ความคิดเห็นที่ 1 แต่เอ ตัวฐกับญ ที่มันมีรองเท้าข้างล่างนี่ มันไม่ดีตรงไหนเหรอคะ ไม่เห็นลำบากเลย ไปถอดรองเท้าเค้าแล้วมันดูเปลือยๆนะคะ อ้อ ถ้าจะโละตัวอักษรทิ้งก็นี่เลย ฅ และก็ขอ ขวด (หาบนแป้นไม่เจอค่ะ) รอความเห็นผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นดีกว่า จากคุณ : kanu_memphis - [ 21 ธ.ค. 49 11:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หากคิดจะปฏิวัติแบบนั้น  คุณทำได้ครับเพราะมีคนเคยทำแล้วคือ "จอมพล ป." พอหมดสมัยจอมพล ป. ชาวบ้านชาวเมืองก็กลับมาใช้แบบเดิม หากถามว่า "ทำไม"  ล้านเจ็ดครับที่ระบบการเขียนยังคงเป็นแบบเดิมๆ และสืบทอดกันต่อไป เช่น.... จุฬา  กลายเป็น  จุลา ใจ  กลายเป็น  ไจ พชร  กลายเป็น  พะชะระ ศาลา  กลายเป็น   สาลา ตัวอักษรบางตัว  ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวอักษร  แต่มันอาจหมายถึงความรู้สึกบางอย่าง การเปลี่ยนแปลงของภาษานั้น  มันมีการเปลี่ยนแปลงแน่ แต่  การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมาจากคนหมู่มากครับ หากใครบางคนหรือคนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาชี้น้ำย่อมสามารถทำได้ครับ แต่....สำเร็จหรือไม่นั้นอีกเรื่อง  เหมือนที่จอมพล ป. ทำนั่นแหละ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 21 ธ.ค. 49 11:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนตั๊วส่วนตัวนะครับ ผมชอบแบบที่ใช้อยู่นี่มากกว่า เพราะมันติดซะแล้วอ่า แหะๆๆ จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 21 ธ.ค. 49 12:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เราจะปฏิวัติภาษาไทยกันใหม่ดีไหมครับ ไมดีหรอกครับ เอาเวลาไปคิดอย่างอื่นดีกว่า จากคุณ : * - [ 21 ธ.ค. 49 12:47:02 A:58.9.195.225 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นคำว่า บัณฑิต ได้ความรู้สึกเลยว่า ผู้ที่จบปริญญา เห็นคำว่า บันดิด ต้องนั่งแปลกันพักใหญ่ อ๋อ พวกจบปริญญานี่หว่า เห็นเข็มนาฬิกา ทั้งสั้นและยาวอยู่ใกล้ๆ ถึงเลข 12 ->เที่ยงแล้วนี่หว่า แต่เห็นตัวเลขดิจิตอลที่นาฬิกา 11:59 ->เพิ่งจะ สิบเอ็ดโมงกว่าเอง มันมีเรื่องของความรู้สึกของการคุ้นชินกะภาษาด้วยนา ผมว่า จากคุณ : ไม่สนับสนุนเลย - [ 21 ธ.ค. 49 13:00:06 A:10.122.50.85 X:203.155.94.129 TicketID:063301 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณคิดว่าการใช้ภาษาไทยเป็นอะไรล่ะครับ เล่นขายของ? คิดจะปรับจะเปลี่ยนอะไรก็ทำได้เลยรึ? ภาษาแต่ละภาษามันมีความสละสลวยในตัวของมันเองครับ อย่าสักแต่ว่าจะเอาง่ายๆ ไม่งั้นภาษาอังกฤษจะมีแยกตัวพิมพ์ตัวเขียนทำไมล่ะ และการที่ภาษาดิ้นได้ก็เป็นสเน่ห์อย่างนึงของภาษา คำเขียนเหมือนกันอาจออกเสียงต่างกัน คำบางคำออกเสียงไม่เหมือนกับรูปที่เห็น คุณเป็นคนไทยรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่เป็นอยู่นี้ก็เปลี่ยนสัญชาตก็ได้นะ จะได้เปลี่ยนไปใช้ภาษาอื่นที่คุณพอใจด้วยไง ^^ จากคุณ : หลงทางเป็นงานอดิเรก - [ 21 ธ.ค. 49 13:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สนับสนุน คคห.ที่ 2 ของคุณ เข้ามาจอบ เรื่อง ญ หญิง ควรมีเชิงไหม มีผู้ "สันทัด" (จริงๆ ต้องบอกว่าเชี่ยวชาญเลยล่ะ) ด้านภาษาท่านหนึ่งให้ความเห็นว่าไม่ควรจะมีิ์ แต่เราว่า ญ หญิง มีเชิงไว้หน่อยก็ดีนะคะ ============== คคห. ที่ 6 "คุณเป็นคนไทยรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่เป็นอยู่นี้ก็เปลี่ยนสัญชาตก็ได้นะ จะได้เปลี่ยนไปใช้ภาษาอื่นที่คุณพอใจด้วยไง ^^" คุณเจ้าของกระทู้เขาบอกหรือคะว่า เขาพอใจจะใช้ภาษาอื่น ???????? คุยกันเรื่องแบบนี้ ต้องถามประโยคนี้กันเลยหรือ เมื่อคำถามตั้งมาว่า "ควร" หรือไม่ นั่นคือการถามความเห็น มันจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ หรือคุณเห็นแย้งก็แล้วแต่ค่ะ แต่มันเป็นประเด็นด้านภาษาที่น่าจะคุยกันได้นะคะ แล้วเป็นประเด็นที่ไม่เปล่าดายต่อความคิดด้วย อย่างเช่น เรื่อง ญ หญิง มีเชิงหรือไม่ควรมีนั้น คุยกันถกกัน สืบไปไกลได้ถึงประวัติทางภาษาเลยทีเดียว จากคุณ : AntiSpam - [ 21 ธ.ค. 49 13:39:36 A:192.165.213.18 X: TicketID:123165 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อย่าเลย เดี๋ยวงงกันใหญ่ แบบภาษาจีน ที่มันมีแบบตัวเต็มดั้งเดิม แบบตัวย่อแบบใหม่ ผมเรียนภาษาจีนเริ่มด้วยตัวย่อ มันง่ายดี ชอบ แต่พอเรียนๆไปถึงระดับสูง จะรู้ว่าตัวเต็มแบบดั้งเดิมมันสื่อความหมายได้ดีกว่ามาก ภาษาลาวแต่ก่อน เช่น คำว่า "มหาวิทยาลัย" ก็เขียนเหมือนภาษาไทยเด๊ะเลย ตอนหลังมันก็มาปฏิวัติภาษาลาว กลายเป็น "มะหาวิทะยาไล" เลยกลายเป็นไม่รู้อะไรเป็นภาษาลาว อะไรเป็นศัพท์ที่ยืมจากบาลีสันสกฤต คนโบราณเขาคิดมาดีแล้วแหละครับ จากคุณ : *** - [ 21 ธ.ค. 49 13:40:05 A:125.24.15.114 X: TicketID:064373 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จอมพลป. เคยลองมาแล้วครับ ลองในฐานะผู้นำ มีคำสั่ง หน่วยงานราชการปฏิบัติตาม แล้วก็เลิก เพราะไม่เวิร์ค... จากคุณ : ชาเขียว - [ 21 ธ.ค. 49 13:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จอมพล ป. ทำมาแล้ว อย่างความคิดเห็นที่ ๒ ว่าไว้ ทุกวันนี้ลาวก็ทำอย่างนี้ หรือจะว่าไปแล้วมาเลย์ก็ทำอย่างนี้เช่นกัน คือเขียนด้วยเสียงที่มีในภาษาตนเองเท่านั้น เขียนอย่างนั้นแล้วนาน ๆ เข้่า คนจะไม่รู้รากศัพท์เดิม เช่น เมือง Putra Jaya ของมาเลย์ หากเขียนเป็นภาษาไทยคือ "บุตรชัย" (ความจริงที่ถูกควรเป็น "ชัยบุตร" หรือเปล่า) จากคุณ : สนทะเลน้อย - [ 21 ธ.ค. 49 13:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาว่าตามคุณantispamค่ะ ว่าแรงไปนิดนึงเน้อคุณคห6 เราว่าจขกท เค้ารักชาตินะ นี่เค้าหวังดีต่อภาษาไทยหรอก ถึงคิดจะพยายามทำให้มันดีขึ้น แต่จะคิดผิดคิดถูกก็อีกเรื่องนะคะ จากคุณ : kanu_memphis - [ 21 ธ.ค. 49 14:22:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผู้ที่ลงมือปฏิวัติอักษรไทยท่านแรกคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ วิธีที่ใช้ไม่ใช่เลิกการใช้อักษรบางตัวเหมือนจอมพล ป. แต่เป็นการประดิษฐ์อักษรสำหรับเขียนภาษาบาลีขึ้นใหม่เลยเรียกว่า "อักษรอริยกะ" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะในขณะทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณเถระประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จุดประสงค์เพื่อตัดความยุ่งยากในระบบการเขียนในอักษรขอมและอักษรไทยออกไปทั้งหมด และใช้ตามระบบการเขียนอักษร "โรมัน" โดยสระและพยัญชนะอยู่บรรทัดเดียวกัน เรียงสระไว้หลังพยัญชนะ แบ่งอักษรเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑. อักษรอริยกะตัวพิมพ์ ๒. อักษรอริยกะตัวเขียน เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน หลักฐานเกี่ยวกับความแพร่หลายของอักษรอริยกะมีไม่มากนัก มีบันทึกเพียงว่านำไปใช้พิมพ์บทสวดมนต์บ้าง พิมพ์หนังสือปาฏิโมกข์บ้าง และพิมพ์หนังสืออื่น ๆ บ้าง และใช้แทนหนังสือใบลานที่แพร่หลายมาแต่เดิม แต่ความแพร่หลายนี้ก็จำกัดวงอยู่เฉพาะในวัดบวรนิเวศวิหารเท่านั้น ส่วนจารึกอักษรอริยกะที่มีให้เห็นชัดเจนในปัจจุบันคือจารึกวัดราชประดิษฐ์ การใช้อักษรอริยกะเสื่อมไปเมื่อทรงลาผนวชขึ้นเสวยราชสมบัติ ประกอบกับรูปร่างและระบบอักขรวิธีแตกต่างจากอักษรไทยมากจึงไม่ได้รับความนิยม ทั้งในรัชกาลต่อมาได้ทรงนำรูปอักษรไทยมาปรับใช้เขียนภาษาบาลีได้ ความจำเป็นที่จะใช้อักษรอริยกะเขียนแทนอักษรขอมก็หมดลงกระทั่งเลิกใช้ไปในที่สุด                                       ลักษณะตัวอักษรอริยกะสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๙๐ แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 49 14:51:35 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 21 ธ.ค. 49 14:47:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 K.เพ็ญเข้าใจหาข้อมูลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง..เยี่ยมจริงๆ ขอคารวะ จากคุณ : ciri - [ 21 ธ.ค. 49 16:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สาธุ จากคุณ : * - [ 21 ธ.ค. 49 16:11:27 A:58.9.195.225 X: TicketID:105682 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ภาษามันก็มีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว การปฏิวัติให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหักมุม คงได้รับการยอมรับยาก (แล้วก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไปแล้วจะมีผลดีอย่างไร) ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ท่านก็เคยมีพระราชดำริ และได้เคยทรงลองปรับเปลี่ยนการใช้ตัวอักษรไทยอยู่พักหนึ่ง แต่เป็นการลองทำอยู่ในวงเล็กๆ แต่ในที่สุดท่านก็ไม่ได้ขยายผล จอมพล ป. ท่านก็เคยทำ คราวนี้มาแบบปูพรม "วัทนทัม" (ใช่ป่าวหว่า?) กันทั้งประเทศเลย แล้วก็ไปไม่รอด จากคุณ : ผ่านมาแจม - [ 21 ธ.ค. 49 16:14:05 A:161.200.255.163 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คห.7==> เมื่อคำถามตั้งมาว่า "ควร" หรือไม่ นั่นคือการถามความเห็น มันจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ หรือคุณเห็นแย้งก็แล้วแต่ค่ะ แต่มันเป็นประเด็นด้านภาษาที่น่าจะคุยกันได้นะคะ ตอบ ก็ผมเห็นแย้งอยู่นี่ไง ผมคิดว่าภาษาไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์ไว้ ไม่ใช่คิดจะมาปรับเปลี่ยนอะไรง่ายๆให้มันขาดความสวยงามทางภาษาไป ผมก็มีเหตุผลในแบบของผมอ้ะนะ ปล.เห็นด้วยกับคห.5ที่ว่า "มันมีเรื่องของความรู้สึกของการคุ้นชินกะภาษาด้วยนา ผมว่า " ปล.2 ขอบคุณคห.12 ครับ สำหรับข้อมูลที่แน่นปึ้ก ^^ จากคุณ : หลงทางเป็นงานอดิเรก - [ 21 ธ.ค. 49 22:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรารักภาษาไทยรักระบบยุ่งๆนิดๆนี้แหละ เวลาสอนนักเรียนต่างชาติ มันทำให้เรามีงานทำมากๆดี เราเขียนแผนการสอนได้สองสามหน้ากระดาษอันเป็นผลให้เรา ได้เงินค่าสอนเยอะๆเพราะมันใช้เวลานานกว่าจะสอนให้เขาอ่านออกเขียนได้ แต่เราก็เหมือนจขกทนะ บางทีก็คิด พยายามเดาๆว่าบรรพบุรุษเราทำไมถึงได้เลือกอักขรวิธีแบบนี้ๆ อย่าง อักษรเดี่ยว ทำไมบรรพบุรุษเราถึงไม่ทำให้มันเป็นอักษรคู่เหมือนๆไปหมด จะได้ไม่ต้องเอา ห นำ แล้วก็เลยไปถึงการทำให้ ย ยักษ์เป็นอักษรกลางด้วยการ อ นำ อีก (เรื่องนี้เราต้องใช้เวลาหนึ่งคาบเต็มๆ บางทีก็สองคาบ อธิบายให้นักเรียนฟังแล้วก็ฝึกๆๆๆให้เขาจำๆๆ ซึ่งเราก็สนุกแต่นักเรียนไม่ค่อยสนุก) เราว่าบรรพบุรุษเราคงคิดดีแล้วล่ะ ท่านคงมีเหตุผลหลายๆประการของท่าน แต่ลูกหลานท่านไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอด"เหตุผล"ของท่านเท่านั้นแหละ เพราะมันทำงานได้ผล คนไทยเราถึงได้เก็บรักษารูปแบบการเขียนการอ่านนี้มาตลอด แล้วมันก็บอกที่มาของคำต่างๆในภาษาไทย (เอ่อ อันนี้ก็ทำให้เราได้เขียนแผนการสอนเพิ่ม เพราะเราจะเอาอีกหลายคาบมาสาธยาย(แค่พื้นๆ)เกี่ยวกับ รากศัพท์ในภาษาไทยให้เขาอีกแล้วเราก็ซานุ้กสนุก แต่นักเรียนปวดหัว) ใครที่ช่างคิดหน่อยอย่างจขกท.เขาก็มักจะเกิดความสงสัย อยากรู้เหตุผล เท่านั้น แล้วก็อาจจะเลยไปคิดว่ามีทางไหนบ้างไหมที่คนไทยเราจะพัฒนาให้อักขรวิธีไทย รัดกุมกว่าเดิม คงไม่ใช่มีเจตนาไม่เคารพนับถือไม่ให้เกียรติ ความจริงภาษานี่บางทีก็ไม่มีเหตุผลเท่าไรหรอก คุณครูทั้งหลายก็เลยอาจลำบากใจเวลาถูกถามเข้า แต่ถ้าเป็นคุณครูที่ดี เวลาถูกถาม ถ้าตอบไม่ได้ทันทีก็จะเก็บไปทำการบ้าน ไปค้น ไปคิดมาตอบ ไม่รังเกียจคนช่างถามหรอก จากคุณ : รักภาษาไทย - [ 22 ธ.ค. 49 09:09:37 A:124.27.178.3 X: TicketID:128743 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ ภาษาไทยมีเหตุผลแน่นอนครับ....เชื่อ ดิ เหตุที่ภาษาไทยต้องแบ่งหมู่อักษรออกเป็น 3 หมู่เพราะ... ธรรมชาติของภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงวรรณยุกต์ ดังนั้นการเปลี่ยนระดับเสียง อาจทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป เช่น ปา   ป่า    ป้า   ป๊า   ป๋า (มีความหมายครบทุกคำ) ตา   ต่า   ต้า   ต๊า   ต๋า(ไม่ได้มีความหมายครบทุกคำ) ดังนั้นเมื่อมีการคิดค้นใช้อักษรไทยขึ้นมา   จึงต้องทำให้อักษรไทยสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับการผันเสียงไปด้วย ............................................ ๔๔ รูป แต่มีเพียง ๒๒ เสียงเท่านั้นครับ การใช้รูปอักษรที่เพิ่มขึ้นก็เพื่อแยกศัพท์ว่ามาจากภาษาใดและเพื่อระบุความหมายของคำโดยไม่ต้องอาศัยบริบทของประโยค รักษ์   ลักษณ์   รักนะ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 22 ธ.ค. 49 09:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แวะมาคุยเล่นต่อ อืม เหตุผลเหรอครับ เวลา "คนโบราณ" ท่านคิด (คนไหนน้อ คนเดียวรึเปล่า หรือว่าหลายคน หรือว่าหลายชั่วคน) บางทีอาจจะไม่ได้ใส่ "เหตุผล" แบบเดียวกับที่คนปัจจุบันใช้ (ในฐานะ "หลักการและเหตุผล" ประกอบการ "ตัดสินใจ" ว่าทำไมต้องเขียนแบบนี้แบบนั้น) แต่ผมก็เชื่อเหมือนคุณเข้ามาจอบ ว่ามันต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน อย่างแรกเลยคือ ภาษาพูดมีมาก่อนภาษาเขียนในทุกสังคมครับ ภาษาเขียนเป็นความพยายามที่จะ "บันทึก" ภาษาพูด เพราะฉะนั้น มันจะมีรูปลักษณ์หน้าตายังไง ก็ขึ้นอยู่กับ "ธรรมชาติ" ของภาษาพูด ซึ่งต่างๆ กันไปด้วยระดับหนึ่ง ถ้าว่ากันตรงนั้นเดี๋ยวจะยืดยาว มาคุยเรื่องอักษรกลาง อักษรสูง อักษรต่ำ พอเป็นตัวอย่างมันๆ ดีกว่า ตัวอักษรไทยที่ใช้ในปัจจุบัน งอกเงยและพัฒนามาจากอักษรพราหมี (รู้สึกว่าจะอ่านว่า "มี" นะครับ ไม่ใช่ "หมี" หยึย) ซึ่งใช้บันทึกภาษาตระกูลบาลีสันสกฤต (และฮินดีต่างๆ) ตั้งกะสมัยก่อนนู้นนนน ทีนี้ระบบเสียงของภาษาพวกฮินดีกับภาษาไทยเราก็ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ก ข ค ฆ ของเรามีสี่ตัวที่เสียงคล้ายๆ กัน (ขอไม่นับ ฃ กับ ฅ ชั่วคราว) แต่กลับมีแค่ 2 เสียง คือเสียง "กอ" กับเสียง "ขอ/คอ/ฆอ"   ในภาษาต้นฉบับเขามี 4 เสียงครบ และออกเสียงไม่เหมือนกันเลยอีกต่างหากครับ พอมาดูอักษรกลาง สูง ต่ำ จะให้เข้าใจก็ต้องมาดูพยัญชนะวรรค ที่ทางบาลีสันสกฤตเขาจัดไว้ตาม "ฐาน" หรืออวัยวะที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง และเรียงตามลำดับ ธนิต/สิถิล โฆษะ/อโฆษะ ไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม เห็นพยัญชนะวรรคปุ๊บ ก็จะร้องอ๋อทันที เพราะคอลัมน์ (แนวตั้ง/สดมภ์) แรกของทุกวรรค (แถวแนวนอน) ล้วนเป็นอักษรกลางทั้งหมด (แถมตัว อ. ซึ่งต้นฉบับเขาไม่มีอีกตัว) ส่วนคอลัมน์ที่ 2 ก็เป็นอักษรสูงทั้งหมด ซึ่งในเรื่องพยัญชนะวรรคนี่ ก็มีรายละเอียดให้เจาะเล่นอีกเยอะเชียว เพราะมีแต่คอลัมน์ที่ 1 2 กับ 5 แค่นั้นเอง ที่เราออกเสียง "ใกล้เคียง" กับภาษาต้นฉบับที่เราหยิบยืมตัวอักษรของเขามา ส่วน 3 กับ 4 เราทิ้งเขาไปซะเกือบหมด (แบบว่าเสียงไม่คุ้นลิ้นคนไทย ไม่มีในภาษาไทยอะครับ อิๆๆ) แถมที่ไม่ทิ้ง ก็เอามาเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางซะใหม่ อย่างเสียง "ด" กับ "บ" ของเรา จริงๆ ควรจะไปอยู่ที่ตำแหน่ง "ท" กับ "พ" ของเราก็งอกขึ้นมาใหม่ โดยเลียนแบบรูปตัว "ต" กับ "ป" เป็นต้น  หรือเสียง "ฟ" เดิมเขาไม่มี แต่ในภาษาไทยเรามี ก็ต้องหาที่อยู่ ให้อยู่ข้างหลัง "พ" แล้วยืมรูปตัว "พ" มาต่อหางอีกต่างหาก (เก๋มากมาย เพราะสองเสียงนี้ ฐานใกล้กันมาก แม้จะมีวิธีพ่นลมกันคนละแบบครับ) แลกเปลี่ยนเล่นๆ สนุกๆ  โดยส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่ามัน "เปลี่ยนไม่ได้" เพียงแต่ในใจก็ดันไปชอบแบบที่เป็นอยู่นี่ซะแล้วอะครับ ยิ่งเรียนรู้มาก ก็ยิ่งเห็นแง่มุมสวยๆ งามๆ ของมัน และไม่เห็นเป็นความยุ่งยากวุ่นวายเลยนะ (แม้จะเขียนผิดเขียนถูกอยู่หลายครั้งเหมือนกันก็เถอะ เอิ๊ก)  ท้าทายดีครับ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 49 10:19:42 จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 22 ธ.ค. 49 10:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอช่วยตอบในเรื่องของภาษาลาวก็แล้วกัน เพราะหลังปี 1975 หลังการปฏิวัติ มีการประชุมโต๊ะมนเพื่อสรรหาภาษากลางและการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารต่อชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในประเทศว่า ทำอย่างไรจะให้ภาษานั้นรับใช้พลเมืองทุกชนเผ่าได้อย่างเสมอภาพ มีการเสนอให้ใช้อยู่ 3 วิธีคือ 1. เขียนแบบเดิมทุกประการ 2. เขียนโดยใช้การันต์เพื่อให้รู้ต้นเค้าของคำว่ามีที่มาจากภาษาอื่น เช่น บาลี สันสกฤต 3. ออกเสียงอย่างไรให้เขียนแบบนั้น มติออกมาคือให้ใช้วิธีที่ 3 ทำให้มีการปฏิรูปการเขียนใหม่หมด คือออกเสียงอย่างไรให้เขียนแบบนั้น เพื่อง่ายต่อการสื่อสารและการเรียนรู้ เพราะลาวมีพลเมืองที่เป็นชนเผ่าจำนวนมาก จึงกลายเป็นภาษาลาวใหม่ ส่วนภาษาลาวเก่านั้น ใช้ในต่างประเทศกัน คงไม่ต่างจากภาษาจีนที่ตัวเต็มใช้ในไต้หวัน ส่วนตัวย่อใช้ในจีน แล้วกันนั้น ภาษาธรรม คือตัวอักษรเขียนคัมภีร์ใบลาน ไม่ได้มีการสอนในชั้นเรียนเหมือนแต่ก่อน ให้ศึกษากันเฉพาะนักบวช แต่ก่อนนั้นหากจะเขียนบาลีก็ใช้อักษรธรรมเขียนกัน ไม่ได้ใช้ตัวอักษรลาวที่ใช้เขียนกันแต่อย่างใด คงจะเหมือนเกาหลีที่มีฮันจือไว้เขียนชื่อ มีฮันกุลไว้เขียนคำทั่วไป ส่วนการเปลี่ยนระบบเขียนภาษาไทยในสมัยจอมพลแปลก สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องของการสร้างชาตินิยมที่ต้องการให้มีเอกลักษณ์ของตนไม่ต้องพึ่งบาลีสันสกฤต โดยยกเลิกการันต์ทุกตัวด้วย จากคุณ : Viengวิไล - [ 22 ธ.ค. 49 21:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ประเด็นที่เจ้าของกระทุ้ยกขึ้นมา ผมว่าเป็นไปได้ยากถึงยากมากเลยครับ ย้ำน่ะครับ เป็นไปไม่ได้ แต่ที่จะเปลี่ยนแปลง คือ จะมีคำใหม่ๆขึ้นมา และคำใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาอาจจะแทนคำเก่าๆไปแทนน่ะครับ   ผมว่าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันก็ดีอยุ่แล้วน่ะครับ ไม่ควรเปลี่ยน สาเหตุเพราะ...   1. มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยครับ   2. เราควรอนุรักษ์ไว้ ของเดิมที่เราใช้อยู่ก็ดีอยู่แล้วครับ   3. ผมว่าเราควรจะมาดูเรื่องการใช้ภาษไทยของเรากันดีกว่า เพราะ ปัจจุบันภาษาวิบัตินั้นมีมากเลยครับ ขนาดในหลวงท่านยังเคยตรัสถึงเรื่องนี้เลยน่ะครับ     อาจารย์ของผมเคยเล่าว่า "เคยมีคนทูลถามในหลวงถึงเรื่องว่า อยากให้คนไทยใช้สรรพนามแทนตนและบุรุษที่ 2 ว่า I และ You เหมือนต่างประเทศ เพราะ สะดวก .... แต่ในหลวงท่านตรัสตอบว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ภาษไทยเรานั้นใช้กันมานานและควรอนุรักษ์ไว้ ซึ่งภาษาไทยนั้นไม่เหมือนใครในโลก การประเทศไทยเรานั้นมีสรรพนามหลายระดับบ่งบอกถึงว่า ความมีมารยาท การให้เกียรติ ฯลฯ และยังถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย" (ที่ผมยกตัวอย่างมาผมเขียนตามความที่จำได้ ซึ่งไม่เหมือนอย่างนี้แน่นอน แต่ประมาณนี้...) จากคุณ : แชมป์คุง - [ 22 ธ.ค. 49 22:02:36 ]