ความคิดเห็นที่ 3
ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมืองจากคดีกบฎบวรเดช ( พ.ศ. ๒๔๗๖ ) และ กบฎนายสิบ (พ.ศ. ๒๔๗๘ ) มายังเกาะตะรุเตาด้วย ส่วนคุณตาของท่านนายกฯ คือพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ถูกยิงตายในที่รบที่สถานีรถไฟหินลับ จังหวัดสระบุรี
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ "ความคิด ความรู้และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕" จัดพิมพ์โดยสถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๓ เกี่ยวกับผลที่ตามมาของเหตุการณ์กบฎบวรเดชไว้ดังนี้
จากการสู้รบเกือบสองสัปดาห์ ฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิต ๑๕ คน รวมทั้งพันตรีหลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษโกมล) ผู้นำคนหนึ่งของคณะราษฎร ส่วนฝ่ายกบฏเท่าที่ทราบจำนวนเสียชีวิต ๘ คน รวมทั้งพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) และพันตรีหลวงพลหาญสงคราม (จิตร อัคนิทัต)
นักข่าวต่างประเทศได้กล่าวว่า "
นี่มันรบอะไรกัน..ถ้าปริ๊นซ์บวรเดชจะไปจ้างชาวเม็กซิกันสัก ๑๐ คนมารบ ก็น่าจะได้เห็นการรบที่มีรสชาติกว่านี้"
ความเสียหายของราษฎรในบางเขนและดอนเมือง จากการสำรวจของรัฐบาลเพื่อที่จะให้เงินทดแทนนั้น มีราษฎรตาย ๑ คน และพระภิกษุมรณภาพ ๑ รูป ราษฎรที่บาดเจ็บสาหัสมี ๑ คน และมีอาคารบ้านเรือนที่พักอาศัยเสียหาย รวม ๔๘ รายการ รัฐบาลตั้งงบพิเศษสำหรับค่าใช้จ่ายไว้ ๑๐๐,๐๐๐ บาทจากกระทรวงการคลัง และได้รับบริจาคจากราษฎรอีก ๑๗๑,๖๕๙.๒๕ บาท ส่วนฝ่ายกบฏบั้นได้เบิกจ่ายออกจากที่ตั้งรวมแล้วเป็นจำนวน ๕๙,๘๓๔.๐๓ บาท
ผลที่ตามมาที่ต้องกล่าวถึง คือ การตั้งศาลพิเศษของรัฐบาล ซึ่งในสายตาของผู้พัวพันกับกบฏ เห็นว่าไม่ยุติธรรม และต่อมากลายเป็นข้อโจมตีของคณะราษฎรเสมอ ถ้าหากพิจารณาในสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ฝ่ายพลเรือนต้องการให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกโดยเร็ว ซึ่งยกเลิกได้เมื่อ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๗๖ ส่วนการใช้กฎอัยการศึกกับพวกกบฏนั้นรัฐบาลเห็นว่ารุนแรงเกินไป และจะใช้ศาลปกติก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงมีการตั้งศาลพิเศษขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมี ๖๐๐ คน ถูกฟ้องศาล ๘๑ คดี จำเลย ๓๑๘ คน ในจำนวนนี้ถูกพิพากษาลงโทษ ๒๓๐ คน ต่อมาได้มีการพระราชทานและอภัยโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต และจากจำคุกตลอดชีวิตถูกเนรเทศไปเกาะตะรุเตา
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับผลสะเทือนเป็นอย่างมากด้วย ในระหว่างมีเหตุการณ์สู้รบ พระองค์เสด็จโดยเรือเร็วขนาดเล็กจากหัวหินลงไปสงขลา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเข้าใจผิดว่าอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีพระราชกระแสเตือนรัฐบาลเกี่ยวกับการดำเนินการปราบกบฏ และผู้ต้องสงสัยเสมอ และในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๖ ทรงมีพระราชกระแสถึงรัฐบาลให้ยุติการจลาจลอย่างละมุนละม่อม ทรงกล่าวว่า
"เป็นการสมควรที่รัฐบาลจะประกาศอภัยโทษ ให้แก่ผู้ที่ร่วมก่อการจลาจล ตลอดทั้งนายทหารและบุคคลที่ไม่ใช่เป็นหัวหน้าหรือคนสำคัญในการกระทำครั้งนี้เสียโดยเร็ว"
แต่รัฐบาลปฏิเสธพระราชกระแสนั้น ด้วยหลักการที่ว่าต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก่อน จึงจะพิจารณาให้อภัยโทษ
เมื่อมีการจับกุมผู้ที่พัวพันกับกบฏ นายทหารรักษาพระราชวัง คือ พันโทหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท พันตรีจมื่นรณภพพิชิต และร้อยเอกหลวงศรสุรกาน ก็ถูกจับกุมตัวด้วย ราชเลขาธิการในพระองค์ คือ หม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิ์วงศ์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ราชเลขาธิการในพระองค์คนใหม่คือ พระองค์เจ้าอาทิพย์ทิพอาภา เป็นเจ้านายเอียงไปทางคณะราษฎร หลังจากนั้นมีข้อขัดแย้งกับรัฐบาลอีกเรื่องคือ พระราชบัญญัติอากรมรดก คือทรงยับยั้ง แต่สภาลงมติลับยืนยันร่างเดิม และทรงไม่ลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติแก้วิธีลงโทษประหารชีวิต รวม ๓ ฉบับ ทางสภาก็จัดวางแบบประกาศใช้พระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยขึ้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญ) ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๗๗ สภาผู้แทนได้พิจารณาพระราชบันทึกรวม ๖ ข้อของพระองค์ และลงมติว่า "ตามที่รัฐบาลได้ปฏิบัตินั้น เป็นการชอบแล้ว" และในท้ายที่สุดทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
จากคุณ :
เพ็ญชมพู
- [
28 ธ.ค. 49 09:33:55
]
|
|
|