in the win-win situation? I don't want to get on this train of yours because its destination is reserved for only one winner. I want everybody to win, you win, I win, our students win and the society at large will eventually win. Will the fact that there are losers in the society make you, as a sole winner, feel better? Will the fact that you are superior to the rest of mankind make you a better person? I'm sick of the conversation where people are trying to prove that they are right, they are superior...that's extremely nonsense. There is no clear cut right or wrong in reality, so why should I bother trying to prove myself right all the time? There are many better explanations to things apart from right or wrong, black or white -- the middle way, you might call it. My goal is not to compete with you. I have more important matters to attend to. The world is not a fair place to start with, so why complain about fairness? If I were you, I'd use all my resources to better the society I live in and I'll seek advice from others to help me achieving it. It's so futile listening to just one's own ego and ignore other useful advices. Actually I have submitted the idea for the new international undergraduate course in translation. It will consist of both theories and workshops where I'll invite professional translators to give a talk. One day, when your name is among the top-listed translators, you may also be welcome to present your 'unconventional' approaches to translation. Hope it is not a too-long wait! แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 00:19:15 จากคุณ : Sa-idian  - [ 2 ส.ค. 49 00:12:32 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 57   You must have missed all of my points.  Follow the threads carefully and you would see that nymph_1155  began the discussion by saying she wanted to be a translator and she was looking for a place to study.   I recommended self-study techniques that I used in the past and gave some rough ideas how I would go about teaching translation.  I thought it would be interesting to hear what teaching techniques university lecturers would use to teach their students.  We could exchange our views. But you came up with many citations that were really irrelevant; they didn't tell readers in a nutshell how effective the courses would be and therefore they had no educational value.   You said: "It's so futile listening to just one's own ego and ignore other useful advices." My response: I could also argue that the citations were put forward to make me listen to your own ego and you were not giving any useful advice. You said: 'Will the fact that there are losers in the society make you, as a sole winner, feel better? Will the fact that you are superior to the rest of mankind make you a better person? I'm sick of the conversation where people are trying to prove that they are right, they are superior...that's extremely nonsense.' My response: You are using a fallacy to mislead people who do not understand logic.   If my teaching techniques and your teaching techniques are put to test in an experiment, the outcomes will help learners and the society win.  Simply because the best techniques shall be applied to teaching translation in the future. I suggested such competition because you did not show any spirit of cooperation in the course of our argument.  But now you're seeking a win-win situation just to make youself look good.  Therefore, I must point out that you are using a fallacy called 'poison the well.' You said: "One day, when your name is among the top-listed translators, you may also be welcome to present your 'unconventional' approaches to translation. Hope it is not a too-long wait! " My response: Don't wait for me because you will wait forever.  You see, I'm about to take up fortune-telling.  I shall soon earn my living as a fortune-teller. แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 13:17:11 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 13:14:10 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 13:09:54 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:37:40 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:34:39 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:32:38 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:29:47 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:28:46 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 2 ส.ค. 49 12:23:58 ]   ความคิดเห็นที่ 58   ส่งข้อความซ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจจึงลบออก แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 12:27:41 จากคุณ : tansy (iwrite4u)   - [ 2 ส.ค. 49 12:26:10 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ความคิดเห็นที่ 59   Ok, I've finally got the conclusion to this. You have totally mixed things up. I came to read Khun Nymph's question and I wanted to give her an advice. But I happened to read your comments which were more eye-catching. I wanted to give you a little suggestion that it would be better to present your ideas in a more standard manner so that a wider public will benefit from it.That's all. If you don't agree with it, then say you have your (valid) reason for doing it. You don't need to accuse the academia for that. But in Rep. 29 you said 'While a Master's Degree or a Doctorate in translation is an impressive academic achievement, it is far from necessary. What counts more than anything else is 'ability.' This can be attained through on-the-job experience and self-study. I find on-the-job experience and self-study more challenging than university's courses; I can express myself far more creatively without being shackled by the inflexible rules laid down by some intructors who often brainwash their students.' And that introduced the debate on self-taught translation and academic translation on the stage. Prior to that, my comments had been nothing but giving comments I thought were useful. Therefore, in order to defend the place I've been dwelling in, I presented to you the counter-arguments of what the academia actually is. That's why I came up with Venuti, and the descriptive school which are very nice examples of the 'unconventional' and open-minded aspect of translation studies in academia. I use Benjamin's 'the task of the translator' to tell you that, what you think you thought up by yourself may have long been thought out by other people. And in this case his idea is more original than yours. And this has nothing to do with my originality, so please don't mess up the point. As I saw you made reference to the unknown Russian translator about the 'les belles infideles' and I thought it is not exactly right as this metaphor is very well-known and it is misleading to quote him alone. It should be properly labeled where it came from, so that if anyone wants to read more about it, they can find the reference conveniently. Then you misread me again on 1920 which I use to argue that the term was introduced a long time ago. But this is also a logical fallacy you have committed because you wanted to use it to serve your unjust comment to accuse the academia of being old-fashioned. Therefore I came up with the examples of softwares and machine translation to counter you accusation. Is this clear? I disagree totally with you on the comment that my citations are irrelevant. If you still don't understand, read the above passage again. I don't want to hear the word 'irrelevant' again because it is an extremely poor reason. And just so you know, I am not using references to make me sound authoritative or to belittle you, there is no need to do so. We are all grown up and doing such things are mere bullying. I use them for a reason. So if anyone who listens to my comments and is interested in the persons I refer to they can google and learn about them easily. Therefore it is wrong to say that my reference has no educational value. If you think I am not hinting collaboration in my arguments, so do you think yours have one? I don't see any point in competition, and I don't think it will lead to a better benefit the society will gain. Why? because there will be a huge rift between your school and mine and we will try to avoid using one another's resource just because of our stupid ego. แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 18:37:08 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 17:58:40 จากคุณ : Sa-idian  - [ 2 ส.ค. 49 17:03:00 ]   ความคิดเห็นที่ 60   Again, I don't need to poison any well to make me look good. I just follow the line of argument and I'm very confident about what I've said. My arguments are proveable and they were introduced for a reason. They just don't come out of nowhere to make me sound intelligent. Anyone who reads them without prejudice will understand. To round it off, the purpose of my initial comments in this kratoo is to suggest to you a more standard outlook of your book. Then you accused the academia for brainwashing translators. Therefore I'm picking up examples to counter your accusation. Any further references are used to counter your ramified arguments. I'm not here to talk about my own opinion to translation, which is off-topic. I have my own approch to translation and am writing a whole book to prove it. I don't want to come up with ten different approches which are supported only by mere intuitions. I hope I have responded to all your arguments, and I think it should be sufficient enough so that you don't have to spare your precious time earning money to answer them again. แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 17:38:59 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 17:31:54 จากคุณ : Sa-idian  - [ 2 ส.ค. 49 17:20:58 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:10:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ความคิดเห็นที่ 61   อ้าว ท่าทางจะจบแล้ว ขอให้เป็น Shanti Shanti Shanti แบบ T.S. Eliot นะครับ เป็นกระทู้ที่สนุกมากครับ ต้องขอบคุณคุณแท่นสีกับคุณ Saฯ ด้วยนะครับ ที่ทำให้คนไม่เคยคอมเมนต์ต้องเผลอมาคอมเมนต์กับเค้าจนได้ จริงๆผมว่าคุณตกลงกันไม่ได้ว่า point of departure ที่เถียงๆกันอยู่นี่มันเริ่มจากตรงไหน ข้างคุณแท่นฯก็ยึดเอาคำถามของคุณ nymph จขกท.เป็นหลัก ถ้าตอบเกินจากคำถามว่าเรียนแปลที่ไหนดี คุณแท่นก็จะว่าไถลออกนอกประเด็น แต่คุณ Saฯ ยึดเอาประเด็นที่มันแตกออกมาแล้ว คือที่เธอเสนอว่าคุณแท่นน่าจะใช้วิธีที่ standard หน่อย แต่คุณแท่นก็ไปจุดประกายต่อตรงเรื่องวงวิชาการกับวงการมืออาชีพ ประเด็นมันก็ขยายเรื่อยๆจนลามใหญ่โตละครับ ถ้าจะเถียงกันตรงนี้ ยังไงก็ไม่จบหรอกครับ แต่ที่ดูที่กระทู้นู้น เห็นคุณแท่นติดใจเรื่อง citation เหลือเกิน ไอ้ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นประเด็นนัก ผมจับได้ว่าอย่างนี้นะครับ ประเด็นแรกคือคุณแท่นว่ามันไม่เกี่ยว แต่คุณ saฯ ก็ตอบมาแล้วว่าที่ยกมาก็เพื่อแย้งประเ็ด็นของคุณ ไม่ได้จู่ๆก็ยกมาเพื่อโชว์พาว (แหม คุณแท่น ไอ้ที่นั่งแก้แกรมม่านี่ก็โชว์พาวใช่ย่อยนะครับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า marvel ใช้อย่างที่คุณบอก ต้องขอขอบคุณด้วย)ประเด็นที่สอง คุณว่ามันไม่มี educational value ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าคุณปล่อยให้คนอ่านเป็นคนตัดสินเองเถอะ ทั้งคู่เลย จะมานั่งคิดแทนคนอ่านผมว่าก็ไงๆอยู่นา เห็นคุณฎรเองท่าจะแอบเชียร์ให้เถียงกันต่อจะได้ความรู้เพิ่ม ผมเองก็ชอบครับ แหมมีคนเอามาป้อนให้ถึงที่ ทำไมจะไม่เอาล่่ะครับ ส่วนคุณจะคิดว่าคุณ saฯ เธอโชว์พาว โชว์ว่าเหนือกว่า อันนี้ใครก็ห้ามคุณคิดไม่ได้ครับ เหมือนกับผมขับเฟอรารี่มาจอดหน้าคุณ แล้วคุณไม่พอใจ เกิดหมั่นไส้ขึ้นมา ถามว่าผมผิดหรือเปล่าครับที่ขวนขวายหาตังค์มาซื้อเฟอฯขับได้ (อันนี้มันฝันลมๆแล้งๆของผมเอง ท่าทางจะเจอข้อหา analogical fallacy) จริงๆใครจะ cite อะไรก็ปล่อยๆไปเถอะครับ เหมือนนางเอกกำลังจะแก้ผ้า กบว.ก็สั่งเซ็นเซอร์ซะงั้น คนดูเซ็ง (โชว์หื่นซะแล้วตรู) ส่วนคุณ saฯ ก็ควรทิ้งนิสัยนักวิจัยลงซักนิสสสนึง คนในพันทิปเค้าคงไม่ได้จะซีเรียสอะไรมากหรอกครับ อีกอย่างคือ เวลาคุณพูดถึง academia นี่คุณเล่นพูดถึงที่อังกฤษลูกเดียว แต่คนอ่านนี่คิดถึงแต่เมืองไทย มันจะเข้าใจกันได้ยังไงล่ะครับ ไม่ดีๆๆๆ ส่วนไอ้เรื่อง competition น่ะนะ ผมก็เห็นด้วยว่าถ้ายิ่งแข่งกันคุณภาพจะยิ่งดี แต่ในความเป็นจริง ผมก็เห็นมาเยอะแล้ว ว่าถ้ามหาลัย A อาจารย์คนนี้ดัง แต่ไม่ถูกกับอาจารย์อีกคนที่มหาลัย B ที่มหาลัย A ก็จะไม่สอนอะไรที่มหาลัย B สอนเลย กลายเป็นเรื่องการเมืองไป ไม่ดีครับ ไม่ดีครับ แต่ถึงถ้าคุณ saฯ จะร่วมมือกับคุณแท่นไม่ได้ นักแปลมืออาชีพยังมีอีกเยอะครับ ผมเองก็หวังจะเห็นวงการนี้มันดีขึ้นเหมือนกัน ก็ดีใจที่เห็นบ้านเมืองเรามีคนเก่งๆ จะได้พัฒนากันเสียที ผมก็เข้ามาฮาๆนะครับ จะได้ลดความตึงเครียดลงบ้าง ตอนนี้กำลังจะย้ายบ้านเลยจะต้องห่างเน็ตไปพักนึง ถ้าได้ไปมหาลัยหรือเน็ตคาเฟ่จะกลับมาอ่านบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณแอ๊ด คุณฎร คุณ ;]ด้วย จากคุณ : alessandro - [ 2 ส.ค. 49 23:36:22 A:81.151.145.227 X: TicketID:124553 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 62   อ้าว ท่าทางจะจบแล้ว ขอให้เป็น Shanti Shanti Shanti แบบ T.S. Eliot นะครับ เป็นกระทู้ที่สนุกมากครับ ต้องขอบคุณคุณแท่นสีกับคุณ Saฯ ด้วยนะครับ ที่ทำให้คนไม่เคยคอมเมนต์ต้องเผลอมาคอมเมนต์กับเค้าจนได้ จริงๆผมว่าคุณตกลงกันไม่ได้ว่า point of departure ที่เถียงๆกันอยู่นี่มันเริ่มจากตรงไหน ข้างคุณแท่นฯก็ยึดเอาคำถามของคุณ nymph จขกท.เป็นหลัก ถ้าตอบเกินจากคำถามว่าเรียนแปลที่ไหนดี คุณแท่นก็จะว่าไถลออกนอกประเด็น แต่คุณ Saฯ ยึดเอาประเด็นที่มันแตกออกมาแล้ว คือที่เธอเสนอว่าคุณแท่นน่าจะใช้วิธีที่ standard หน่อย แต่คุณแท่นก็ไปจุดประกายต่อตรงเรื่องวงวิชาการกับวงการมืออาชีพ ประเด็นมันก็ขยายเรื่อยๆจนลามใหญ่โตละครับ ถ้าจะเถียงกันตรงนี้ ยังไงก็ไม่จบหรอกครับ แต่ที่ดูที่กระทู้นู้น เห็นคุณแท่นติดใจเรื่อง citation เหลือเกิน ไอ้ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นประเด็นนัก ผมจับได้ว่าอย่างนี้นะครับ ประเด็นแรกคือคุณแท่นว่ามันไม่เกี่ยว แต่คุณ saฯ ก็ตอบมาแล้วว่าที่ยกมาก็เพื่อแย้งประเ็ด็นของคุณ ไม่ได้จู่ๆก็ยกมาเพื่อโชว์พาว (แหม คุณแท่น ไอ้ที่นั่งแก้แกรมม่านี่ก็โชว์พาวใช่ย่อยนะครับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า marvel ใช้อย่างที่คุณบอก ต้องขอขอบคุณด้วย)ประเด็นที่สอง คุณว่ามันไม่มี educational value ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าคุณปล่อยให้คนอ่านเป็นคนตัดสินเองเถอะ ทั้งคู่เลย จะมานั่งคิดแทนคนอ่านผมว่าก็ไงๆอยู่นา เห็นคุณฎรเองท่าจะแอบเชียร์ให้เถียงกันต่อจะได้ความรู้เพิ่ม ผมเองก็ชอบครับ แหมมีคนเอามาป้อนให้ถึงที่ ทำไมจะไม่เอาล่่ะครับ ส่วนคุณจะคิดว่าคุณ saฯ เธอโชว์พาว โชว์ว่าเหนือกว่า อันนี้ใครก็ห้ามคุณคิดไม่ได้ครับ เหมือนกับผมขับเฟอรารี่มาจอดหน้าคุณ แล้วคุณไม่พอใจ เกิดหมั่นไส้ขึ้นมา ถามว่าผมผิดหรือเปล่าครับที่ขวนขวายหาตังค์มาซื้อเฟอฯขับได้ (อันนี้มันฝันลมๆแล้งๆของผมเอง ท่าทางจะเจอข้อหา analogical fallacy) จริงๆใครจะ cite อะไรก็ปล่อยๆไปเถอะครับ เหมือนนางเอกกำลังจะแก้ผ้า กบว.ก็สั่งเซ็นเซอร์ซะงั้น คนดูเซ็ง (โชว์หื่นซะแล้วตรู) ส่วนคุณ saฯ ก็ควรทิ้งนิสัยนักวิจัยลงซักนิสสสนึง คนในพันทิปเค้าคงไม่ได้จะซีเรียสอะไรมากหรอกครับ อีกอย่างคือ เวลาคุณพูดถึง academia นี่คุณเล่นพูดถึงที่อังกฤษลูกเดียว แต่คนอ่านนี่คิดถึงแต่เมืองไทย มันจะเข้าใจกันได้ยังไงล่ะครับ ไม่ดีๆๆๆ ส่วนไอ้เรื่อง competition น่ะนะ ผมก็เห็นด้วยว่าถ้ายิ่งแข่งกันคุณภาพจะยิ่งดี แต่ในความเป็นจริง ผมก็เห็นมาเยอะแล้ว ว่าถ้ามหาลัย A อาจารย์คนนี้ดัง แต่ไม่ถูกกับอาจารย์อีกคนที่มหาลัย B ที่มหาลัย A ก็จะไม่สอนอะไรที่มหาลัย B สอนเลย กลายเป็นเรื่องการเมืองไป ไม่ดีครับ ไม่ดีครับ แต่ถึงถ้าคุณ saฯ จะร่วมมือกับคุณแท่นไม่ได้ นักแปลมืออาชีพยังมีอีกเยอะครับ ผมเองก็หวังจะเห็นวงการนี้มันดีขึ้นเหมือนกัน ก็ดีใจที่เห็นบ้านเมืองเรามีคนเก่งๆ จะได้พัฒนากันเสียที ผมก็เข้ามาฮาๆนะครับ จะได้ลดความตึงเครียดลงบ้าง ตอนนี้กำลังจะย้ายบ้านเลยจะต้องห่างเน็ตไปพักนึง ถ้าได้ไปมหาลัยหรือเน็ตคาเฟ่จะกลับมาอ่านบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณแอ๊ด คุณฎร คุณ ;]ด้วย จากคุณ : alessandro - [ 2 ส.ค. 49 23:38:02 A:81.151.145.227 X: TicketID:124553 ]       ความคิดเห็นที่ 63   The end จากคุณ : ฎร - [ 3 ส.ค. 49 22:00:28 A:86.141.89.76 X: TicketID:109703 ]       ความคิดเห็นที่ 64   ขอบคุณ คุณฎรที่มาชักป้าย The End พงกบ่างจะได้ไม่มาเขียนต่อ จากคุณ : * - [ 4 ส.ค. 49 15:03:46 A:58.9.196.142 X: TicketID:105682 ] จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 ส.ค. 49 00:11:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มีการลบกระทู้ในคลังได้ด้วยหรือ? งั้นเอาอีกกระทู้หนึ่ง http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/05/K4389737/K4389737.html จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 29 ส.ค. 49 06:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ คุณ tansy มากค่ะ สำหรับคำแนะนำ ลิงค์ที่ลุงแอ๊ดให้มาหนูเปิดอ่านได้นะคะ อ่านแล้วก็อึ้งพอสมควร และยังเอามาโพสท์ให้ในกระทู้อีก ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณลุงแอ๊ดค่ะ สำหรับลิงค์ wannakam.com  เข้าไปดูแล้วก็เยี่ยมเลยค่ะ มีเยอะมาก คงต้องเริ่มฝึกแปลจากตรงนี้ตามคำแนะนำของลุงแอ๊ด แต่หนูอยากได้คำแนะนำ อีกเรื่องค่ะ อยากให้ช่วยแนะนำ วรรณกรรมต้นภาษา กับ ฉบับแปลไทย จะเอามาศึกษาน่ะค่ะว่าแปลให้ภาษาสวยๆ เป็นอย่างไร ขอบคุณล่วงหน้านะคะ อยากให้ตัวเองเกิดการเรียนรู้และการจดจำดีๆน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 22:22:16 จากคุณ : รักปิดรักเปิด - [ 29 ส.ค. 49 21:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แอบเช้ามาดูอีกรอบ แล้วก้อต้องอึ้ง แบบว่ามันตามมาหลอกหลอนอีกแล้ว ตอนนั่งยังอ่านม่ะเพราะขี้เกียจ (ตอนนี้ก้อยังขี้เกียจอยู่) ก็นะ ษาอังกิดซะกว่าครึ่ง คงขยันอ่านมิไหว แอบนึกใจใน ... ปู่แท่นเข้ามาแล้วนี่น้า จะต้องเก็บศพพี่อ้อออกไปไหมหว๋า (หรือว่าเราจะเป็งศพไปก่อนก้อม่ะรุ) แต่ดีใจจัง ยังม่ะลุยใช่ม๊ะค้า ขอนอกเรื่องหน่อยค้า ลุงแอ๊ด เรื่องที่จะถามแกรมม่าขอไปเรียบเรียงสักกะหลายๆ วันก่อนได้ป่าวคะ พี่อ้อ นู๋ก้ออนเอ็มไว้ (เกือบ) ตลอดอ่ะ แต่ม่ะค่อยอยู่หรอก _/l\_ เรียกมาไม่ได้ตอบกลับไปเยย >____< จากคุณ : i_tua_yung - [ 30 ส.ค. 49 01:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เริ่มต้นด้วยงานนี้ก่อนเป็นไรครับ ผลงานแปลสุดยอดภาษาวิจิตมลังเมลืองอลังการของ เสฐียรโกเศส-นาคะประทีป อ่านฉบับภาษาไทยนี้ก่อน ไม่เหลือกลิ่นเนยกลิ่นขนมปังเลย ทั้งที่แปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษ http://www.khonnaruk.com/html/book/liturature/kamanita/kamanita-index.html ผมไปเจอเว็บ http://www.suphawut.com ซึ่งกำลังจัดทำ e-text แบบสองภาษาให้เทียบเลยครับ ระหว่างฉบับภาษาอังกฤษ-ไทย ตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้าเสร็จคงน่าอ่านมากเพราะว่าจะมีการนำ Rubaiyat ของ Omar Khayyam มาขึ้นด้วยทั้งฉบับอังกฤษ-ไทย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 30 ส.ค. 49 17:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและลิงค์ดีๆค่ะลุงแอ๊ด ไปเที่ยวไหนเจอเว็บอะไรก็เก็บมาฝากที่นี่ด้วยนะคะ หนูจะตามเก็บทุกเม็ดเลยค่ะ น้องเตยก็ไม่เป็นไรหรอกจ้า รู้ว่ายุ่งอยู่ (ยุ่งอะไรไม่รู้นะ อิอิ) แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 22:53:44 จากคุณ : รักปิดรักเปิด - [ 31 ส.ค. 49 22:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 39 The Grand Palace and the Suphannahongsa Royal Barge along the Chao Phraya river Bangkok, Thailnd วลีต้น ที่ได้มา พระบรมมหาราชวังและเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ บนแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้ along ได้มั้ยคะ  เห็นในอินเตอร์เน็ตมีใช้คำนี้ค่ะ ผิดถูกรบกวนด้วยนะคะ หรือ ถ้าให้กระชับและสวยๆ ต้องแบบไหนคะ เอาไปตั้งชื่อชุดภาพค่ะ เน้น พระบรมมหาราชวัง และ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในแม่น้ำเจ้าพระยา มีวังเป็นฉาก (โดยประมาณ) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 49 23:37:43 จากคุณ : รักปิดรักเปิด - [ 21 ก.ย. 49 23:25:53 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ได้ครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 22 ก.ย. 49 00:11:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 โห กระทู้นี้ไม่ยอมหายไปไหน งั้นจิ้มไว้ก่อน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 22 ต.ค. 49 10:31:54 ]