ความคิดเห็นที่ 5
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ภาษาไม่ใช่หลักทางวิทยาศาสตร์ที่จะใช้หลักเหตุผลมาเปรียบเทียบได้ล้วนๆ เพราะภาษาเกิดจากสมาชิกในสังคมภาษานั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลากลุ่มชน วัย เพศ ทำให้เหตุผลของการเกิดลักษณะทางภาษานั้นสับซ้อนและยากที่จะอธิบายอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทีละส่วนไม่ได้เสมอถ้วนทั่วกัน เรียกลักษณะดังกล่าวของภาษาว่า (Arbitariness) การจะบอกว่าภาษาใดภาษาหนึ่งเป้นอย่างไรนั้น ต้องได้มาจากการสังเกตภาษาที่ใช้กันอยู่จริง ไม่ใช่เทียบเคียงโดยหลักเหตุผลได้ทั้งหมด เริ่มจากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลก่อนละกันครับ คนไทยเราแบ่งเวลาดังนี้ 1.อดีตกาล = เมื่อก่อน, เมื่อก่อนนี้, ก่อนหน้านี้, สมัยก่อน 2.ปัจจุบันกาล = ตอนนี้, ขณะนี้ 3. อนาคตกาล = คราวหน้าคราวหลัง, คราวหลัง, ทีหน้าทีหลัง, ทีหลัง, วันหน้าวันหลัง, วันหลัง, ภายภาคหน้า, หลังจากนี้ จะเห็นได้ว่าคำว่า ก่อน และ หลัง นั้นบอกกาลตรงข้ามกันไม่ข้ามกลุ่ม แต่คำว่าหน้า มีใช้ทั้ง อดีตและอนาคต มีประโยคที่เราใช้อยู่ยืนยันคำคู่ ก่อน-หลังเป็นคำตรงข้ามในภาษาไทยที่ใช้บอกกาลคือ กรุณาเข้าแถวตามลำดับก่อน-หลังครับ ไม่มี *กรุณาเข้าแถวตามลำดับก่อน-หน้าครับ
จากประสบการณ์ของผมที่เป็นได้รับฟังภาษาไทยในต่างจังหวัด ที่ภาษาไทยยังได้รับอิทธิพลจากภาษาจีนและภาษาอังกฤษน้อย กล่าวคือภาษาในกรุงเทพนั้น ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษ จากการแปล และจากภาษาจีนที่มีพี่น้องชาวจีนเข้ามาอยู่มาก คนไทยจีนที่เข้ามาอยู่ใหม่พยายามพูดภาษาไทยโดยที่ใช้หลักที่ง่ายที่สุด เหมือนคนไทยตอนนี้ที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษ ที่พยายามจะสรุปหลักภาษาเป็นกฎง่ายๆ เรียกว่า (Oversimplification สรุปให้ง่ายจนผิดหลักไป) ทำให้ภาษาอังกฤษที่คนไทยพูด และภาษาไทยในกทมนั้น (ทั้งสองสำเนียงอาจะจัดเป็น Creoles หรือ Pidgin ได้) ขัดกับหลักภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่ถูกต้องเพราะหน่วยวลีทางภาษามีความสัมพันธ์ที่จำเพาะ หาได้นึกจะเอาคำใดก็ได้มาเรียงต่อกัน แต่คำในภาษาส่วนใหญ่แล้วจะมีคำที่มักจะอยู่กันหรือใช้ร่วมกันเป็นประจำ เรียกว่า Collocation และเรียกกลุ่มวลีภาษาสำเร็จรูปว่า Prefabricated chunk
จากกลุ่มวลีที่ยกมาเป็นในลักษณะ ( ....หน้า...หลัง ) นั้น ใน 5 วลีนั้นผมเห็นจะเคยได้ยินจากภาษาที่ใช้กันจริง แค่ 3 วลีคือ 1. คราวหน้าคราวหลัง 2. ทีหน้าทีหลัง 3. วันหน้าวันหลัง โดยทั้ง 3 วลีจะได้ยินในกรณีของการที่ผู้ใหญ่เตือนเด็ก เมื่อเด็กทำผิดพลาด และต้องการตำหนิและสอนว่าไม่ควรทำอีก แต่หากใช้สั้นก็จะได้ยินแต่เลือกใช้ (...หลัง) เท่านั้น ตัวอย่างเช่น 1. คราวหน้าคราวหลัง 1.1 เห็นม้ายแม่บอกให้จัดกระเป๋าเดินทางตั้งหลายวันแล้ว นี่ตีสองแล้วนั่งจัดจัดอยู่เลยจะตื่นทันม้าย ทีหน้าทีหลังละรู้จักเตรียมตัวล่วงหน้าบ้างนะ 1.2 อืม คราวหลังถ้ามาเที่ยวหัวหินอีก จะเอากล้วยไม้มาฝากนะ 2. ทีหน้าทีหลัง 2.1 ทีหน้าทีหลัง มาขโมยของอีกจะส่งตำรวจไปนอนให้คุกนะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกน้าจะให้โอกาสกลับตัวใหม่ 2.2 ทีหลังจะมาก็บอกก่อนนะ พี่จะได้เตรียมทำกับข้าวไว้ต้อนรับ 3. วันหน้าวันหลัง 3.1 เป็นไงหละ ตื่นสายเลย วันหน้าวันหลังอย่ามัวแต่ดูหนังจนนอนดึก 3.2 น้องครับวันนี้พี่รีบมากเลย เอาไว้วันหลังพี่สอนการใช้โปรแกรม photoshop ให้นะครับ
จากการที่ได้มาอยู่ กทม พบว่า ทีหน้า ไม่ค่อยพบมีใช้ ส่วน วันหน้า และคราวหน้า มีใช้อยู่โดยทั่วไป ซึ่งเป็นน่าจะเป็นผลจาก สูญเสีย วลีสำเร็จ ที่มีลักษณะพิเศษ ขัดกับหลักทั่วไป คล้ายกับกรณีของ อยู่บนหลังตู้ ครับ หากถามถึงว่าเราควรจะรักษากลุ่มวลีจำเพาะที่เป็นข้อเว้นนี้เอาไว้หรือไม่ สำหรับผมมันคือเสน่ห์ของภาษาครับ ถ้าไม่มีกลุ่มคำที่เป็นข้อยกเว้นเหล่านี้ ภาษาไทยจะเหมือนเป็นภาษาที่ตายแล้ว ตายเหมือนภาษาละติน หรืออาจะแย่กว่าเหมือนภาษาประดิษฐ์ ที่ไร้จิตวิญญาณครับ อย่างภาษาที่เค้ามีการจดบันทึกมายาวนานอย่างภาษาอังกฤษ เค้ามี prefabricated chunk มากมาย ซึ่งเมื่อแรกเรียนเราดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษง่าย แต่ทำไมคนไทยถึงไม่เคยสามารถเรียนภาษาอังกฤษและใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเท่าเจ้าของภาษาทั้งๆที่เราเข้าใจ Grammar และจำคำศัพท์ได้มากมาย เพราะสิ่งที่ขาดหายไปคือ Collocation และนี้คือเสน่ห์ของภาษาอังกฤษครับ แต่สิ่งที่เกิดกับภาษาไทย มันก็เป็นปรากฏการณ์ทางภาษาอย่างหนึ่งครับ ซึ่งต้องเก็บข้อมูลกันต่อไปครับ
จากคุณ :
Paphmania
- [
15 ก.ย. 49 01:36:33
]
|
|
|