ความคิดเห็นที่ 1 ร่วมชื่นชม ผู้สร้าง ด้วยคน จากคุณ : Venomjung - [ 28 ก.ย. 49 09:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงตั้งชื่อเดือนเป็นภาษาไทย(เชื้อสายแขก) เมื่อเปลี่ยนปฏิทินจากจันทรคติมาเป็นสุริยคติ ก่อนหน้านั้นเรามีเดือนอ้ายเดือนยี่ เดือนสามเดือนสี่ ตามลำดับ ในสมับพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เรายังไม่มีชื่อเดือนใช้ ถ้าไปอ่านพระราชนิพนธ์ไกลย้านจะพบว่าทรงใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่นเดือน แยนยัวรี ออกโตเบอ เป็นต้น ส่วนชื่อของวันมีใช้กันมานานแล้วในหมู่พวกโหร ชื่อของเดือนก็ได้มาจากชื่อของกลุ่มดาวที่ใช้แบ่งเขตท้องฟ้าตามแนวสุริยวิถี เมื่อมองจากโลกแล้วเห็นว่าพระอาทิตย์อยู่ที่ราศีไหน วิธีมองก็มองตอนท้องฟ้ทางทิศตะวัรออกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมาแลเห็นกลุ่มดาวไหน เพราะถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วแสงอาทิตย์จะบดบังแลไม่เห็นดาว อย่างเช่นเดือนนี้คือเดือนกันยายน จะแลเห็นกลุ่มดาวเป็นรูปผู้หญิง Virgo กันยา หรือกัลยาก็คำเดียวกัน แต่ Virgo ของฝรั่งคือสาวพรหมจารี virgin เดือนตุลาคม จะเป็นกลุ่มดาวรูปคันชั่ง Libra ซึ่งหมายถึงความเที่ยงธรรมแบบที่ศาสหรือตุลาการท่านเอาตาชั่งมาทำเป็นเครื่องหมายของศาล เรื่องนี้ถ้าจะพูดยาวไปจะกลายเป็นตำราหมอดูโหราศาสตร์ เอาเป็นว่าราศี มังกร กุมภ์ มีน เมษ พฤษภ ของโหร ก็กลายมาเป็นเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม ตามลำดับ เพราะในระหว่างเดือนนั้น ๆ ถ้ามองจากโลกจะเห็นพระอาทิตย์อยู่ที่ราศีนั้น แต่พระปรีชาอันยอดเยี่ยมของพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ ก็คือลงท้ายชื่อของเดือนเป็นพันธ์ คม หรือยน เพื่อให้ทราบว่าเดือนนั้นมีกี่วัน ของจีนและญี่ปุ่น ชื่อเดือนใช้เดือน หนึ่ง สอง สาม สี่ ไปตามลำดับ ดูแล้วไม่ทราบว่าเดือนนั้นมีกี่วัน เรื่องนี้คุณเพ็ญชมพูคงจะมีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์มาเล่าต่อได้ จากคุณ : * - [ 28 ก.ย. 49 11:40:21 A:58.9.189.188 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แก้คำผิด ในสมับ >> ในสมัย พระราชนิพนธ์ไกลย้าน >>พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ตอนท้องฟ้ทางทิศตะวัรออก >>ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกตอน จากคุณ : * - [ 28 ก.ย. 49 11:52:06 A:58.9.189.188 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ชื่นชมพระปรีชาของ ร.6 ครับ จากคุณ : อาร์คีมิดิส - [ 28 ก.ย. 49 12:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ก่อนอื่นขอขอบพระคุณคุณ * มากที่อุตส่าห์คิดถึง คม ยน พันธ์ มาจากไหน แปลว่าอะไร "คม" และ "ยน"  มาจาก "อาคม" และ "อายน" แปลว่า "การมาถึง" ส่วน "พันธ์" มาจาก  "อาพันธ์" แปลว่า "การผูก" อาคม จะใช้กับเดือนที่มี ๓๑ วัน อายน จะใช้กับเดือนที่มี ๓๐ วัน อาพันธ์ จะใช้กับเดือนที่มี ๒๘ วัน (๔ ปี จะมี ๒๙ วัน ครั้งหนึ่ง) ซึ่งก็คือ เดือนกุมภาพันธ์ นั่นเอง เมื่อเอามารวมเข้ากับการหมุนไปของจักรราศี ซึ่งเป็นการนับแบบสุริยคติ อย่างที่คุณ * อธิบาย โดยวิธีการสนธิ (คนละเรื่องกับ ค.ป.ค.) ก็จะได้เป็นชื่อเดือน เช่น พระอาทิตย์โคจรเข้าราศีมังกร  (มกร) ก็จะนำเอาชื่อราศีมาตั้งเป็นชื่อเดือน มกร + อาคม = มกราคม แปลเป็นไทยว่า "การเข้ามาถึง (ของพระอาทิตย์ ยัง) ราศีมังกร" ประเทศไทยได้ประกาศใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติ อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และทางศาสนาได้เปลี่ยนตามเมื่อ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๕ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:56:25 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ก.ย. 49 14:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณท่านทั้งหลายที่เข้ามาร่วมรายการครับ โดยเฉพาะคุณ * และคุณ เพ็ญชมพู ที่ให้ข่าวสารเป็นประโยชน์ครับสำหรับคุณเพ็ญชมพู ผมขอขอบคุณที่กรุณาให้ข่าวสารเรื่องอุษาคเนย์ในอีกกระทู้ด้วย ขออภัยที่ผมขอบคุณช้าไป เพราะเกิดอารมณ์ไม่พอใจที่ฝรั่งมาตั้งคำภาษาไทยผิดๆ น่ะครับ ท่านอื่นๆ ก็เชิญเข้ามาอีกได้ด้วยความขอบคุณครับ เอ้อ! ถ้าจะกรุณาบอกเว็บที่ผมจะเข้าดูได้เองด้วยก็จะเป็นพระคุณมากครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 28 ก.ย. 49 14:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แม้เราจะใช้ปฏิทินตามสุริยคติแล้วแต่ทางจันทรคติเราก็ยังใช้ควบไปด้วย กำหนดขึ้นปีใหม่ ในเดือนเมษายน (เดือน ๔ ทางสุริยคติ แต่เป็นเดือน ๕ ทางจันทรคติ) ใช้มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๓ มี ๑๒ เดือน จากนั้นแต่ละปีมี ๑๒ เดือน (มกราคม – ธันวาคม) ตามปรกติตลอดมา การเรียกชื่อเดือนตามจันทรคติของไทยโบราณ ก็เรียกเหมือนจีนและญี่ปุ่นอย่างที่คุณ * ว่า  คือเรียกชื่อเดือนอ้าย(เดือนหนึ่ง)  เดือนยี่ (เดือนสอง) เดือนสาม เดือนสี่ เรื่อยไปถึงเดือนสิบสอง การเรียกชื่อเดือนมีอีกวิธีหนึ่งคือโดยเรียกตามตำแหน่งดวงจันทร์ กับกลุ่มดาวฤกษ์ ๑๒ กลุ่ม  คือ พระจันทร์เต็มดวง ณ ตำแหน่งกลุ่มดาวใด ก็จะนำชื่อกลุ่มดาวนั้นมาเป็นชื่อเดือน(คำว่า "มาส" แปลว่า เดือน) เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) (ธันวาคม) เรียก มิคสิรมาส มิคสิระมาส มิคเศียรมาส มฤคศิรมาส มฤคศิรษมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๕ คือ มฤคศิระ มฤคศีรษะ หรือ มิคสิระ (ดาวหัวเนื้อ) เดือนยี่ (เดือนสอง)(มกราคม) เรียกว่าบุษยมาส ปุสสะมาส ปุษยมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๘ คือ บุษยะ ปุสสะ หรือปุษยะ หรือสิธยะ (ดาวปุยฝ้ายหรือดาวสมอสำเภา) เดือนสาม (กุมภาพันธ์) เรียก มาฆะ (ดาวแข้งม้า ดาวถัง ดาวงอนไถ หรือดาวงูผู้) เดือนสี่ (มีนาคม) เรียก ผัคคุณมาส ผัคคุณะมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๑๑ – ๑๒ คือ ผัคคุณี เรียกเต็ม ๆ ว่า บุรพผลคุณี (ดาวงูเมีย) และอุตรผลคุณี (ดาวเพดาน) เดือนห้า (เมษายน) เรียกว่า จิตมาส, จิตตมาส, จิตตะมาส หรือจิตรมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที๑๔ คือ จิตตะ หรือจิตรา (ดาวจระเข้ หรือดาวหมู) เดือนหก (พฤษภาคม) เรียกว่า วิสาขมาส วิสาขะมาส ไพศาขมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๑๖ คือ วิศาขา (ดาวคันฉัตร ดาวเขากระบือ หรือดาวแขนนาง) เดือนเจ็ด (มิถุนายน) เรียก เชษฐมาส เชฏฐมาส เชฏฐะมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๑๘ คือ เชษฐา, เชฏฐา (ดาวแพะหรือดาวช้างใหญ่) เดือนแปด (กรกฎาคม) เรียก อาษาฒมาส หรืออาสาฬหมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ทรี่ ๒๐ – ๒๑ คืออาษาฒะหรืออาสาฬหะ เรียกเต็มอีกแบบหนึ่งว่า บุรพาษาฒและอุตราษาฒ (ดาวสัปคับช้าง ดาวแตรงอนหรือดาวแรด) เดือนเก้า (สิงหาคม) เรียก สาวนมาส หรือ ศราวณมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๒๒ คือ สาวนะ หรือ ศราวะณะ (ดาวหลักชัยหรือดาวคนฟังธรรมจำศีล) เดือนสิบ (กันยายน) เรียกภัทรบทมาส ภัททปะทะมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๒๕-๒๖ คือภัทรปทา หรือภัทรบท (ดาวราชสีห์) เดือนสิบเอ็ด (ตุลาคม) เรียก อัสสยุชะมาส อัสยุชมาส อัศวยุชมาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๑ คือ อัสสยุชะ อัสวนี หรืออัสวยุช (ดาวม้า) เดือนสิบสอง  (พฤศจิกายน) เรียก กิตติกะมาส กัตติกมาส กัตติกามาส หรือ กฤติกามาส พระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๓ กัตติกา กฤตติกา หรือ กฤติกา (ดาวลูกไก่หรือดาวธงสามเหลี่ยม) ที่มา :  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ลิ้งค์เว็บให้ตามคำขอของคุณยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) http://www.culture.go.th/k_day.php?F=newyear&FF=03 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 49 15:10:42 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ก.ย. 49 15:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องขออภัยคุณ * ด้วยที่ต้องแก้ไขข้อความใน # ๒ ที่ว่า "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงตั้งชื่อเดือนเป็นภาษาไทย(เชื้อสายแขก)"  ความจริงแล้ว ผู้ที่ตั้งชื่อเดือนเป็นภาษาไทยตัวจริงคือ  สมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ กับ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา โดยทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๔๒  พระนามเดิม ว่า "พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ"  ทรงสนพระทัยศึกษาเรียนรู้ค้นคว้าเกี่ยวกับปฏิิทิน และโหราศาสตร์มาตั้งแต่แรก เมื่อเสด็จไปราชการต่างประเทศในยุโรป พ.ศ. ๒๔๓๐ ทรงซื้อหนังสือที่เป็นตำราโหราศาสตร์ว่าด้วยสุริยุปราคาจากกรุง เบอร์ลินมา ๑ เล่ม ภายในเล่มนี้มีแผนที่ทางสุริยุปราคาอยู่เกือบเต็มทั้งเล่ม การที่ทรงสนพระทัยในเรื่องโหราศาสตร์นี้ อาจเป็นเพราะทรงได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับโหราศาสตร์จาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ความชำนาญเรื่องโหราศาสตร์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ จึงต้องเกี่ยวพันไปกับการตรวจตรา ตรวจสอบดูปฏิทินด้วย เพราะต้องเรียนรู้การคำนวณ วัน เดือน ปี โดยตรง เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับปฏิทินโดยตรง จึงทำให้เกิดที่มาของชื่อเดือน ดังที่กล่าวมา คำว่า "ปฏิทิน" ที่เราใช้ในปัจจุบัน สามารถเขียนได้เป็น "ประติทิน" ภาษาสันสกฤต หรือ "ประฏิทิน" บาลีแผลง "ประดิทิน" หรือ "ประนินทิน" ก็ได้  การพิมพ์ปฏิทินมีขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๓๘๕ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะนั้นปฏิทินยังคงใช้ตามแบบ "จันทรคติ" การนับ วัน เดือน ปี ถือการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลัก ต่อมาจึงมีวิธีนับวัน เดือน ปี ตามการหมุนเวียนของโลกรอบดวงอาทิตย์ เรียกว่า "สุริยคติ ประเทศไทยประกาศใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติอย่างเป็นทางราชการ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แม้เราจะใช้ปฏิทินตามสุริยคติ แต่ทางจันทรคติเราก็ยังใช้ควบไปด้วย ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากจันทรคติที่นับตั้งแต่เดือนอ้าย เดือนยี่...ถึง เดือนสิบสอง มาเป็นแบบสุริยคติ จึงได้มีการกำหนดชื่อเดือนขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นผู้คิดปฏิทินไทยใช้ตามสุริยคติ ซึ่งนับวันและเดือนแบบสากล ขึ้นทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ ๕ จากนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นประเพณีบ้านเมืองตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๒ เรียกว่า "เทวะประติทิน" ที่เป็นต้นแบบปฏิทินไทยในวันนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงคิดตั้งชื่อเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยทรงใช้ตำราจักรราศี หรือการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี ประกอบด้วย ๑๒ ราศี ตามวิชาโหราศาสตร์มาใช้กำหนดชื่อเดือนทั้ง ๑๒ เดือน  ทั้งนี้ แบ่งเดือนที่มี ๓๐ วัน และเดือนที่มี ๓๑ วัน ให้ชัดเจน ด้วยการลงท้ายเดือนต่างกัน คือ คำว่า "ยน" และ "คม"  และเดือนที ๒๘ หรือ ๒๙ วัน ลงท้ายด้วย "พันธ์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานสร้างวังให้สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ บนที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อว่า วังเทวะเวสม์ ทรงเป็นต้นราชสกุล เทวกุล   ทรงสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำ ปีกุนเบญจศก จ.ศ. ๑๒๘๕ ตรงกับวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖ พระชันษา ๖๖ ปี ที่มา :  บทความเรื่อง "กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ผู้ตั้งชื่อเดือนของไทย โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์           หนังสือพิมพ์ "มติชน" วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๑๐๒๐๕ http://www.api96.com/forum/forum_posts.asp?TID=347&PN=1 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ก.ย. 49 15:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 9 รายการต่อไปเป็นการเรียกชื่อเดือนแบบต่าง ๆ ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปส่วนมากเรียกชื่อเดือนตามแบบโรมัน ซึ่งมักจะมาชื่อของเทพเจ้า กษัตริย์ และตัวเลขลำดับที่ ของแต่ละเดือนในภาษาโรมัน ชื่อเดือนในภาษาต่าง ๆ ตามลำดับ ดังนี้ ไทย  อังกฤษ  ฝรั่งเศส  เยอรมัน มกราคม January Janvier  Januar   เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Janus ของชาวโรมันโบราณ จึงเรียกเดือนนี้ว่า "Januarius" กุมภาพันธ์ February Favrier Februar   เป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Februus ของชาวอิตาเลี่ยนโบราณ บางครั้ง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Februa" เป็นเดือนที่มีเทศกาล เฉลิมฉลองกรุงโรม มีนาคม March Mars Marz  เป็นชื่อเดือนแรกของชาวโรมัน โดยใช้ชื่อของเทพเจ้าสงคราม แห่งดาวอังคาร (the war-god Mars) เมษายน April Avril April   ชื่อเดือน มาจากคำว่า "Aprilis" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Aperire" หมายถึง "เปิด" (To open) ซึ่งอาจมาจาก ดวงอาทิตย์ เริ่มต้นเข้าสู่ (to open into) กลุ่มดาววัว ซึ่งเริ่มจากเขาวัว (buds) พฤษภาคม May Mai Mai   เป็นเดือนลำดับที่ ๓ ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือน อาจมาจากชื่อของเทพธิดา Maiesta ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความเกียรติยศ ชื่อเสียง (The Roman goddess of honor and reverence) มิถุนายน June Juin Juni  เป็นเดือนลำดับที่ ๔ ในปฏิทินโรมัน ชื่อของเดือน เป็นชื่อเทพเจ้า Juno กรกฎาคม July Juillet Juli  เป็นเดือนที่กษัตริย์ Julius Ceasar ประสูติ โดยตั้งชื่อเดือนนี้ เป็นเกียรติแก่กษัตริย์ Julius Caesar เมื่อปี ค.ศ. ๔๔ ซึ่งเป็นเดือนที่ถูกลอบปลงพระชนม์ และเรียกชื่อเดือนนี้ อีกชื่อหนึ่งว่า "Quintilis" หมายถึง "เดือนลำดับที่ ๕" (the fifth month) สิงหาคม August Aoat August  ชื่อเดือนเดิมเรียกว่า "Sextilis" มาจากคำว่า "Sexus" แปลว่า "หก" (Six) แต่ภายหลัง ได้เปลี่ยน เป็นชื่อ Augustus เพื่อเป็นเกียรติแก่ กษัตริย์องค์แรก ของชาวโรมัน กันยายน september September September  เป็นเดือนลำดับที่ ๗ ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Septem" แปลว่า "เจ็ด" (Seven) ตุลาคม October Octobre Oktober  เป็นเดือนลำดับที่ ๘ ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Octo" แปลว่า "แปด" (Eight) พฤศจิกายน November Novembre November  เป็นเดือนลำดับที่ ๙ ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Novem" แปลว่า "เก้า" (Nine) ธันวาคม December Decembre Dezember  เป็นเดือนลำดับที่ 10 ในปฏิทินโรมัน มาจากคำว่า "Decem" แปลว่า "สิบ" (Ten) http://web1.dara.ac.th/daraspace/Mythology/DayMonthName.htm จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ก.ย. 49 16:44:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การเรียกชื่อเดือนแบบอิสลาม ปฏิทินจันทรคติฮิจเราะฮ์ศักราช ใน ๑ ปี ประกอบด้วย ๑๒ เดือนกอมารียะฮ์ ดังต่อไปนี้ เดือนที่ ๑ ชื่อเดือน มุฮัรรอม (Muharam) เดือนที่ ๒ ชื่อเดือน ซอฟัร (Safar) เดือนที่ ๓ ชื่อเดือน รอบิอุล เอาวัล (Rabiul Awal) เดือนที่ ๔ ชื่อเดือน รอบิอุซ ซานี ( ฮาเคร )(Rabiul AKhir) เดือนที่ ๕ ชื่อเดือน ญามาดิล อาวัล (Jamadul Awal) เดือนที่ ๖ ชื่อเดือน ญามาดิซ ซานี ( อาเคร )(Jamadul Akhir) เดือนที่ ๗ ชื่อเดือน รอญับ (Rajab) เดือนที่ ๘ ชื่อเดือน ชะอ์บาน (Shaban) เดือนที่ ๙ ชื่อเดือน รอมดอน (Ramadan) เดือนที่ ๑๐ ชื่อเดือน เชาวัล (Shawwal) เดือนที่ ๑๑ ชื่อเดือน ซุลเกาะอ์ดะฮ์ (Zul Qadah) เดือนที่ ๑๒ ชื่อเดือน ซุลฮิจญะฮ์ (Zul Hijjah) การกำหนดวันต้นเดือนกอมารียะฮ์ มีวิธีพิจารณาอยู่สองลักษณะ คือ ใช้การคำนวณตำแหน่งของดวงจันทร์อาจจะใช้หรือไม่ใช้การสังเกตจันทร์เสี้ยว กับสองไม่สนใจการคำนวณ ใช้วิธีสังเกตจันทร์เสี้ยวอย่างเดียว http://fathoni.com/lesson/falakweb/ch9_2.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ก.ย. 49 16:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับคุณเพ็ญชมพู ที่มาช่วยแก้(หน้า)ให้ ตกลงชื่อเดือนไทยเป็นอย่างที่คุณเพ็ญชมพูว่าไว้นะครับ โปรดเข้าใจตามนั้นด้วย แล้ว กรุณา delete ออกจาก memory ด้วยครับ จากคุณ : * - [ 28 ก.ย. 49 20:07:41 A:58.9.189.188 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อื้อฮือ เป็นคลังความรู้อย่างดี ขอบคุณคุณ เพ็ญชมพู มากครับ แต่สะดุดตรงความเห็นที่ 7 บรรทัด 2 ที่ว่า พ.ศ. ๒๔๘๓ มี ๑๒ เดือน นั้น (ก็คงพลาดมาจากต้นฉบับกระทรวงวัฒนธรรม) ที่ถูกคงจะเป็น ๙ เดือน เพราะ ม.ค.- มี.ค. (ปลายปีสมัยนั้น) ถูกตัดมาเป็นต้นปี ๒๔๘๔ ข้อความจึงจะไม่สะดุดใจครับ ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 28 ก.ย. 49 23:11:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เป็นไรครับ สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นาน ๆ เจอตัวคุณเพ็ญชมพูสักที คราวนี้จะไม่ขอเพลง แต่จะชวนปั่นกระทู้เรื่องปฏิทินต่อ เอาเรื่องปฏิทินทางจันทรคตินะครับ คือว่าความหมายของคำว่าหนึ่งปีคือการที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 365 วันกับมีเศษอีกประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของวันแล้วยังมีเศษอีกนิดหน่อย เรื่องนี้เอาพักไว้ก่อนเพราะเราจะพูดกันเรื่องจันทรคติ หนึ่งเดือนตามจันทรคติมี 28 วันเพราะพระจันทร์โคจรรอบโลกหนึ่งรอบใช้เวลา 28 วัน ปัญหามีอยู่ว่าเขาทำอย่างไรให้เดือนทางจันทรคติที่มี 28 วัน เอาไปใส่หนึ่งปีที่มี 365 วัน(กับมีเศษ)ได้ล่ะครับ โดยเดือนทางจันทรคติก็มี12 เดือนในหนึ่งปีเหมือนกัน จากคุณ : * - [ 29 ก.ย. 49 01:29:27 A:58.9.189.188 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อความที่คุณยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) กล่าวไว้ใน # ๑๒ ชอบแล้ว ขออภัยในความผิดพลาดและขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ สำหรับคุณ * ก่อนจะวิสัชนาต้องขออนุญาตแก้ไขข้อมูลอีกที  "หนึ่งเดือนตามจันทรคติมี ๒๘ วันเพราะพระจันทร์โคจรรอบโลกหนึ่งรอบใช้เวลา ๒๘ วัน" ข้อมูลที่ถูกต้องคือ "ดวงจันทร์โคจรรอบโลกครั้งหนึ่งใช้เวลา ๒๙ วันครึ่ง"  ดังนั้นจึงต้องนับ ๕๙ วัน เป็นสองเดือน คือให้นับเดือนคี่มี ๒๙ วัน และเดือนคู่มี ๓๐ วัน (เดือนคี่ บางทีเรียกว่าเดือนขาด ได้แก่เดือน ๑, ๓, ๕, ๗, ๙, ๑๑ ส่วนเดือนคู่หรือเดือนเต็ม ได้แก่เดือน ๒, ๔, ๖, ๘, ๑๐, ๑๒ ) โดยระบบนี้เดือนคี่จึงเป็นเดือนต้น เดือนคู่เป็นเดือนรองถัดไป สลับกันจนครบรอบ (๑๒ เดือน) แล้วเริ่มต้นใหม่ เมื่อนับวันกันจริง ๆ ปีจันทรคติ จึงมีเพียง ๓๕๔ วัน ซึ่งมีการเพิ่มวัน เรียกว่า อธิกวาร ดังนันปีจันทรคติปรกติมี ๓๕๔ วัน ปีมีอธิกวาร มี ๓๕๕ วัน อธิกวาร คือวันเพิ่มในเดือน ๗ อีก ๑ วัน มีแรม ๑๕ ค่ำ หรือข้างแรม ๑๕ วัน จึงเป็นเดือนเต็ม (มี ๓๐ วัน) จัดเป็นเดือนพิเศษ  ถ้าเป็นปีอธิกมาศ จะมี ๓๘๔  อธิกมาส คือ เดือนเพิ่ม หมายถึงการมีเดือนเพิ่มอีก ๑ เดือน ในปีนั้น ๆ (อธิกมาส) จึงมีเดือน ๑๓ กล่าวคือ เมื่อถึงแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ แล้วจะมีเดือน ๘ อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าเดือน ๘ สอง ๘ (เดือน ๘ สองเดือน ๘ หน้า ๘ หลัง) เหตุที่เกิดอธิกวาร (วันเพิ่ม) และอธิกมาส (เดือนเพิ่ม) เนื่องจากในจันทรคติ ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนก็จริง แต่มีจำนวนวัน ๓๕๔ วัน  แม้ดวงจันทร์โคจรรอบโลกแล้ว ๑๒ ครั้ง คือ ๑๒ เดือน แต่โลกยังไม่ได้โคจรไปรอบปริมณฑลองศาของดวงอาทิตย์ครบ ๑๒ ราศี หรือ ๓๖๐ องศา ถ้าเทียบกับปีสุริยคติปรกติ ซี่งมี ๓๖๕ วัน  ปีจันทรคติปรกติจะมีวันน้อยกว่าปีสุริยคติถึงปีละ ๑๑วัน ภายในเวลาสามปีเวลาจะเหลื่อมกันถึงหนึ่งเดือนกว่า อันเป็นสาเหตุให้ฤดูกาลต่าง ๆ ไม่อยู่ในกำหนดเวลาที่เป็นจริง เช่น เดือน ๕ (เมษายน) เป็นเดือนร้อนจัด ถ้าปล่อยให้เหลื่อมเวลาต่อไปเรื่อย ๆ  หน้าร้อนอาจตรงกับเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ฯลฯ ก็ได้ ดังนั้นเพื่อรักษาสภาพธรรมดาโลก ให้ปีเดือนทางจันทรคติทันกับสุริยคติจึงต้องเพิ่มเดือนคือเดือน ๘ ขึ้นอีกหนึ่งเดือน ในปีที่ ๒ บ้างที่ ๓ บ้าง ในปีที่เพิ่มจึงมี ๑๓ เดือน เรียกตามศัพท์ว่า อธิกมาส ในปฏิทินเขียนเดือนแปดที่เพิ่มมาเป็น ๘ ๘ หรือ 8 8 หรือ อาจจะเขียน ๘,๘ หรือ 8.8 เดือนในจันทรคติมีสองช่วงหรือ ๒ ปักษ์ (ช่วง หรือปักษ์ละ ๑๕ วัน) คือข้างขึ้นและข้างแรม   ข้างขึ้น   เรียกตามศัพท์ว่า ชุณหปักษ์ หรือชุษณปักษ์ หรือศุกลปักษ์ เป็นต้น เดือนหนึ่งมี ๑๕ วัน ใช้ตัวย่อว่า ข. ข้างแรม เรียกตามศัพท์ กาฬปักษ์นับเป็นปลายเดือนใช้ตัวย่อว่า ร. ข้างแรมนี้มีข้อสังเกตคือ ถ้าเป็นเดือนคู่ จะมี ๑๕ วัน (มีถึงแรม ๑๕ ค่ำ) แต่ถ้าเป็นเดือนคี่จะมีเพียง ๑๔ วัน (มีเพียงถึงแรม ๑๔ ค่ำ) เท่านั้นด้วยเหตุนี้เดือนคี่จึงมักเรียกกันว่า เดือนขาดเป็นการบอกให้รู้ในตัวว่า ข้างแรมมีเพียง ๑๔ วัน   นอกจากเดือน ๗ ที่เป็นอธิกวารจึงมีแรม ๑๕ ค่ำ ที่มา :  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม http://www.culture.go.th/k_day.php?F=newyear&FF=03 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 49 11:38:17 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 49 11:17:14 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 ก.ย. 49 06:18:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ได้ตอบปุจฉาเรื่องปฏิทินทางจันทรคติของคุณ * ไปแล้ว ก็เลยขอต่อเรื่องปฏิทินทางสุริยคติเสียเลย ข้อมูลเอามาจากที่เดิมคือสำนักวัฒนธรรมแห่งชาติ ปฏิทินแบบซีซาร์ สมัยโรมัน เมื่อจูเลียส ซีซาร์ มีอำนาจปรากฎว่าการนับวันเดือนปี ทางจันทรคติคลาดเคลื่อนไปถึง ๓ เดือน คือแทนที่จะเป็นฤดูหนาวกลับกลายเป็นฤดูใบไม้ร่วง ซีซาร์จึงยกเลิกวิธีนับปีตามจันทรคติ และใช้สุริยคติแทน นักดาราศาสตร์ของโรมัน ขณะนั้นคำนวณแล้วประกาศขยายปีออกไปเป็น ๔๔๕ วัน เพื่อให้ระยะเวลาเดือนและฤดูตรงกับความเป็นจริง ในปีต่อมาให้มีเวลา ๓๖๕ กับ ๑/๔ วัน แต่เพื่อไม่ยุ่งยากแก่การนับจึงกำหนดให้ปีปรกติมี ๓๖๕ วัน ซึ่งขาดไป ๖ ชั่วโมง หรือ ๑/๔ วัน พอครบ ๔ ปีเป็นปีอธิกสุรทิน ซึ่งมี ๓๖๖ วัน ปฏิทินระบบของซีซาร์เริ่มประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๔๙๗  การทำปฏิทินสมัยซีซาร์ ได้กำหนดให้เดือนต่าง ๆ มี ๓๑ และ ๓๐ วัน สลับกันเว้นแต่เดือนกุมภาพันธ์ มี ๒๙ วัน ถ้าเป็นปีอธิกสุรทินจึงเพิ่มอีกวันเป็น ๓๐ วัน ปฏิทินแบบยูเลียน ต่อมาสมัยจักรพรรดิออกุสตุส (พ.ศ. ๔๘๐ – ๕๕๗) ครองจักรวรรดิโรมัน ใน พ.ศ. ๕๑๗ ได้ทรงปรับปรุงโดยเทียบกับปฏิทินอียิปต์ ที่กำหนดให้เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน และมีวันเพิ่มอีก ๕ วัน ซึ่งเรียกว่าอธิกวาร ได้ลดเดือนกุมภาพันธ์ลงเหลือ ๒๘ วัน ถ้าเป็นปีอธิกสุรทินจึงเพิ่มเป็น ๒๙ วัน วันที่ขาดไปหนึ่งวันให้เพิ่มเดือนสิงหาคม ซึ่งเดิมมี ๓๐ วัน เป็น ๓๑ วัน ปฏิทินแบบนี้มีชื่อเรียกว่า แบบยูเลียน แม้จะใช้สะดวกแต่มีข้อบกพร้อง คือ กำหนดให้ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน เกินกว่าเวลาจริงที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ปี ๑๑ นาที ๑๔ วินาที ฉะนั้นในเวลา ๑๒๘ ปี จะผิดเวลาจริงไปราว ๑ วัน ถ้าเวลาล่วงเลยไปหลายร้อยหลายพันปี ก็ยิ่งผิดวันมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ปฏิทินแบบเกรกอรี่ ใน พ.ศ. ๒๑๒๕ สันตะปาปา เกรกอรี่ ที่ ๓๓ แห่งโรม (พ.ศ. ๒๑๑๕ – ๒๑๒๘) ได้ประกาศยกเลิกปฏิทินแบบเก่าหรือยูเลียนให้ใช้แบบใหม่เรียกว่า แบบเกรกอเรียน โดยกำหนดเพิ่มจากปฏิทินยูเลียน ว่าถ้าปีใดตรงกับปีศตวรรษ เช่น ค.ศ. ๑๗๐๐ ๑๘๐๐ ๑๙๐๐ ฯลฯ ห้ามมิให้เป็นปีอธิกสุรทิน เว้นแต่ปีนั้นหารด้วย ๔๐๐ ลงตัว เช่น ค.ศ. ๑๖๐๐ ๒๐๐๐ ๒๕๐๐ คงเป็นอธิกสุรทินตามเดิม การกำหนดเช่นนี้ทำให้ปีปรกติมี ๓๖๕ วัน ๕ ชั่วโมง ๔๙ นาที ๑๒ วินาที เวลาต้องล่วงไป ๓๓๒๐ ปี จึงจะผิดเวลาจริง ๑ วัน ซึ่งนานพอจะใช้เป็นหลักกำหนดเวลาได้ใกล้เคียงที่สุด ระบบปฏิทินนี้ได้แพร่หลายนิยมใช้ในยุโรป และทั่วโลก จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 ก.ย. 49 08:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เอ้อ - ไม่อยากพูดเลย (ที่จริงพิมพ์) เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติที่เรียบเรียงเรื่องตาม # 14 เขียนออกมาได้ไงว่า "ถ้าปล่อยให้เหลื่อมเวลาต่อไปเรื่อย ๆ  หน้าร้อนอาจตรงกับเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ฯลฯ ก็ได้" ก็ปีจันทรคติปรกติมี ๓๕๔ วัน สั้นกว่าปีสุริยคติ แล้วถ้าปล่อยไป หน้าร้อนทางสุริยคติจะเลื่อนออกได้ไง มันต้องเป็นเลื่อนเข้ามาเป็นเดือนมีนาคม กุมภาพันธ์ มกราคม ฯลฯ (ถ้าถือว่าเดือน ๕ เป็นหน้าร้อน) ถ้าถือทางสุริยคติเป็นหลัก แล้วบอกว่าหน้าร้อนทางจันทรคติอาจตรงกับเดือน ๖, ๗, ๘ ฯลฯ ละก็ใช่ ไม่รู้ว่ายังมีที่ผิดพลาดที่ไหนอีกหรือเปล่า เพราะผมก็อ่านผ่านๆ เท่านั้น ผมต้องขออภัยคุณ เพ็ญชมพู ด้วยครับ คือไม่ใช่ความผิดของคุณ เพ็ญชมพู . . . เท่าที่กรุณาลอกมาลงนี่ก็ดีอยู่แล้ว ไม่มีเวลาตรวจทานหรอกครับ ผมเองยังต้องอ่านผ่านๆ . . . ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 29 ก.ย. 49 15:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) นี่ละเอียดจริง ๆ ขอคารวะ  เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ  มีที่อื่นผิดอีกหรือเปล่า ? ดังนั้นข้อความว่า "เดือน ๕ (เมษายน) เป็นเดือนร้อนจัด ถ้าปล่อยให้เหลื่อมเวลาต่อไปเรื่อย ๆ  หน้าร้อนอาจตรงกับเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ฯลฯ ก็ได้" น่าจะแก้ให้ถูกต้องเป็น "เดือน ๕ เป็นเดือนร้อนจัด ถ้าปล่อยให้เหลื่อมเวลาต่อไปเรื่อย ๆ  หน้าร้อนอาจตรงกับเดือน ๖ เดือน ๗ เดือน ๘ ฯลฯ ก็ได้" ขอแจ้งความเห็นนี้ไปยัง สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ด้วย จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 ก.ย. 49 15:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ สุธน หิญ ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ท่านก็ต้องละเอียดอยู่แล้ว จากคุณ : * - [ 29 ก.ย. 49 19:05:24 A:58.9.198.231 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 19 leap year ภาษาไทยเท่ห์ ๆ ปนแขกเขาเรียกว่าอะไรครับ จากคุณ : * - [ 29 ก.ย. 49 19:15:09 A:58.9.198.231 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ปีอธิกสุรทิน ครับ ขอบคุณครับ แต่กรุณาอย่าเรียกผมว่า นักเศรษฐศาสตร์ เลย เดี๋ยวท่านที่เรียนมาจบปริญญาทางนี้เขาจะค้อนเอา ผมเรียนมาแค่หลักสูตรสั้นๆ 3 หลักสูตร รวมใช้หนังสือ 4 เล่มของ Henry George เท่านั้น แล้วก็เรียนทาง ปณ.เสียด้วย (ตอนนี้เรียนกันทางอินเทอร์เนตครับ) จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 30 ก.ย. 49 09:45:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ *  ปุจฉาเรื่อง "leap year" ก็ต้องอภิปรายกันในด้านภาษาศาสตร์  ก่อนจะกล่าวถึงคำเรียก "leap year" ในภาษาไทย ขอกล่าวถึงเบื้องหลังของคำว่า "leap year" ในภาษาอังกฤษเสียก่อน "leap year" ค้นจาก the Random House Unabridged Dictionary, Random House, Inc. 2006. ( http://www.dictionary.com ) ให้ความหมายว่า   1. (in the Gregorian calendar) a year that contains 366 days, with February 29 as an additional day: occurring in years whose last two digits are evenly divisible by four, except for centenary years not divisible by 400.   2. a year containing an extra day or extra month in any calendar. "leap year"  มีความหมายเหมือนอีก ๓ คำในภาษาอังกฤษคือ intercalary year, 366 days, bissextile year  leap year แปลตรงตัวว่า ปีกระโดด (เพราะกระโดดไป ๔ ปีครั้ง)  intercalary year แปลตรงตัวว่า ปีที่ถูกแทรก (เพราะมีวันแทรกเข้ามาอีก ๑ วัน)  366 days  คำนี้ไม่ต้องแปล จะมีปัญหาก็แต่ bissextile year  คำนี้แปลว่าอะไร มีที่มาอย่างไรหนอ bissextile year เป็นคำที่เป็นทางการของ leap year ในภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ใช้คำนี้  จะใช้บ่อยในภาษาฝรั่งเศส ว่า annee bissextile  คำว่า bissextile มาจากภาษาละติน ๒ คำคือ bis แปลว่า สองครั้ง และsextus  แปลว่า หก  แปลรวมความว่า หกสองครั้ง เนื่องจากในปฏิทินที่ใช้ในสมัยโรมันทุก ๆ ๔ ปี จะเพิ่มวันอีกหนึ่งลงไปในเดือนกุมภาพันธ์ ๑ วัน  คือวันที่หกก่อนเริ่มต้นเดือนมีนาคมได้แก่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์จะมีสองครั้ง "leap year" มีคำในภาษาไทยเท่ (ปนแขก)ว่า "ปีอธิกสุรทิน" ถูกต้องตามที่คุณ สุธน หิญ  ว่าไว้  "อธิกสุรทิน" มาจากภาษาบาลีสันสกฤต  อธิก (อ่านว่า อะ-ทิ-กะ) แปลว่า "เกิน, เพิ่ม"  สุร แปลว่า "พระอาทิตย์  ทิน แปลว่า "วัน   รวมความแปลว่า "วันพระอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้นมา"  คำ ๆ นี้จึงใช้ในทางสุริยคติ  แต่ถ้าคิดในทางจันทรคติ  leap year ความหมายที่ ๒ ตามพจนานุกรมที่อ้างไว้ข้างต้น  "a year containing an extra day or extra month in any calendar"  ก็น่าจะใช้คำว่า "ปีอธิกวาร" คือปีที่มีวันเพิ่มขึ้น หรือ "ปีอธิกมาส" คือปีที่มีเดือนเพิ่มขึ้น  แต่ตอนแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษคงจะต้องมีคำขยายความหน่อย   ปีอธิกวาร leap-day lunar year  ปีอธิกมาส leap-month lunar year แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 49 16:49:09 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 30 ก.ย. 49 16:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากจะถามคุณ * ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นว่า  "leap year" มีคำเท่ ๆ ในภาษาญี่ปุ่นใช้ว่าอะไร   ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนกรุณาอธิบายปีศักราชที่ญี่ปุ่นใช้หน่อยประเภท ปีเมจิ ปีโชวะ ปีเฮเซ ฯลฯ     จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 30 ก.ย. 49 16:28:03 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นอย่างที่คุณเพ็ญชมพูบอกมาที่ # 22 ความรู้ภาษาญี่ปุ่นมีพอขอข้าวขอน้ำกินได้ หรือถ้าหลงทางก็พอจะถามทางไปขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถใต้ดินได้เท่านั้น ไหน ๆ คุณโยมเพ็ญชมพูมีปุจฉามาว่า "leap year" มีคำเท่ ๆ ในภาษาญี่ปุ่นใช้ว่าอะไร ขนาดภาษาไทยยังไม่ทราบ ก็เลยต้องไปค้นคว้ามาได้ความดังนี้ครับ "leap year" เขียนเป็นตัวอักษรคันยิอย่างนี้ 閏年 (ไม่ทราบว่าโพสท์แล้วจะออกมาหรือเปล่า ลองเสี่ยงดู) อ่านได้สองอย่างครับ 1. うるうどし uruudoshi อุรุอุโดชิ เป็นการอ่านแบบญี่ปุ่น ไม่ค่อยเท่เท่าไหร่ แต่ทุกคนทราบทั่วไป และ 2. じゅんねん junnen ยุนเน็น (หรืออ่านว่า ยุนเน็ง ก็ได้) เป็นการอ่านแบบจีน ถือว่าเท่มาก ไฮโซที่สุด แต่อาจอ่านแบบนี้ในโคลงกลอน หรือวรรณคดีโบราณ ชาวบ้านทั่วไปฟังเสียงแล้วอาจไม่เข้าใจ ต้องเขียนตัวคันยิให้ดูถึงจะเข้าใจซู้ดปากร้องว่า "Hai wakarimashita" สำหรับเรื่อง ปีศักราชที่ญี่ปุ่นใช้ประเภท ปีเมจิ ปีโชวะ ปีเฮเซ ฯลฯ ขอเก็บ เอาไว้ต่อภาคสอง ตามประสานักปั่นหุ้น ..... ขอโทษครับ นักปั่นกระทู้ หุ้นไม่เคยเล่น จากคุณ : * - [ 30 ก.ย. 49 19:59:24 A:58.9.185.145 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ป.ล. นึกแล้วเชียวว่าตัวหนังสือญี่ปุ่นจะอออกมาเป็นตัวเลขกับเครื่องหมายต่าง ๆ เหมือน ไบ้หวย จากคุณ : * - [ 30 ก.ย. 49 20:01:49 A:58.9.185.145 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอขอบพระคุณคุณ * ผู้ขันแข็ง ที่เป็นแรงช่วยแบ่งการปั่นกระทู้ แต่อย่างไรขอนับถือไว้เป็นครู จะคอยดูติดตามตอนต่อไป .......ด้วยใจจริง domo arigatou gozaimashita     จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 1 ต.ค. 49 07:41:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมก็ขอขอบพระคุณคุณ เพ็ญชมพู มากครับที่กรุณาอธิบายความหมายของ leap year อย่างละเอียดแจ่มแจ้ง จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 1 ต.ค. 49 08:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 บรรยากาศน่ารัก....จริง คุณเพ็ญชมพูของผม(ตู่เอาหน้าด้านๆ อย่างนี้แหละ)นี่เฉียบเสมอ ตักตวงเอาความรู้เพียบเลยครับ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 1 ต.ค. 49 15:31:29 A:86.140.147.41 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่จากกันไปเสียนาน  ถ้าอย่างไรคุณคนอุดร ฯ  อย่าเพิ่งไปไหนมาร่วมวงช่วยคุณ * ปั่นกระทู้หน่อย จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 1 ต.ค. 49 15:54:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สะวีดัดค่ะคุณคนอุดรฯ และคุณ * ง่า คุณเพ็ญชมพูที่รักและนับถือ (ขออนุญาตปาดแล้วแซงคุณคนอุดรฯ อิอิ) คือจะมาขออนุญาตขมายคุณ "เพ็ญชมพู" ให้เธอช่วยดูกระทู้ "การนุ่งผ้าสีตามวัน" สักนิด พอดีมีประเด็นเรื่องสีแบบไทยๆ ข้าพเจ้านึกออกเพียงกระหยิบ ก็เลยมาขอความรู้มหามิตรอย่างคุณเพ็ญชมพูช่วยเสียหน่อย http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4755020/K4755020.html (มาจับมือคุณเพ็ญชมพูแล้วพาหนีต่อหน้าต่อตาคุณคนอุดรฯ กะคุณ * ซะดื้อๆ สัญญาค่ะ เดี๋ยวนำมาส่งคืน) จากคุณ : AntiSpam - [ 1 ต.ค. 49 16:37:45 A:124.120.108.251 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 30 วันนี้วันเสาร์อากาศดีมีแสงแดด แต่ไม่ร้อนมาก อยู่กับบ้านเฉย ๆ ก็เลยจะมาวิสัชนาเรื่องศักราชของญี่ป่นต่อตามคำขอของคุณแม่ยกเพ็ญชมพู ญี่ปุ่นนับศักราช (nengo เน็งโงะ)เมื่อเปลี่ยนรัชกาล ธรรมเนียมนี้ได้มาจากจีน ซึ่งเริ่มใช้เมื่อ 140 ปี ก่อน ค.ศ. ญี่ปุ่นเริ่มใช้เน็งโงะ เมื่อ ค.ศ. 645 ในรัชกาลของจักรพรรดิ โคโตกุ (Kotaku) เรียกว่าศักราชหรือเน็งโงะ ไทกะ(Taika) ประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนปฏิทินจากระบบ จันทรคติ มาเป็น สุริยะคติ เมื่อ ศักราชเมยิ 6 (ค.ศ. 1873 หรือพุทธศักราช 2416)ก่อนประเทศไทย 16 ปี ตามที่คุณเพ็ญชมพูเล่าไว้แล้วใน # 5 ว่า "ประเทศไทยได้ประกาศใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติ อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ชื่อของศักราช หรือเน็งโงะ ไม่ใช่ชื่อของพระเจ้าจักรพรรดิ แต่เมื่อจักพรรดิสวรรคตแล้ว ก็ได้รับขนานพระนามใหม่ตามชื่อ เน็งโงะ ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าจักรพรรดิองค์ก่อน ทรงพระนามว่าจักรพรรดิฮิโรฮิโต ศักราชของรัชสมัยของพระองค์ หรือเน็งโงะ เรียกว่า โชวา เมื่อพระองค์สวรรคต ได้รับขนานพระนามใหม่ ว่า พระเจ้าจักรพรรดิโชวา จักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่เสด็จพระราชดำเนินมาในงานเฉลิมฉลองครองราชสมบัติ 60 ปี ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามว่า พระเจ้าจักรพรรดิอากิฮิโต ชื่อศักราชหรือเน็งโงะในรัชสมัยของพระองค์คือ เฮอิเซอิ (Heisei) การจะเอ่ยขานพระนามของพระองค์ว่า พระเจ้าจักรพรรดิ เฮอิเซอิ (His Imperial Majesty Emperor Heisei) ถือเป็นการผิดมารยาท อย่างร้ายแรง ดูคล้ายจะเป็นการแช่งเพราะพระองค์จะได้รับถวายพระนามนี้เมื่อสวรรคตแล้วเท่านั้น คนญี่ปุ่นจะไม่เอ่ยพระนามของพระเจ้าจักรพรรดิที่ยังครองราชย์อยู่ เรียกแต่เพียงว่า Tenno Heika หรือพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น พระองค์ได้รับราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาคือพระเจ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโตเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 อันเป็นปี โชวา 63 พระราชบิดาหลังจากสวรรคตแล้วได้รับถวายพระนามว่าพระเจ้าจักรพรรดิโชวา สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโตสวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 อันเป็นเน็งโงะ หรือ โชวา 63 ศักราชเฮอิเซอิ เริ่มวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 แต่เป็นธรรมเนียมว่าปีแรกของทุกรัชกาลไม่เรียกว่าปี 1 แต่เรียกว่า กันเน็ง "Gannen" ปีแรกของเฮอิเซย์เน็งโงะจึงเรียกว่า เฮอิเซอิกันเน็ง เมื่อสิ้นปีขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินสุริยคติจึงนับเป็นปีที่ 2 เอวังก็มีด้วยประการฉนี้แล จากคุณ : * - [ 1 ต.ค. 49 20:13:34 A:58.9.198.123 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แก้คำผิด ...... ปีแรกของทุกรัชกาลไม่เรียกว่าปี 1 แต่เรียกว่า กันเน็ง "Gannen" >>>> แก้เป็น .....แต่เรียกว่า งันเน็ง "Gannen" ตัว G ใน Romanised Japanese หรือ Romaji ออกเสียงไกล้กับ ง (งู) มากกว่า ก (ไก่) จากคุณ : * - [ 1 ต.ค. 49 20:22:09 A:58.9.198.123 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 32 >>>>มาจับมือคุณเพ็ญชมพูแล้วพาหนีต่อหน้าต่อตาคุณคนอุดรฯ กะคุณ * ซะดื้อๆ สัญญาค่ะ เดี๋ยวนำมาส่งคืน คุณอันตราคณีไม่ต้องลำบากนำมาส่งคืนหรอกขอรับ.....คนเสน่ห์แรงราวกับแม่เหล็กอย่างผมและคุณเพ็ญชมพูนั้น แรงดึงดูดของแต่ละฝ่ายจะทำให้ต้องวิ่งมาหากันเอง....ต่อให้คนอื่นมาพรากไปไกลแสนไกลแค่ไหน สนามแม่เหล็กแห่งสิเน่หาก็จะนำทางกลับมาเจอกันแน่นอน อย่าห่วงๆ .....(แอบพิมพ์ตอนเมียเผลอนะเนียะ กร๊ากกกสส์) แซวเล่นน่าคุณเพ็ญฯ .ดูสิ?..นั่งทำหน้าแดงเป็นผลตำลึงสุกไปได้ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 2 ต.ค. 49 04:14:48 A:86.140.147.41 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อยากจะคุยกับท่าน* เรื่องรถถังเบา เพราะคุยกันไม่จบคราวที่แล้ว.....แหะ แหะ แหะ พูดไปสองไพเบี้ย..เกรงว่าจะไปกระเทือนซาง คปค เข้าให้ ดีมิดี เดี๋ยวกระทู้จะโดนลบไปซะเปล่าๆ.....นิ่งเสียเป็นตำลึงทองซะดีฝ่า ขออนุญาตคุณเพ็ญนิดหนึ่งนะครับ (อยากมีส่วนๆ ) >>>>"คม" และ "ยน" มาจาก "อาคม" และ "อายน" แปลว่า "การมาถึง" ส่วน "พันธ์" มาจาก "อาพันธ์" แปลว่า "การผูก" ผมเห็นว่าน่าจะสลับว่า "อาคม" และ "อายน" มาจากการสมาสของ "อา(อุปสรรค) + คม(ธาตุ) = อาคม (ใช้หลักเดียวกันกับ "อายน") ...และเมื่อศัพท์ "อาคม" ที่สมาสขึ้นมาใหม่นี้ถูกนำไปสมาสกับคำอื่นๆ อีกทอดหนึ่ง สระตัวสุดท้ายของคำอื่นก็จะกลืนเสียง "อา" เข้าไปตามหลักการสมาสสนธิ เช่น มีนาคม (มีน + อาคม) ผิดพลาดโปรดอภัย(เอาความจำมาว่า) จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 2 ต.ค. 49 04:35:34 A:86.140.147.41 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ถูกต้องแล้วคร้าบ บ บ บ  (โปรดนึกถึงเสียงคุณปัญญา นิรันดร์กุล ในรายการ "แฟนพันธุ์แท้") เดาว่าคุณอุดร ฯ คงเคยบวชเรียนภาษาบาลี จนได้เป็นท่านมหาแน่ ๆ เกี่ยวกับคำว่า "อาคม" มีคำ ๆ หนึ่งที่น่าสนใจคือ "คมนาคม" ซึ่งเป็นคำที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบัญญัติไว้ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร   คำว่า"คมนาคม" บัญญัติจากภาษาอังกฤษว่า  communication มาจากคำบาลีว่า "คมน + อาคม" คำว่า "คมน" (คะ - มะ - นะ) แปลว่า "การไป" และคำว่า "อาคม" (อา - คะ - มะ) แปลว่า "การมา"  ดังนั้นคำว่า "คมนาคม" จึงแปลว่า "การไปมา, การไป ๆ มา ๆ" คุณคนอุดร ฯ อยู่ที่อังกฤษเคยได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีที่นั่นบ้างหรือเปล่า ? จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 2 ต.ค. 49 08:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถามคุณ * ต่อเรื่องญี่ปุ่น สนใจเรื่องพระนามของจักรพรรดิเมจิสมัยทรงพระชนม์ชีพอยู่ เคยได้ยินมาว่าความจริงไทยกับญี่ปุ่นก็เริ่มต้นความเจริญแบบตะวันตกพร้อม ๆ กันในสมัยจักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทยนี่เอง ชื่อของจักรพรรดิแต่ละสมัยหมายความว่าอะไร แล้วต่อจากสมัยจักรพรรดิเมยิเป็นสมัยของจักรพรรดิโชวะเลยหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 49 13:36:18 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 2 ต.ค. 49 13:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 >>>>คุณคนอุดร ฯ อยู่ที่อังกฤษเคยได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีที่นั่นบ้างหรือเปล่า ? เข้าใจโยนก้อนหินถามทางจังครับคุณเพ็ญฯ...:-) ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะครับ อยากเจอท่านเหมือนกันนะครับ....แม้ท่านจะเป็นอดีตไปแล้ว แต่เชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านทำไว้ให้กับคนระดับรากหญ้าอย่างไม่มีใครเคยทำมากมายเช่นนี้มาก่อน ท่านคงจะไม่จางหายไปจากความทรงจำประชากรไทยในระดับล่างส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน ตอนนี้เห็นมีนักวิชาเกินสองท่าน สนธิ ลิ้มทองกุล กับไกรศักดิ์กำลังจะไปอังกฤษเช่า hall เปิดสัมมนากะจะกระทุ้งทักษิณถึงถิ่นว่าด้วยเรื่องประเทศไทยภายใต้ซีอีโอทักษิณ เห็นนักศึกษาที่อังกฤษกำลังตื่นเต้นกันอยู่ http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H4740298/H4740298.html http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H4740876/H4740876.html ทราบมาว่า นักศึกษาที่อังกฤษ (ส่วนใหญ่มาจากชนชั้นกลางถึงระดับลูกอัครมหาเศรษฐีของเมืองไทย )พยายามรวมตัวที่จะไปขับไล่ทักษิณตอนที่ทราบข่าวว่าทักษิณจะพำนักไปลอนดอน ส่วนผมอาจจะเป็น "แกะดำ" หรือเพียง "รากหญ้า" ในอังกฤษที่เฝ้าดูเฝ้าชมด้วยความสลดใจ......กะไว้เหมือนกันว่า ถ้านักศึกษาไปยกป้ายไล่จริงๆ ผมก็จะขอลาพักงานสักวันไปยกป้ายยินดีต้อนรับท่าน มอบรากหญ้า(อาจจะมีผมคนเดียว) กับม็อบปัญญาชนชนกันที่ลอนดอน คงดูไม่จืด.....อิ อิ อิ จากคุณ : คนอุดรฯ - [ 2 ต.ค. 49 20:54:41 A:217.43.138.201 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 37 บัดนี้จักได้วิสัชนาเรื่องพระนามของจักรพรรดิเมจิสมัยทรงพระชนม์ชีพอยู่ตามปุจฉาของคุณเพ็ญชมพู และในฐานะที่เป็นแม่ยกและลูกค้าเก่า ก็จะมีรายการโปรโมชั่นแถมพระนามพระเจ้าจักรพรรดิองค์อื่น ๆ ด้วย ลืมเล่าไปว่า "เน็งโงะ" หรือชื่อของรัชสมัยของจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้น ในสมัยโบราณมีการเปลี่ยนด้วย หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ระยะหนึ่งก็อาจเปลี่ยน หรือถ้ามีเหตุการณ์ที่สำคัญในรัชสมัยนั้น ๆ ก็อาจเปลี่ยน เรื่องนี้อาจทำความยุ่งยากให้นักประวัติศาสตร์ในยุคต่อมา เพราะฉนั้นในสมัยเมยิจึงได้ออกกฎกำหนดว่า ชื่อของรัชสมัยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเมื่อจักรพรรดิสวรรคตแล้วให้เรียกพระนามโดยใช้ชื่อ "เน็งโงะ" หรือชื่อรัชสมัย ก่อนหน้าสมัยเมยิ ธรรมเนียมนี้ไม่มี (ยังมีต่อเรื่อย ๆ เพราะกำลังปั่นกระทู้) จากคุณ : * - [ 3 ต.ค. 49 15:20:50 A:58.9.194.112 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระนามของจักรพรรดิสมัยทรงพระชนม์ชีพอยู่ และความหมายของ"เน็งโงะ" หรือชื่อรัชสมัย นับตั้งแต่สมัยปัจจุบันย้อนไปถึงเมยิมีดังนี้ จักรพรรดิอากิฮิโต ครองราชย์ 8 มกราคม 1989 ชื่อรัชสมัย เฮอิเซอิ Heisei แปลว่า "Peace Everywhere" หรือ สันติทุกหย่อมหญ้า จักรพรรดิโชวา ครองราชย์ 25 ธันวาคม 1926 - 7 มกราคม 1989 พระนามสมัยยังครองราชย์ ฮิโรฮิโต Hirohito ชื่อรัชสมัยโชวา Showa แปลว่า"Enlightened Peace" หรือ สันติปัญญา จักรพรรดิไทโช ครองราชย์ 30 กรกฎาคม 1912 - 24 ธันวาคม 1926 พระนามสมัยยังครองราชย์ โยชิฮิโต Yoshihito ชื่อรัชสมัย ไทโช Taisho แปลว่า "Great Righteousness" มหาอาชชวะ (ไปแอบลอกเอามาจากทศพิธราชธรรมของคุณแสนอักษร # 1 http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4758515/K4758515.htmlความซื่อตรง (อาชชวํ) จักรพรรดิ เมยิ ครองราชย์ 8 กันยายน 1868 - 29 กรกฎาคม 1912 พระนามสมัยยังครองราชย์ มุทสึฮิโต Mutsuhito ชื่อรัชสมัย Meiji แปลว่า "Enlightened Rule" แผ่นดินแห่งปัญญา หมายเหตุ ..... ปีใช้เป็นปี ค.ศ. ใครอยากเปลี่ยนเป็น พ.ศ. โปรดบวกด้วย 543 เอาเอง เลขเรียงเบอร์จำง่าย (ยังมีต่อเรื่อย ๆ เพราะกำลังปั่นกระทู้) จากคุณ : * - [ 3 ต.ค. 49 15:27:40 A:58.9.194.112 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตะกั่วขาว(white led) ที่เอามาทำเครื่องสำอางค์ทาหน้าผู้หญิงญี่ปุ่นยุคโบราณ เป็นสารประกอบของตะกั่วคาร์บอเนทกับตะกั่วไดไฮดรอคไซด์ซึ่งเป็นสารที่มีพิษมากในระยะยาว ไม่ใช่พิษเฉียบพลัน สารชนิดนี้ใช้มากในการผสมสีทาบ้าน คู่กับตะกั่วแดง (red lead) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่าสีเสน ซึ่งใช้เป็นสีกันสนิมใช้ทาเหล็ก ทั้งสองอย่างขณะนี้ทั่วโลกกำลังออกกฎหมายให้เลิกใช้เพราะแม้แต่บ้านผุพังหรือรื้อไปแล้ว แต่ตะกั่วยังคงตกค้างอยู่ในดินและสิ่งแวดล้อม เมืองไทยเข้าใจว่ายังไม่มีกฎหมายห้ามเรื่องนี้ จึงขอเรียนให้ท่านนายกคนใหม่ช่วยอกกฎหมายหรือประกาศเป็นกฎกระทรวงหรือมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยรุ่นหลังต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อนเพราะพิษตะกั่ว ที่เมืองไทยเลิกใช้สารตะกั่วผสมน้ำมันเบ็นซินเติมรถยนตร์นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ใครที่ซื้อบ้านเก่าหรืออาศัยในบ้านเก่าที่ทาสีที่มีส่วนผสมของตะกั่วต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก เพราะสีเก่าที่หลุดออกมาและเข้าไปสู่ร่างกายจะเป็นอันตรายต่อพัฒนาการด้านสมองของเด็กอย่างมาก สมองชำรุดเสียไปแล้วไม่มีทางรักษา สำหรับสีเสนหรือสีตะกั่วแดงก่อนนี้ใช้ทาเรือเหล็ก เรือแล่นไปในทะเลก็เอาตะกั่วไปโปรยปรายในทะเลเข้าไปอยู่ในสัตว์น้ำกลับมาให้คนกินเรียกว่ากรรมตามสนอง แต่ว่าไม่ได้สนองคนทาแต่ไปสนองคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เราไปตลาดซื้อปลาทูกะจะเอามากินกับน้าพริกให้อร่อย จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าปลาทูตัวนั้นไปกินตะกั่วแดงที่หลุดออกมาจากเรือของปานามาที่ขนน้ำมันเอามาส่งที่โรงกลั่นในเมืองไทย หรือไม่ เรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลก (ยังมีต่อเรื่อย ๆ เพราะกำลังปั่นกระทู้) จากคุณ : * - [ 3 ต.ค. 49 15:56:34 A:58.9.194.112 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 40 hai wakarimashita.  domo arigatou gozaimashita.  * sensei  ja mata aimashou. จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 4 ต.ค. 49 05:48:31 ]