ความคิดเห็นที่ 2
เมื่อผมได้พูดถึง พระเจ้าเหา ในรายการ ภาษาของเรา มา ๒ ๓ ครั้ง รวมทั้งคราวที่แล้วด้วย และได้ไปบรรยายในที่หลายแห่ง ก็ได้พูดถึง พระเจ้าเหา ซึ่งผมเคยสงสัยมานานว่าจะเป็นเรื่องที่เราพูดกันเล่น ๆ หรือว่าเป็นบุคคลจริง ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังหาที่มาไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อ ๕ ปี ที่แล้วมานี้ ผมได้ไปซื้อหนังสือ ประวัติการสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยกับชาติจีนที่ ท่านลิขิต ฮุนตระกูล เป็นผู้แปลและเรียบเรียงจากเอกสารที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพงศาวดารจีน ผมก็พบว่า คำนำที่ท่านเขียนไว้นับว่ามีสาระประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผมมีความรู้สึกสว่างไสวขึ้นในจิตใจ เมื่อผมได้นำเรื่องนี้มาพูดและมาเขียน ก็ปรากฏว่ามีผู้สนใจสอบถามไปมาก และอยากจะทราบเรื่องนี้เพิ่มเติม ผมจึงขออนุญาตนำ คำนำ ที่ท่านลิขิต ฮุนตระกูล เขียนไว้ในหนังสือดังกล่าวตอนหนึ่งมาเสนอท่านผู้อ่านผู้ฟังดังนี้ ในที่สุด ข้าพเจ้าก็พบหลักฐานในหนังสือจีนกล่าวว่า ชนชาติไทยกับจีนก็ได้ก่อสร้างตนมาตั้งแต่เริ่มต้นพงศาวดารจีน ฉะนั้น หนังสือประวัติศาสตร์การสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยและจีนเล่มนี้ จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องนำเหตุการณ์ และศักราชแห่งพงศาวดารจีนมาเป็นแนวทางเรียบเรียง เพื่อให้ผู้อ่านจะได้มีโอกาสตรวจสอบได้สะดวกในพงศาวดารจีน มีข้อความปรากฏดังต่อไปนี้ คือ :- ( ก ) พระเจ้าเสียวเหา ( หรือพระเจ้าเหาน้อย ไทยเรียก พระเจ้าเหา ) กษัตริย์องค์ที่ ๒ ในพงศาวดารจีนครองราชย์ระหว่าง ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๘๗๑ ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้นตระกูลของชนชาวไทย ไทย ซึ่งลูกหลานในภายหลังได้กลายเป็นชาวดอยไปในมณฑล ฮูนาน กวางตุ้ง กวางสี กุยจิว เสฉวน และหยุนนาน ซึ่งชนจีนได้พบชาวดอยนี้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น จากข้อความตอนนี้ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเสียวเหา หรือ พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยนั้น จีนได้ยอมรับนับถือว่าเป็นกษัตริย์ในพงศาวดารของจีน ปัญหาก็อยู่ที่ว่า แล้วกษัตริย์องค์แรกของจีนคือใคร หนังสือเล่มดังกล่าวนั้นว่าได้แก่พระเจ้าหว่างตี่ ( ๒๑๕๔ ปีก่อน พ.ศ. ) เมื่อจีนได้อพยพเข้ามาสุ่ดินแดนที่เป็นประเทศจีนทุกวันนี้ ดินแดนนี้คงเป็นดินแดนที่คนไทยได้เคยครอบครองอยู่ก่อน ดังที่ เอเวิร์ด เอช. ชาเฟอร์ ( Edward H. Schafer ) ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จีนโบราณ ( Ancient China ) ตอนหนึ่งว่า อารยธรรมจีนในส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจ และจินตนาการส่วนมากซึ่งพวกเราในปัจจุบันนี้คิดว่าเป็นแบบจีนนั้น ความจริงได้กำเนิดมาจากประชาชนคนไทยเดิมทางใต้ จากประชาชนชาวทิเบตเดิมทางตะวันตก และจากประชาชนชาวมองโกเลียนเดิมทางเหนือ จากข้อเขียนของซาเฟอร์นี้ แสดงว่าก่อนที่จีนจะเข้ามาครอบครองดินแดนที่เป็นประเทศจีนในบัดนี้ เดิมดินแดนนี้ได้มีชนเผ่าต่าง ๆ ที่ทรงอำนาจปกครองอยู่อย่างน้อยก็ ๓ เผ่า ด้วยกัน คือ ไทย ทิเบต และมองโกเลียน และชนทั้ง ๓ เผ่านี้คงปกครองดินแดนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จนกระทั่งมีวัฒนธรรมและอารยธรรมสูง ถึงขนาดที่เมื่อคนจีนได้อพยพเข้ามาอาศัยต้องรับวัฒนธรรมและอารยธรรมเหล่านั้น โดยเฉพาะอารยธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจซึ่งแสดงให้เห็นว่าชนเผ่าต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีที่ดีงามอยู่ก่อนแล้ว และถ้าหากไม่ดีกว่าของจีน จีนคงไม่ยอมรับนับถือแน่ และในบรรดาชนทั้ง ๓ เผ่าที่ปกครองดินแดนนี้ คนไทยคงจะเป็นเผ่าที่มีอำนาจมีอิทธิพลมากที่สุด ชาวจีนจึงได้ยอมรับนับถือ พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยให้เป็นกษัตริย์จีนด้วย คงจะทำนองเดียวกับเมื่อไทยได้อพยพเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นสุโขทัยเดี๋ยวนี้ เดิมก็เป็นดินแดนที่อยู่ในอำนาจของขอมมาก่อนเมื่อเรามาอยู่ใหม่ ๆ เราก็ต้องยอมรับอำนาจของขอมไปก่อน แต่เมื่อเราปีกกล้าขาแข็ง มีอำนาจมีอิทธิพลมากขึ้น เราก็ยึดอำนาจจากขอมได้ และตั้งตัวเป็นเอกราช แล้วในที่สุดขอมก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเราข้อนี้ฉันใด จีนกับไทยก็ฉันนั้น การที่เรามีกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า เสียวเหา ซึ่งแปลว่า เหาน้อย นั้นย่อมแสดงว่าต้องมีกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า เหาใหญ่ ซึ่งอาจเป็นพ่อหรือพี่ของพระเจ้าเสียวเหาหรือเหาน้อยก็ได้ เช่นเดียวกับในภาษาบาลีก็มี มหา กับ จุล ถ้าเป็นคนพี่ก็มี มหา นำหน้า เป็นน้องก็ใช้ จุล นำหน้า เช่น มหากาลจุลกาล มหาปันถก จุลปันถก หรืออย่างฝรั่งก็มี senior กับ junior คำว่า junior ก็คล้าย ๆ กับ จุล นั่นเอง แต่เขามักใช้เรียกคนที่เป็นลูก เช่น Tom junior ก็คือทอมซึ่งเป็นลูก ไทยเราก็นำมาประยุกต์ใช้ เช่น รัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็คือ จอมจูเนียร์ นั่นเอง หรือ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ พระโอรสของพระองค์ก็คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ก็คือ จักรพงศ์จูเนียร์นั่นเอง ถ้าหากพระเจ้าเสียวเหาหรือเหาน้อย เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒ ของจีน ก็แสดงว่าก่อนหน้าพระเจ้าเสียวเหา หรือพระเจ้าเหาน้อยนี้ จะต้องมีกษัตริย์องค์อื่น ๆ อีก รวมทั้งพระเจ้าเหาใหญ่ด้วย คำว่า เหา นี้ คงจะตรงกับ พระเจ้าเหยา ซึ่งเขียนเป็นอักษรโรมันว่า Yao แต่คำว่า Yao นี้ เมื่อผมแปลหนังสือชุด บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน ให้ราชบัณฑิตยสถาน ผมถอดออกมาเป็น เหยา เวลาส่งไปให้ คุณหมอตันม่อเซี้ยง ตรวจเกี่ยวกับชื่อภาษาจีน ท่านได้แก้เป็น เอี่ยว เพราะตัว Y อาจเป็นตัว ย หรือตรงกับ I ก้อได้ ถ้า Y ตรงกับ I ดังนั้น Iao ก็ต้องถอดเป็น เอี่ยว ครับ นอกจากนั้น ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ยังได้เขียนถึงกษัตริย์ที่ถัดจาก พระเจ้าเหา หรือ พระเจ้าเหยา หรือ เอี่ยว อีก ๒ องค์ ดังนี้ ( ข ) พระบรมศพของพระเจ้าซุ่น อันดับราชวงศ์ที่ ๓ ครองราชย์ระหว่าง ๑,๗๑๒ ถึง ๑,๖๖๓ ปีก่อนพุทธศักราช ได้สวรรคตและทำฮวงซุ้ยไว้ ณ ภูเขากิวหยีซาน ใต้เมืองเพ่งย้วน ปลายเขตมณฑลฮูนาน ติดภาคเหนือมณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้งในปัจจุบันนี้ คือ อยู่ ณ ดินแดนภาคใต้แม่น้ำยางจือเกียง ( ค ) พระบรมศพ พระเจ้าหยู อันดับราชวงศ์ที่ ๔ ครองราชย์ระหว่าง ๑,๖๖๒ ถึง ๑,๖๕๕ ปีก่อนพุทธศักราช ได้สวรรคต ณ ฝั่งใต้แม่น้ำยางจือเกียงเหมือนกัน และทำฮวงซุ้ย ไว้ ณ ภูเขาห้วยจิซาน แห่งเมืองเจียงเฮง มณฑลจิเกียง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดทะเลจีน พระบรมศพพระเจ้าซุ่น กับพระเจ้าหยู ยังมีร่องรอยอยู่จนทุกวันนี้ คำว่าพระเจ้า ซุ่น และ หยู ในภาษาจีนนี้ อาจเป็นชื่อไทย ๆ ว่า ชวน หรือ อยู่ ก็ได้ แต่จีนได้ออกเสียงเพี้ยนไปเป็น ซุ่น และ หยู ในตอนสุดท้าย ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ได้เขียนไว้ว่า ข้าพเจ้าขอแสดงความนับถือ และเคารพท่านผู้ที่ได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเรื่องชาติไทยต่าง ๆ ที่ได้อุตส่าห์พยายามไปด้วยตนเอง ตรวจค้นหาเรื่องชาติไทยโบราณและมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ชาติไทยเป็นชาติโบราณก่าแก่มาก ได้ตั้งรกรากเป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่ในดินแดนภาคเหนือและภาคใต้แม่น้ำยางจือเกียงแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นกรณีแวดล้อมนำมาถึงผลสุดท้ายให้ข้าพเจ้าคิดเห็นและเข้าใจเอาว่า ท่านผู้แต่งหนังสือเหล่านั้นคงจะได้พบหลักฐานเท่าที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบมานี้ก่อนหน้าข้าพเจ้า จากหนังสือประวัติศาสตร์จีน หนังสือพงศาวดารจีน และหนังสือบันทึกเหตุการณ์โบราณของจีนอื่น ๆ มาแล้ว จึงได้รู้เรื่องชาติไทยชัดแจ้งหนักหนา แต่ไฉนจึงไม่เขียนเรื่องของชาติไทยอย่างละเอียดกว้างขวางยิ่งกว่านี้ เพราะหลักธรรมดามีอยู่ว่า ถ้าไม่ทราบเรื่องพิศดารแล้วจะย่อเรื่องได้อย่างไร ? จากความเห็นของ ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ก็พอสรุปได้ว่า ชาติไทยเคยเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาก่อนจีน แต่ที่เราต้องอพยพหนีลงมาทางใต้นั้นคงไม่ใช่ว่าจีนเก่งกว่าไทย แต่อาจเป็นเพราะคนจีนมีจำนวนมากกว่าไทย เราสู้ในด้านกำลังคนไม่ได้จึงต้องถอยร่นลงมา คนไทยบางพวกที่เห็นว่าจีนมีอำนาจขึ้นมา ก็อาจประจบประแจงจีน แต่งตัวแบบจีน พูดภาษาจีน เหยียดภาษาไทยลงไป ในที่สุดก็ถูกจีนกลืนหมด เพราะเมื่อคนไทยพูดไทยไม่ได้แถมพูดแต่ภาษาจีน แต่งกายแบบจีน และอาจแต่งงานกับคนจีนด้วย ในที่สุดก็ถูกกลืนเป็นจีนไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนพวกที่ยังรักความเป็นไทย ทะนงในศักดิ์ศรีของความเป็นไทย เพราะไทยมีวัฒนธรรมและอารยธรรมสูงส่งกว่าจีน ไม่ยอมประจบประแจงจีน ไม่ยอมโอนอ่อนให้จีน ก็ต้องหลบหนีไปอยู่ตามป่าตามภูเขา ตั้งตัวเป็นอิสระ คอยรบพุ่งกับจีนเมื่อมีโอกาส บางครั้งก็สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ ยังรักวัฒนธรรมไทย ยังแต่งตัวแบบไทย และยังพูดภาษาไทยอยู่ พวกนี้จึงยังคงความเป็นไทยได้ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ปรากฏว่าเวลานี้ยังมีคนไทยที่พูดไทย ภาคภูมิใจในความเป็นไทยของตน อยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศจีน ปัจจุบันอีกหลายสิบล้านคน ดังที่ทราบกันอยู่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เวลาคนสำคัญ ๆ ของไทยไปเยือนเมืองจีน โดยเฉพาะ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ไปเยี่ยมเยียนคนไทยที่นั่น และได้รับการต้อนรับขับสู้จากคนไทยที่นั่นอย่างคับคั่งและทำให้บรรยากาศคล้าย ๆ อยู่ในท่ามกลางแห่งญาติสนิทมิตรสหายที่มีความรักความสนิทสนมกันอย่างแน่นแฟ้น นอกจากนั้น ในหน้า ๑๕ ของหนังสือเล่มนี้ ยังได้ให้ คำอธิบายตำแหน่ง ไทย ที่ปรากฏในพงศาวดารจีนอยู่หลายตำแหน่ง คือ ๑. จงไทย เสนาบดี ยศเป็นพลเอก กับมหาอำมาตย์เอก เป็นตำแหน่งข้าราชการฝ่ายในชั้นสูงสุด ๒. จิไทย อุปราช ยศเป็นพลเอก กับมหาอำมาตย์เอก ว่าราชการ ๒ มณฑล เป็นตำแหน่งฝ่ายนอกชั้นสูงสุด ๓. ตุงไทย ปลัดทูลฉลอง ยศเป็นพลโท กับมหาอำมาตย์โท ๔. ฟูไทย ผู้ว่าราชการมณฑล ยศเป็นพลโท กับมหาอำมาตย์โท ๕. งิดไทย ผู้พิพากษามณฑล ยศเป็นมหาอำมาตย์ตรี ๖. พวนไทย ผู้ว่าการคลังมณฑล ยศเป็นมหาอำมาตย์ตรี ๗. ดิ้นไทย ผู้บัญชาการทหารมณฑล ยศเป็นพลตรี ๘. เตาไทย ข้าหลวงภาค ยศเป็นพันเอก กับอำมาตย์เอก ว่าราชการ ๒ จังหวัด ในสมัยราชวงศ์ ซิง ตำแหน่ง เตาไทย เป็นตำแหน่งไทยที่เล็กที่สุด แต่เรียกกันว่า หัวเข่าทองคำ คือไม่ต้องคุกเข่า แม้แต่จะเป็นเสนาบดี หรืออุปราชก็ตาม เพราะเหตุที่ไทยเราเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มาแต่อดีต มีวัฒนธรรมและอารยธรรมสูงส่งกว่าจีนที่เข้ามามีอำนาจในภายหลัง แม้แต่จีนก็ต้องยอมรับ จีนจึงได้ให้เกียรติแก่ไทยมากกว่าชนเผ่าอื่น ๆ ดัง ตำแหน่งต่าง ๆ ๘ ตำแหน่งดังกล่าวนั้น ซึ่งล้วนเป็นตำแหน่งสำคัญ ๆ ทั้งสิ้น ล้วนมีคำว่า ไทย ต่อท้าย ขนาดตำแหน่ง เตาไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในบรรดาตำแหน่ง ๘ ตำแหน่งดังกล่าวนั้น ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น หัวเข่าทองคำ ได้รับอภิสิทธิในอันที่จะไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะเป็นเสนาบดีหรืออุปราชก็ตาม บทความจากหนังสือ: รวมบทความสารคดีเชิงศาสนา โดย ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต http://archaeology.thai-archaeology.info/index.php?option=com_content&task=view&id=171&Itemid=0
จากคุณ :
ผักหวาน
- [
27 ส.ค. 49 23:08:09
A:124.120.144.228 X: TicketID:122330
]
|
|
|