ความคิดเห็นที่ 50
เรื่องของ ดุซงญอ นี้ เป็นประวัติการต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมกับเจ้าหน้าที่รัฐครั้งรุนแรงที่สุด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต ๓๐ ศพ และมีชาวบ้านเสียชีวิตหลายร้อยศพ และยังคงเป็นที่เล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้หากมีเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงเช่นในครั้งนั้น
บันทึกต่าง ๆ มีดังนี้
เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นในจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ก่อนที่รัฐบาลจะได้ทันลงมือดำเนินการอย่างไรเพื่อเป็นการแก้ปัญหา (การเรียกร้อง ๗ ข้อ ของชาวมลายูมุสลิม) กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานทางโทรเลขจากนราธิวาสว่า คนไทยมุสลิมประมาณ ๑,๐๐๐ คน ได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนกลันตัน มีการต่อสู้กันเป็นเวลา ๒ วัน และมีคนตายเป็นจำนวนกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป (ปิยนาถ บุนนาค, นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๑๖). (กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๔, หน้า ๑๐๔-๑๐๕.)
Nik Anuar Nik Mahmud กล่าวถึงเหตุการณ์ดุซงญอว่า เป็นการลุกขึ้นสู้ (kebangkitan) ที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่เกิดขึ้นกะทันหัน เนื่องจากในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ฝ่ายตำรวจยิงปืนไปยังชาวบ้านที่กำลังมีงานบุญกันอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่กลัวชาวบ้านจะตอบโต้จึงถอยกำลังกลับไปยังตันหยงมัส แต่ในการรายงานไปยังหน่วยเหนือ ฝ่ายตำรวจรายงานไปว่าได้มีกองโจรชาวมลายูจำนวน ๑,๐๐๐ คน กำลังเตรียมการเพื่อก่อการกบฏ (Nik Anuar Nik Mahmud, Sejarah Perjuangan Melayu Patani, 1785-1954, (Bangi: Penerbit University Kebangsaan Malaysia, 1999), p.77. (In Malay))
ในวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ๖๐ นาย เข้ามาเสริมกำลังที่ตันหยงมัส ขณะที่ชาวบ้านดุซงญอก็เตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับตำรวจ ที่เชื่อกันว่ากำลังเตรียมการจะกวาดล้างชาวมลายู วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ รัฐบาลส่งเครื่องบินรบมาร่อนเหนือหมู่บ้านดุซงญอ เรือรบกลางทะเลบางนราก็ถูกสั่งให้เทียบท่าเรือเพื่อเตรียมส่งทหารมาสมทบกับกำลังตำรวจ วันที่ ๒๘ เมษายน เกิดการต่อสู้ครั้งร้ายแรงระหว่างชาวมลายูจำนวนราว ๑,๐๐๐ คน กับกองกำลังตำรวจที่หมู่บ้านดุซงญอ การต่อสู้เริ่มจากฝ่ายตำรวจสยามเข้าบุกโจมตีชาวมลายูที่ถูกทางการเชื่อว่ากำลังเตรียมการต่อต้านรัฐบาล การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไป ๓๖ ชั่วโมง ชาวบ้านก็ยอมแพ้ ผลการต่อสู้ทำให้ชาวมลายูทั้งที่เป็นสตรี ผู้ชรา และทารก เสียชีวิตเกือบ ๔๐๐ ศพ ส่วนตำรวจสยามเสียชีวิตประมาณ ๓๐ ศพ (อิบรอฮีม ชุกรี, ประวัติราชอาณาจักรมลายูปะตานี หะสัน หมัดหมาน, มะหามะซากี เจ๊ะหะ และดลมนรรจน์ บากา (แปลและเรียบเรียง), (ปัตตานี: โครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, พฤศจิกายน ๒๕๔๑) หน้า ๕๔. ชุกรีระบุว่าเหตุการณ์ดุซงญอเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ และความรุนแรงดำเนินไปเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง)
ข้อเขียนของ Mohd. Zamberi A. Malek มีรายละเอียดบางอย่างแตกต่างออกไป เขาได้อ้างรายงานของตนku มะห์มูด มะหายิดดีน ที่ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มจากที่ชาวบ้านดุซงญอมารวมตัวกันประมาณ ๖๐-๘๐ คน และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าโจมตีกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว ชาวบ้านแตกกระจายและหนีไปตั้งหลักที่ตันหยงมัส รวมกำลังกันได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ก็ตัดสินในประกาศทำ ญิฮาด (การต่อสู้ยอมสละทุกสิ่งในหนทางของพระเป็นเจ้า) ชาวบ้านอ้างว่าตำรวจเป็นฝ่ายยิงเข้ามาในกลุ่มชาวบ้านก่อน เพราะคิดว่าชาวบ้านรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล เหตุการณ์เลวร้ายลงเมื่อชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเข้ามาสมทบด้วยเพราะโกรธแค้นที่ญาติพี่น้องของตนถูกทำร้าย ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรุงเทพฯ ส่งกำลังสามกองร้อยลงมาในพื้นที่ การปะทะกันเกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ระหว่างปะทะมีเครื่องบินของทหารอากาศไทย ๓ ลำ บินวนเวียนหาเป้าหมายชาวบ้าน มีรายงานด้วยว่ากองทัพเรือไทยนำเรือรบมาเทียบท่าที่อ่าวนราธิวาส มีข่าวลือว่ากองกำลังไทยต้องการกวาดล้างชาวมลายู การโจมตีของตำรวจต่อชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ ในการปะทะกันนี้ ทำให้ชาวมลายูล้มตายประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ คน แต่ทางราชการกล่าวว่ามีเพียง ๓๐-๑๐๐ คนเท่านั้นที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ในขณะที่ฝ่ายตำรวจเสียชีวิต ๓๐ คน เหตุการณ์นี้รู้จักกันในนาม สงครามโต๊ะเปรัก ดุซงญอ (Perang Tok Perak Dusun Nyor) เพราะผู้นำคือตวนฮัจยีอับดุลเราะห์มาน เดิมเป็นชาวรัฐเปรัก และชาวบ้านเรียกกันว่า โต๊ะ เปรัก (Mohd. Zamberi A. Malek, Umat Islam Patani: Sejarah dan Politik. (Shah Alam: Hizbi, 1993), pp. 210-211. (In Malay))
จากบันทึกข้างต้น อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
ประการแรก กรณีดุซงญอนี้เรียกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะฝ่ายราชการเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น กบฏ หรือ การจลาจล ขณะที่ไม่มีผู้ใดในฝ่ายนักวิชการมลายูมุสลิมที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า กบฏ ตรงกันข้าม คำภาษามลายูที่นำมาใช้เรียกเหตุการณ์นี้มีอย่างน้อยสองคำ คือคำว่า Kebangkitan หรือ การลุกขึ้นสู้ กับคำว่า Perang ซึ่งแปลว่า สงคราม
ประการที่สอง ในขณะที่รายงานของทางราชการแสดงว่าเหตุการณ์ดุซงญอเป็นผลของการเตรียมการวางแผนต่อต้านรัฐบาลกรุงเทพฯ แต่ในฝ่ายมลายูมุสลิมกลับเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เกิดอย่างกะทันหันไม่ใช่ขบวนการที่มีเป้าหมายและการจัดองค์กรทางการเมืองตั้งแต่แรก
(จากบทความ ความเงียบของอนุสาวรีย์ลูกปืน : ดุซงญอ-นราธิวาส, ๒๔๙๑ โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
จากคุณ :
วศินสุข
- [
12 ธ.ค. 49 22:42:09
]
|
|
|