ความคิดเห็นที่ 1 อ.สุริยา ... ที่ Direct English สาขาสีลม ตึก CP ชั้น 3 ครับ บริหารงานโดย The Nation จากคุณ : ฐิตกามาคุโณ - [ 26 ส.ค. 49 21:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ฝากคอลัมน์ภาษาอังกฤษไว้ให้อ่านครับ คะเเนนไอเอ้ลส ได้ดีหรือเปล่าครับ การปุพื้นฐานใหม่ อาจไม่ง่ายดังใจนัก เเต่ถ้าตั้งใจ จะช่วยคุรเเละผุ้สอนได้มาก เเละที่สำคัญหลัง class คุณต้องทบทวน เเละหลังจากจบ course คุณต้องอ่านเยอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ต้องต่อยอดภาษาคุณ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4518615/K4518615.html จากคุณ : tonmelb - [ 27 ส.ค. 49 00:45:55 A:203.209.121.199 X: TicketID:054700 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แนะนำที่ Fast English ครับ โดย ดร.บุญชัย มี 2 สาขาครับ อาจารย์สอนเองด้วยสิครับ ที่ Silom 02 631 22 88 ที่ Central Ladplao 02 937 21 21 จากคุณ : kuri - [ 27 ส.ค. 49 12:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งที่น่าเศร้าก็คือว่า คนไทยหลายๆคนเข้าใจผิด หลงคิดว่าที่พูดหรือเขียนภาษาอังกฤษผิดนั้น เป็นเพราะไม่รู้ไวยากรณ์........... ความจริงในเรื่องนี้มีอยู่ว่า คนไทยหลายๆคนเข้าใจผิดคิดว่าถ้าไปเรียนกฎไวยากรณ์หลายๆร้อย หลายๆพันข้อ ภายในพริบตาเดียว หรือภายในเวลาหลายๆปี แล้วท่องศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นตัวโดดๆ หมดทั้ง dictionary (อังกฤษเป็นไทย) แล้วจะใช้ภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง ..... คำตอบก็คือว่า "ไม่ใช่" เพราะอะไร เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่เรียนเหมือนภาษาจีนกลาง ภาษาจีนแค่เรียนตัวออกเสียง ถัดไปก็เปิด dictionaries ให้เป็น แล้วเอาคำคุณศัพท์ไปไว้หน้าคำนาม (สลับกับภาษาไทย) แล้วเอาคำมาเรียงลำดับคล้ายๆไวยากรณ์ไทย คนจีนก็ฟังหรืออ่านข้อความภาษาจีนของคุณรู้เรื่องแล้ว ....... แต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่เฃ่นนั้น .......ไวยากรณ์อังกฤษมีความมหัศจรรย์มากสุดๆ ....... การที่ผู้เรียนจะรู้ไวยากรณ์จนแตกฉานได้นั้น ผู้เรียนจะต้อง "สนทนาเป็น" นั่นก็คือ "ฟังเจ้าของภาษาพูดรู้เรื่อง" แล้ว "พูดตามได้" .........จากนั้นไวยากรณ์มันจะซึมเข้าไปเอง ............. พอเริ่มอ่านหนังสือจากง่ายไปหายาก แล้วหัดจำเอาสิ่งที่ตัวเองอ่านมาหัดเขียน แล้ว ตอนนั้น ก็อ่านหนังสือรู้เรื่องแล้ว ถ้าไปเรียนไวยากรณ์เจาะลึก (เรียนกฎเป็นข้อๆ) ก็จะมีประโยชน์ (แต่ถ้าเรียนหลายกฎตอนยังฟังไม่ได้ พูดไม่ได้ กลายเป็น "ไม่มีประโยชน์") ไปดู link ข้างล่างนี้ แล้วจะเห็นว่า ศัพท์ ภาษาอังกฤษ แต่ละตัว ต้อง "นำไปรวมกลุ่มกับศัพท์ตัวอื่น แล้วความหมายจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ" http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&blog=1 แล้วตาม ไปดู list ศัพท์พื้นฐาน 3000 คำที่คุณต้องเรียนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้ที่นี่ http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/oxford_3000_list?cc=th นี่เป็นศัพท์อีก 250 คำที่ใช้ในวิชา Arts http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/arts?cc=th นี่เป็นศัพท์อีก 250 คำที่ใช้ในวิชา Science http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/science?cc=th นี้เป็นศัพท์อีก 250 คำที่ใช้ใน Business and Finance http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/oxford_3000/business_and_finance?cc=th แล้วต้องตระหนักว่า .........ศัพท์พื้นฐานเหล่านี้นะ .......รวมๆกันคงเฉียดๆ 4,000 คำ.......เวลาใช้สร้างประโยค ไม่ว่าจะเป็นพูดหรือเขียน มันต้องใช้รวมกลุ่มกับคำศัพท์อื่นๆ เป็นชุดๆ คล้ายๆกับที่เรายกตัวอย่างประโยควิธีใช้คำว่า account สร้างประโยคในน link ข้างบนคือ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&blog=1 ในเมื่อภาษาอังกฤษมันต่างกับภาษาจีนกลางเช่นนี้ ดังนั้นเราจึงสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. เรียนภาษาจีนกลางคำศัพท์ 4,000 คำ คุณจะแปลได้ เข้าใจได้ พูดได้ เขียนได้ หมดทั้ง 4,000 คำ เนื่องจากว่า การเอาคำศัพท์ตัวหนึ่งไปจับกลุ่มกับคำศัพท์ตัวอื่นๆแล้วความหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆนั้น ในภาษาจีน มีแต่เฉพาะภาษาวรรณกรรมยากๆเท่านั้น 2. เรียนภาษาอังกฤษคำศัพท์ 4,000 คำ คุณแปลไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ หมดทั้ง 4,000 คำ เนื่องจากว่า คำศัพท์ตัวหนึ่งไปจับกลุ่มกับคำศัพท์ตัวอื่นๆแล้วความหมายเปลี่ยไปเรื่อยๆ ถ้าคำนวณตามความน่าจะเป็นไปได้ อาจออกมาเท่ากับต้องเรียนรูปประโยคตัวอย่างหลายล้านประโยค ........ 3. ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของโลกก็เพราะว่า อังกฤษกับอเมริกาชนะสงครามโลก ไม่ใช่เพราะว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เรียนง่าย ดังนั้น เราขอยืนยันจากประสบการณ์ตัวเองว่า ต่อให้คุณเรียนไวยากรณ์อังกฤษครบทุกกฎ แต่ถ้าคุณฟังไม่รู้เรื่อง พูดตามเจ้าของภาษาไม่ได้ คุณเรียนไวยากรณ์แม่นแค่ไหน คุณก็จะประสบความล้มเหลวในการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ดีนั่นแหละ ........... นั่นก็เป็นเพราะว่า ไวยากรณ์อังกฤษ มันต้องมากับ collocations คือการนำคำศัพท์ตัวหนึ่งไปรวมก้บคำศัพท์ตัวอื่นๆอีกหลายๆตัว แล้วความเหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ..... และไวยากรณ์ต้องมาจากการคิดเป้นภาษาอังกฤษได้เหมือนเป็นภาษาของตนเองโดยธรรมชาติ ซึ่งทักษะนี้จะได้จากการเรียนสนทนาจนคล่องเท่านั้น การฟังรู้เรื่องและพูดตามเจ้าของภาษาได้ จะทำให้คุณได้พื้นฐานไวยากรณ์ไปเกิน 50% แล้ว ......และไวยากรณ์ส่วนที่เหลือที่คุณยังใช้ผิดๆอยู่นั้น  คุณค่อยๆแก้ไขได้  โดยการที่เมื่อคุณอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้แล้ว คุณก็ไปอ่านหนังสือไวยากรณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเขียนไว้ และศึกษาดูได้ ....... (ซึ่งดีกว่าไปเรียนโรงเรียนติว) ............ แต่ถ้าเมื่อแรกเริ่ม คุณไปเรียนเจาะลึกไวยากรณ์ คุณจะประสบความล้มเหลว ในทุกทักษะ ......สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง .......นั่นก็คือว่าเราเคยเรียนแต่ไวยากรณ์ล้วนๆในห้องเรียน แล้วท่องศํพท์เป็นคำโดดๆ เพราะหลงผิดคิดว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เอาไปเรียงๆกันแล้วสร้างประโยคได้ง่ายๆเหมือนภาษาจีนกลาง หรือภาษาไทย ......เรียนๆไปแล้ว เราไม่ได้ทักษะอะไรเลย นั่นก็คือ ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พูดก็ไม่รู้เรื่อง อ่านก็ไม่รู้เรื่อง และเขียนก็ไม่ได้ .......... ตอนจบ วิธีแก้ไขก็คือ เราเลิกเรียนในห้องเรียน แต่ออกไปพบกับฝรั่งในชีวิตจริง สนทนากัน หัดฟัง หัดพูด....แล้วค่อยๆหัดอ่านจากง่ายไปหายาก แล้วจำสิ่งที่เราอ่านเจอมาหัดเขียน...... เรียนๆไปแบบนี้นะ ภาษาอังกฤษเราก็กระเตื้องขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ตอนนี้ก็พอใช้งานได้บ้างพอสมควร............. นี่คือประสบการณ์จากชีวิตจริงในการเรียนภาษาอังกฤษที่เราถ่ายทอดให้นะ ........ สรุป คุณไปเรียนไวยากรณ์เป็นข้อๆ ......ต่อให้เรียน 5,000 ข้อ ถ้าคุณฟังไม่รู้เรื่อง และพูดภาษาในชีวิตประจำวันไม่ได้ ...........คุณก็จะประสบความล้มเหลวในทุกทักษะ ........... นั่นก็คือว่า การท่องกฎไวยากรณ์เป็นข้อๆ ไม่ใช่วิธีลัดในการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ใช่อย่างที่โรงเรียนสอนภาษาทั้งหลายโฆษณาชวนเชื่อ....... แค่ดู collocations ของคำศัพท์ 4,000 คำ ที่พอจับรวมกลุ่มกับศัพท์ตัวอื่น แล้วความหมายมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ..นับล้านๆความเป็นไปได้......โรงเรียนติวที่ไหนจะสอนนคุณได้ภายใน 2-3เดือน ........... คุณจะเรียนได้คุณต้องฟังรู้เรื่องแล้วพูดได้ แล้วหัดเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษที่มีตัวอย่างการนำคำศัพท์มาใช้สร้างประโยค (ซึ่งใช้เวลาหลายปี) ไม่ใช่ไปติว grammar 2-3 เดือน........... ผู้เรียนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงเหล่านี้ สร้างความร่ำรวยให้แก่โรงเรียนสอนภาษา ที่หลอกว่า เรียนไวยากรณ์กี่ข้อ กี่ข้อ แล้วจะใช้ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องหมด .........ลองไปเรียนดู แล้วไปเขียนอะไรให้ฝรั่งอ่าน แล้วถามดูว่า "มีตรงไหนเพี้ยนไหม" แล้วคุณจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 19:30:24 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ส.ค. 49 06:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สงวนงัย เรียนมาแล้ว gramma ดีขึ้นเยอะ เหมาะกับคนที่เตรียมตัวสอบ แต่เรียนจบ ไม่ได้ใช้ก็ลืมอยู่ดีจ๊ะ จากคุณ : cooly (very cool) - [ 29 ส.ค. 49 15:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านคห4 มึน เลย ตกลง ตอนแรกก็บอกว่าไวยกรณืไม่จำเป็น ตอนหลังบอกจำเป็นแต่ต้องรู้โคโลเคฉัน อะไรเนี่ย โอ้ย งง บอกตรงๆนะ ไปเรียนที่ FE ขอร้องเหอะ อย่าบ้าจี้ตามอาจารย์เลยว่าต้องลงแกรมม่า โดนหลอกให้เสียเงินเป็นหมื่นๆ คือ เรียนไปยังไง คุณไม่นำมาพูดมาเขียนมันก็ไม่ได้ เราคนนึงนะ เกลียดวิธีการนี้มาก มาบอกว่า ชาตินี้คุณไม่มีวันพูดอังกฤษได้ถ้าคุณไม่มีแกรมม่าผม บ้า อ้อ เตือนเด็ก FE ด้วยว่า เรียนนะ อย่าเชื่ออาจารย์หมดนะจ๊ะ เดี๋ยวพ่อแม่จะจนสะก่อน แต่อาจารย์จะรวย จากคุณ : กาก้า - [ 31 ส.ค. 49 15:01:20 A:10.0.0.55 X:202.29.39.1 TicketID:125666 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จริงๆแล่วใน #4 เราไม่เคยพูดว่า "ไวยกรณืไม่จำเป็น" แต่เราบอกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มหัศจรรย์มากๆตรงที่ว่าใครฟังรู้เรื่องและพูดตามได้จนคล่อง ..ในขณะเรียน collocations ไปด้วย......ความรู้ไวยากรณ์มันจะซึมเข้าไปเอง  ต่างหากล่ะ เมื่อเรียนรู้ศัพท์พื่นฐานในชีวิตประจำวันพอฟังได้และพอพูดได้ (ซึ่งไวยากรณ์ก็เรียนไปโดยซึมเข้าไปในระบบสมองเองโดยธรรมชาติ) พอได้ถึงระดับนั้นแล้ว ผู้เรียนจะมีทักษะพร้อมที่จะเริ่มอ่านจากง่ายไปหายาก และนำสิ่งที่อ่านได้ไปเขียน (โดยอาศัยไวยากรณ์ที่เรียนมาโดยธรรมชาติกับ collocations ที่ค่อยๆจำสะสมมาวันละนิดวันละหน่อย) ....... เมื่อผู้เรียนพัฒนาความรู้มาถึงระดับนี้แล้ว หากเขาต้องการที่จะเรียนไวยากรณ์แบบเจาะลึก เขาก็จะยิ่งได้ประโยชน์ ......... และเขาจะเรียนไวยากรณ์ระดับยากๆได้เองโดยการไปซื้อหนังสือไวยากรณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเขียนไว้ แล้วเอามาอ่านเอง โดยไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนติวไวยากรณ์ด่วนๆ....... นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจจะพูดต่างหาก ภาษาเป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่จะเรียนด่วนๆได้โดยการ "ไปติวไวยากรณ์ด่วนๆ แล้วเกิดความเชี่ยวชาญขึ้นมาอย่างฉับพลัน"   ความเชี่ยวชาญทางด้านภาษามันเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาสะสมหลายๆปี  ไม่ใช่ไปเรียนบทเรียนด่วนๆแบบเข้าคิวรอซื้อ fast food กิน.......... วิธีการสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด ก็คือสอนทักษะการ ฟัง พูด อ่าน เขียน ในระดับพื้นฐาน  เพื่อปูทางให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพอันพร้อมที่จะไปหาความรู้ใส่ตัวได้ด้วยตัวเองในอนาคตโดยไม่มีอาจารย์   มิใช่สอนโดยการติวไวยากรณ์ด่วนๆ .......... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 19:16:16 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 19:14:30 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 19:13:24 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 19:06:57 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ส.ค. 49 18:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อันที่จริงแล้วมันมีแบบเรียนภาษาอังกฤษที่มาจากต่างประเทศที่ดีมากๆอยู่หลายชนิด  ......... ชนิดที่ดีเยี่ยมจะมีเทปหรือ CD ให้ฟัง แล้วให้นักเรียนพูดตาม แล้วเอาประโยคที่ฟังและพูดนั้นไปสร้างประโยคพลิกแพลง (improvisation) อย่างอื่น  และเพื่อจับคู่สนทนากัน (pair work)  แล้วมีเรื่องให้อ่าน แล้วให้นำไปหัดเขียน ........ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบ active มากๆ และครบวงจรเลยทีเดียว  (ซึ่งดีกว่าเรียนไวยากรณ์เจาะลึกอย่างเดียวแต่ไม่ได้ทักษะอื่นๆ)   ในการเรียนการสอนแบบครบวงจรเช่นนี้ ผู้เรียนจะได้ลงมือทำกิจกรรมจริงๆ  ไม่ใช่ได้แต่นั่งฟังแล้วจดลูกเดียว แล้วเอาไปท่องแบบ ไม่ได้หัดคิดหัดทำ  ไม่ได้หัดนำไปใช้งาน ไม่ได้หัดลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ติวเตอร์ที่จะใช้ระบบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จะต้องมีแนวคิดพลิกแพลงในการสอนภาษาอังกฤษ  คอยหมั่นศึกษาหาวิธีการใหม่ๆอยู่เสมอ .......... แต่ถึงรู้วิธี และถึงทำได้.....มัน ironical มากๆ คล้ายๆตาบอดได้แว่นหรือขาด้วนได้รองเท้า  นั่นก็เพราะว่า  การสอนแบบนี้  ถึงจะได้ผลมากกว่า และเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนมากกว่า  แต่ทว่าติวเตอร์ส่วนใหญ่กลับจะชอบการสอนแล้วให้นักเรียนนั่งจด  ....ซึ่งเป็น.....passive learning เสียมากกว่า เพราะอะไร  เหตุผลก็คือว่า เตรียมการสอนง่าย  ใช้ sheets  เดิมๆแจก นักเรียนรุ่นหนึ่ง และใช้มันแจกนักเรียนรุ่นต่อๆไปได้สบายๆ  ไม่ต้องออกแรงมากนัก  (ดังที่มีคนถามหาว่าจะซื้อ sheets ไวยากรณ์ด่วนได้ที่ไหนบ้าง กันเกร่อทั้ง pantip) การที่ติวเตอร์พูดไปเรื่อยๆแล้วให้นักเรียนจดไปเรื่อยๆนั้น .........สามารถสอนนักเรียนได้ทีละหลายๆคน  บางทีติวทีหนึ่งมีคนเรียน 50 -300 คน (ใช้ไมค์กับลำโพงกระจายเสียงต่อเข้าไปในห้องสอนหลายๆห้องก็เคยมีทำกัน) การสอนเพื่อให้นักเรียนเรียนแบบ passive learning นี้ทำเงินให้กับติวเตอร์ได้เป็นจำนวนมหาศาล  ซึ่งทำให้ติวเตอร์สามารถตีทุนคืนได้จากการที่ต้องลงทุนในการเช่าสถานที่ซึ่งมีราคาแพงมากๆในย่านธุรกิจ .......และทำกำไรมหาศาลถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีได้ภายในพริบตาเดียวกัน..... ธุรกิจแบบนี้เฟื่องฟูมากๆ เนื่องจากผู้เรียนส่วนใหญ่เข้าใจว่า "มีวิธีลัดในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" นั่นเอง ดังนั้น ในการหาที่เรียน ผู้เรียนควรหาทางหนีทีไล่ให้ดีๆ ...... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 22:29:35 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ส.ค. 49 22:24:50 ]