ภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย เป็นเรื่องที่ประหลาด
ไม่ใช่ว่ารู้ศัพท์กฎหมายเป็นคำโดดๆแล้วจะแปลได้.....
เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีคนมา post ไว้ใน pantip ว่าเขาเรียนปริญญาตรีกฎหมายจากไทย แล้วไปต่อปริญญาโทกฎหมายจากประเทศอังกฤษ ....(มีเวลาอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษแค่ 2-3 ปี ก่อยกลับมาเมืองไทย) ....แล้วเขาจะรับสอนภาษาอังกฤษ (ไม่ทำงานเป็นนักกฎหมาย?) แล้วเขาทำเว็บเขียนโฆษณาเป็นภาษาอังกฤษ ...........อนิจจา คำว่า intereting กับ interested เขาใช้ผิดแบบไทยๆ ........และเขียนภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานผิดๆแบบคนไทยเพียบเลย............!!!
ถ้าว่ากันไปตามวุฒิแล้ว .....เขากลับมาไทย จะสอบเป็นทนายความหรือผู้พิพากษาหรือเจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรมของไทย เขาก็ย่อมทำได้ ..........(ตามศักดิ์ศรีของปริญญาแบบที่คนไทยรับคนเข้าทำงาน) .........แต่ภาษาอังกฤษที่อ่อนมากๆ .......ไกลเกินกว่าเจ้าของภาษาอังกฤษ หลายเท่านัก.... แบบเรียนอีก 10 ปี ยังไม่ทัน .........เขาไม่มีทางร่างสัญญากฎหมายเป็นภาษาอังกฤษได้เลย และไม่มีทางที่จะว่าความในศาลฝรั่ง (ถึงได้รับใบอนุญาต) ให้แข่งกับเจ้าของภาษาอังกฤษได้ ..........
...........ดังนั้นเราจึงชอบตอบปัญหาเรื่องการเรียนแบบตรงไปตรงมา แต่คนคิดว่าเรากวน เวลาคนถามว่า
เรียนเอกอะไรไม่ดี
เราตอบว่า คนไทยเรียนเอกอังกฤษในเมืองไทยไม่ดี ไม่ดีเท่า ฝรั่งเจ้าของภาษาอังกฤษเรียนเอกอังกฤษในประเทศของเขา...... เพราะคนไทยจบมา รู้ภาษาอังกฤษไม่เท่าเด็ก 16 ขวบ ฝรั่ง แต่ฝรั่งจบมารู้ภาษาอังกฤษมากกว่าเด็กฝรั่งอายุ 16 ขวบ ............คนไทยเอาปริญญาตรีเอกอังกฤษไปสมัครงานไม่ได้ทั่วโลก แต่ฝรั่ง (เจ้าของภาษา) เอาปริญญาตรีเอกอังกฤษไปสมัครงานได้ทั่วโลก ........ดังนั้น เราจึงแนะนำว่าคนไทยควรเรียนเอกวิชาชีพอื่น (ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) เช่น "เอกบัญชี" แล้วเอาวุฒิเอกบัญชี (จากมหาลัยไทย) ไปสมัครงานได้ทั่วโลกในขณะที่เรียอังกฤษจากประสบการณ์ขีวิตจริงนอกมหาลัย (ไปทำงานบัญชีในสหรัฐไม่กีปีก็เก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษในเมื่องไทย)
และพวกที่จะเรียนเอกกฎหมายในมหาลัยต่างประเทศ ควรเป็นพวกที่ไปอยู่ในต่างแดนตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบเหมือนหม่อมเสนีย์ ปราโมทย์ เพราะแค่จบปริญญาตรีกฏหมาย (ของเขาเกียรตินิยมแล้วมหาลัยให้ปริญญาโทตามทีหลัง) จากมหาลัยฝรั่ง แล้วร่างกฎหมายระดับอินเตอร์ แล้วว่าความแข่งกับฝรั่งเจ้าของภาษาอังกฤษได้สบายๆ .........เพราะการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พูดภาษาอัง
กฤษแบบนั้นเขาไม่มีจุดด้อยที่แพ้เจ้าของภาษาอังกฤษ
นี่คือทางหนีทีไล่ในเรื่องการศึกษาเอกอังกฤษ (ในมหาลัยไทย) กับเอกนิติศาสตร์จบปริญญาตรีจากไทย (แล้วไปต่อโทในต่างประเทศ) เมื่อเปรียบเที่ยบกับคนที่ไปโตในอังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบแบบหม่อมเสนีย์ ปราโมทย์ แล้วเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์ (แล้วได้รับปริญญาโทตามมาโดยการอยู่เฉยๆ ตามระบบของบางมหาลัยของอังกฤษป ......
สรุป: สิ่งที่เราพยายามจะสื่อความหมายก็คือ
1. การที่คนไทยเรียนปริญญาตรีเอกบัญชีในไทย กับการที่ฝรั่งเรียนปริญญาตรีเอกบัญชีในประเทศเขา จบมาศักดิ์ศรีเท่ากัน แต่การที่คนไทยเรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษในไทย กับการที่ฝรั่งเรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษในประเทศเขา จบมาฝรั่งมีศักดิ์ศรีเหนือกว่า
2. การเรียนกฎหมายระดับปริญญาตรีและโทในเมืองไทย และไม่ไปยุ่งกับภาษาอังกฤษ จบมาทำงานในไทย ไม่ไปยุ่งกับอะไรระดับอินเตอร์ ศักดิ์ศรีเท่ากับปริญญาตรีและโททั่วๆไป
แต่ถ้าเรียนกฎหมายปริญญาตรีในไทย และไปเรียนต่อโทในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ แล้วจบมาไปยุ่งกับอะไรที่มันอินเตอร์ .......คุณจะแพ้คนไทยที่เรียนในต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนจบกฎหมายปริญญาตรีปริญญาโท และจะแพ้ฝรั่งเจ้าของภาษาที่เรียนกฎหมายปริญญาตรี ปริญญาโทในประเทศของเขา .........ที่แพ้จะแพ้ในเวทีโลกระดับอินเตอร์ และจะว่าความในศาลฝรั่งสู้กับเขาไม่ได้ ร่างสัญญาภาษาอังกฤษสู้กับเขาก็ไม่ได้ ...............
นี่คือทางหนีที่ไล่ที่เราคิดเล่นๆ...... เวลาคนถามเรื่องที่ว่าเรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษจะดีไหม เราว่า "ไม่ดี" ควรเรียนเอกวิชาชีพอย่างอื่น แต่สนใจเรียนภาษาอังกฤษก็เรียนเอาจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันจะดีกว่า เช่นจบวิศวะในมหาลัยไทยมา แล้วเรียนภาษาอังกฤษ (นอกมหาลัย) ให้พอพูดได้นิดๆแล้วไปทำงานในอังกฤษหรืออเมริกา แค่ไม่กี่ปี จะเก่งภาษาอังกฤษมากกว่า และมีทางหนีทีไล่มากกว่าคนไทยที่จบเอกอังกฤษมาอย่างเดียวในมหาลัยไทย
ส่วนเรื่องการเข้าเรียนหลักสูตรอบรมภาษาอังกฤษเพื่อนักกฎหมายแล้วจบมาคุณจะ handle เอกสารกฎหมายยากๆได้มากน้อยแค่ไหน ......โปรดตามไปอ่านกระทู้นี้ที่เราตอบคำถามเรื่องการแปลสัญญากฎหมายเอาไว้ใน คคห 2. และสาธิตตัวอย่างการแปลเอกสารกฎหมายเอาไว้เป็นการเพิ่มเติมในน คคห. 3 ใน link ข้างล่างนี้ ..........แล้วลองบริกรรมดูว่าจะยังไงเอ่ย?
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K4761581/K4761581.html
อ้อมีแถมให้
ตัวอย่างการเขียนภาษากฎหมาย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&group=2
ตัวอย่างการแปลสัญญากฎหมาย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=13
อีกตัวอย่างของการแปลสัญญากฎหมาย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=7
อีกตัวอย่างของการแปลสัญญากฎหมาย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=14&group=2&blog=6
ลองตามไปอ่านดู แล้วลองไปเรียนหลักสูตรที่เขาสอนภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมาย แล้วเปรียบเทียบวิธีการอธิบายภาษากฎหมายโดยการ "ชำแหละประโยค" ที่เราทำไว้ ใน blog เราว่า จะมีแนวคิดเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร...........?????????????
ที่เราแปะเอาไว้ เราเรียนรู้ภาษากฎหมายด้วยตัวเองโดยการลอง (แปล) ผิดลองถูกมาหลายปี ...........ปัญาหที่เจอบ่อยๆก็คือว่า "บางทีอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่องแต่แปลเป็นไทย เขียนภาษาไทยไม่ออกเพราะมันกลับหัวกลับหางกัน"
หลายๆคนอยากเรียน writing โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาษากฎหมาย แต่ผู้อยากเรียนลืมคิดไปว่า "การที่คุณจะเขียนภาษาอังกฤษได้ดีนั้น คุณจะต้องสนทนาภาษาอังกฤษได้คล่องก่อน" .............
คนที่จะเขียนภาษากฎหมายได้ จะต้องเขียนประโยคโดยใช้ sentence patterns ที่ต่างกัน แล้วเขียนประโยค 50 - 100 ประโยค ให้มันมีความหมายเหมือนๆกันได้ ................นี่คือหลักการในการฝึกเขียนภาษากฎหมาย
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 04:07:04
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 04:05:26
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 03:34:39
แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 49 03:31:46
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 49 20:59:54
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 49 20:57:34
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 49 20:55:48
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 49 20:47:47
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 49 19:47:44