ความคิดเห็นที่ 14
ช้าก่อนครับคุณ Max2000 การศึกษาประวัติศาสตร์อย่าเพิ่งด่วนสรุปง่าย ๆ เช่นนั้น
ก่อนอื่นขอโทษและขออนุญาตเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องราวออกไปนอกกระทู้ของคุณไปไกลมากเพราะเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกันอยู่ แต่สำหรับกระทู้นี้สรุปได้ว่า เจ้าพระยาโกษาปาน ไม่ใช่พระบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแน่ ๆ ครับ
ข้อความในหนังสือ "ราชินิกุล บางช้าง" ข้างต้น เป็นเพียงเอกสารที่ทำขึ้นในชั้นหลัง (พ.ศ. ๒๕๑๐) เช่นเดียวกับหนังสือ "อิศรางกูร" ที่พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจ ม.ล. ปุย อิศรางกูร (พ.ศ. ๒๕๑๗) ที่กล่าวถึงประวัติตระกูล "อิศรางกูร" ระบุชื่อของเจ้าแม่วัดดุสิตผู้เฒ่าและระบุพระนามพระบิดาไว้ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิตจะมีนามว่ากระไรแน่นั้น หลักฐานกล่าวไว้ไม่ตรงกัน บางแห่งกล่าวว่าชื่อ "หม่อมเจ้าหญิงบัว มีเชื้อสายพระร่วงสุโขทัย บางหลักฐานก็กล่าวว่าชื่อ "หม่อมเจ้าหญิงอำไพ" ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ"
ซึ่งก็ไปตรงกันกับพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในหนังสือ "ราชินิกูล รัชกาลที่ ๕" ว่า "พระบุรพชนทางพระชนก พระบุรพชนเป็นพระบรมราชวงศ์จักรี มาแต่หม่อมเจ้าบัว คือที่สมญาว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" เป็นราชตระกูลครั้งกรุงทวารวดี"
นอกจากนี้ยังมีเอกสารของ ม.ล. มานิจ ชุมสาย ที่กล่าวว่าเป็น "บันทึกของบรรพบุรุษ" ตกทอดมายังท่าน มีเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตอีกสายหนึ่งที่ค่อนข้างพิสดารว่า "แม่ทัพมอญคนหนึ่งมีนามว่า พระยาเกียรติ ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามารับราชการกับไทย ลูกหลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติ (ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร) ได้แต่งงานกับเจ้าแม่วัดดุสิต (ไม่ได้บอกชื่อเดิมอีกเช่นเดียวกัน) ซึ่งเป็นพระนาง มีตำแหน่งสูงในพระราชวัง" (ประวัติโกษาปานและบันทึกการเดินทางไปฝรั่งเศส. คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ๒๕๓๐, น. ๑๓)
ผู้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้หลักฐานหลังรัชกาลที่ ๔ มีการกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตอย่างละเอียดลออมากขึ้น และอาจเป็นต้นเหตุของเรื่อง "เชื้อเจ้า" ทั้งปวงนี้ ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ในพระราชวงศ์พระองค์ใด แต่กลับเป็นบุคคลที่นักประวัติศาสตร์ในพระราชวงศ์ไม่เคยยอมรับและประณามว่าเป็น "จอมโกหก"
บุคคลที่ว่านี้คือ "ก.ศ.ร. กุหลาบ"
หนังสือ "ปฐมวงศ์" ฉบับของ ก.ศ.ร. กุหลาบ และหนังสือ "อภินิหารบรรพบุรุษ" ซึ่งเชื่อว่า ก.ศ.ร. กุหลาบเป็นผู้แต่งนั้น กล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตไว้เป็นสำนวนเดียวกัน
หลักฐานทั้งหมดนี้ชี้ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" (ผู้เป็นต้นราชวงศ์จักรีเท่าที่หลักฐานจะย้อนไปถึง) ไม่ใช่พระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินแน่นอน เนื่องจากสกุลยศต่ำสุดของพระเจ้าลูกเธออันเกิดแต่นางสนมก็คือ "พระเยาวราช" ตำแหน่งอันสูงนี้ ไม่สมควรที่ผู้จดพระราชพงศาวดารจะละเลยไม่กล่าวถึง หรือไม่ควรละเว้นการกล่าวย้อนไปถึงพระราชบิดาของพระองค์
แต่หากทรงเป็น "หม่อมเจ้า" คือเป็นพระเจ้าหลานเธอของพระเจ้าแผ่นดิน และหากเป็นแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา เจ้าแม่วัดดุสิตก็มีโอกาสเป็นพระธิดาของสมเด็จพระนเรศวร หรือพระเอกาทศรถ ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะขึ้นครองราชย์ ซึ่งหากเป็นแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรก็ไม่น่าจะเข้าข่ายที่จะเป็นหม่อมเจ้าได้ ด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นวังหน้าอยู่ในขณะนั้น พระธิดาก็สมควรจะเป็นพระองค์เจ้า ไม่ใช่หม่อมเจ้า
และหากทรงมีพระชาติกำเนิดสูงส่งถึงเพียงนี้ เหตุใดเอกสารชั้นกรุงศรีอยุธยาหรือเอกสารตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไป จึงไม่พยายามเอ่ยถึงที่มาที่ไปของพระองค์ พระนามจริง หรือแม้แต่พระนามของพระสวามี และหากทรงมีพระชาติกำเนิดสูงถึงระดับลูกหลวง หลานหลวง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พระสวามีจะเป็นเพียงขุนนางมอญที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ แต่โอกาสเช่นนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นในธรรมเนียมราชตระกูลในสยามประเทศ
และที่น่าสังเกตอย่างยิ่งก็คือ ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๔ ที่ทรงมีไปถึงเซอร์ จอห์น เบาว์ริง ก็ไม่ได้กล่าวเน้นถึงเรื่องการเป็น "เจ้า" ของพระราชวงศ์ หากแต่ทรงเน้นย้ำถึงการเป็นตระกูลเสนาบดีและคหบดีที่เป็นชาวจีน โดยทรงกล่าวถึง "นายทองดี" ต้นราชสกุลที่ได้ลูกเศรษฐีจีนเป็นภรรยาว่า "ท่านได้ออกจาก "สะเกตรัง" ไปยังอยุธยา ที่ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เข้ารับราชการและได้สมรสกับธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีนภายในกำแพงเมืองตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา" (เบาว์ริง, น. ๘๘)
แม้แต่ในพระราชนิพนธ์ "ประถมวงศ์" ก็มิได้กล่าวย้อนขึ้นไปถึงบรรพบุรุษรุ่นโกษาปาน ไม่ว่าเรื่องใด ๆ รวมถึงเรื่องความเป็นเจ้า แต่ทรงกล่าวย้อนเพียงพระปฐมบรมมหาชนกเท่านั้นว่าเป็น "ตระกูลใหญ่" คือเป็นการอธิบายถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกว่า ได้ประสูติในชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวย "ได้เสดจมายังมนุษยโลกย์นี้ อุบัติมีขึ้นในมหามาตย์คฤหบดีสกูลอันมั่งคั่งพร้อมมูลด้วยไอยสูริยสมบัติ ถ้าเปนมัทธยมประเทศก็ควรจะเปนสกูลมหาศาลได้ เพราะเปนสกูลใหญ่ที่มีนิเวศนสฐานตั้งอยู่นานใน ภายในกำแพงพระมหานครกรุงเทพทวารวดีศรีอยุทธยา" (วชิรญาณ เล่ม ๒ ฉบับ ๑๑ ปี ๑๒๕๗, น. ๔๗๑-๕๐๑ และเล่ม ๒ ฉบับ ๑๓ น. ๖๒๕-๖๓๕.)
ปัญหาที่ว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" ที่เป็นสายสกุลที่สืบได้สูงสุดของพระราชวงศ์จักรีมีตัวตนจริงหรือไม่ ไม่เป็นที่สงสัยว่าท่านมีตัวตนจริง ๆ แน่นอน สามารถอ้างอิงได้และเชื่อได้ว่ามีตัวตนจริง โดยมีหลักฐานสำคัญที่แน่ชัดว่าท่านผู้นี้เป็นมารดาของโกษาปาน มีปรากฏอยู่ในเอกสารต่างประเทศและพระราชพงศาวดารไทยหลายฉบับ
ลาลูแบร์ ได้พูดถึงเจ้าแม่วัดดุสิตว่า เป็นมารดาของราชทูตโกษาปานไว้ดังนี้ "มารดาของท่านเอกอัครราชทูต ที่เราได้เห็นตัวกันที่นี้ (ในประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระนมเหมือนกัน" (จดหมายเหตุลาลูแบร์ ฉบับสมบูรณ์ เล่ม ๑. ก้าวหน้า, ๒๕๑๐, น. ๓๙๘.) (*จดหมายเหตุลาลูแบร์ถือเป็นเอกสารชั้นต้น เพราะลาลูแบร์มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับเจ้าพระยาโกษาปาน)
ที่ลาลูแบร์เรียกเจ้าแม่วัดดุสิต มารดาของโกษาปานว่าเป็น "พระนม" ก็เพราะท่านผู้นี้เป็นพระนมสมเด็จพระนารายณ์ ส่วนที่ว่า "เป็นพระนมเหมือนกัน" ก็คือ สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงมีพระนมตามที่มีชื่อในพงศาวดารอยู่ ๒ ท่าน คือเจ้าแม่วัดดุสิตท่านหนึ่ง และมารดาของพระเพทราชาอีกท่านหนึ่ง ทั้งนี้ตามกฎมณเฑียรบาลได้กำหนดตำแหน่ง "พระนม" ไว้ ๓ ตำแหน่ง คือ แม่นมเอก แม่นมโท แม่นมตรี กล่าวกันว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นได้เป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์
ส่วนพระราชพงศาวดารกรุงเก่าได้กล่าวถึงความสนิทสนมกันระหว่างสมเด็จพระนารายณ์กับสองพี่น้องโกษาเหล็กและโกษาปานลูกเจ้าแม่วัดดุสิตในฐานะที่ได้ดื่มน้ำนมร่วมกันในคราวที่โกษาเหล็กต้องล้มป่วยถึงแก่ชีวิตดังนี้ "ลุศักราช ๑๐๒๓ ปีฉลูตรีศก ขณะนั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดีป่วยลง ทรงพระกรุณาให้พระ หลวง ขุน หมื่น แพทย์ทั้งหลายไปพยาบาล และโรคนั้นเป็นสมัยกาลแห่งชีวิตขัยก็ถึงแก่อนิจกรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิอาจกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ ทรงพระอาลัยในเจ้าพระยาโกษาเป็นอันมาก และเจ้าพระยาโกษาขุนเหล็กคนนี้ เป็นลูกพระนมและได้รับพระราชทานนมร่วมเสวยมาแต่ยังทรงพระเยาว์ (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เล่ม ๒. คุรุสภา, ๒๕๐๕, น. ๗๕.)
นอกจากนี้มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ คราวที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเฟ้นหาราชทูตไปกรุงฝรั่งเศสอยู่นั้น โกษาเหล็กก็แนะนำน้องชายถวาย ก็ตรัสเรียกเสมอด้วยไพร่ทั่วไป ไม่ได้ "ไว้เชื้อ" แม้แต่น้อย ว่า "จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งให้หานายปานเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่า อ้ายปาน Mungมีสติปัญญาอยู่ กูจะใช้ให้เป็นนายกำปั่นไป ณ เมืองฝรั่งเศสสืบดูสมบัติพระเจ้าฝรั่งเศส" (กรมพระปรมานุชิต, น. ๔๓.)
ทั้งหมดนี้ เห็นได้ว่าเอกสารชั้นแรก ๆ ทั้งปวงที่ยกมา ยังไม่พบเบาะแสใดที่พอจะอนุมานได้ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตหรือเจ้าแม่ผู้เฒ่าเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่ แต่หากจะตามเบาะแสที่ซ่อนอยู่ที่พอจะชี้ได้ว่าท่านผู้นี้เป็นเจ้านาย และเป็นเบาะแสเดียวเท่านั้นที่ยึดเป็นหลักฐานได้ คือที่มาของชื่อ "วัดดุสิต" ในชื่อเจ้าแม่วัดดุสิตนั่นเอง
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าเมื่อคราวที่พระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าเสือขอย้ายออกจากวังหลังจากที่สมเด็จพระเพทราชาสวรรคต ทรงขอย้ายไปประทับที่ที่เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นที่ประทับเสมอด้วยวังเจ้า ว่า
"ในขณะนั้น สมเด็จพระอรรคมเหสีเดิมแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์นั้น
ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว จึงทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต และที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้เป็นที่พระตำหนักมาแต่ก่อน ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเจ้าแม่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก โกษาปาน ซึ่งได้ขึ้นไปช่วยกราบทูลขอพระราชทานโทษสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ขณะที่เป็นหลวงสรศักดิ์ และชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ครั้งนั้น และเจ้าแม่ผู้เฒ่านั้นก็ได้ตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้น
ครั้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงก็เสด็จไปตั้งพระตำหนักอยู่ในนั้นสืบต่อกันไป" (กรมพระปรมานุชิต, น. ๑๘๕)
หลักฐานชิ้นนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าเจ้าแม่วัดดุสิตต้องเป็น "เจ้า" ค่อนข้างแน่ แต่ปริศนาข้อต่อไปที่ไม่สามารถจะหาคำตอบได้ก็คือ สามีของเจ้าแม่วัดดุสิต หรือพ่อของโกษาปานเป็นใคร? หากท่านผู้นี้เป็น "เจ้า" ด้วย ก็สมควรที่จะเรียกที่อยู่ว่าตำหนักเช่นกัน น่าเสียดายว่าท่านผู้นี้ไม่ปรากฏหลักฐานที่เชื่อถือได้พอให้ระบุว่าท่านเป็นใคร ในทางกลับกัน นั่นอาจแสดงว่าท่านไม่ได้มี "เชื้อ" พอที่จะให้อ้างอิงก็เป็นได้ เพราะการอ้างอิงการสืบเชื้อสาย "เจ้า" ทางสายบิดาย่อมหนักแน่นกว่าทางสายมารดา
สรุปว่าพระนามและพระยศที่แท้จริงของเจ้าแม่วัดดุสิตนั้น จนถึงบัดนี้ก็ต้องถือว่าเป็นปริศนาชิ้นโตของประวัติราชวงศ์จักรีที่ยังคลี่คลายไม่ได้จะอาศัยอ้างอิงพระนามจากเอกสารรุ่นหลังก็เลื่อนลอยเต็มที
ส่วนคำตรัสเรียกว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดอีกชั้นหนึ่ง คือเป็นพระนามโดยตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมนิยมที่คนรุ่นก่อนจะไม่เรียกชื่อกันตรง ๆ เช่น สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เป็นต้น และคำตรัสเรียก "เจ้าแม่วัดดุสิต" ก็ถือเป็นการยืนยันจากสมเด็จพระนารายณ์เป็นอย่างดีว่า ท่านผู้นี้เป็น "เจ้า" จริง ๆ
ที่ร่ายมายืดยาวนี่ ก็ยังฟันธงไม่ได้เลยว่า เจ้าแม่วัดดุสิตสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์สุโขทัยจริงหรือไม่ อย่างที่คุณ Max2000 สงสัย ก็คงต้องรอการค้นพบต่อไปครับ
(ทั้งหมดนี้ผมได้สรุปเรียบเรียงจากบทความ "ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต ต้นราชวงศ์จักรี "เจ้า" หรือ "สามัญชน"???" โดย ปรามินทร์ เครือทอง ในหนังสือ "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๘)
ลืมบอกว่าวัดดุสิตนี้คือ วัดดุสิตาราม จังหวัดพระนครศรอยุธยาครับ ในบริเวณนี้มีศาลเจ้าแม่ดุสิต และเนินดินที่เห็นแนวอิฐ ซึ่งอาจเป็นฐานของพระตำหนักวัดดุสิต
จากคุณ :
วศินสุข
- [
3 ก.ย. 49 11:48:44
]
|
|
|